๘
ถัดจากคุณลมัยซึ่งอยู่ในฐานะกึ่งนายกึ่งบ่าวดังกล่าวแล้ว ยังมีการแบ่งชั้นใหม่ในหมู่พวกบ่าวลดหลั่นกันต่อไปอีก การแบ่งนี้เป็นการพยายามจัดฐานะของตนเอาในหมู่พวกบ่าวด้วยกัน บ่าวทั้งหลายต่างพยายามที่จะเลียนแบบจากเจ้าขุนมูลนายของตัว โดยที่พวกเขาได้พบเห็นสภาพของข้าเจ้าบ่าวนายตั้งแต่เกิดมา และมันก็ปรากฏอยู่ตลอดชีวิตของเขา บ่าวทั้งหลายจึงมักจะคิดเห็นไปว่าสภาพของการเป็นข้าเจ้าบ่าวนายนั้น เป็นสภาพที่ฟ้าดินได้กำหนดมาว่าจะต้องดำรงอยู่ตลอดไปและจะเลิกร้างเสียมิได้ ด้วยเหตุนี้แทนที่พวกบ่าวจะคิดสลัดภาคข้าเจ้าบ่าวนายให้หลุดพ้นไปจากแผ่นดินที่เขาได้ถือกำเนิดมา เพราะว่ามันเป็นสภาพอัปลักษณ์ไม่คู่ควรแก่ความเป็นมนุษย์บ่าวทั้งหลาย จึงกลับไปทำความตะเกียกตะกายที่จะได้เป็นเจ้าขุนมูลนายกับเขาบ้าง และได้ถือเอาชีวิตอันฟุ่มเฟือยด้วยความสุขสำราญแห่งมูลนายของตัวเป็นเครื่องจรรโลงใจว่า สักวันหนึ่งตัวอาจจะได้เปลี่ยนสภาพจากบ่าวไปเป็นมูลนายกับเขาบ้าง ก็พยายามที่จะทดลองซักซ้อมการเป็นมูลนายในระหว่างพวกบ่าวด้วยกัน คือบ่าวแต่ละคนก็พยายามที่จะยกตนขึ้นให้สูงกว่าคนอื่นและพยายามเหยียดคนอื่นให้ต่ำลงไปด้วยอากัปกิริยาที่เลียนแบบมาจากเจ้านายของตัว
ด้วยเหตุนี้จันทาจึงรู้สึกว่า ณ ที่นี้เขาได้พบเจ้านายหลายคนนัก นอกเหนือจากท่านเจ้านายจริง ๆ บนตึก บ่าวที่อยู่ในขั้นต่ำซึ่งถูกบ่าวชั้นสูงกว่ามาแสดงท่าทางเจ้านายเอากับตัว เมื่อมีโอกาสจะระบายปมด้อยของตัวแก่คนอื่นต่อไปอีกก็มักจะหันเข้าหาจันทา และแสดงอากัปกิริยาเจ้านายแก่เขาเพราะเขาเป็น “อ้ายเด็กบ้านนอก” ซึ่งถูกจัดเข้าไว้ในชั้นของมนุษย์ที่ต่ำต้อยที่สุด และก็เพราะว่าเขาไม่เคยแสดงปฏิกิริยาต่อการวางท่าเป็นเจ้านายของบ่าวเหล่านั้น เขาอาจถูกเข้าใจว่าเป็น “ลูกไล่” หรือ “หมูสนาม” แต่ที่แท้นั้นมันเนื่องมาจากความสำนึกสงบเสงี่ยมเจียมตัวอย่างยิ่งของเขา มันเนื่องมาแต่ว่าเขาไม่เคยรู้จักท่าทีเช่นนี้ในหมู่บ้านชนบทของเขา ในหมู่บ้านของแม่และพ่อที่เขาได้ร่วมชีวิตมาไม่มีสภาพของข้าเจ้าบ่าวนาย ที่นั่นมีแต่ความเป็นญาติพี่น้องกัน ที่นั่นเขาทั้งหลายมอบความเคารพนับถือโดยความสมัครใจให้แก่ผู้สูงอายุและแก่ผู้ที่มีคุณความดี มีความรู้เป็นประโยชน์แก่ชุมนุมของเขา และบุคคลเหล่านั้นก็รับความเคารพนับถือไว้ด้วยการแสดงเมตตาตอบ มิใช่แสดงอำนาจการข่มขู่หรือการวางท่าเป็นเจ้านาย ไม่มีการแบ่งชั้นและพวกในหมู่เขา เพราะการร่วมมือในการประกอบการงาน และการแสดงมุทิตาจิตต่อกันกลมกลืนกับผลประโยชน์แห่งการดำรงชีวิตตามแบบแผนของเขา
เพราะเหตุว่าท่าทีและความรู้สึกนึกคิดต่าง ๆ ที่จันทาได้พบภายในคฤหาสน์ใหญ่นั้น เป็นสิ่งที่เขาไม่รู้จักคุ้นเคยมาแต่ก่อน เขาจึงต้องการจะเรียนและรับรู้ไว้โดยสงบ เพราะว่าเขาปรารถนาจะได้อยู่ในเมืองสวรรค์ในกาลเวลาอันยืดยาวต่อไป เขาคิดว่าสิ่งต่าง ๆ ที่ผ่านมาสู่การรับรู้ของเขานั้นเป็นประเพณีอันดีงามที่ปฏิบัติเชิดชูกันอยู่ในเมืองสวรรค์ หรืออย่างน้อยก็ภายในบ้านของท่านอำมาตย์ใหญ่ การวางท่าทางเป็นเจ้านายของพวกบ่าวทั้งหลายนั้น เขาก็คิดว่ามันน่าจะเป็นประเพณีอันดีงาม วันหนึ่งที่เขาจำเรียนรู้จากคนเก่า และจำต้องอดทดที่จะไม่แสดงปฏิกิริยาตอบ และในวันหนึ่งเมื่อเขาได้กลายเป็นข้าเก่าและได้เรียนรู้ประเพณีอันอันดีงามจนจบแล้ว เขาก็อาจจะนำประเพณีอันดีงามเช่นการวางท่าเป็นเจ้านายออกใช้แก่บ่าวหน้าใหม่ได้เหมือนกัน ในบางครั้งคราวเขาก็คิดเห็นว่าการวางท่าเป็นเจ้านายนั้นมันก็ทำให้คนเราดูสง่างามและน่าสำราญใจอยู่เหมือนกัน หากว่าเขาจะได้มีโอกาสแสดงแก่ผู้อื่นบ้าง
มีบางอย่างเหมือนกันที่เด็กชายนักเดินทางผู้โผล่ออกมาจากชีวิตที่ดูประหนึ่งเป็นชีวิตในยุคก่อนประวัติศาสตร์ สงสัยอยู่ว่ามันอาจจะมิได้รวมอยู่ในประเพณีอันดีงาม ดังเช่นความอิจฉาริษยา การนินทาว่าร้าย และความคิดที่จะหักหลังกันเพื่อผลักดันตนเองให้ดีเด่นกว่าคนอื่น เขาไม่แน่ใจว่าเขาควรที่จะปฏิเสธหรือต้อนรับมัน อย่างไรก็ดีเขาคิดว่าไม่ว่ามันจะเป็นหรือไม่เป็นประเพณีอันดีงามก็ตาม แต่มันก็น่าจะเป็นสิ่งซึ่งผู้คนในนครหลวงจะต้องรู้จักมัน และอาจจะใช้มันในบางครั้งคราวในเมื่อคนทั้งหลายเขารู้จักและใช้กัน จันทาจึงมีความคิดเอนเอียงไปในทางที่ว่าเขาควรที่จะเรียนรู้มัน ในเมื่อเขาปรารถนาที่จะอยู่กับคนทั้งหลายในเมืองสวรรค์ต่อไป ถึงแม้ว่าเขาจะใหม่ต่อมันอย่างยิ่งและถึงแม้ว่าเขาจะมีความอึดอัดหนักใจที่จะทำความคุ้นเคยกับมัน
เมื่อเขาถูกพวกบ่าวชั้นสูงเช่นคุณลมัยหรือแม่ครัวก็ตามใช้ให้ทำงาน น้อยนักที่เขาจะได้รับคำขอบใจหรือเห็นใจจากคนเหล่านั้น ความคิดของคนพวกนั้นมีอยู่ว่า เพราะเขาเป็นเด็กมาจากบ้านนอก ทั้งมาจากภาคที่กันดารแร้นแค้นอย่างที่สุด เขาถึงถูกถือว่าเป็นคนชั้นต่ำต้อยและโง่เง่าเต่าตุ่นอย่างที่สุด การที่เขาได้เข้ามาอยู่ในกรุงเทพ และยังได้มีโอกาสมาพึ่งใบบุญของท่านขุนนางผู้ใหญ่ อันเป็นเครื่องเกื้อกูลให้เขาได้รอดพ้นจากความอดอยากปากแห้งหรืออดตายเช่นนี้ จึงนับว่าเป็นบุญลาภอย่างยิ่ง การทำงานไม่ว่าจะหนักเบาอย่างไรเพื่อแลกเปลี่ยนกับความอดตาย และโอกาสอันประเสริฐที่ได้มาอยู่ร่วมกับพวกเขาที่ได้รมกลิ่นไอของพวกผู้ดีมาเป็นเวลานานนั้น ย่อมเป็นสิ่งธรรมดาสามัญสำหรับเด็กบ้านนอกเช่นเขาทุกประการ เพราะฉะนั้นจึงเป็นการฟุ่มเฟือยเกินไปที่เขาควรจะได้รับความขอบอกขอบใจอะไรอีก จันทาเองก็ออกจะเห็นพ้องด้วยกับความคิดข้อนี้ และสิ่งที่เขาคิดว่าเขาควรจะปรับปรุงต่อไปในตัวเขาก็คือ การพยายามลอกคราบของเด็กบ้านนอกในตัวเขาให้หลุดออกไปให้มากที่สุด เขาคิดว่าโรงเรียนเทเวศร์รังสฤษดิ์และเด็กนักเรียนลูกผู้ดีและเด็กที่ฉลาดของโรงเรียนนั้นจะช่วยเขาได้เฉพาะอย่างยิ่งนิทัศน์ ในกาลต่อมาเขาก็ตระหนักว่านิทัศน์ช่วยเขาได้จริง แต่มิใช่ทางรักษาเชิดชู “ประเพณีอันดีงาม” ภายใน “ปราสาท” หลังนั้น และก็มิใช่ทางที่เขาประสงค์อยู่ในขณะนี้
ณ ที่นี่เขาได้พบ “ประเพณีอันดีงาม” ที่เด่นสะดุดตาอีกประการหนึ่ง และเมื่อเขาได้มีโอกาสสนทนาวิสาสะกับพวกนักเรียนลูกผู้ดีมีสกุลที่โรงเรียนในระยะเวลาพอสมควรแล้ว ความเข้าใจของเขาต่อประเพณีอันดีงามข้อนี้ก็ออกจะเป็นที่แจ่มแจ้งแก่เขา เด็กชายนักเดินทางไกลจากเมืองขุขันธ์ได้เรียนรู้ว่าในเมืองสวรรค์นี้ การทำงานเลี้ยงชีพอย่างตรากตรำและด้วยการใช้เรี่ยวแรงของตนเองนั้น เป็นสิ่งที่ได้รับการเหยียดหยามว่าเป็นการต่ำช้า.... บุคคลที่รับจ้างทำงานออกแรงและทำการค้าขายเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยความดิ้นรนขวนขวายเพื่อเลี้ยงชีวิตไปวันต่อวันถูกจัดว่าเป็นคนชั้นต่ำ และแม้เขาเหล่านั้นจะประกอบแต่สัมมาอาชีพและมีความซื่อสัตย์สุจริตก็ดี ก็ยังคงเป็นที่รังเกียจเหยียดหยามอยู่นั่นเอง ! การทำงานรับจ้างมีอยู่ประเภทเดียว ที่ได้รับการรับรอง ซึ่งไม่มีใครรู้สึกกันว่าเป็นงานรับจ้างชนิดหนึ่งเหมือนกับงานรับจ้างทั้งหลาย เพราะถือกันว่าการรับราชการเป็นการ “สนองพระเดชพระคุณของพระเจ้าแผ่นดิน หรือสนองคุณชาติบ้านเมือง” แม้แต่เสมียนขั้นต่ำสุดหากว่าได้ทำงานที่เรียกว่าเป็นการรับราชการแล้ว ก็ถือกันว่าเป็นการทำงานเพื่อสนองพระเดชพระคุณ หรือสนองคุณชาติบ้านเมืองทั้งนั้น และเขาเหล่านั้นก็มีหวังได้รับพระราชทานสัญญาบัตรเป็นขุนนาง คือได้เปลี่ยนฐานะจากพวกไพร่สามัญชนไปสู่ฐานะพวกผู้ดีหรือชนชั้นสูง ส่วนคนทำงานประเภทอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นงานที่ใช้แรงกาย หรืองานประเภทที่ใช้ฝีมือหรือวิชาชีพใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นงานก่อสร้างถนนหนทางและตึกราม ตลอดจนการก่อสร้างพระราชวัง วัดวาอาราม และงานกสิกรรมปลูกข้าวเลี้ยงประเทศและผู้คนทั้งประเทศก็ดี คนทำงานจำนวนมากมายมหึมาเหล่านั้น แม้ว่างานของเขาจะมีคุณค่าแก่การดำรงอยู่ของประเทศชาติเพียงใด เมื่อมิได้รับราชการแล้วงานของเขาก็มิได้ถูกถือว่าเป็นการสนองคุณชาติบ้านเมืองแต่อย่างใด การทำงานของเขาคงถูกถือว่าเป็นการกระเสือกกระสนหาเลี้ยงชีพไปวันหนึ่ง ๆ แตกต่างกว่าเสมียนหรือบุคคลทั้งหลายที่ “รับราชการ” เพราะบุคคลที่รับราชการนั้นมิได้ทำงานเพื่อการกระเสือกกระสุนหาเลี้ยงชีวิตไปวันหนึ่ง ๆ การทำงานของเขาเพื่อ “การสนองพระเดชพระคุณของพระเจ้าแผ่นดิน หรือสนองคุณชาติบ้านเมือง” เมื่อบรรดาผู้ที่สร้างถนน สร้างทางรถไฟ ขุดคลอง สร้างเขื่อนชลประทาน สร้างอาคารตึกราม สร้างวังและวัด ประกอบศิลปกรรมนานาชนิด ตลอดจนทำสวนปลูกข้าวเลี้ยงประเทศอันมีจำนวนมหึมามหาศาลมิได้ถูกถือว่าเป็นผู้ทำงาน “สนองพระเดชพระคุณพระเจ้าแผ่นดิน หรือสนองพระคุณชาติบ้านเมือง” แล้ว เขาเหล่านั้นก็ถูกถือว่าเป็นพวกไพร่สามัญชน และไม่มีโอกาสจะได้เป็นขุนนางหรือเปลี่ยนไปเป็นพวกผู้ดี ตลอดจนไม่มีโอกาสที่จะได้รับพระราชทานที่ดินและทรัพย์สินใด ๆ จากพระเจ้าแผ่นดินกับเขาเลย
จันทาได้รับคำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องราวของท่านพวกผู้ดีจากบ่าวในบ้านบางคนอย่างกระท่อนกระแท่น คนแรกที่ให้คำอธิบายแก่เขาอย่างมีเนื้อหาและดูเข้าทีคือ “อีปราง” เด็กของคุณลมัย เพราะ “อีปราง” ได้รับฟังจากคุณลมัยผู้เป็นเอตทัคคะในเรื่องนี้อีกทหนึ่ง ตามคำอธิบายของปราง จันทาพอประมาณได้ว่า พวกผู้ดีนั้นคือเหล่าท่านที่มั่งมีศรีสุข มียศมีศักดิ์อัครฐานและบริวารแวดล้อมคับคั่งไม่ต้องทำอะไรก็มีกินมีใช้อย่างอุดมสมบูรณ์ ถ้าท่านยังรับราชการอยู่ลูกเมียของท่านก็นั่งกินนอนกินทรัพย์สมบัติของท่านไปโดยไม่ต้องอาทรร้อนใจ ตลอดจนมีบ่าวไพร่บริวารไว้ใช้สอยในกิจการงานทุกชนิด เมื่อตัวท่านออกจากราชการ ท่านก็นอนกินบำเหน็จบำนาญไปจนตาย ไม่ต้องเดือดร้อนกังวลเหมือนคนทั้งหลายที่ไม่ได้รับราชการสนองพระเดชพระคุณเจ้านาย ถ้าท่านรับราชการเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าแผ่นดินหรือเจ้าใหญ่นายโต ท่านก็ยังจะได้รับพระราชทานที่ดินเรือกสวนไร่นา ตลอดจนเงินทองเป็นพิเศษ เมื่อเป็นดังนี้ทรัพย์สมบัติอันก่ายกองของท่านก็จะเป็นที่อาศัยใช้สอยนอนกินไปได้จนชั่วหลานเหลน ความเป็นผู้ดีของท่านก็จะยิ่งใหญ่แพรวพราวขึ้นเพราะเหตุนี้ ท่านผู้ดีเหล่านี้ผิวพรรณของท่านย่อมงดงามผุดผ่องเพราะท่านไม่ต้องออกไปทำงานตากแดดตากลม ฝ่ามือฝ่าเท้าของท่านอ่อนนุ่มไม่กระด้างสากคาย เพราะได้รับการทะนุถนอมใช้ เฉพาะอย่างยิ่งคือท่านกุลสตรี ความลอยเด่นแห่งความเป็นผู้ดีของท่านเหล่านี้ย่อมวัดได้จากการที่ท่านไม่ต้องเอามืออันอ่อนลมุนของท่านแตะลงไปบนงานหนักหรืองานหยาบใด ๆ ถ้าท่านใช้มือของท่านในการทำงานหนักและหยาบน้อยเท่าใด ก็ย่อมเชิดชูความเป็นผู้ดีของท่านได้เด่นชัดขึ้นเท่านั้น ท่านกุลสตรีผู้ดีย่อมครองชีพของท่านตามแบบอย่างที่แสดงไว้ในบทกวีนิพนธ์ของท่านโบราณจารย์ กรณียกิจอันเป็นแก่นสารแห่งชีวิตของท่านเมื่อสมรสแล้วก็คือการบำเรอปรนนิบัติสามีและมอบความจงรักภักดีของท่านให้แก่สามีโดยสิ้นเชิงปราศจากเงื่อนไข แม้ว่าตัวท่านจะไม่ได้รับความภักดีของสามีผู้ดีของท่านเป็นการตอบแทนก็ดี กุลสตรีผู้เป็นภรรยาจะต้องยอมรับนับถือโดยชื่นตาว่าเป็นเอกสิทธิ์ของท่านสามีที่ได้มีมาแต่โบราณกาล และนับเนื่องเข้ามาใน “ประเพณีอันดีงาม” ที่สำคัญยิ่งอันหนึ่งซึ่งกุลสตรีจะต้องร่วมมือกับกุลบุตรค้ำจุนไว้ให้สถิตอยู่ชั่วนิรันดร์ เมื่อกุลสตรีผู้ภริยาบำเพ็ญคหปตานีธรรมในส่วนนี้ได้เต็มเปี่ยมเพียงใด ก็ย่อมจะได้รับยกย่องจากท่านสามีว่าเป็น “ภริยาแก้ว” เกี่ยวกับการบำเพ็ญธรรมข้อนี้ “อีปราง” ผู้ได้ฟังสาธยายตำรับของท่านโบราณจารย์มาจากคุณลมัย และได้ถือตามอย่างเคร่งครัดได้กระซิบวิจารณ์คุณหญิงกับจันทาว่า เจ้านายของตนดูจะเสียแต้มผู้ดีชั้นสูงไปหน่อย เพราะว่าแม้จะยอมรับเอกสิทธิ์ของท่านเจ้าคุณในเรื่องนี้ก็ดูจะไม่เป็นการยอมรับอย่าง “ชื่นตา” ทีเดียว
ปรางเล่าว่า มิใช่ว่าท่านกุลสตรีจะอยู่นิ่ง ๆ เสียทีเดียว ท่านย่อมขวนขวายศึกษาศิลปศาสตร์เหมือนกัน แต่ศิลปศาสตร์ที่ท่านศึกษาก็ดำเนินไปตามวิถีที่จะส่งเสริมคุณค่าแห่งการบำเรอปรนนิบัติสามี และแสดงความจงรักภักดีต่อสามีของท่านให้เด่นยิ่งขึ้น ท่านกุลสตรีย่อมมีความรู้ในงานฝีมือจำพวกเครื่องประทินและการปรุงอาหาร
การสนทนากับปรางเป็นครั้งคราวทำให้จันทาได้ทราบรายละเอียดความเป็นไปในบ้านใหญ่รวมทั้ง “ประเพณีอันดีงาม” ต่างๆ กว้างขวางขึ้น เพราะปรางอยู่ใกล้ชิดกับคุณลมัยผู้เป็นเสมือนหนึ่งต้นตำรับของเรื่องเหล่านี้ จันทายอมรับคำอธิบายของปรางเกี่ยวกับเรื่องราวของพวกผู้ดีว่าเป็นคำอธิบายที่มีหลักฐานควรเชื่อถือ เพราะว่าภาวะการณ์ต่าง ๆ ที่ได้เห็นใน “ปราสาท” นั้นมันสอดคล้องกับคำอธิบายของปรางเขาทราบว่าคุณหญิงไม่ต้องการงานอะไร กรณียกิจแห่งชีวิตของท่านก็คือ การปรนนิบัติท่านเจ้าคุณสามี แม้แต่การเลี้ยงดูบุตรก็มีพี่เลี้ยงนางนมรับภาระส่วนใหญ่ คุณหญิงได้ใช้เวลาว่างทำการงานเบา ๆ บ้างเหมือนกัน เช่นงานเย็บปักถักร้อยเป็นอาทิ แต่ก็เป็นการทำเพียงเพื่อแก้รำคาญหรือฆ่าเวลาว่างที่มีอยู่มากมายเท่านั้น เพราะความจริงท่านไม่มีความจำเป็นจะต้องทำงานเหล่านั้นเลย รายได้ที่ท่านเจ้าคุณได้แต่ผู้เดียวย่อมเป็นหลักประกันการเป็นอยู่อันแสนสะดวกสบายของครอบครัวทั้งหมด โดยที่คุณหญิงไม่จำเป็นต้องกระดิกตัวเลย แม้แต่คุณอบเชยและคุณบานชื่นก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องทำการงานที่เป็นการเลี้ยงชีพอะไร และก็เพราะว่าท่านเจ้าคุณแต่ผู้เดียวเป็นผู้หาเลี้ยงครอบครัวทั้งหมดและเป็นหลักชีวิตอันแสนจะสะดวกสบายของคุณหญิงได้อิงอยู่อย่างปลอดภัยสิ้นเชิง เสียงของเจ้าคุณจึงเป็นเสียงที่สิทธิขาดภายในบ้าน และการกระทำใด ๆ ของเจ้าคุณจึงย่อมอยู่เหนือการวิพากย์วิจารณ์ รวมทั้งที่ท่านได้เลือกคุณอบเชยและคุณบานชื่นเป็นภรรยาของท่านก็ไม่ถูกถือว่าเป็นการขาดความซื่อตรง หรือเป็นความประพฤติที่ชั่วร้ายแต่อย่างใด หากยังได้รับความนับถือว่าเป็นการเพิ่มพูนบารมีของท่านเจ้าคุณเอง
การเป็นอยู่ของครอบครัวในคฤหาสน์ใหญ่นี้นับว่าเป็นของใหม่สำหรับจันทา เพราะว่าในหมู่บ้านชนบทอันต่ำต้อยของเขานั้น ไม่เพียงแต่ผู้ชายที่ได้ทำงานหาเลี้ยงครอบครัว หากผู้หญิงก็ได้เข้าร่วมในการหาเลี้ยงครอบครัวไม่หย่อนไปกว่าผู้ชาย ที่หมู่บ้านของเขาสามีไม่ได้หาเลี้ยงภรรยา และภรรยาไม่มีกิจแต่เพียงบำรุงโฉมและคอยปรนนิบัติสามี หากทั้งสองคนได้ร่วมแรงกันเพื่อทำการผลิตเพื่อการดำรงชีพ ในหมู่บ้านของเขาผู้หญิงมิใช่เป็นเครื่องประดับหรือเครื่องบำเรอ แต่ได้มีบทบาทสำคัญในการหาเลี้ยงครอบครัวเคียงคู่ไปกับชายทีเดียว ชีวิตของเขาได้มาเติบโตมาด้วยเมล็ดข้าวและอาหารจากน้ำพักน้ำแรงของแม่ไม่น้อยกว่าของพ่อ แต่ชีวิตของคุณวัชรินทร์ไม่ได้เติบโตมาด้วยอาหารที่เกิดจากน้ำพักน้ำแรงของคุณหญิง และแม้แต่จากน้ำนมของคุณหญิงเอง คุณวัชรินทร์มีคุณแม่ผู้สูงศักดิ์ และได้เลี้ยงดูบำเรอให้มีความสุขด้วยทรัพย์สินที่ท่านมิได้มีส่วนร่วมในการหา จันทามีแม่ผู้ต่ำต้อย ซึ่งเลี้ยงดูเขามาตามประสายากด้วยน้ำนมของแม่และด้วยน้ำพักน้ำแรงของแม่เอง เมื่อนึกถึงความจริงข้อนี้แล้ว เขารู้สึกจับใจในพระคุณของแม่ยิ่งกว่าแต่ก่อน และมันได้กระตุ้นให้เขาเกิดความปรารถนาที่จะทำสิ่งอันเป็นที่น่าชื่นชมแก่แม่ หากแม่สามารถทราบได้ จันทาคิดว่าเด็กทั้งหลายซึ่งมีแม่ผู้ยากจนและเลี้ยงดูตนมาอย่างเหนื่อยยากด้วยน้ำพักน้ำแรงของแม่เองคงจะรู้สึกทำนองเดียวกับเขา และจากความจริงข้อนี้เขาก็พอจะเข้าใจในความรักและความเคารพอันล้ำลึกที่นิทัศน์ได้มีต่อแม่ของเขา
นับแต่ได้มาอยู่ภายใต้บารมีของท่านขุนนางผู้ประเสริฐที่จะได้เรียนรู้เรื่องราว ตลอดจนความประพฤติของพวกผู้ดี และก็จะได้จดจำแบบอย่างความเป็นผู้ดีของท่านเหล่านั้นไว้ แม้ว่าจะมิใช่โดยตรงก็คงจะได้เรียนรู้จากพวกบ่าวด้วยกัน เท่าที่เขารวบรวมความรู้ได้จากทางบ้านและจากโรงเรียนนั้น บุคคลจะเป็นดีได้จะต้องเป็นคนโปรดของพระเจ้าแผ่นดินหรือทำความดีความชอบต่อพระเจ้าแผ่นดิน เมื่อพระเจ้าแผ่นดินทรงโปรดท่านก็จะตั้งให้เป็นขุนนาง หรือตั้งให้เป็นผู้ดีนั่นเอง รองจากพระเจ้าแผ่นดินลงมาคือพระบรมวงศานุวงศ์ หรือพวกขุนนางผู้ใหญ่ ซึ่งอาจจะช่วยปลุกเสกผลักดันให้บุคคลเป็นผู้ดีได้ ทางที่จะพาชีวิตไปสู่ความเป็นผู้ดี และความบรมสุขก็มีแต่ทางนี้ทางเดียว บัดนี้จันทาก็ได้เข้ามาอยู่ในหนทางนั้นแล้ว แม้ว่าชีวิตอันบรมสุขจะเป็นเพียงภาพฝันอันอยู่ห่างไกลลิบลับ แต่ว่ามันก็มิใช่ความฝันที่เหลวไหลเพ้อเจ้อ เพราะท่านอาจารย์ได้บอกเขาว่า หากเขาอุตส่าห์เล่าเรียนจนมีวิชาความรู้พอที่จะรับราชการเป็นเสมียนได้ ท่านเจ้าคุณซึ่งเป็นอำมาตย์ใหญ่อยู่ในกระทรวงมหาดไทยก็คงจะจัดการให้เขาได้รับราชการในกระทรวงได้ และเขาก็มีหวังจะเป็นขุนนางได้ ถ้าบ่าวบางคนเช่นนายเบี้ยวคนทำสวน คิดฝันจะเป็นขุนนางก็จะเป็นการฝันอย่างเพ้อเจ้อ แต่สำหรับตัวเขาซึ่งได้เรียนหนังสือร่วมสำนักกับคุณวัชรินทร์ ฝันของเขาย่อมเป็นที่ประกอบด้วยความหวัง การระลึกถึงความจริงข้อนี้ทำให้เขาอิ่มใจและมีมานะในการเล่าเรียน โดยไม่คำนึงถึงความยากลำบากใด ๆ และความจริงก็ไม่เคยมีความยากลำบากใด ๆ ที่เขาได้มาพบในกรุงเทพจะเกินไปกว่าความยากลำบากที่เขาได้ผจญมาในชนบทอันเขาได้แลดูมันอย่างเป็นของปกติธรรมดาของชีวิต
อย่างไรก็ดี การที่เขาได้โผล่ออกมาจากขนบชีวิตของยุคดึกดำบรรพ์แห่งหมู่บ้านชนบท อันเป็นขนบชีวิตที่ปวงสมาชิกของหมู่บ้านมีความสัมพันธ์ต่อกันฉันเครือญาติ เป็นชีวิตแห่งการร่วมทุกข์ร่วมสุขกันอย่างแท้จริง และในส่วนใหญ่ทุกคนทำการผลิตเพื่อกินเพื่อใช้ เพื่อนำออกขายในท้องตลาด และไม่ปล่อยให้เงินตรามีอำนาจเด็ดขาดในการบังคับบัญชาวิถีชีวิตพร้อมทั้งนำความชั่วร้ายนานาชนิดที่เป็นฝาแฝดของเงินตรามาโปรยหว่านไว้ในหมู่บ้านชนบท เป็นขนบชีวิตที่ชายหญิงยืนเคียงคู่ร่วมกันทำงานเลี้ยงชีวิต คู่สามีภรรยาต่างมีความมั่นใจในความภักดีของกันและกัน และขนบชีวิตอันนี้เอง ก็ได้บรรจุความเปิดเผยไร้มารยาความสัตย์ซื่อ ความโอบอ้อมอารีและความอดทนไว้ในดวงวิญญาณของเขา จากชีวิตของยุคดึกดำบรรพ์ดังกล่าวนี้ จันทาได้เข้ามาปะปนคลุกคลีอยู่ในกลุ่มชีวิตของอารยธรรมแห่งเมืองสวรรค์ที่เป็นของใหม่ต่อเขาทุกประการ เขาได้ผ่านการคบหาสมาคมกับเด็กวัดในกรุงเทพ ผู้เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมอันฉกาจ และความคิดที่ก่อรูปขึ้นมาจากภาวะที่ความอดโซและความอุดมสมบูรณ์ของชีวิตประจันหน้ากันอยู่ ความฟุ้งเฟ้อ ความโลภตะกละตะกรามและความมัธยัสถ์อดออมอย่างสุดขีดอิงแอบแนบชิดกัน การดิ้นรนเพื่อเอาตัวรอด การกอบโกยสะสมเพื่อความมั่งคั่งอันสะดุดตาราวกับรูปปิระมิดของกษัตริย์คูฟูและคำสั่งสอนศีลธรรม ความสันโดษมักน้อยดำเนินคลอเคียงกันไป ครั้นแล้วเขาได้มาอยู่ใน “ปราสาท” ของเจ้าขุนมูลนายซึ่งผู้คนในบ้านนั้นได้แบ่งออกเป็นชั้นมูลนายและชั้นบ่าว และในระหว่างชั้นทั้งสองนั้นยังมีการจัดลำดับชั้นสูงชั้นต่ำกันต่อไปอีก ภายในคฤหาสน์ใหญ่นี้เขาได้พบว่าคนทุกคนฝากชีวิตไว้กับท่านประมุขของครอบครัว ท่านกุลสตรีผู้เป็นมูลนายไม่ต้องทำการงาน บ่าวทั้งหลายเป็นผู้บำเรอท่านและตัวท่านก็มีหน้าที่บำเรอผู้เป็นประมุขอีกทีหนึ่ง ความสัมพันธ์ของผู้คนภายในครัวเรือนมิใช่เป็นเครือญาติ แต่เป็นฉันนายกับบ่าว มีความแตกแยกกันระหว่างกุลสตรีผู้เป็นภรรยา และความแตกแยกนั้นได้ลุกลามมาถึงพวกบ่าว และในระหว่างพวกบ่าวก็มีความริษยาแก่งแย่งชิงดี เพื่อหวังบำเหน็จจากผู้เป็นประมุข จากระเบียบแบบแผนของชีวิตผู้ดีอันดูซับซ้อนและเป็นชีวิตที่เขาปรารถนาจะเรียนรู้เพื่อยึดถือเป็นแบบอย่างนี้ เขาได้เข้าไปสู่โรงเรียนอันมีศักดิ์และใช้ชีวิตปะปนอยู่กับเหล่านักเรียนผู้มาจากตระกูลของพวกผู้ดี และจากที่อื่น ๆ อีก เขาได้รับมิตรภาพอันอบอุ่นจากเด็กชายในครอบครัวที่ค่อนข้างยากจนและชีวิตเป็นอิสระ เพราะการร่วมมือกันทำงานจนสุดกำลังของสองสตรีแม่ลูก แม้ว่าเมื่อแลดูภายนอก ชีวิตของครอบครัวนิทัศน์จะดูขรุขระขมุกขมอม แต่ภายในมีแสงสว่างแจ่มใส และมีความกลมกลืนอันชื่นฉ่ำของชีวิต ต่างกับครอบครัวของชีวิตอันสูงศักดิ์ ซึ่งมีความสง่าเฉิดฉาย ณ ภายนอก แต่ภายในมีความขัดแย้งสับสนและซับซ้อนของ “ประเพณีอันดีงาม” ที่ชวนให้ฉงนสนเท่ห์ แล้วยังมีสิ่งอื่น ๆ ที่เขาได้พบเห็นในโรงเรียนอันทรงศักดิ์นั้นอีก
แม้ว่านักเดินทางผู้เยาว์วัยแห่งเมืองขุขันธ์จะได้ใช้เวลาเพียงไม่กี่ปีผ่านมาในชีวิตเหล่านี้ แต่จากยุคสมัยของขนบชีวิตแห่งหมู่บ้านชนบทที่เขาได้โผล่ออกมาและได้มาสู่ยุคสมัยของขนบชีวิตแห่งอารยธรรมในนครหลวง และยุคสมัยภายใน “ปราสาท” ของท่านขุนนางผู้ใหญ่นั้น มันอยู่ห่างไกลกันหลายพันปี การเดินทางบนเส้นทางชีวิตที่ต้องผ่านมาในยุคสมัยอันห่างไกลกันลิบลับเช่นนี้ หากว่านักเดินทางน้อยแห่งตำบลดงขะยูงอันเป็นถิ่นของแม่ และหมู่บ้านโนนดินแดงอันเป็นถิ่นของพ่อ จะได้หลงทางไปบ้างก็ควรจะนับว่าเป็นของธรรมดาทีเดียว ทั้งยังมีหนทางอันไกลและมียุคสมัยที่รอคอยเขาอยู่ข้างหน้าและเขาจะต้องผ่านเข้าสู่ภายในเวลาไม่กี่ปีต่อจากนี้ไป ความสลับซับซ้อนของชีวิตที่กาลเวลาจะนำเขาไปเผชิญกับมันนั้นจะผลักดันให้เขาเดินโซซัดโซเซหลงทางไป แล้วก็ได้กลับคืนสู่ร่องรอยอันถูกต้องอีกหรือไม่นั้น เป็นเรื่องที่เราจะได้เฝ้าติดตามดูการเดินทางของเขาต่อไป แต่เขาเป็นนักเดินทางผู้เปล่าเปลี่ยวเดียวดาย สมควรจะได้รับความเห็นใจอย่างหนักหนานั้น แน่ละ เขาเป็นนักเดินทางข้ามยุคข้ามสมัย และจะต้องฝ่าไปในพายุของความเปลี่ยนแปลงอันใหญ่หลวง โดยปราศจากเข็มทิศ อ้า, นักเดินทางน้อยแห่งเมืองขุขันธ์ผู้น่าสงสาร