พระราชปุจฉาที่ ๒

ข้อ ๑ ว่าด้วยปรทัตตูปชีวิโนเปรต ซึ่งคอยท่าพระยาพิมพิสาร

ข้อ ๒ ว่าด้วยอายุของบรทัตตูปชีวิโนเปรต

ข้อ ๓ ว่าด้วยอายุสัตวในอเวจีมหานรกนั้นกำหนดด้วยกลัปแผ่นดินฤๅอันตรากลัป

ข้อ ๔ ว่าพระปัจเจกโพธิแลพระยาจักรพรรดิจะเกิดเมื่อสิ้นสาสนาพระเจ้าแห่งเราฤๅไม่

ข้อ ๕ ว่าด้วยพระอินทร์แลเทวดาองค์ใหม่ จะได้วิมานแลบริวารขององค์เก่า ฤๅได้เปนส่วนบุญของตนเอง

----------------------------

๏ ศุภมัศดุจุลศักราช ๑๑๔๖ นาคสังวัจฉรฉศกไพศาขมาศกาลปักขอัฐมีดฤถีภุมวารปริเฉทกาลกำหนด พระบาทสมเด็จพระบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่แล้ว เสด็จสถิตย์ณพระที่นั่งดุสิดาภิรมณ์ ทรงพระกรุณาดำรัสเหนือเกล้าเหนือกระหม่อมสั่งว่า พระราชปุจฉาให้ออกหลวงศรีวรโวหาราจารย์ราชบัณฑิตลิขิตเขียนน่าพระที่นั่งแล้ว ให้เผดียงถามพระสังฆราชพระราชาคณะทั้งปวงว่ามีพระบาฬีว่า สรรพสัตว์เกิดท่องเที่ยวอยู่ในวัฏสงสาร ซึ่งจะปราศจากว่ามิได้เปนญาติกันนั้นหามิได้ ถ้าดับสังขารธรรมแล้ว ที่บุญก็ไปตามบุญที่บาปก็ไปตามบาป คณาญาติอุทิศส่วนบุญไปได้บ้างไม่ได้บ้าง แลเปรตทั้งปวงนั้นยกไว้แต่ปรทัตตูปชีวิโนเปรตจำพวกเดียวนี้ ถ้าญาติคอุทิศส่วนบุญได้อนุโมทนาแล้วก็ได้พ้นทุกข์ แลปรทัตตูปชีวิโนเปรต ซึ่งเปนญาติพระยาพิมพิสารนั้น ครั้งหนึ่งเข้าไปถามสมเด็จพระพุทธกักกุสนธพระโกนาคมพระกัสสป ว่าข้าพเจ้าเปรตทั้งปวงนี้ เมื่อไรจะพ้นจากทุกข์ สมเด็จพระพุทธเจ้าทั้ง ๓ พระองค์นั้นตรัสว่าท่านยังมิได้พ้นทุกข์ก่อน ต่อเมื่อใดญาติของท่านได้เกิดเปนพระยาพิมพิสารในสาสนาพระมหาสมณโคดมเจ้านั้น ท่านจึงจะพ้นทุกข์ เนื้อความซึ่งว่าสรรพสัตร์ทั้งปวงเกิดมาว่าเปนญาติกัน แลเมื่อครั้งสาสนาสมเด็จพระพุทธเจ้า ได้ตรัสทั้ง ๓ พระองค์ ท้าวพระยาเศรฐีคหบดีมนุษย์ครั้งนั้น ก็ได้ทำบุญให้ทานตรวจน้ำอุทิศไปให้แก่ญาติ ปรทัตตูปชีวิโนเปรตนี้หาเปนญาติกับคนในสาสนาพระเจ้าทั้ง ๓ พระองค์ไม่ฤๅ จึงมิได้อนุโมทนาส่วนบุญได้พ้นทุกข์ จึงทนทุกขเวทนาทรมานคอยท่าพระยาพิมพิสารอยู่ถึง ๓ ชั่วพุทธันดรนั้นด้วยเหตุอันใด อนึ่งสัตว์ทั้งปวงซึ่งไปเกิดเปนปรทัตตูปชีวิโนเปรตจำพวกนี้ เปนที่ได้รับส่วนกุศลแต่บรรดาญาติมากมายนัก เว้นไว้แต่นิยตมิจฉาทิฐิมิได้รักษาคุณพระศรีรัตนไตรย ฝ่ายสัมมาทิฐิก็ย่อมจะทำบุญให้ทานตรวจน้ำพรรณาบุญถึงกันก็จะได้ส่วนกุศลเนืองๆ ทุกวันทุกคืนหาเว้นไม่ ก็จะได้พ้นทุกข์โดยเร็วพลัน เหตุว่าเปรตจำพวกนี้จะหาญาติมิได้ ประการหนึ่งอายุสัตว์ในนรกใหญ่ ๘ ขุมกับทั้งบริวารซึ่งญาติอุทิศกุศลไม่ถึงนั้น กรรมย่อมกำหนดอายุผ่อนกันตามโทษหนักโทษเบา เว้นไว้แต่นิยตมิจฉาทิฐิฝ่ายเดียวหากำหนดอายุไม่ แลปรทัตตูปชีวิโนเปรตเปนเศษบาปจากนรกแล้ว ญาติอุทิศส่วนบุญก็ได้ถึง เหตุอย่างไรจึงมือายุยืนมากกว่าสัตวในมหาอเวจีอิกเล่า แลซึ่งบาฬีว่าเปรตเหล่านี้ มิได้รับกุศลซึ่งญาติอุทิศให้ได้พ้นทุกข์ ก็เมื่อทนทุกข์เวทนาอยู่ฉนี้จะมีผิดอยู่กับพระบาฬีฤๅ อนึ่งสัตว์อันตกอยู่ในมหาอเวจีนรก อายุยืนกลัปหนึ่งนั้นจะว่ากลัปแผ่นดินฤๅๆ ว่าอันตรากลัป ประการหนึ่งเมื่อสิ้นสาสนาสมเด็จพระพุทธเจ้าของเราแล้ว พระปัจเจกโพธิเจ้าแลพระยาจักรพรรดิเกิดครั้งนั้นฤๅหามิได้ อนึ่งเทวบุตรมีพระอินทร์เปนต้น ถ้าจุติแล้วผู้อื่นซึ่งขึ้นไปบังเกิดเปนพระอินทร์ เปนเทรบุตรภายหลังนั้น ได้วิมานบริวารขององค์ก่อนเปนมรฎกกันฤๅ ๆ ได้วิมานบริวารเปนส่วนบุญของตัวเปนประการใด ฝ่ายบริวารทั้งปวงนั้นเจ้าวิมานจุติแล้ว บริวารทั้งปวงนั้นจุติตามเจ้าวิมานไปทั้งสิ้นฤๅ ๆ เหลืออยู่เปนมรฎกสืบต่อไป เหมือนมนุษย์ฉนั้นฤๅประการใด ให้สมเด็จพระสังฆราชพระราชาคณะทั้งปวงคัดอรรถกถาบาฬีแปลเปนเนื้อความถวายพระพรเข้ามาให้แจ้ง

แก้พระราชปุจฉาที่ ๒

๏ อาตมภาพ สมเด็จพระสังฆราช พระพนรัตน พระพิมลธรรม พระธรรมโคดม พระพุทธโฆษา พระพุทธาจารย์ พระธรรมเจดีย์ พระเทพกระวี พระญาณสมโพธิ พระโพธิวงศ์ พระธรรมไตรโลก พระพรหมมุนี พระเทพมุนี พระอุบาฬี พระเทพโมลี พระปลัดวัดบางว้า ๑๖ รูป ขอถวายพระพรว่า

แก้ข้อ ๑

ด้วยมีพระราชปุจฉาว่า สรรพสัตว์เกิดท่องเที่ยวมาในวัฏสงสาร จะมิได้เปนญาติกันนั้นหามิได้ แลญาติทั้งหลายกระทำกุศลอุทิศส่วนบุญไปแก่ญาติทั้งปวง อันกระทำกาลกิริยาตายไปสู่ปรโลก แลผลทานนั้นก็สำเร็จประโยชน์แก่บุทคลอันไปสู่ปรโลก บางจำพวกก็ได้บางจำพวกก็ไม่ได้ จะได้ก็แต่ปรทัตตูปชีวิโนเปรตจำพวกเดียวได้รับอนุโมทนา

เนื้อความนี้ก็สมด้วยชาณุสโสนีสูตรแล้ว แลในติโรกุฑสูตรว่าเปรตหมู่นั้นตั้งใจ คอยท่าพระเจ้าพิมพิสารมาช้านานสิ้นสามพุทธันดรจนถึงสาสนาพระเจ้าแห่งเรา นายเสมียนซึ่งได้จำแนกแจกทานครั้งสาสนาพระปุสสะสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้มาบังเกิดครั้งนี้ ทรงพระนามชื่อว่าพระยาพิมพิสาร เสวยสมบัติในเมืองราชคฤห์ ครั้นพระเจ้าได้ตรัสแล้ว เสด็จไปโปรดพระยาพิมพิสารลุถึงมรรคผลกับพราหมณ์คหบดี ๑๑ หมื่น ครั้นเพลาเช้าวันหนึ่ง พระยาพิมพิสารนิมนต์พระพุทธเจ้ากับทั้งพระภิกษุสงฆ์ไปฉันในพระราชวัง ครั้นถวายทักขิณาทานแล้ว ให้ลืมพระสติมิได้อุทิศส่วนบุญแก่หมู่เปรตอันเปนญาติ เหตุว่ากรรมของเปรตนั้นยังกำบังอยู่ ครั้นเพลากลางคืนวันนั้นหมู่เปรตจึงมาสำแดงซึ่งวิการรูปต่างๆ แลเสียงอันพิลิกพึงกลัวให้ปรากฎแก่พระยาพิมพิสาร เพลาเช้าพระยาพิมพิสารจึงทูลถามสมเด็จพระพุทธเจ้า ๆ จึงตรัสบอกเหตุทั้งปวง ซึ่งหมู่เปรตอันเปนญาติมาคอยอนุโมทนานั้น ครั้นพระยาพิมพิสารแจ้งแล้ว จึงถวายมหาทานในวันเปนคำรบสอง แลหมู่เปรตเหล่านั้นไปคอยแทบปราสาทพระราชเรือนหลวง เพื่อจะอนุโมทนาส่วนบุญ ครั้นสมเด็จพระมหากระษัตริย์ถวายทักขิณาทานอุทิศส่วนบุญว่า “อิทํ เม ญาตีนํ โหตุ” อันว่าผลทานแห่งข้านี้จงได้แก่หมู่ญาติทั้งปวง เมื่อพระเจ้าพิมพิสารอุทิศส่วนบุญ หมู่เปรตทั้งปวงก็ได้รับอนุโมทนาส่วนบุญ ก็พ้นจากเปรต ได้บริโภคทิพโภชนาหารในขณะนั้น

อนึ่งข้อพระราชปุจฉาว่าสรรพสัตว์ทั้งปวงว่าเกิดมาเปนญาติกันทั้งสิ้น เมื่อครั้งสาสนาสมเด็จพระพุทธเจ้าทั้ง ๓ พระองค์นั้น เศรษฐีคหบดีมนุษย์ทั้งปวง ก็ทำบุญให้ทานตรวจน้ำอุทิศไปให้แก่ญาติ เปรตเหล่านี้หาเป็นญาติกับคนในพระสาสนาพระเจ้าทั้ง ๓ พระองค์ไม่ฤๅ จึงมิได้อนุโมทนาส่วนบุญต้องทนทุกขเวทนาทรมานอยู่ถึง ๓ พุทธันดร ซึ่งบาฬีว่าสัตวเกิดมาเปนญาติกัน จะมิเถียงกันกับเนื้อความเปรตญาติพระยาพิมพิสารนั้นฤๅ ข้อนี้อาตมาภาพได้พบพระบาฬีว่า “กมฺมปจฺจยา อตฺตนา กตสส อนฺนปานปฏิเสธนาทิเภทสฺส ฯลฯ สริตุํ น เทติ” อธิบายพระบาฬีว่าหมู่ญาติมิได้รฦกซึ่งจะอุทิศส่วนบุญแก่หมู่เปรตอันเปนญาติ บางทีถึงรฦกได้แล้วอุทิศส่วนบุญไป ฝ่ายข้างเปรตนั้นมิได้มาอนุโมทนา เปนเหตุด้วยกำลังอกุศลกรรมหมู่เปรตกระทำนั้นเอง แลหมู่เปรตจะพ้นจากทุกข์นั้นด้วยเหตุ ๓ ประการ คือ ญาติได้บำเพ็ญกุศลตรวจน้ำอุทิศไปให้หนึ่ง แลหมู่เปรตมาคอยอนุโมทนาส่วนบุญประการหนึ่ง แลปฏิคาหกเปนผู้สมควรแก่ทักขิณาทานประการหนึ่ง ถ้าพร้อมด้วยเหตุ ๓ ประการดังนี้ ผลทานจึงสำเร็จแก่หมู่เปรต แลคนครั้งสาสนาพระพุทธเจ้าทั้ง ๓ พระองค์นั้น ถึงจะอุทิศส่วนบุญให้แก่เปรตหมู่นั้นก็ดี เหตุว่าอกุศลกรรมนั้นยังมากอยู่ จะมาอนุโมทนามิได้จึงมิได้พ้นจากทุกข์ อนึ่งพระเจ้าทั้ง ๓ พระองค์ รู้ด้วยพระสรรพัญญุตญาณ เห็นว่าเปรตเหล่านี้จะพ้นทุกข์ด้วยผลทานแห่งพระเจ้าพิมพิสารในสาสนาพระเจ้าแห่งเรา แลหมู่เปรตเหล่านี้จึงได้พ้นจากทุกข์

แก้ข้อ ๒

อนึ่งข้อพระราชปุจฉาว่าปรทัตตูปชีวิโนเปรตเปนเศษบาปจากนรกแล้ว เหตุไรจึงมีอายุยืนกว่าสัตวในอเวจีนั้น ข้อนี้เปนโทษด้วยเบียดเบียฬของท่านอุทิศไว้แก่สงฆ์ประมาณเก้าหมื่น แลของอันท่านอุทิศถวายแก่พระเจ้า แลโทษอันเผาโรงทานเปนมหันตโทษใหญ่หลวง ตายแล้วได้ไปตกนรกขุมเล็กขุมน้อย แต่กลัปแผ่นดินครั้งสาสนาพระปุสสะสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นมาได้ ๙๓ กลัป จึงถึงภัทรกลัปอันนี้ ครั้นพ้นนรกแล้วจึงได้มาบังเกิดเปนเปรต มีอายุยืน ๓ พุทธันดร

แก้ข้อ ๓

อนึ่งพระราชปุจฉาว่าสัตวอเวจีนรกนั้น มีอายุยืนได้กลัปหนึ่งจะว่ากลัปแผ่นดินฤๅ ๆ อันตรากลัป ข้อนี้อาตมาภาพพบพระบาฬีว่า “อฏฺเม มหาอเวจีนิรเย เอโก อนฺตรากปฺโป อายุปฺปมาณํ ตตฺถ อนฺตรากปฺโป นาม มนุสฺสานํ ฯลฯ อนฺตรากปฺโปนาม” สัตวอันตกอยู่ในมหาอเวจีนรกนั้น อายุยืนนานได้อันตรากลัปหนึ่ง คือนับอายุมนุษย์ตั้งแต่ ๑๐ ปีขึ้นไปถึง ๑๐๐ ปี ๆ ทวีขึ้นปีหนึ่ง เจริญขึ้นไปถึงอสงไขย ลด ๑๐๐ ปีถอยปีหนึ่งลงมาจนคงอยู่ ๑๐ ปี ดังนี้ชื่อว่าอันตรากลัปหนึ่ง

แก้ข้อ ๔

ข้อซึ่งพระราชปุจฉาว่า เมื่อสิ้นสาสนาพระเจ้าแห่งเราแล้วพระปัจเจกโพธิแลพระยาจักรพรรดิมีครั้งนั้นฤๅหามิได้ อาตมาภาพทั้งปวงเห็นพระบาฬีในคัมภีร์ต่างๆ ว่าเมื่อว่างสาสนานั้นอายุสัตวน้อยต่ำกว่า ๑๐๐ ปีลงไปจน ๑๐ ปีนั้น พระปัจเจกโพธิ พระยาจักรพรรดิได้บังเกิด ถ้าอายุสัตวตั้ง ๑๐๐ ปี ขึ้นไปตราบเท่าถึงอสงไขยนั้น พระปัจเจกโพธิ พระยาจักรพรรดิจึงบังเกิด

แก้ข้อ ๕

ข้อซึ่งว่าเทวบุตรทั้งปวงมีพระอินทร์เปนต้น ถ้าจุติแล้วผู้อื่นซึ่งขึ้นไปบังเกิด เปนพระอินทร์เปนเทวบุตรภายหลังนั้น ได้วิมานกับบริวารของพระอินทร์องค์ก่อนเปนมรฎกกันฤๅ ๆ วิมานบริวารเปนส่วนบุญของตัวต่างหาก ฝ่ายบริวารทั้งปวงนั้นเจ้าวิมานจุติแล้ว บริวารทั้งปวงนั้นจุติตามเจ้าวิมานไปทั้งสิ้นฤๅ ๆ เหลืออยู่ได้เปนมรฎกเหมือนมนุษย์นี้ อาตมาภาพทั้งปวงพบพระบาฬีในคัมภีร์ต่างๆ ว่าเทวบุตรองค์ใดองค์หนึ่งมีพระอินทร์เปนอาทิอันมีทิพวิมานแลบริวารเปนอันมาก ครั้นจุติแล้ววิมานแลบริวารนั้นยังเหลืออยู่ เทวบุตรมาเกิดใหม่มีบุญญาภิสังขารควรจะได้ที่ทิพวิมานบริวารนั้น ก็ได้มรฎกของเทวบุตรองค์ก่อน แลบริวารนั้นจุติไปบังเกิดขึ้นใหม่บ้าง ลางองค์ก็ได้ทิพวิมานแลบริวารด้วยบุญแห่งตน หาได้สมบัติขององค์อื่นไม่ ถ้าเปนอากาศวิมานมักสูญไปเปนอันมาก ลางองค์จุติไปแล้ว วิมานแลบริวารทั้งปวงก็จุติสูญไปก็มีเหตุว่าสมบัตินั้นหาควรแก่เทวบุตรองค์อื่นไม่ อาตมาภาพได้พบพระบาฬีแต่เท่านี้ ขอถวายพระพร ๚

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ