๑๐

ในวันรุ่งขึ้นตอนหยุดพักกลางวัน ครูเรียกเซ้งไปเข้าพบ และสนทนาอยู่กับเขาเป็นเวลานาน จันทาสงสัยและร้อนใจว่าเขาอาจจะถูกลงโทษหนัก จันทาไปรอพบสหายที่โรงรับประทานอาหาร เด็กทั้งสองได้มีโอกาสสนทนาถึงเหตุการณ์เรื่องนี้ภายหลังรับประทานอาหารกลางวันแล้ว เขาเลือกปลายสุดของโต๊ะรับประทานอาหารตัวหนึ่งเป็นที่นั่งสนทนา เพราะว่าในเวลานั้นภายในโรงอาหารคลายความจ้อกแจ้กจอแจแล้ว เรื่องที่เซ้งเล่าให้สหายของเขาฟังประมวลข้อความได้ดังนี้

ในตอนเช้าวันเกิดเหตุ มีเด็กนักเรียนคนหนึ่งไม่เข้าใจคำสอนของครูเกี่ยวกับวิชาเลข และเขาเกรงว่าจะทำการบ้านที่ครูกำหนดให้ไม่ได้ เขาจึงมาขอคำอธิบายจากเซ้ง เด็กทั้งสองได้พากันไปนั่งที่ใต้ต้นลั่นทม แล้วเซ้งก็ลงมืออธิบายวิชาเลขแก่เด็กผู้นั้น เมื่ออธิบายจบแล้วเซ้งรู้สึกปวดปัสสาวะ แต่เด็กผู้นั้นยังไม่สิ้นความสงสัย จึงขอคำอธิบายจากเขาต่อไปอีก เซ้งผู้เงียบหงิมและใจดีอดทนให้คำอธิบายต่อไป พอเขาอธิบายจบและผู้ฟังได้รับคำอธิบายแจ่มแจ้งดี เสียงกระดิ่งบอกเวลาเข้าห้องเรียนก็ดังขึ้น เด็กผู้นั้นผละจากเซ้งไปสู่ตึกเรียน และในขณะเดียวกัน นักเรียนที่ยังเล่นสนุกอยู่ในสนามต่างก็วิ่งไปสู่ตึกเรียนของตัว เซ้งยืนขึ้น ความอดกลั้นปรากฏอยู่บนผิวหน้าของเขา เขามองไปทางที่ถ่ายปัสสาวะทางหลังตึกเรียนสองหลังทั้งด้านเหนือและด้านใต้ ซึ่งอยู่ห่างไกลจากเขามาก เขาเกรงว่าจะวิ่งไปไม่ทัน เขาคิดว่าด้วยความจำเป็นอันหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นนี้ การเลือกที่ใดที่หนึ่งอันเหมาะสมย่อมเป็นการกระทำที่แม้พระผู้เป็นเจ้าก็คงจะไม่ติเตียน เขาจึงเดินเข้าไปที่กำแพงรั้วเหล็กสีชมพูหลังต้นลั่นทม แล้วก็ถ่ายปัสสาวะอันสุดกลั้นที่ริมรั้วนั้น เซ้งลืมนึกไปว่าความประพฤติบางอย่างที่พระผู้เป็นเจ้าย่อมจะให้อภัยแก่มนุษย์ และโดยเฉพาะแก่พวกเด็ก ๆ นั้น บางทีท่านอาจารย์ของโรงเรียนผู้ดี ผู้ยึดถือคุณสมบัติผู้ดีอย่างเคร่งครัดก็จะถือเอาเสมือนหนึ่งเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย และหมดความอดทนที่จะรอฟังคำแก้ตัวของเขา ในขณะที่เซ้งเบิ่งตามองไปทางที่ถ่ายปัสสาวะอันอยู่ไกลนั้น เขาออกจะเคราะห์ร้ายที่ได้มองข้ามหมวกกันแดดอันครอบอยู่บนศีรษะ ที่อัดแน่นไว้ด้วยประมวลจรรยามารยาทผู้ดีของท่านอาจารย์ “เจ้าคุณ” ซึ่งกำลังเดินทอดน่องอยู่ทางขอบสนามด้านที่เซ้งกำลังหลบเข้าไปถ่ายปัสสาวะ และสายตาของท่านกำลังสอดส่ายค้นคว้าหา ว่าจะมีใครไร้สมบัติผู้ดีติดอยู่ตามเส้นหญ้า ตามกิ่งใบและดอกลั่นทม อันเรียงรายอยู่ริมรั้วสีชมพูบ้างหรือไม่

เมื่อเซ้งหันกลับมา เขายังคงก้มหน้ากลัดกระดุมกางเกงอยู่ และเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นขยับตัวจะวิ่งไปสู่ตึกเรียน เขาก็แลเห็น “เจ้าคุณ” ยืนจังก้าเอามือไขว้หลังอยู่ตรงหน้า ห่างจากเขาเพียงสามก้าว ดวงตาอันแสดงความเกรี้ยวกราดของท่านที่จ้องมองลอดแว่นออกมาปะทะกับดวงหน้าของเขา ได้ขับสีเลือดบนดวงหน้าของเขาให้แล่นไปทางอื่นหมด เมื่อท่านพยักหน้าให้เขาเดินเข้าไปหาท่าน เขารู้สึกว่ากายของเขาสั่นเทิ้ม ดวงหน้างอเป็นจวักของ “เจ้าคุณ” ได้บอกแก่เขาอย่างแจ่มแจ้งว่า ท่านมิได้ประสงค์จะเรียกเขาเข้าไปสวมกอดเลย จริงอยู่เซ้งได้เคยเห็นท่านเรียกหม่อมราชวงศ์รุจิเรข เข้าไปโอบไหล่และพูดจาปราศรัยด้วยมธุรสวาจา ท่านเคยกวักมือให้เด็กชายศิริลักษณ์ บุตรท่านเสนาบดีเข้าไปหาท่าน แล้วท่านก็เอามือเชยคางบุ๋มอันน่ารัก และมองดูดวงตาดำงามของเด็กชายผู้นั้นด้วยความเอ็นดูรักใคร่ แต่เซ้งไม่ได้หวังว่าท่านจะปฏิบัติแก่เขา ผู้เป็นลูกจีนช่างแก้นาฬิกา เหมือนกับที่ท่านได้ปฏิบัติต่อกุลบุตรทั้งสองนั้น เฉพาะอย่างยิ่งเมื่อท่านได้ปรากฏตัว ในขณะที่เขาได้ตกอยู่ในสถานการณ์อันตึงเครียดเช่นนี้ “เจ้าคุณ” ได้ต้อนรับเขาด้วยการยกมือขวาที่กำแน่นขึ้นสูง ทำท่าทางเหมือนกับว่าจะเหวี่ยงลงมาบนไหล่อันบอบบางของเขาให้หักพังลงไป แต่ท่านก็มิได้กระทำเช่นนั้น และท่านก็มิได้เคยกระทำเช่นนั้นแก่เด็กคนใด อาการเช่นนั้นเพียงแต่แสดงว่าท่านอยู่ในอารมณ์ที่โกรธจัด และกำมือนั้นได้เลื่อนลงมาอยู่ที่คอเสื้อ แล้วท่านก็จับคอเสื้อของเซ้งขย้ำไปมา เหมือนกับว่าความผิดร้ายแรงของเซ้งไปรวมกันอยู่ตรงคอเสื้อนั้น พร้อมกับเปล่งเสียงคุกคามบริภาษ เซ้งยืนตัวโงนเงนแทบหมดสติสัมปชัญญะไปชั่วขณะหนึ่งด้วยความตกใจกลัว เซ้งไม่เคยกระทำความผิดที่เป็นข้อร้ายแรงเลย ตั้งแต่เขาได้เข้ามาเรียนอยู่ในโรงเรียนผู้ดีนี้เป็นเวลาสี่ปีแล้ว เขาเป็นคนทำอะไรด้วยความระมัดระวังและเจียมตัว

เมื่อจันทาออกวิ่งไปแล้ว “เจ้าคุณ” ได้ส่งเสียงตะคอกคุกคามเซ้งต่อไป ท่านพูดเสียคนเดียวโดยไม่เปิดโอกาสให้เขาได้ชี้แจงอะไรเลย ท่านตั้งคำถามแก่เขา และเมื่อมีอาการขมุบขมิบที่ริมฝีปากอันซีดขาว ท่านทนรอคำตอบของเขาไม่ได้ และท่านก็ตอบคำถามนั้นเสียเอง ผลก็คือในสายตาของท่าน ลูกจีนช่างแก้นาฬิกาได้กลายเป็นอาชญากรน้อยที่จะทำลายชื่อเสียงอันดีงามของโรงเรียนเทเวศร์รังสฤษดิ์ ด้วยการยืนถ่ายปัสสาวะริมรั้วของโรงเรียนอย่างไม่มียางอาย อาจจะมีนักเรียนอื่น ๆ เช่นเดียวกันนี้มาแล้วหลายหน แต่เจ้าคุณไม่เคยพบ ในระยะสองสามปีนี้มาท่านได้พบเซ้งเป็นคนแรกที่ได้ประพฤติในสิ่งที่ไม่มี “ยางอาย” เช่นนี้ ท่านได้พบความผิดที่ร้ายในตัวเด็กชายผู้น่าสงสารในคราวเดียวกันถึงสี่ข้อ ในข้อแรกเป็นข้อที่ให้อภัยไม่ได้ก็คือการถ่ายปัสสาวะนอกเขตที่กำหนดให้เป็นสิ่งต้องห้ามอย่างเด็ดขาด การถ่ายปัสสาวะโดยไม่เลือกที่นั้น ย่อมจะมีขึ้นไม่ได้ในเหล่ากุลบุตรของโรงเรียนเทเวศร์รังสฤษดิ์ โดยเฉพาะการถ่ายตามริมรั้วซึ่งเป็นเป้าสายตาของคนภายนอกนั้น ย่อมอยู่เหนือความคาดหมายว่านักเรียนเทเวศร์รังสฤษดิ์จะหาญกระทำได้ การยืนถ่ายแทนการนั่งถ่ายอย่างมิดชิดก็นับว่าเป็นความผิดร้ายอีกข้อหนึ่ง ท่านได้พูดอย่างปวดร้าวใจว่าความประพฤติเช่นนี้แม้แต่สุนัขก็ไม่กระทำกัน ท่านชี้ว่าเมื่อสุนัขจะถ่ายปัสสาวะมันยังอุตส่าห์ยกขาขึ้นข้างหนึ่งเพื่อบังความมิดชิด เหตุไฉนนักเรียนที่น่าชังที่สุดของโรงเรียนซึ่งไม่ยอมรับแบบอย่างอันดีงามของมนุษย์จึงไม่เลียนแบบอย่างสุนัขไว้บ้างเล่า การไม่กลัดกระดุมกางเกงให้เรียบร้อยในทันทีที่ถ่ายปัสสาวะเสร็จแล้ว ก็เป็นสิ่งที่ผู้ดีไม่ประพฤติกัน และการถ่ายอย่างเลินเล่อลุกลนจนมีรอยเปียกติดอยู่ที่กางเกงนั้น ก็เป็นสิ่งพึงรังเกียจ พฤติการณ์ที่เซ้งได้ก่อขึ้น ณ ริมรั้วเหล็กสีชมพูนั้น ทำให้ท่านอาจารย์แลเห็นความเป็นไพร่ของเขา ตั้งแต่ปลายเส้นผมถึงฝ่าเท้าดูเหมือนว่าจะไม่มีร่องรอยของเด็กนักเรียนผู้ดีติดอยู่ในร่างกายของเขาเลย

จากพฤติการณ์อันเดียวกัน “เจ้าคุณ” สามารถแยกแยะความผิดร้ายแรงของเซ้งได้ถึงสี่ข้อเช่นนี้ ได้ก่อให้เกิดความตระหนกตกใจให้แก่จันทาไม่น้อย เขาพอจะเข้าใจได้ในการไม่สมควรของการถ่ายปัสสาวะไม่เป็นที่ เพราะมันก่อความสกปรกและมีกลิ่นเหม็น ถึงแม้ตัวเขาเองจะเคยชินมากับการถ่ายไม่เลือกที่ แต่เขาก็ไม่คิดว่าจะเป็นความผิดร้ายอะไรนัก ส่วนความผิดร้ายอีกสามข้อนั้น เขาไม่เคยคิดถึงเลย และไม่เคยใช้ความระมัดระวังมาก่อน และนี่ก็เป็นเครื่องวัดว่าเขาเป็นไพร่เต็มตัวทีเดียว จันทาถามเชิงว่าเหตุใดสหายของเขาจึงแสดงอาการบุ้ยใบ้ให้เขาไปเสีย

“เซ้งไม่ต้องการให้ฉันหยุดฟังหรือ ? แต่เดี๋ยวนี้ทำไมเธอจึงยินดีเล่าให้ฉันฟังอย่างละเอียด”

คำว่า “ฉัน” กับ “เธอ” นั้น เมื่อมาอยู่โรงเรียนเทเวศร์รังสฤษดิ์ตอนแรก ๆ จันทาต้องฝึกพูดด้วยความระมัดระวังและพูดได้ไม่เต็มปากนัก เพราะเขาไม่สู้คุ้นเคยกับคำสอนนี้ เขาเคยชินมากับการใช้คำ “มึง-กู” หรือดีกว่านั้น “อั๊ว-ลื้อ” มีมิตรสหายน้อยคนนักที่เรียกว่า “จันทา” โดยทั่วไปแล้วใครก็เรียกเขาว่า “อ้ายจัน” เขาได้ยินคนเรียกชื่อเขาอย่างบ่อยครั้งก็ต่อเมื่อเขาได้เข้าโรงเรียนเทเวศร์รังสฤษดิ์นี่แหละ

เซ้งตอบคำถามของเขาว่า “ที่ฉันพยักหน้าให้เธอรีบไปเสียก็เพราะว่าถ้า ‘เจ้าคุณ’ ท่านเหลียวไปเจอเข้า เธอก็จะตกเป็นจำเลยอีกคนหนึ่ง เพราะว่าสิ่งที่เธอกระทำนั้น เป็นการฟังการสนทนาของผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือเชื้อเชิญ และความจริงเธอลอบฟังอยู่ข้างหลังท่าน นั่นไม่ใช่สมบัติของผู้ดีและนั่นเป็นความผิดร้ายแรงอย่างหนึ่ง ท่านเคยเทศน์ให้นักเรียนฟังมาแล้ว” จันทารู้สึกว่าเซ้งเป็นคนใจกว้างขวางอย่างน่าพิศวง ที่มีแก่ใจนึกถึงเขาและช่วยเหลือเขา ในขณะที่ตัวเองยังตกอยู่ในระหว่างอันตราย แล้วเขาก็กลับตกใจว่าบทจรรยามารยาทของโรงเรียนผู้ดีนี้มันช่างมากมายเสียเหลือเกิน และอีกสักเมื่อไรเล่าเขาจึงจะเรียนรู้ให้จบสิ้นกันเสียที

“แต่เธอยังดีกว่าฉันที่มีพ่อเป็นคนไทย” เซ้งพูดเสียงเครือ “ส่วนฉันมีพ่อเป็นจีน และแม่ฉันถึงจะมีสัญชาติไทย แต่เชื้อสายของท่านเป็นญวน”

“ฉันไม่เห็นว่าตัวฉันจะดีกว่าเธอที่ตรงไหน” จันทาคัดค้าน “ความจริงฉันรู้สึกว่าเซ้งดีกว่าฉันมากมาย”

“เธอเป็นนักเรียนใหม่ ยังไม่สู้เข้าใจอะไร” เซ้งพูดช้า ๆ เสียงของเขาเนือย ๆ เหมือนเสียงของคนป่วย “การที่ฉันเป็นลูกจีนและเตี่ยฉันก็เป็นคนทำงานชนิดหาเช้ากินค่ำนั้น มันจะทำให้ครูอาจารย์มีความลำเอียงในตัวฉัน เมื่อฉันทำอะไรผิดพลาดไปเล็กน้อยท่านก็มักจะเล็งไปว่า เพราะว่าฉันมีพ่อเป็นจีน คงจะไม่รู้จักอบรมสั่งสอนลูกตามแบบที่ผู้ดีไทยเขาสั่งสอนกัน แล้วท่านก็มองดูเด็กอย่างฉันเหมือนกับว่าจะมาเป็นผู้คอยทำลายชื่อเสียงของโรงเรียนให้เสียหายย่อยยับไป หากว่าเตี่ยของฉันเป็นคนมั่งมีก็จะค่อยยังชั่วหน่อย อย่างเทียนหมิงถึงแม้จะไม่พ้นจากการถูกล้อเลียนจากนักเรียนบางคนแต่ครูก็ยังเกรงใจ เตี่ยของเทียนหมิงเป็นเจ้าของโรงสีใหญ่ ทั้งมีเจ้านายเป็นที่พึ่ง เทียนหมิงเคยพาเตี่ยไปบ้านครูเอาข้าวของไปให้ครูวันตรุษจีน ‘เจ้าคุณ’ ก็รู้จักกับเตี่ยของเทียนหมิง และได้รับข้าวของจากเตี่ยของเทียนหมิงในวันตรุษจีนทุกปี เทียนหมิงจึงไม่เป็นคนเคราะห์ร้ายอย่างฉัน ถึงแม้เขาจะมีพ่อเป็นจีน”

การจำแนกแยกแยะประเภทของนักเรียนดังที่เซ้งกล่าวให้เขาฟังนี้ นับว่าเป็นความรู้ใหม่ของจันทา เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยเมื่อยังอยู่ที่โรงเรียนเก่าของเขา อย่างไรก็ดีเขาได้ตอบเซ็งไปตามความรู้สึกอันจริงใจของเขาว่า “ถึงฉันมีพ่อแม่เป็นคนไทย และมีพวกพ้องเป็นคนไทย แต่ฉันก็ไม่ใช่คนเคราะห์ดีไปกว่าเธอ ฉันเป็นเด็กที่มาจากบ้านนอก ความเป็นคนบ้านนอกและความยากจนข้นแค้นในหมู่พวกพ้องของฉัน ดูเหมือนจะทำให้ฉันเป็นคนเลวร้ายยิ่งไปกว่าเธอเสียอีก ฉันรู้ได้จากการที่ผู้คนในบ้านของคุณวัชรินทร์ได้แสดงต่อฉัน”

“อย่างนั้นหรือ ?” เซ้งเหลือบตาขึ้นมองดูดวงหน้าของจันทาครู่หนึ่ง แล้วเขาก็พูดอย่างใช้ความคิดตรึกตรองว่า “เธอกับฉันมีสิ่งที่เหมือนกันอยู่ข้อหนึ่ง คือมาจากครอบครัวที่ยากจน มันอาจจะเป็นเจ้าความยากจนนี่เองที่ทำให้เรากลายเป็นคนเลวร้ายไป”

“แต่เธอมิใช่คนเลวร้ายเลย” จันทาแย้งโดยเร็ว “เธอเป็นคนดีจริง ๆ นิทัศน์ก็พูดเช่นนั้น นิทัศน์บอกว่าเธอดีกว่าหม่อมราชวงศ์รุจิเรข ดีกว่าหม่อมหลวงอิธิพร ดีกว่าใคร ๆ อีกหลายคน เขาเป็นคนแนะนำให้ฉันคบหากับเธอ”

ดวงหน้าซีดเซียวของเซ้งค่อยมีเลือดฝาดขึ้น เขายิ้มน้อย ๆ เมื่อพูดถึงนิทัศน์

“นิทัศน์เป็นคนที่แปลกกว่าเรา เขามีความมั่นใจในตัวของเขามาก เขาไม่ใคร่จะเดินตามความคิดของใครๆ แต่ฉันก็ไม่อยากให้เขาเอาตัวฉันไปเปรียบกับนักเรียนอื่น ๆ และลงความเห็นว่าฉันดีกว่าคนเหล่านั้น พวกครูอาจารย์จะตกใจมากถ้าได้ยินเช่นนั้น อย่างน้อยก็ท่านอาจารย์ ‘เจ้าคุณ’ คนหนึ่งละจันทา เธอโทมนัสไหมเมื่อถูกเหยียดหยามในฐานที่เธอเกิดมาในครอบครัวที่ยากจน”

จันทาสั่นศีรษะแทนคำตอบ

“ฉันก็เหมือนกัน ฉันไม่โทมนัสเลย เพราะว่า...” เซ้งเหลือบดวงตาที่มีประกายตาแจ่มใสขึ้นสู่ เพดานโรงอาหาร “เพราะผู้เป็นเจ้ารักพวกเราคนยากจน จันทา, เธอรู้เรื่องพระผู้เป็นเจ้าเหมือนกันหรือ ?”

“ฉันไม่โทมนัสเลยเพราะว่า พวกพ้องของฉันเคยชินกับความยากจนมาตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย เราเป็นเช่นนี้มาหลายชั่วคนแล้ว และใคร ๆ ก็ว่าเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ฉันไม่เคยรู้เรื่องพระผู้เป็นเจ้าและไม่เคยรู้ว่าท่านรักพวกเราคนยากคนจน ฉันคิดว่าพระผู้เป็นเจ้าหรือเทวดาคงจะไม่ชอบพวกฉัน จึงทอดทิ้งพวกฉันให้ได้รับความยากลำบากกันมาหลายชั่วคนแล้ว”

“ฉันไม่รู้เรื่องเทวดาของเธอแต่พระผู้เป็นเจ้าที่ฉันรู้จักไม่เป็นเช่นนั้น ฉันจะเล่าเรื่องของพระองค์ให้เธอฟังในวันหลัง วันนี้ไม่มีเวลา ฉันจะเล่าเรื่อง ‘เจ้าคุณ’ ท่านดุด่าฉันต่อไป”

เขาประมวลเรื่องที่เซ้งเล่าได้ดังนี้ ภายหลังที่ได้กล่าวโทษเขาหลายข้อ และได้ดุด่าเขาเสียอย่างสะใจโดยไม่ให้โอกาสเซ้งได้ชี้แจงอะไรเลย ในเช้าวันรุ่งขึ้น “เจ้าคุณ” ได้แจ้งพฤติการณ์ของเซ้งแก่ครูประจำชั้นกำชับให้ครูลงโทษเซ้ง และแจ้งให้บิดามารดาของเซ้งทราบเรื่อง และขอให้ร่วมมือกับโรงเรียนกวดขันความประพฤติของบุตร ดูเป็นเรื่องราวใหญ่โตมาก ทำให้ทั้งผู้เล่าและผู้ฟังอ่อนเพลียละเหี่ยใจไปด้วยกัน

ครูประจำชั้นของเด็กทั้งสอง ครูอุทัยเป็นครูรุ่นใหม่และหนุ่ม นอกจากการสอนครูยังเรียนวิชากฎหมายเพื่อจะสอบเป็นเนติบัณฑิต นิทัศน์พูดถึงครูอุทัยว่า ครูได้แสดงให้นักเรียนมีความมั่นใจว่า นักเรียนทุกคนจะได้รับการปฏิบัติจากครูโดยเสมอหน้ากัน ไม่เลือกว่าจะมาจากครอบครัวของชนชั้นไหน และครูไม่ลงโทษนักเรียนตามอารมณ์ ครูให้โอกาสนักเรียนชี้แจงก่อนเสมอ แล้วครูจึงจะวิจัยว่าเขาทำผิดหรือไม่ ในกรณีที่นักเรียนทำผิดครูจะชี้ให้นักเรียนได้เห็นความผิดของตัว และนักเรียนก็จะยอมรับผิดโดยชื่นตา โดยทั่วไปครูอุทัยจะให้อภัยเมื่อเป็นความผิดครั้งแรกแม้ว่าจะเป็นความผิดที่สำคัญ จะภาคทัณฑ์เมื่อเป็นความผิดครั้งที่สอง จะลงโทษต่อเมื่อเป็นความผิดครั้งที่สาม ครูอุทัยไม่พะเน้าพะนอนักเรียนลูกผู้ดีเป็นพิเศษเหมือนกับครูอาจารย์รุ่นเก่าส่วนมากชอบกระทำ ครูสนใจแต่เฉพาะเรื่องของเด็ก และไม่สนใจเรื่องของพ่อแม่และตระกูลรุนชาติของเด็ก ซึ่งไม่ใช่สิทธิ์ของครู และไม่ใช่กิจของครู นักเรียนลูกผู้ดีบางคนเป็นคิดว่า ไม่ว่ากรณีใด ๆ ตัวเขาและตระกูลของเขาเป็นสิ่งที่แยกออกจากกันไม่ได้ นักเรียนที่มีความคิดเช่นนี้ซึ่งมีอยู่เพียงคนสองคน ออกจะแลเห็นครูอุทัยเป็นครูที่ออกจะอวดดีอยู่สักหน่อย และมักจะถากถางครูว่า “หัวกฎหมายจัด” และถ้าเด็กนักเรียนอื่น ๆ ได้ยินคำถากถาง เขาจะโต้แย้งป้องกันครูที่รักของเขาทันที และคำพูดถากถางก็ไม่อาจดำเนินต่อไปได้

ในการสอบสวนเซ้ง ครูอุทัยก็ได้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่ได้เคยกระทำมา ครูไม่ได้เริ่มต้นด้วยการคุกคามเซ้ง และครูมิได้ถือข้อเท็จจริงที่ได้ฟังมาจาก “เจ้าคุณ” เป็นข้อเท็จจริงที่เพียงพอแก่การลงโทษได้ทันที ครูมิได้วางตัวเป็นโจทก์ แต่ครูวางตัวเป็นตุลาการ ครั้นได้แจ้งข้อหาให้เซ้งทราบ และถามเขาว่าเขาได้กระทำเช่นนั้นจริงหรือไม่ เมื่อเซ้งรับว่าเป็นความจริง ครูจึงบอกแก่เขาว่าผู้ที่ถูกกล่าวหาย่อมมีสิทธิ์จะชี้แจงป้องกันตัว แต่เมื่อคำชี้แจงนั้นฟังไม่ขึ้นเขาจึงจะถูกลงโทษ ผู้กล่าวหาไม่ควรจะถูกลงโทษก่อนที่เขาจะได้ให้การ

“เซ้ง เวลานี้เธอยังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่” ครูอุทัยพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เอ้า, เธอมีอะไรจะชี้แจงก็ชี้แจงให้เต็มที่ ครูจะฟัง”

ถึงตอนนี้เด็กชายชาวบ้านนอกตาลุก เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนว่า เมื่อเด็ก ๆ ถูกผู้ใหญ่กล่าวโทษเด็ก ๆ ก็มีสิทธิจะป้องกันตัวเหมือนกัน ที่เขาเคยพบมาก็มีแต่ “มึงอย่ามาเถียงนะ....มึงอย่าเถียงนะ” พร้อมกับคำคุกคามที่ตามหลังมาว่า “ถ้าขืนเถียงจะถูกตบ ถูกเตะ หรือถูกฉีกปาก” เพราะเหตุที่เด็ก ๆ ต้องถูกปิดปากด้วยการคุกคามเช่นนี้ จันทาจึงไม่พบว่าพวกเด็ก ๆ ต้องถูกลงโทษทั้งที่มิได้กระทำผิด หรือถูกโทษรุนแรงเกินกว่าเหตุ ตามอารมณ์ร้ายของผู้ใหญ่อยู่บ่อย ๆ รวมทั้งตัวเขาเองก็เคยโดนมาเหมือนกัน แต่เขาคิดว่าสิ่งนั้นน่าจะเป็นประเพณีอันดีงามอันหนึ่ง ซึ่งเด็ก ๆ จะโต้แย้งไม่ได้ บัดนี้เมื่อเขาได้ยินว่า เด็ก ๆ มีสิทธิ์จะชี้แจงป้องกันตัวเมื่อถูกกล่าวโทษจากผู้หญ่ เขาจึงรู้สึกตื่นเต้นมาก แน่ละเขายังไม่คิดถึงการที่จะใช้สิทธิ์อันนี้เลย มันเป็นของใหม่เกินไปสำหรับเขา อย่างไรก็ดีเขารู้สึกว่ามันเป็นถ้อยคำที่น่าปลาบปลื้มสำหรับเด็ก ๆ และมันก็มีเหตุผลน่าฟัง

“เด็กบ้านนอกอย่างฉันก็มีสิทธิ์อย่างที่ครูบอกแก่เธอเหมือนกันหรือ ?” จันทาถามด้วยความหวาดหวั่นอยู่เสมอว่า พวกเด็กบ้านนอกจะไม่ได้รับการปฏิบัติเหมือนกับเด็กอื่น ๆ และเซ้งได้รับรองแก่เขาว่า ครูอุทัยไม่เคยแบ่งชั้นของเด็ก

เมื่อเซ้งได้ชี้แจงถึงสาเหตุที่ทำให้เขาเกิดความจำเป็นจนถึงต้องถ่ายปัสสะที่ริมรั้วแล้ว ครูอุทัยได้เรียกเด็กที่เซ้งอ้างมาสอบสวน และเมื่อเด็กผู้นั้นได้ให้การตรงกับคำชี้แจงของเซ้งแล้ว ครูก็ได้กล่าวแก่เซ้งด้วยเสียงอันแสดงความเป็นมิตร “ในสายตาของครู เธอหมดมลทินแล้ว” ครูอุทัยได้ถามเซ้งว่าเหตุใดเขาจึงไม่เล่าเรื่องทั้งหมดนี้ให้ “เจ้าคุณ” ฟัง เซ้งได้ตอบว่า “ผมไม่มีโอกาสจะพูดครับ และผมกลัวท่านครับ ผมตกใจมากครับเมื่อท่านด่าว่าผมเป็นไพร่สารเลว และเมื่อท่านถามชื่อพ่อแม่ของผม ผมกลัวว่าผมจะไม่ได้เรียนโรงเรียนนี้ตลอดไป ผมรักโรงเรียนมากครับคุณครู” ครูอุทัยกลืนน้ำลาย ดูเหมือนครูจะไม่เห็นเรื่องการถ่ายปัสสาวะของเด็กตามริมรั้วเป็นเรื่องคอขาดบาดตายเลย เหมือนกับที่ “เจ้าคุณ” ได้คิดเห็น ดูเหมือนครูอุทัยจะเห็นว่าการให้ความยุติธรรมแก่เด็กทุกคนโดยไม่เลือกที่รักมักที่ชังเป็นเรื่องสำคัญกว่า ครูอุทัยได้พูดให้เซ้งเข้าใจว่าเรื่องไพร่เรื่องผู้ดีไม่ใช่ประเด็นของเรื่องนี้ หากว่าการกระทำของเซ้งเป็นความผิด คำชี้แจงของเขาก็มีเหตุผลที่จะยกความผิดเสียได้ หรือควรได้รับความปรานี ในเรื่องนี้ครูจะไม่ลงโทษเซ้ง ครูจะไปพบกับ “เจ้าคุณ” และเป็นทนายให้เซ้ง ครูหวังว่าจะทำให้ “เจ้าคุณ” พอใจได้ สีหน้าของเซ้งเต็มไปด้วยความรู้สึกตื้นตันเมื่อพูดถึงครูอุทัย

“เซ้ง เธอนึกโกรธ ‘เจ้าคุณ’ บ้างไหม?” จันทาถาม

เซ้งสั่นศีรษะ “ฉันจะไม่มีวันโกรธท่านเลย การที่เด็ก ๆ จะโกรธครูบาอาจารย์นั้น เป็นความชั่วร้าย ฉันเชื่อว่าท่านด่าเราด้วยความหวังดีต่อเราทุกคน ฉันเพียงแต่อยากให้ท่านอย่าทำให้เราตกใจ โดยพูดย้ำเรื่องไพร่เรื่องผู้ดีให้เด็กจน ๆ อย่างเราฟังบ่อยนักฉันจะสวดอ้อนวอนสิ่งนี้จากพระผู้เป็นเจ้า”

“เธอคิดว่าพระผู้เป็นเจ้าจะให้หรือ ?” จันทาถาม ทั้งที่ไม่สู้จะเข้าใจความหมายนัก “ฉันก็อยากให้เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน”

ต่อมาจันทาได้พบกับนิทัศน์และได้สนทนาถึงเหตุการณ์ที่ได้เกิดแก่เซ้ง ซึ่งนิทัศน์ได้ทราบเรื่องทั้งหมดมาแล้วเหมือนกัน เด็กทั้งสองพูดถึงครูอุทัยเสมือนหนึ่งว่าเป็นวีรบุรุษของเขา เมื่อถูกถึงท่านอาจารย์ ‘เจ้าคุณ’ นิทัศน์พูดว่า “เรารู้แต่ว่าท่านเป็นคนดุ เราจึงคอยหลบเราก็ไม่คุ้นกับท่าน ท่านรู้จักเด็กที่เป็นลูกเจ้านาย และขุนนางใหญ่โตแทบทุกคน ท่านมักจะทักทายปราศรัยกับเด็กเหล่านั้น และออกจะพะเน้าพะนอเด็กเหล่านั้นอยู่สักหน่อย ฉันคิดว่าท่านไม่ใช่คนเลวหรอกเธอ ถึงแม้ท่านจะดุ แต่ถ้าท่านมาด่าว่าฉันเป็นไพร่สารเลวเหมือนอย่างที่ท่านเอ็ดเซ้ง ฉันคงจะไม่ยอม....”

จันทาออกจะตกใจจึงถามว่า “เธอจะทำอะไรท่าน”

“ฉันคงจะไม่เล่นแกล้งท่านหรอก แต่ฉันคงเถียงท่าน”

“เธอจะเถียงท่านว่าอย่างไร ?” จันทาถามด้วยความอยากรู้ เพราะว่าตัวเขาเองไม่เคยคิดถึงข้อเถียงเลย และหากจะคิดก็คิดไม่ออกว่าจะเถียงว่าอย่างไร

“ฉันก็ยังไม่รู้เหมือนกัน” นิทัศน์ตอบพลางก้มหน้าคิดอยู่ครู่หนึ่ง สีหน้าของเขาแสดงความจริงจังราวกับว่า เขากำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่จะต้องมีการโต้เถียงกันจริง ๆ “บางที....บางทีฉันอาจจะย้อนถามท่านว่า พวกผู้ดีมาจากไหน พวกไพร่มาจากไหน ?”

จันทาคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็เอ่ยขึ้นว่า “ถ้าท่านตอบว่า พวกผู้ดีเป็นญาติวงศ์ของเทวดา”

“เทวดาอยู่ไหนเล่า ?” นิทัศน์ไล่เลียงตามวิธีพูดของท่าน เขาไม่ทราบดอกว่านี่เป็นวิธีเดียวกับวิธีของโสคราตีส

“ก็อยู่บนท้องฟ้านะซี่”

“ใครเคยเป็นเทวดาบ้าง ? ‘เจ้าคุณ’ เคยเห็นรึ ? เธอเคยเห็นรึ ?”

“เปล่า ฉันคิดว่าไม่ได้เห็น และใคร ๆ ก็ไม่ได้เห็นเทวดา และปู่ย่าตายายเคยเล่าว่าเทวดาอยู่บนท้องฟ้า และปู่ย่าตายายก็คงจะไม่ได้เห็นเหมือนกัน”

“นี่แน่ะ จันทา ฉันนึกข้อโต้เถียงได้อีกข้อหนึ่งแล้ว” ดวงตาของนิทัศน์เป็นประกายวาว “ถ้าท่านว่าพวกผู้ดีเป็นญาติกับเทวดา ฉันจะคัดค้านท่านว่าไม่เป็นความจริง ฉันมีหลักฐานที่จะพิสูจน์”

“ฉันอยากฟังข้อพิสูจน์ของเธอ” จันทาตื่นเต้น

“นอกจากข้อที่ว่า ไม่มีใครได้เคยเห็นเทวดาแล้ว ฉันยังได้พบข้อพิสูจน์ในหนังสือพงศาวดาร เธอรู้ไหมว่า พระเจ้าแผ่นดินท่านมาจากไหน เช่นสมเด็จพระบรมราชาที่สี่ หรือพระเจ้าตากสินน่ะ ?”

“ฉันไม่รู้ แต่ฉันคิดว่าต้องมาจากที่สูงมากเช่นจากฟากฟ้า หรือมาจากพวกเทวดา”

“ไม่ใช่” นิทัศน์เน้นเสียง “ความจริงท่านไม่ได้มาจากที่ลี้ลับที่ไหนหรอก แต่เดิมท่านก็เป็นคนธรรมดา เหมือนกับเธอหรือฉันนี่แหละ เมื่อหยุดเทอมคราวที่แล้ว ฉันได้อ่านหนังสือพระราชพงศาวดารกรุงธนบุรี และหนังสือพงศาวดารเล่มอื่นอีกบางเล่ม ซึ่งฉันบูชาพระเจ้าตากสินเป็นอันมากรวมทั้งพวกทหารเอกของท่าน มีเจ้าพระยาสุรสีห์ และเจ้าพระยาจักรี จากหนังสือพงศาวดารเหล่านั้น ฉันได้ทราบว่าแต่เดิมพระเจ้าตากสินท่านเป็นขุนนางของพระเจ้าแผ่นดินองค์ก่อน และแต่เดิมทีเดียว ท่านชื่อสิน ท่านเป็นลูกจีน เหมือนกับเซ็งนี่แหละเธอ ภายหลังเมื่อท่านรบชนะกู้บ้านกู้เมืองได้แล้ว ท่านจึงได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าก็เหมือนกัน แต่เดิมท่านเป็นขุนนางชั้นหลวงเหมือนกับที่ครูของเราบางคนเป็นกันนี่แหละ และแต่เดิมทีเดียวท่านชื่อด้วง เมื่อออกรบชนะศึกมามาก ท่านจึงได้เลื่อนยศศักดิ์สูงขึ้น จนเป็นเจ้าพระยาจักรี และสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกในที่สุด เมื่อพระเจ้าตากสินถูกประหารชีวิตท่านก็ได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน ดูซิเธอ ท่านทั้งสองไม่ได้เสด็จมามาจากฟากฟ้า หรือเป็นญาติกับเทวดาองค์ไหนเลย พระเจ้าแผ่นดินหรือขุนนางท่านก็มาจากคนธรรมดา เหมือนอย่างเรา ๆ ทั้งนั้น ท่านอาจารย์ ‘เจ้าคุณ’ เอง แต่เดิมท่านก็ชื่อ ‘แป้ง’”

จันทาฟังด้วยอาการตะลึง มันเป็นความรู้สึกใหม่ที่ฝืนความเชื่อตั้งแต่เดิมของเขา

“เธอจะเถียงท่านดังนี้เทียวหรือ ? และเธอไม่กลัวท่านหรือ ?”

“ฉันกลัวท่านเหมือนกัน ฉันเคยเห็นท่านจับคอเสื้อนักเรียนเขย่าแรง ๆ และบางทีก็ดึงหูแรงๆ แต่ถ้าใครมาทำให้ฉันโกรธมาก ๆ ฉันก็มักจะหายกลัว ในเวลาเช่นนั้นฉันอาจจะถามชื่อเดิมของท่านก็ได้”

“แต่เซ้งบอกว่าเขาไม่เคยโกรธท่าน ‘เจ้าคุณ’ เลย เขาว่าการโกรธครูบาอาจารย์เป็นสิ่งไม่ดี”

“อยู่ดีๆ เราไปโกรธท่านเมื่อไหร่ล่ะ เราถูกทำให้โกรธต่างหาก” นิทัศน์เถียง สีหน้าเคร่งขรึมของเขาเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนเบิกบาน เมื่อเขาพูดถึงเซ้ง “เซ้งเขาไม่เหมือนฉันหรือเด็กอื่น ๆ เขาเป็นคนดีอย่างประหลาด เขาเคยบอกฉันว่าถ้าใครตบเราที่แก้มขวาอย่าทำตอบ แต่จงยื่นแก้มซ้ายให้เขาตบอีกทีหนึ่ง เขาว่าจงรักศัตรูของเรา ฉันว่าฉันรักไม่ลง ฉันรักหมา รักนก รักสัตว์ทุกชนิดได้ แต่ฉันรักศัตรูที่กดขี่ทำร้ายฉันไม่ได้ ฉันจะไม่ตบใครก่อนแน่นอน แต่ถ้าใครมาตบฉัน ฉันก็จะสู้”

“ใครสอนเขาเช่นนั้น ?” จันทาถามอย่างทึ่ง

“พระเยซู ฉันทำอย่างที่พระเยซูสอนไม่ได้ แต่เซ้งเขาทำได้ มีคนเอาเตี่ยของเขามาพูดล้อเลียนเขาก็ไม่โกรธ มีเด็กทะลึ่งบางคนไปว่าพระเยซูของเขากินน้ำข้าวกับหัวปลาทูเขาก็ไม่โกรธ จนพวกที่ล้อเลียนต้องหยุดล้อไปเอง หรือมิฉะนั้นก็มีเด็กอื่น ๆ ที่เห็นใจเซ้งมาช่วยห้ามปราม ฉันยังไม่เคยเห็นใครเป็นเด็กดีเกินกว่าเซ้ง แม้แต่ ‘เจ้าคุณ’ เองฉันก็ไม่คิดว่าท่านดีกว่าเซ้ง”

“พระเยซูเป็นใคร ? ฉันได้ยินเซ้งพูดถึงพระผู้เป็นเจ้า”

“อ้อ เธอคงยังไม่รู้ว่าเซ้งเขานับถือศาสนาคริสต์ แม่เซ้งเป็นญวนนับถือศาสนาคริสต์ เขาจึงเป็นคริสเตียนตามแม่ของเขา พระเยซูคือผู้สอนศาสนาคริสต์ เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้าเป็นผู้สอนศาสนาพุทธ เซ้งบอกฉันว่าพระเยซูเองไม่ใช่พระผู้เป็นเจ้า แต่เป็นผู้สอนให้มนุษย์เคารพ และไว้วางใจในพระผู้เป็นเจ้าซึ่งทรงมีความดีมากมาย ในเวลาว่างเซ้งเคยเอาพระคัมภีร์ออกมานั่งอ่านเงียบๆ คนเดียว เขาเคยเล่าคำสอนของพระเยซูให้ฉันฟัง และฉันก็ชอบฟังเพราะมีคำสอนที่ดี ๆ เหมือนกัน พระเยซูของเซ้งเป็นคนยากจน และสาวกรุ่นแรกของท่านก็เป็นคนยากจน เซ้งจึงรักพระเยซูของเขามาก เขาบอกว่าเขาอยู่ใกล้ชิดกับพระเจ้ายิ่งกว่าคนมั่งมี ในตอนบ่ายวันที่ ‘เจ้าคุณ’ ดุว่าเขานั้น เมื่อโรงเรียนเลิกแล้วฉันเห็นเซ้งที่สนาม และไปนั่งอ่านพระคัมภีร์อยู่ใต้ต้นลั่นทม ท่าทางของเขาสงบเสงี่ยมน่ารักมาก ฉันอยากให้ ‘เจ้าคุณ’ ได้มาเห็นเซ้งตอนนั้นจริง ๆ ฉันคิดว่าแม้แต่ยักษ์ถ้าได้เคยดุเขา ก็จะคิดเสียใจเมื่อได้พบเขาตอนที่นั่งอ่านพระคัมภีร์ทำปากขมุบขมิบอยู่คนเดียว”

จันทารู้สึกจับในใจเรื่องราวของเซ้ง ที่นิทัศน์ได้เล่าให้ฟังเพียงย่อ ๆ

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ