๙
เพียงเท่าที่จันทา โนนดินแดง ได้ผ่านชีวิตในเมืองสวรรค์มาในระยะเวลาไม่กี่ปี มันก็ทำให้เขางุนงงและมีความคิดสับสนวุ่นวายไม่น้อยแล้ว แม้เขาจะยังมีความปฏิพัทธ์อันดูดดื่ม และปรารถนาควานหาชีวิตอันบรมสุขภายในเมืองสวรรค์นี้ เมื่อเขาได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ต่อไปก็ดี เขาไม่แน่ใจว่าชีวิตดิบ ๆ สุก ๆ ของเด็กวัด และเล่ห์เหลี่ยมกลโกงต่าง ๆ ที่เขาได้เรียนรู้มาจากเด็กวัดรุ่นเก่าเหล่าแก่นแก้วเช่นจากเจ้าแตนเป็นต้นนั้น จะเป็นสิ่งที่เลวร้ายไปหมด และควรจะละทิ้งเสียทั้งหมด หรือว่าควรจะถนอมมันไว้บ้าง เพราะมันเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการดำเนินชีวิตในเมืองสวรรค์ ทั้งนี้โดยอาศัยเหตุผลที่ว่าคนอื่น ๆ เขาก็ใช้กัน เขาลังเลใจว่าเขาควรจะพยายามจดจำแบบการครองชีวิตในบ้านท่านผู้ดีไว้ทั้งหมด และละทิ้งแบบแผนรวมทั้งความรู้สึกนึกคิดดั้งเดิมที่เขาได้มาจากชีวิตชนบทเสียหรือไม่ เขายังลังเลใจอยู่ก็เพราะว่า มันมีบางสิ่งบางอย่าง ที่ความคิดอันต่ำต้อยแบบชาวชนบทของเขายังโต้แย้งอยู่ ทั้งยังมีบางสิ่งบางอย่างที่เขาเห็นว่าแตกต่างไป จากที่เขาได้พบมาจากครอบครัวของนิทัศน์ ซึ่งเขารู้สึกเป็นที่จับใจยิ่งกว่า
ความฉงนสนเท่ห์ได้บังเกิดแก่เขา เมื่อเขาได้พบว่าความประพฤติบางอย่างของพวกผู้ดีนั้นเป็นของสงวนไว้เฉพาะพวกผู้ดีเท่านั้น และหากว่าพวกบ่าวจำเอามาประพฤติตามแล้ว ก็จะกลายเป็นความชั่วร้ายไป เช่นการนอนตื่นสาย การไม่ทำงานหรือการใช้เวลาอย่างคนเกียจคร้านเป็นต้นนั้น แม้ว่าจะดูประหนึ่งเป็นเครื่องประดับบารมีของท่านผู้ดีก็ตาม แต่ย่อมจะกลายเป็นความจัญไรถ้าพวกบ่าวไปประพฤติเข้า บ่าวจะประพฤติเช่นนั้นได้ก็ต่อเมื่อได้เปลี่ยนฐานะไปเป็นพวกผู้ดีแล้ว ดังเช่นในกรณีของคุณอบเชยและคุณบานชื่น บ่าวทั้งหลายมักจะฝันอย่างลม ๆ แล้ง ๆ ถึงการนอนตื่นสายและการไม่ต้องทำการงานอะไร ดังที่เขาได้พบเห็นแบบอย่างจากมูลนายของเขา บ่าวผู้หญิงที่มีรูปร่างหน้าตาเข้าที ก็มักจะฝันอย่างมีมูลแห่งความหวังอยู่บ้าง ที่จะไปสู่ความสุขสบายเช่นนั้นในวิถีทางเดียวกับที่คุณอบเชยและคุณบานชื่นได้ผ่านไปแล้ว ความฝันเช่นนี้ไม่สู้กลมกลืนกับความคิดของเด็กชายผู้มาจากชนบท เพราะเขาเคยชินมากับการตื่นแต่เช้าตรู่หรือตื่นแต่ดึก เขาสงสัยอยู่ว่าการนอนตื่นสายทุกวัน และการไม่ต้องทำการงานอะไรเลยจะเป็นความบรมสุขแน่หรือ ข้อที่ทำให้เขาฉงนสนเท่ห์และหนักใจอยู่บ้างในการศึกษาแบบแผนชีวิตของพวกผู้ดีก็คือ ความประพฤติอย่างเดียวกัน แต่เมื่อผู้ประพฤติต่างชั้นกันก็ถูกตีความหมายไปคนละอย่าง เขาเลียนแบบแผนของพวกผู้ดีได้ แต่เขายังใช้มันไม่ได้จนกว่าเขาจะได้เป็นผู้ดีเสียก่อน นี่เป็นข้อที่เขาพอจะสรุปได้จากความเป็นจริงที่เขาได้สังเกตเห็นมาในระยะเวลานานพอควร
มีบางสิ่งบางอย่างที่บรรดาบุคคลในบ้านของท่านผู้ดีได้มองเห็นไปในทางตรงกันข้ามกับที่ครอบครัวของนิทัศน์ได้มองเห็น ในฐานะที่เขาเป็นเด็กวัดและเด็กบ้านนอกที่มาจากภาคที่ขึ้นชื่อในความล้าหลังและความระกำลำบากของการครองชีวิต บรรดาผู้คนภายใน ‘ปราสาท’ นั้น ได้มองดูความเป็นอยู่ในอดีตของเขา ที่ต้องผจญกับความลำบากยากแค้นแสนสาหัสอยู่ไม่ขาด ในฐานะที่เป็นความอัปลักษณ์เลวร้าย มองดูการทำงานหนักตากแดดตากลมอยู่กลางทุ่งของเขาเสมือนหนึ่งว่า เขามีสภาพไม่แตกต่างไปจากวัวควายที่ร่วมทำงานกับเขาอยู่ในทุ่งนา มองดูความไม่ประสาต่อความเจริญ ขนบธรรมเนียมอันดีของชาวนาคร และความโง่เขลาล้าหลังของเขาเสมือนว่าเป็นบาปกรรมที่ติดตัวพวกเขามาแต่กำเนิด อันไม่อาจจะปลดเปลื้องได้ในชาตินี้ และก็ได้ถือเอาความไม่ประสาล้าหลังของเขาเป็นข้อสนทนาเหยียดหยามเพื่อความบันเทิงเริงรมย์ คนเหล่านั้นได้ต้อนรับเขาด้วยอาการปึ่งชาและวางท่าเป็นนาย ได้มองเขาเหมือนก้อนกรวดก้อนดินก้อนหนึ่ง
แต่นิทัศน์และครอบครัวมิได้มองเห็นเขาเช่นนั้น คนเหล่านั้นยกย่องความสงบเสงี่ยมและความอดทนของเขา ครอบครัวที่ค่อนข้างยากจนแต่ได้ทำงานเลี้ยงชีพโดยอิสระ มิได้อาศัยใบบุญของเจ้าขุนมูลนาย ได้มองดูการตรากตรำทำงานเลี้ยงชีวิตด้วยน้ำพักน้ำแรงของเขาเอง ในท่ามกลางความเป็นอยู่อันล้าหลังและแร้นแค้น ในฐานะที่เป็นวีรกรรมอย่างหนึ่งอันควรสรรเสริญ ครอบครัวนิทัศน์ได้มองดูการต่อสู้กับความระกำลำบากของพวกเขาด้วยความเห็นอกเห็นใจอย่างซาบซึ้ง ทั้งยังเล็งเห็นคุณธรรมอันประเสริฐบางประการในหมู่พวกเขา ซึ่งหาได้ยากในหมู่ชานเมืองสวรรค์ในขณะที่พวกบ่าวในบ้านท่านผู้ดีมองไม่เห็นเลย
การมองเห็นส่วนดีงามในชีวิตอันต่ำต้อย คลุกคลีอยู่กับโคลนตมและวัวควาย ดังที่ครอบครัวของนิทัศน์ได้มองเห็น และแสดงให้เขาทราบด้วยการต้อนรับอันอบอุ่นด้วยไมตรีจิตนั้น นับว่าเป็นของใหม่สำหรับเขา เขาเคยชินมาแต่กับการที่คนทั้งหลายได้แลดูชีวิตของพวกเขา ว่ามีแต่ความต่ำต้อยความโง่เง่าเต่าตุ่นที่ไม่อาจแก้ไขได้ และความน่าเกลียดน่าชังด้วยประการทั้งปวง และเขาก็ไม่โต้แย้งต่อการแสดงความรังเกียจเหยียดหยามใด ๆ อย่างไรก็ดี เมื่อเขาได้พบการมองดูชีวิตของเขาระหว่างพวกบ่าวในบ้านท่านผู้ดี และครอบครัวของนิทัศน์ที่มีความแตกต่างอยู่ตรงกันข้ามเช่นนี้ มันทำให้เขางุนงงอยู่ไม่น้อย มันเป็นการยากที่เขาจะบังอาจคิดไปว่า ความคิดเห็นที่แสดงออกโดยผู้คนในบ้านของท่านผู้ดี ซึ่งรอบรู้ในประเพณีอันดีงามต่าง ๆ นานา จะเป็นความคิดเห็นที่ไม่ถูกต้องไปได้
ความยุ่งยากสับสนที่บังเกิดขึ้นในความคิดของเขานั้น มันเนื่องจากเหตุที่ว่า เขาได้เข้าสู่กรุงเทพพร้อมด้วยจิตใจอันเปี่ยมด้วยศรัทธาว่า ในเมืองหลวงนี้ย่อมเป็นแหล่งแห่งความเจริญและความดีงามนานาประการ ที่เด็กบ้านนอกผู้มีแต่ความต่ำต้อยล้าหลังเช่นเขา ควรจะขวนขวายเรียนรู้และรับเอาไว้เป็นอาภรณ์ประดับตัว และในขณะเดียวกันก็จะได้ลอกคราบความเป็นบ้านนอกของเขาทิ้งไป ครั้นเขาได้มาพบเห็นความประพฤติบางอย่างของผู้คนที่เขาออกจะรู้สึกว่าไม่สู้กลมกลืนกับความถูกต้องนัก เขาก็ยังไม่อาจไว้วางใจความคิดเห็นอันต่ำต้อยของเขา เฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นความประพฤติในหมู่ผู้คนภายในบ้านของท่านผู้ดีที่เขาได้รับคำกำชับสั่งสอนให้ถือเอาเป็นแบบอย่าง
ตามความเป็นจริงแล้ว ดูเหมือนเขาจะมิได้สำนึกแม้แต่น้อยว่า เขาได้พาร่างผิวดำกรำแดดที่มีความสะอาดและความงามบางอย่างอยู่ภายใน เข้าปะปนคลุกคลีอยู่กับเหล่าชนผู้มีผิวพรรณผุดผ่องมีกิริยาพาทีแช่มช้อย แต่ที่ว่าบางส่วนของคนเหล่านี้มีก้อนหินโสโครกฝังอยู่ในดวงใจ เขาไม่ทราบว่าในขณะที่แบบแผนการครองชีวิต และสภาพแวดล้อมชีวิตในชนบทของเขา ได้ก่อเกิดความงามอันประเสริฐบางอย่างขึ้นในดวงใจของเขา และที่เขามิได้เคยคำนึงถึงคุณค่าของมันนั้น แบบแผนการครองชีวิตและสภาพแวดล้อมชีวิตของชาวนาครผู้เจริญด้วยอารยธรรม ยากที่จะก่อเกิดความงามอันประเสริฐที่พวกเขามี นอกจากนั้นแล้วมันยังก่อเกิดความโสโครก และความอัปลักษณ์บางประการที่เขานึกไปไม่ถึง
นักเดินทางน้อยจากตำบลดงขะยูงยังไม่ทราบความจริงเหล่านี้ที่ผูกพันอยู่กับชุมนุมชน เขามัวแต่ไปยึดมั่นตามที่พวกเขาถือตาม ๆ กันมาว่า สิ่งที่มีอยู่ในกรุงเทพล้วนแต่เป็นสิ่งที่สำแดงถึงความยิ่งใหญ่ ความดีงามไปทั้งนั้น และสิ่งที่มีอยู่ในหมู่บ้านชนบทของเขา ล้วนแต่เป็นความต่ำต้อยล้าหลังน่าชังไปทั้งนั้น ความยึดมั่นของเขาข้อนี้หาตรงกับความเป็นจริงไม่ โดยที่เขายังไม่รู้จักมัน ในบางครั้งบางคราวเขาจึงเกิดความงุนงงเมื่อเขาได้พบบางสิ่งบางอย่างในความประพฤติของชาวเมืองสวรรค์ ที่ไม่สู้กลมกลืนกับมโนธรรมของเขา แต่เขาก็ยังคงเชื่อถือว่า ในท่ามกลางนครหลวงนี้แหละคือที่ชุมนุมของความยิ่งใหญ่และความดีงามทั้งหลายที่เขาควรจะรวบรวมนำมาบรรจุเข้าไว้ในตัวของเขา และลอกคราบบ้านนอกของเขาทิ้งไป เขาบอกแก่ตัวเองว่าเขาจะต้องค่อยดำเนินการศึกษารวบรวม พร้อมด้วยความสำนึก ‘เจียมกะลาหัว’ อยู่เสมอ นักเดินทางน้อยได้ออกเดินทางมาพร้อมด้วยศรัทธาอันมั่นคงต่อความดีงามอันอุดมของเมืองสวรรค์ และได้พบเห็นความประพฤติของผู้คนและประเพณีอันดีงามภายในปราสาทของท่านผู้ดี ความงุนงงได้เกิดแก่เขาเป็นครั้งคราว แต่เขาก็ยังแบกศรัทธาอันเดิมเดินทางต่อไป เวลาสามปีที่ชีวิตของเขาได้เข้าไปหมุนคว้างอยู่ภายในรั้วเหล็กสีชมพูของโรงเรียนอันมีศักดิ์นั้น ได้นำเขาไปสู่การเรียนรู้ชีวิตที่แปลกใหม่หลายอย่าง จะเป็นความรู้ที่ผิดหรือถูกก็ตาม แต่เขาก็ได้เรียนมัน
เมื่อความตื่นเต้นต่อความสูงศักดิ์ และสิ่งแวดล้อมที่แปลกใหม่ภายในโรงเรียนเทเวศร์รังสฤษดิ์ค่อยสงบระงับลง และเขาได้ใช้ชีวิตอยู่ในโรงเรียนใหม่มาในระยะเวลายาวพอควร เขาก็มีโอกาสได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบตัวเขา และที่เกี่ยวข้องกับโรงเรียนใหม่ของเขากว้างขวางออกไป ความรู้อันแรกที่นำทั้งความรื่นรมย์ และความประหวั่นพรั่นใจมาเพิ่มเติมให้แก่เขา ก็คือความรู้เกี่ยวกับประวัติของโรงเรียน เขาได้ทราบว่าโรงเรียนที่เขาเข้ามาเรียนอยู่นี้ ได้คลี่คลายออกมาจากโรงเรียนต้นกำเนิดซึ่งตั้งขึ้นเพื่อความประสงค์ที่จะให้การศึกษาแก่กุลบุตรผู้มาจากตระกูลขุนนางและเจ้านายโดยเฉพาะ แม้ว่าในปัจจุบันโรงเรียนเทเวศร์รังสฤษดิ์จะต้อนรับนักเรียนโดยไม่จำกัดว่าจะต้องเป็นเด็กมาจากเหล่ากอของผู้ดีมีตระกูลก็ตาม แต่อัตราค่าเล่าเรียนอันสูงเป็นพิเศษของโรงเรียนนี้ ก็ได้ทำหน้าที่เป็นข้อจำกัดกลั่นกรองอยู่ในตัว และเนื่องด้วยเป็นโรงเรียนที่สืบสายมาจากโรงเรียนของเหล่ากุลบุตรในตระกูลผู้ดี โดยเฉพาะบรรดานักเรียนที่เป็นบุตรของเจ้านายและขุนนางชั้นต่างๆ จึงเป็นส่วนที่เด่นของโรงเรียน กุลบุตรเหล่านี้ซึ่งเป็นนักเรียนเก่าและรู้ประวัติของโรงเรียนมาแล้ว ย่อมพูดถึงโรงเรียนเทเวศร์รังสฤษดิ์ว่า ‘โรงเรียนของฉัน’ ได้อย่างฉาดฉาน ในขณะที่เด็กเช่นจันทาไม่อาจพูดว่า ‘โรงเรียนของฉัน’ ได้อย่างเต็มปากเต็มคำ จนกระทั่งได้ผ่านการเรียนปีแรกไปแล้ว จันทาก็ยังรู้สึกตะขิดตะขวงที่จะพูดคำว่า ‘โรงเรียนของฉัน’ ในใจของจันทายังรู้สึกอยู่ไม่วายว่า เขาได้มาเรียนอยู่ในโรงเรียนของท่าน
บรรดาครูของโรงเรียนทั้งรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ ต่างถือว่าโรงเรียนเทเวศร์รังสฤษดิ์ เป็นโรงเรียนของกุลบุตรลูกผู้ดี การถือเช่นนั้นก็อาศัยข้อเท็จจริงตามประวัติของโรงเรียนประการหนึ่ง และอีกประการหนึ่งมันได้เพิ่มความภูมิฐานให้แก่บรรดาผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับโรงเรียน จะเป็นครูหรือเป็นเจ้าหน้าที่แผนกใดๆ ของโรงเรียนก็ตาม แม้แต่ภารโรงก็พร้อมที่จะสนับสนุนและพรรณนาว่า โรงเรียนเทเวศร์รังสฤษดิ์เป็นโรงเรียนผู้ดีอย่างไร ตำแหน่งภารโรงนั้นโดยทั่วไปเป็นตำแหน่งที่ดูต่ำต้อยนักก็จริง แต่เมื่อกล่าวให้เต็มว่า “ภารโรงของโรงเรียนเทเวศร์รังสฤษดิ์” แล้ว เขาจะรู้สึกว่าคำนั้นไม่มีความต่ำต้อยเลย รัศมีของนามโรงเรียนเทเวศร์รังสฤษดิ์ได้บดบังความต่ำต้อยไว้สิ้น
พวกครูรุ่นเก่าซึ่งมีความซาบซึ้งใจในประวัติอันน่าภูมิใจยิ่งของโรงเรียน และตัวท่านเองก็เป็นขุนนาง ทั้งได้ผ่านการสอนนักเรียนที่เป็นลูกเจ้านาย และลูกขุนนางผู้ใหญ่มาหลายต่อหลายรุ่นแล้ว ก็มักจะเน้นถึงความเป็นผู้ดีของโรงเรียนเป็นพิเศษ ข้อเน้นอันนี้ได้ก่อประโยชน์บางประการกล่าวคือ เพื่อจะเชิดชูชื่อเสียงของโรงเรียนในแง่นี้ ทางฝ่ายครูได้ใส่ใจอบรมกวดขันจรรยามารยาทและศีลธรรมของนักเรียนให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่นิยมกันว่าเป็นสมบัติของผู้ดี นี้เป็นส่วนที่เด็กชายจันทาต้อนรับด้วยความชื่นชมโทมนัสเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่าเขามาจากโรงเรียนที่นับกันว่าเป็นโรงเรียนของเด็กชั้นต่ำ และเขาคิดว่าเขาแทบจะไม่มีสมบัติผู้ดีติดตัวมาเลย ชั่วโมงที่เขาสนใจมากที่สุด คือชั่วโมงที่มีการประชุมนักเรียนทั้งตึกในรอบสัปดาห์ และมีครูบาอาจารย์ชั้นผู้ใหญ่มาเทศนาอบรมนักเรียนในเรื่องจรรยามารยาทและศีลธรรม เขาได้ฟังคำสอนด้วยความตื่นใจ เพราะว่าที่โรงเรียนเล็กในวัดของเขาไม่ได้มีการเทศนาอบรมกันอย่างกวดขันจริงจังเช่นนี้ อย่างไรก็ดีนักเรียนส่วนมากมิได้ต้อนรับชั่วโมงเทศนาอบรมนี้ ด้วยความกระตือรือร้นสนใจเช่นเดียวกับจันทา พวกนักเรียนรุ่นเก่าออกจะรู้สึกว่าเป็นการเทศนาที่ซ้ำซากเบื่อหน่าย โดยเฉพาะพวกนักเรียนลูกผู้ดีซึ่งถือตัวว่าได้รับการฝึกฝนในเรื่องเช่นนี้มาอย่างเจนจบแล้ว ส่วนนักเรียนรุ่นเล็กหน่อยก็มักจะนึกถึงการกลับบ้านหรือลงไปวิ่งเล่นเตะลูกหนังในสนาม เพราะฉะนั้นพวกเด็กเล็กก็มักจะรอคอยความบันเทิงใจของเขาด้วยการยืนหลับสัปหงกในระหว่างฟังการเทศนาอันเป็นชั่วโมงแห่งความตื่นใจของเด็กชายชาวบ้านนอก
มีอยู่เป็นครั้งคราวเหมือนกันที่เหล่าดรุณทั้งชุมนุมได้ต้อนรับชั่วโมงเทศนา ด้วยความรู้สึกกระปรี้กระเปร่า เป็นต้นว่าในโอกาสที่เขาทราบว่า จะมีการเทศนาพิเศษเกี่ยวกับการแข่งขันฟุตบอลกับโรงเรียนต่างๆ เมื่อฤดูกาลแข่งขันได้เวียนมาถึง ในโอกาสเช่นนี้พวกนักเรียนทั้งหมดมักจะเต็มใจสดับตรับฟังคำสั่งสอน เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับเกียรติยศชื่อเสียงของโรงเรียน ที่พวกเขาทุกคนจะต้องร่วมกันรักษาเชิดชู ในฤดูกาลเช่นนี้ความตื่นใจของจันทาได้เพิ่มเป็นทวีคูณ และในขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกเวทนาตัวเองและเพื่อนนักเรียนเล็ก ๆ ผู้ยากจนของเขา เมื่อหวนนึกถึงความหลังครั้งยังอยู่ที่โรงเรียนเก่า ในยามก่อนนั้นเขาไม่มีโอกาสที่จะพูดถึงการแข่งขันฟุตบอลในนามของโรงเรียนเลย เพราะที่โรงเรียนเก่าไม่มีสนามฟุตบอล และไม่เคยมีทีมฟุตบอลของโรงเรียนที่จะแข่งขันกับใคร ข้อที่น่าเศร้ายิ่งไปกว่านั้นก็คือ ไม่เคยมีเกียรติยศชื่อเสียงอะไรที่เกี่ยวกับโรงเรียน ที่ตัวเขาและพวกนักเรียนเล็ก ๆ ของเขาจะได้มีส่วนช่วยกันรักษาเชิดชู โรงเรียนของเขาไม่เคยเป็นที่รู้จักแก่ใคร นอกจากพวกชาววัดและชาวบ้านในแถบถิ่นนั้น โรงเรียนของเขาไม่เคยมีความสำคัญอะไรกับเขาเลย ทั้งครูและนักเรียนไม่เคยพูดกันถึงเรื่องชื่อเสียงของโรงเรียน
ในโอกาสพิเศษเช่นนี้ ท่านอาจารย์ผู้ใหญ่ที่นักเรียนเรียกกันว่า ‘เจ้าคุณ’ ในฐานที่ท่านเป็นขุนนางชั้นพระยา มักจะเป็นผู้เทศนา ‘เจ้าคุณ’ จะบรรยายย้ำถึงความรักหมู่รักคณะ ความรักเกียรติยศชื่อเสียงของโรงเรียน แล้วท่านก็จะเน้นถึงความเป็นผู้ดีมีศักดิ์และเกียรติคุณนานาประการของโรงเรียนที่สร้างสมมาแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าคำบรรยายทำนองนี้นักเรียนรุ่นเก่าจะได้เคยฟังกันมาแล้ว แต่มันก็ยังคงเป็นเรื่องที่จับใจอยู่ ‘เจ้าคุณ’ จะบรรยายไม่แต่มารยาทของนักกีฬา หากยังบรรยายถึงมารยาทของผู้ดูกีฬา คือผู้ที่เป็นฝ่ายสนับสนุนนักกีฬาของตนด้วย ท่านให้คำตักเตือนทั้งนักเรียนที่เล่นกีฬาในนามของโรงเรียน และนักเรียนที่จะไปดูและสนับสนุนทีมของตน จันทาตื่นใจและจับใจคำเทศนาของท่าน ท่านบรรยายไขความถึงความรักหมู่รักคณะ และความรักเกียรติยศชื่อเสียงของโรงเรียน ท่านกล่าวว่า ความรักที่ถูกต้องนั้นไม่ได้หมายว่า นักกีฬาของโรงเรียนจะต้องมุ่งชิงชัยมาให้ได้ไม่ว่าด้วยประการใดๆ แต่หมายถึงว่า นักกีฬาของโรงเรียนจะต้องมอบตนไว้ในระเบียบวินัยของการฝึกซ้อมอย่างเคร่งครัด และเมื่อถึงเวลาไปแข่งขันก็จะพยายามเล่นอย่างดีที่สุดตามระเบียบของการแข่งขัน และหากจะปราชัยก็ยอมรับการปราชัยโดยชื่นตา และด้วยน้ำใจของนักกีฬา ท่านเน้นว่า “เธอจะเอาชัยชนะไปทิ้งเสียก็ได้ แต่เธอจะต้องนำเอามารยาทของนักกีฬากลับมาโรงเรียน ของเราสิ่งนี้จะถูกทอดทิ้งไม่ได้ไม่ว่าด้วยเหตุใดๆ” ไม่มีการตบมือดังสนั่นต้อนรับคำพูดของท่าน ในห้องประชุมเงียบกริบ แต่ในท่ามกลางความเงียบกริบนั้นเอง จันทาแลเห็นนักเรียนข้างหน้ายืดอกขึ้นและสูดลมหายใจลึกยาวเข้าปอด นั่นเป็นอาการที่พวกนักเรียนกระทำเพื่อสำแดงการต้อนรับคำสั่งสอน ที่เขายินยอมเชื่อฟังอย่างเคร่งครัด จันทาเองรู้สึกตัวสั่นน้อย ๆ ‘เจ้าคุณ’ ก็สังเกตเห็นการต้อนรับคำสั่งสอนของท่านในชุมนุมของเด็กเหล่านี้ จากสีหน้าและอาการยืดอกของเขา สีหน้าของท่านแช่มชื่น และในดวงตาของท่านประกายแห่งความปิติ และเสียงของท่านแช่มช้าลง เมื่อท่านกล่าวต่อไปถึงบทบาทของบรรดานักเรียน ซึ่งจะไปสนับสนุนนักกีฬาของตนว่า เขาควรจะประพฤติตนอย่างไร จึงจะเรียกได้ว่าเขาได้แสดงความรักโรงเรียนที่ถูกต้อง
คำบรรยายที่ก่อให้เกิดความตื่นใจแก่จันทาอีกตอนหนึ่งก็คือเมื่อ “เจ้าคุณ” ได้กล่าวเตือนนักกีฬาให้ยึดถือทีมเวิร์คเป็นหลักในการเล่น คือให้ถือหลักการร่วมมือกัน ไม่ใช่ต่างคนต่างเล่นเพื่อความดีเด่นของตน ท่านได้ว่าหลักทีมเวิร์คนี้นับว่าเป็นหลักสำคัญนัก ไม่ว่าการประกอบกิจใด ๆ หลักการทีมเวิร์คหรือหลักการร่วมมือกันที่ได้ไปจากสนามฟุตบอลนี้แหละ ที่ได้มีส่วนส่งเสริมให้แม่ทัพอังกฤษเวลลิงตัน สามารถชนะจักรพรรดินโปเลียนในการศึกที่วอเตอร์ลู และรัศมีของจักรพรรดินโปเลียนก็ได้ดับไปแต่กาลนั้น ได้ฟังคำบรรยายของท่านอาจารย์แล้ว จันทาก็เกิดศรัทธาในหลักการของทีมเวิร์คอย่างเต็มเปี่ยม อย่างไรก็ดีในกาลต่อมา เมื่อเขาเจริญวัยขึ้นเขาจึงจะทราบว่า แม้ว่าพวกชาวชนบทของเขาจะไม่เคยได้ยินคำว่าทีมเวิร์คกันเลยตั้งแต่เกิดมาจนกระทั่งตาย แต่แบบแผนแห่งการครองชีวิตในหมู่บ้านชนบทของเขาที่ได้สืบต่อกันมาแต่โบราณกาลนั้น มีลักษณะของทีมเวิร์คอยู่อย่างเด่นชัด แต่ในกรุงเทพเมืองสวรรค์นี้เอง การชิงดีชิงเด่นและการแก่งแย่งแข่งขันเพื่อการเอาตัวรอดของแต่ละคน กลับกลายเป็นลักษณะที่เด่นในการครองชีวิตของคนที่นี่
แม้ว่าจันทาจะมีความชื่นชมชั่วโมงของการเทศนาอบรมสักเพียงไรก็ดี แต่ก็มีบางชั่วโมงที่การเทศนาได้ก่อความประหวั่นพรั่นใจให้แก่เขา ชั่วโมงเช่นที่กล่าวนี้ มักจะมาถึงในเมื่อมีเหตุการณ์ที่อาจกระทบกระเทือนต่อชื่อเสียงของโรงเรียนอุบัติขึ้น และท่านอาจารย์ “เจ้าคุณ” เห็นจำเป็นที่จะต้องนำมากล่าวแก่ชุมนุมนักเรียน ในกรณีเช่นนี้ เมื่อกล่าวเน้นถึงเกียรติยศชื่อเสียงและความเป็นผู้ดีของโรงเรียน ท่านอาจารย์มักจะพูดถึงว่า “ไพร่” ควบคู่กับคำว่า “ผู้ดี” และพูดถึงคำว่าคน “ชั้นต่ำ” ควบคู่ไปกับคน “ชั้นสูง” คำเทศนาของท่านอาจารย์จึงเท่ากับเป็นการชี้แนะให้เห็นการแบ่งชั้นของคน ที่มีอยู่ในชุมนุมมนุษย์และในบ้านเมืองโดยที่ท่านอาจจะไม่รู้ตัวเลย แล้วท่านก็จะตักเตือนนักเรียนว่าอย่าประพฤติตัวเหมือนพวกไพร่ เมื่อกล่าวคำตักเตือนประโยคนี้ น้ำเสียงของท่านจะไม่มีวันอ่อนโยนเลย กังวานน้ำเสียงของท่านจะห้าวและดุ และมีลักษณะคาดโทษอยู่ในตัว สายตาแข็งค่อนข้างถมึงทึงของท่านอาจารย์ ที่แลกวาดไปในหมู่นักเรียนในขณะนั้น จันทารู้สึกประหนึ่งว่า ท่านอาจารย์ทราบอยู่แล้วว่ามีพวกไพร่มาปะปนอยู่ในหมู่เด็กผู้ดี และท่านต้องการจะตักเตือนเขาเหล่านั้นให้สังวรณ์และปรับปรุงความประพฤติเสียใหม่ มิฉะนั้นเขาอาจจะถูกคัดออกไปจากโรงเรียนของผู้ดีมีศักดิ์ ในขณะที่จันทารู้สึกไปในทำนองนั้น เขาก็บังเกิดความหวาดหวั่นและคอยหลบเลี่ยงสายตาอันน่าพรั่นพรึงของท่าน เขารู้อยู่เต็มอกว่าเขามิใช่เป็นคนหนึ่งในเหล่าเด็กผู้ดี เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่อาจารย์กล่าวถึงพวกไพร่ หรือพวกคนชั้นต่ำด้วยความรู้สึกชิงชังรังเกียจคนจำพวกนั้น เขาก็รู้สึกเหมือนกับว่า ท่านได้พูดกับเขาและท่านกำลังตักเตือนเขา เขาอดสะดุ้งสะเทือนใจไม่ได้ เมื่อท่านกล่าวคำตำหนิติเตียนความประพฤติของคนพวกนี้ด้วยถ้อยคำอันรุนแรง
จันทามีความเคารพเลื่อมใสในคำสั่งสอนอบรมของท่านอาจารย์ “เจ้าคุณ” เป็นอย่างยิ่ง ดูเหมือนว่ายากที่จะหาเด็กสักคนหนึ่งในที่ชุมนุมนั้น ซึ่งฟังเทศนาของท่านด้วยความเอาใจใส่ และด้วยศรัทธาเท่าเขา แม้ว่าเขามีความเคารพและพร้อมที่จะรับเอาคำสั่งสอนของท่านมาปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด อย่างที่ไม่มีเด็กลูกผู้ดีคนใดจะมีความสำนึกเท่าเขา แต่การที่ท่านได้ยกเอาความเป็นผู้ดีมีศักดิ์ของโรงเรียนมากล่าวเน้นเป็นเรื่องสำคัญอยู่เสมอนั้น ได้ก่อความหวาดกลัวขึ้นในจิตใจของเขา และเขารู้สึกเหมือนกับว่าความเป็นผู้ดีมีศักดิ์ของโรงเรียนได้คุกคามคาดโทษเขาอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าเขาตั้งใจอย่างเหลือเกิน ที่จะประพฤติตนให้สมกับเป็นนักเรียนของโรงเรียนผู้ดี แต่เขาก็ไม่ไว้ใจตัวเองว่าเขาจะเผลอเรอแสดงความประพฤติเยี่ยง “ไพร่” หรือคน “ชั้นต่ำ” ออกมาเมื่อใด เพราะว่าชีวิตของเขาเคยแต่คลุกคลีมากับบุคคลจำพวกนี้เท่านั้น
วันหนึ่ง เขาได้พบเหตุการณ์ที่ทำให้เขาตกใจมาก นับเป็นเหตุการณ์ที่เขาหวาดหวั่นว่าจะเกิดขึ้นแก่ตัวเขาสักวันหนึ่ง แต่ในวันนั้นเขาได้พบมันเกิดขึ้นแก่เพื่อนนักเรียนร่วมห้อง เขากำลังวิ่งไปตามริมสนามเพื่อไปสู่ตึกเรียน เพราะเสียงกระดิ่งเข้าห้องเรียนตอนบ่ายขาดเสียงไปแล้ว เขาต้องหยุดชะงักเมื่อวิ่งไปตามริมสนามเมื่อไปได้ทางใกล้ต้นลั่นทมห่างออกมาจากรั้วโรงเรียนเล็กน้อย เขาแลเห็นท่านอาจารย์ “เจ้าคุณ” กำลังเขย่าคอเสื้อของเซ้ง ผู้มีหน้าอันซีดขาวราวกับสีกระดาษ ซึ่งแสดงว่าเจ้าของใบหน้าอยู่ในความตกใจอย่างสุดขีด เขาได้ยิน “เจ้าคุณ” ส่งเสียงคำรามว่า “เธอทำตัวเหมือนกับเจ้าพวกไพร่สารเลวแท้ ๆ รู้ไหม ว่าผู้ดีเขาไม่ทำกันอย่างนี้ เธอเป็นลูกใคร” เสียงคำรามของท่านสะท้านเข้าไปในหัวใจของจันทา เขารู้สึกแข้งขาสั่น ขณะนั้นเขาชะงักหยุดยืนอยู่เบื้องหลัง “เจ้าคุณ” ห่างจากท่านสี่ห้าก้าว จันทาได้ยินเสียงเซ้งบอกชื่อเตี่ยของเขา ทั้งที่เซ้งกำลังตกใจอยู่เมื่อเหลือบมาเห็นจันทา เขาทำหน้าบุ้ยใบ้ให้จันทาไปเสีย แม้ว่าจันทาจะยังไม่สู้เข้าใจเหตุผลที่เซ้งต้องการให้เขาไป เขาก็ออกวิ่งต่อไป เพราะถ้าอยู่ช้าเขาอาจจะเข้าห้องเรียนไม่ทัน เขาคิดว่าบางทีเซ้งอาจจะอายและไม่พอใจที่เขามาหยุดฟังเรื่องที่อาจารย์กำลังดุด่าเขาอยู่
หลังจากจันทาเข้าไปนั่งอยู่ในห้องเรียนราวห้าหกนาทีเซ็งจึงเดินเข้าไปในห้อง สีหน้าของเขายังซีดและแววแห่งความตกใจก็ยังปรากฏอยู่ในดวงตาของเขา อาการที่เขาเดินเข้ามานั้นดูโผเผเหมือนกับคนที่เดินทางไกลมาอย่างเหน็ดเหนื่อย เขาเข้าไปรายงานครู นอกจากจันทาไม่มีใครทราบว่าเหตุใดเขาเข้าห้องเรียนล่าช้ามาก ครูฟังรายงานของเขาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็บอกให้เข้าไปนั่งที่ การเรียนดำเนินต่อไปอย่างปกติ แต่ใจของจันทาไม่อยู่กับบทเรียน ใจเขาลอยไปอยู่ที่เซ้ง เสียงคำรามของ “เจ้าคุณ” ยังก้องอยู่ในหูของเขา เขาอยากทราบเหลือเกินว่า เซ้งกระทำความผิดร้ายแรงถึงขนาดไหนหนอ จึงถูกประนามว่าทำตัวเหมือน “พวกไพร่สารเลว”
เซ้งเป็นเด็กรุ่นเก่าอีกคนหนึ่ง ที่ได้มาเป็นมิตรสนิทกับจันทา เขาเป็นคนเรียนหนังสือเก่งทำนองเดียวกับนิทัศน์ เขาเป็นคนหมกมุ่นในการเรียนยิ่งกว่านิทัศน์เสียด้วยซ้ำ เขาเป็นเด็กเงียบขรึมไม่ใคร่เล่นหัวสุงสิงกับใคร ดูเหมือนเขาจะเจียมตัวว่าเขาเป็นลูกจีนที่อยู่ในฐานะที่หาเช้ากินค่ำ เตี่ยของเขาเป็นช่างแก้นาฬิกาอยู่ที่ห้องแถวเล็ก ๆ นอกจากเขาเตี่ยและแม่ ยังมีภาระเลี้ยงลูกเล็ก ๆ อีกสามคน ตัวเขาต้องทำงานหนักมาก เสร็จจากการทำบทเรียน เขาช่วยแม่ทำงานบ้านและแลดูน้อง ทั้งยังต้องรับการฝึกฝนแก้นาฬิกาจากเตี่ยอีก เตี่ยต้องการให้เขาเรียนแก้นาฬิกา มากกว่ามาเรียนหนังสือ แต่แม่ของเขาอยากให้ลูกได้รับราชการ แม่ส่งเขาเข้าเรียนที่นี่ก็เพราะว่าบ้านของเขาอยู่ใกล้กับโรงเรียน
นักเรียนทั่ว ๆ ไปถึงแม้จะไม่สนิทกับเซ้ง แต่ส่วนมากก็ชอบเขาก็เพราะว่าเขาไม่เป็นภัยต่อใคร เขาเคยแก้นาฬิกาให้เพื่อนนักเรียนบางคน ซึ่งทำให้เขาได้รับคำสรรเสริญมาก และหลังจากนั้นเขาได้รับสมญาว่า “นายช่าง” ในเวลาว่างแทนที่จะออกไปวิ่งเล่นในสนาม เซ้งมักใช้เวลาดูหนังสือ หรือมิฉะนั้นก็อธิบายบทเรียนให้แก่นักเรียนที่อ่อน ซึ่งไปขอความช่วยเหลือจากเขา จันทานึกไปไม่ถึงว่าเด็กที่เงียบหนุ่มเรียบร้อยอย่างเซ้งจะไปทำความผิดร้ายแรงอะไรขึ้น ระหว่างที่จันทานึกถึงเรื่องเซ้งอยู่นี้ เด็กชายลูกจีนซึ่งนั่งอยู่ตอนหน้าได้เหลียวมาข้างหลังครั้งหนึ่ง และจันทาได้แลไปสบตาอันละห้อยของเขา ความผิดร้ายแรงของเซ้งคืออะไรหนอ เด็กชายชาวบ้านนอกรำพึงด้วยความเหี่ยวแห้งใจ