ภายหลังที่ได้มาอยู่ในคฤหาสน์อันใหญ่โตโอ่อ่า และต่อมาได้เข้าเรียนในโรงเรียนเทเวศร์รังสฤษดิ์ อันเปรียบเสมือนการอพยพจากโลกหนึ่งมาอยู่อีกโลกหนึ่งเป็นเวลาร่วมหนึ่งปี และได้พบเห็นสิ่งต่าง ๆ ที่แปลกใหม่น่าพิศวงเป็นอันมาก จันทา โนนดินแดง นักเดินทางผู้เยาว์วัยก็อดเปรียบเทียบสิ่งแปลกใหม่เหล่านั้นกับสิ่งแวดล้อมชีวิตในอดีตของเขาเสียมิได้ ทั้งสิ่งแปลกใหม่ที่เขาได้พบเห็นในปัจจุบันนั้นเล่า ก็มีลักษณะที่แตกต่างกัน และชวนให้เขาอกยกขึ้นเปรียบเทียบกันไม่ได้ และอดที่จะพิศวงไม่ได้

จันทาได้เผชิญชีวิตอันพวกชาวนาคร ย่อมเห็นว่าเป็นชีวิตต่ำต้อยแร้นแค้น และเต็มไปด้วยความลำบากมาตั้งแต่เขายังเป็นทารกไม่สามารถจะพึ่งตนเองได้ เขาได้มีส่วนร่วมกับผู้ใหญ่ในครอบครัวทำงานเลี้ยงชีวิตตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็ก เขาเคยพาควายออกไปเลี้ยงในทุ่ง ไปหิ้วน้ำจากห้วยหนอง ไปเก็บฟืนในป่า และตำข้าว และก็ตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็กเหมือนกันที่เขาได้เข้าร่วมผจญกับความอดอยากและความหนาว เขาเคยออกไปหาอาหารในป่าและในทุ่งนา ขุดกลอยขุดมันจับกบเขียดและตัวแมลงกินในยามอดอยากปากแห้ง ไปเที่ยวเก็บกิ่งไม้ใบไม้มาก่อไฟบรรเทาความหนาว แต่เขาก็ไม่เห็นว่าความยากแค้นลำเค็ญที่ห้อมล้อมชีวิตของเขาอยู่นี้เป็นของแปลก เพราะว่าพอเขาลืมตาขึ้นมาเห็นโลกเห็นหมู่บ้านของเขา เขาก็ได้รู้จักมันเพราะเขาได้เห็นมันและเคยชินกับมันมาตั้งแต่เกิด จนกระทั่งเขาโตขึ้นและได้จากมันมา เขาได้เกิดและเจริญวัยขึ้นมาในหมู่บ้าน ซึ่งเป็นเสมือนโลกทั้งโลกของเขาที่ผู้คนแทบทั้งหมดในโลกนั้น ได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันเหมือนเครือญาติและครัวเรือนร่วมร้อยครัวในหมู่บ้านของเขา ก็ถูกนับว่าเกี่ยวดองเป็นเครือญาติกันจริงๆ ในหมู่บ้านหรือในโลกของเขา ทั้งชายและหญิง ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ต่างก็เข้าร่วมในการออกแรงทำงานเลี้ยงชีวิตตามกำลังความสามารถ เขากินเขาใช้สิ่งที่เขาได้ทำขึ้นด้วยพักน้ำแรงของเขาเอง เขาช่วยเหลือกันในการทำงาน วัฒนธรรมของเขาคือวัฒนธรรมที่คลี่คลายออกมาจากชีวิตของการทำงานและการร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกัน และศีลธรรมของเขาก็คลี่คลายออกจากวิถีทางอันเดียวกัน ความซื่อตรงเปิดเผย ปราศจากเล่ห์เหลี่ยม ความเผื่อแผ่โอบอ้อมอารี และความเห็นอกเห็นใจกันอย่างจริงใจเป็นผลจากการทำงาน หาเลี้ยงชีวิตตามแบบชาวชนบทของเขา พวกเขายังมีชีวิตอยู่อย่างง่าย ๆ ด้วยความสงบเงียบและอดทน โดยทำของกินของใช้ด้วยน้ำพักน้ำแรงของเขาเอง และโดยที่เงินตราไม่ได้มีอิทธิพลในการเลี้ยงชีวิตของเขา พวกเขาจึงไม่รู้จักความฟุ่มเฟือยของชีวิต ไม่รู้จักการกอบโกยสะสมด้วยโลภจริต ไม่รู้จักการแก่งแย่งเบียดเบียนทำลายล้างกัน ด้วยเหตุนี้ความปลิ้นปล้อนตลบแตลง และการใช้เล่ห์กระเท่ห์ในการดำเนินชีวิต จึงไม่ปรากฏในหมู่พวกเขา ในชุมนุมของพวกเขาไม่มีข้าเจ้าบ่าวนาย ไม่มีการกดขี่เหยียดหยามระหว่างเพศ ความสัมพันธ์ในหมู่พวกเขา เป็นความสัมพันธ์ฉันเครือญาติ เป็นความสัมพันธ์ที่รวมชีวิตทั้งหลายเข้าเป็นชีวิตหนึ่งเดียว แล้วก็ร่วมทุกข์สุขด้วยกัน เป็นตายด้วยกันเมื่อถูกเบียดเบียนจากภัยธรรมชาติเช่นฝนแล้ง หรือน้ำท่วม พวกเขาทั้งหมดก็ร่วมความอดอยากด้วยกัน ในยามเจ็บป่วยพวกเขาก็รักษาพยาบาลกันเอง ไม่มีนายแพทย์ผู้ทรงคุณวุฒิที่ไหนเข้าไปช่วยเหลือเขา เมื่อโรคระบาดจู่โจมเข้ามาในหมู่บ้านของเขา เขาก็ตายไปเป็นหมู่เป็นเบื่อเหมือนใบไม้แห้งที่ร่วงพรูลงมาจากต้นคราถูกพายุพัดกระโชก นี่แหละเป็นสภาพแห่งการเป็นตายของเขา ที่ตรงตามตัวหนังสือจริง ๆ มิเป็นเพียงแต่โวหารเปรียบเทียบ

จริงอยู่มี “แกะดำ” เกิดขึ้นในหมู่พวกเขาเหมือนกัน เช่นเดียวกับที่มีอยู่ในทุกแห่งทุกหนและการที่มี “แกะดำ” เกิดขึ้นที่นี่ก็เป็นอุบัติการณ์อันเนื่องมาแต่ภาวะทางเศรษฐกิจอีกนั่นแหละ มีคนประพฤติตัวเป็นโจรผู้ร้ายเกิดขึ้นเป็นครั้งคราว ในเมื่อเกิดความอดอยากขาดแคลนขึ้นในตำบลของเขา และตำบลใกล้เคียงและก็มี “แกะดำ” อีกจำพวกหนึ่งที่ถือโอกาสขูดรีดเลือดเนื้อของพวกเขา ด้วยการให้กู้ข้าวไปกินและเรียกดอกเบี้ยข้าวอย่างแรง ทำให้อิสรภาพในการครองชีวิตของเขาที่ได้มีมาแต่โบราณกาลเสื่อมสลายไปเป็นลำดับ และ “แกะดำ” จำพวกหลังนี้จะนับว่าเป็นสมาชิกคนหนึ่งในหมู่พวกเขาก็ไม่ถนัด เพราะว่านับแต่เขาหรือครอบครัวของเขาได้เปลี่ยนฐานะไปเป็นผู้ทำการเบียดเบียนขูดรีดพี่น้องในชุมนุมของเขา ก็เท่ากับว่าเขาได้คัดตัวของเขาเองออกไปนอกชุมนุมน้อย ๆ แห่งหมู่บ้านและตำบลของเขาเสียแล้ว และตัวเขาก็เหมือนกับคนแปลกหน้าคนหนึ่งในหมู่บ้านเท่านั้น

นอกจากความด่างพร้อยที่พวก “แกะดำ” สองสามตัวได้นำมาแต้มไว้ในชุมนุมของเขาแล้วโดยทั่วไปพวกเขาก็ดำรงชีวิตด้วยความสงบ และปราศจากโทษภัยแก่สังคมส่วนรวม ความสงบของเขาจะถูกก่อกวนอีกทางหนึ่งก็จากเจ้าหน้าที่ของบ้านเมืองผู้ทรยศต่อหลักการแห่งการปฏิบัติหน้าที่นั่นเอง และเขาก็ได้แต่จะต้องยอมจำนนหมอบราบต่อการก่อกวนชนิดนี้ ซึ่งเขาคิดว่าไม่มีทางต่อกรได้เลย

โดยที่พวกเขาก็เป็นมนุษย์ปุถุชนเหมือนคนทั้งหลาย พวกเขาบางคนก็ได้ประพฤติในสิ่งที่ไม่สมควรเหมือนกัน คือกินเหล้าเมายาเล่นการพนัน และนั่นก็เป็นเพราะว่าไม่มีการบันเทิงเริงรมย์อย่างอื่นที่เขาจะเลือกได้ในหมู่บ้านของเขา ไม่มีโรงหนัง โรงละคร สนามกีฬาและงานศิลป์ใด ๆ ที่จะให้ชื่นชม แต่คนไม่มีความคิดได้ลงความเห็นปรักปรำเอาว่าเป็นเพราะสันดานอันชั่วร้ายเลวทรามของเขา

พวกเขานับถือยำเกรงภูตผีปีศาจ เจ้าพ่อเจ้าแม่ และทวยเทพนานาชนิดซึ่งเป็นอำนาจลี้ลับที่เขามองไม่และเชื่อว่ามี แม้ว่าพวกเขาจะนับถือพระพุทธศาสนา แต่สิ่งที่เขากราบไหว้บูชาก็ล้วนแต่เป็นสิ่งขัดแย้งกับคำสอนที่เป็นแก่นสารของพระบรมศาสดาแทบทั้งสิ้น แม้ว่าเขาจะทำมาหากินเลี้ยงชีวิตด้วยน้ำพักน้ำแรงของเขาเอง แต่เขายังต้องพึ่งธรรมชาติต้องพึ่งพระคุณของฝน และต้องยำเกรงพระเดชแม่น้ำ เขาไม่ได้เป็นทาสของมนุษย์ แต่เขาต้องตกเป็นทาสของธรรมชาติอย่างไม่มีทางกระดิกตัวได้ เขาไม่มีทางจะเอาชนะมันหรือปลดปล่อยตัวเองให้หลุดพ้นจากความเป็นทาสของมันได้ ความหวาดกลัวเกรงจึงเข้าสิงอยู่ในจิตใจของเขา จากอำนาจลี้ลับของธรรมชาติที่เขาต้องยอมจำนนอย่างมอบราบนี้แหละ ได้นำเขาไปสู่ความหวาดกลัวยำเกรงบุคคล ที่เขาคิดว่ามีอำนาจมีความเจริญและความฉลาดกว่าเขามากนัก

ความเป็นอยู่ของพวกเขาช่างใกล้ชิดกับชีวิตของมนุษย์ในยุคชุมชนบุพพกาล ซึ่งนับถอยหลังไปได้ตั้งหมื่นปีและยังคงเป็นเช่นเดียวกับชีวิตของประชาชนในยุคพ่อขุนรามคำแหงที่ถูกจารึกไว้ในหลักศิลาว่าเมื่อเสร็จหน้านาผู้หญิงทอผ้า ผู้ชายตีเหล็ก ในขณะที่เพื่อนร่วมชาติร่วมยุคของเขาส่วนหนึ่งได้ปรุงแต่งชีวิตของเขาเสียอย่างระยับ จนไม่เหลือส่วนอันแสดงความคล้ายคลึงไว้ให้เห็นเลย

จันทามิได้เล็งเห็นชีวิตในหมู่บ้านของเขาตามนัยดังที่บรรยายไว้ข้างต้นทุกอย่าง เขาได้เห็นมันเพียงเท่าที่ปรากฏแก่สายตาของเขา และหากว่าเขาจะได้แลเห็นความงดงามบางอย่างในชีวิตของพวกเขา เขาก็ไม่ทราบถึงมูลเหตุที่อำนวยให้เกิดความงดงามเช่นนั้น ตามความจริงแล้วดูเหมือนเขาจะมิได้แลเห็นความงามในขนบชีวิตของชุมชนแห่งหมู่บ้านของเขาเลย ตลอดเวลาที่เขาอยู่ในโลกน้อย ๆ ของเขา และเมื่อเปรียบเทียบกับชีวิตของชาวนาครผู้เจริญ ตามที่เขาได้ฟังจากผู้ใหญ่ของเขา เขาก็ได้แต่เห็นว่าชีวิตของพวกเขาเป็นชีวิตที่แสดงถึงความต่ำต้อยล้าหลังโง่เขลา ซึ่งพวกเขาจำเป็นจะต้องรับเอาไว้ เพราะไม่มีทางจะแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ดีไปกว่านั้นได้ และถ้าพวกเขาปรารถนาจะได้มีชีวิตที่ดีกว่านั้น หรือชีวิตที่มีความสะดวกสบายเยี่ยงชีวิตของชาวนาครผู้เจริญ เขาก็มีหนทางเดียวที่จะได้มันคือด้วยการทำบุญสุนทาน แต่เขาจะต้องรอไปจนถึงชาติหน้าจึงจะได้รับผล เพราะฉะนั้น พวกเขาจึงไม่สนใจกับอะไร นอกจากทำงานหาเลี้ยงชีวิตไปวันหนึ่งๆ แล้วก็ทำบุญเพื่อบรรลุชีวิตที่ดีกว่าในชาติหน้าพวกเขาเชื่อว่าความเปลี่ยนแปลงความเจริญก้าวหน้าอาจจะเกิดขึ้น ณ ที่ใด ๆ ได้ทั้งนั้น แต่ย่อมจะไม่เกิดขึ้นในหมู่พวกพ้องของเขาอย่างแน่นอน เพราะพวกเขาไม่เคยพบเคยเห็นมันเลยตั้งแต่ปู่ย่าตายายจนถึงรุ่นของเขา

จากอ้อมอกแม่ และจากชีวิตของเด็กวัดในชนบท จันทาได้ก้าวมาสู่ชีวิตของเด็กวัดในกรุงเทพเป็นยาวเหยียด ที่ทำให้เขาได้มาเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงอันใหญ่หลวงเป็นครั้งแรกในชีวิตของเขา เขาได้เผชิญชีวิตของเด็กวัดในชนบทมาแล้ว และได้ผจญกับเล่ห์เหลี่ยมของพวกเด็กวัดในยามอดอยากปากแห้งมาบ้างแล้วก็จริง แต่วัดในกรุงเทพฯ นั้นแม้ว่าความอดอยากปากแห้งยังไม่ถึงขนาดที่เขาเคยลิ้มรสมาในชนบท แต่เขาก็ได้พบชั้นเชิงเล่ห์เหลี่ยมที่สูงกว่า และเพราะเขาเป็นเด็กหัวเดียวกระเทียมลีบมาจากบ้านนอก เขาจึงถูกทดลองอย่างหนักจากเด็กวัดรุ่นเก่าว่า เขาสามารถจะเข้ากับพวกรุ่นเก่าได้โดยไม่อดตายหรือไม่ เขาได้เรียนรู้เล่ห์เหลี่ยมใหม่ ๆ และเขาก็ไม่รีรอที่จะนำมันออกใช้ เขาไม่ได้คิดว่ามันถูกหรือผิด แต่เขารู้ว่าจะต้องใช้มันถ้าเขาปรารถนาจะได้อยู่ใน ‘เมืองสวรรค์’ ต่อไป

อ้า, กรุงเทพมหานครอมรรัตนโกสินทร์........อ้า, ‘เมืองสวรรค์’ ที่เด็กบ้านนอกทุกคนใฝ่ฝันจะได้มาเห็น เท้าของนักเดินทางน้อย ๆ ผู้มีโชคดีแห่งเมืองขุขันธ์ได้เหยียบลงบนแผ่นดินของกรุงเทพแดนสวรรค์แล้ว แต่การได้เห็นและรู้จักกรุงเทพนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง คนเป็นอันมากได้เกิดและตายในกรุงเทพโดยที่มิได้รู้จักกรุงเทพเลย คนเป็นอันมากมิได้ชนะมันอย่างที่ซีซาร์สามารถพูดได้ที่เมืองบอสโปรุปว่า เขา “ได้มาได้เห็น ได้ชัยชนะ” แต่ได้พ่ายแพ้มันอย่างยับเยิน คนเป็นอันมากได้เกิดและตายไปในกรุงเทพ โดยมิได้แลเห็นความ เคลื่อนไหวความเปลี่ยนแปลงในลักษณะใหม่ ๆ ที่ดำเนินอยู่

แน่ละนักเดินทางผู้เยาว์วัย ผู้มาจากโลกน้อยแห่งหมู่บ้านชนบทของเขาย่อมจะไม่ได้เห็นกรุงเทพอย่างกว้างขวาง แม้ว่าเขาจะอยู่มาแล้วสามสี่ปี เขาย่อมมีความตื่นตาตื่นใจในความเจริญและความสง่า ความงามของกรุงเทพพระมหานครนั้นเป็นของแน่นอน เพราะมันแตกต่างห่างไกลกันเหลือเกินกับความเป็นไปในหมู่บ้านของเขา มันแสดงชีวิตมนุษย์คนละยุคที่อยู่ห่างไกลกันหลายพันปี แต่กรุงเทพที่นักเดินทางแห่งขุขันธ์ได้เห็นนั้น ก็เป็นการแลเห็นจากการชะเง้อดูอยู่ห่างๆ และเป็นการแลเห็นแต่ผิว ๆ ภายนอก และเขาก็ได้แต่จะเปล่งเสียงอุทานว่า โอ้โฮ—โอ้โฮ ด้วยความตื่นตาตื่นใจเท่านั้น เขาไม่มีข้อคิดข้อวิจารณ์อะไรต่อกรุงเทพ เขาเพียงแต่รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องประหลาดมหัศจรรย์ สมที่จะชื่อว่ามันเป็นเมืองสวรรค์จริงๆ และมันคงจะเป็นเมืองที่แสนสนุกแสนสบาย และอย่างน้อยเขาก็ไม่อยากจะจากมันไป

เมื่อยังเรียนหนังสืออยู่ที่วัดและยังกินข้าววัดอยู่นั้น ชีวิตในกรุงเทพที่เขาได้พบเห็นก็เป็นแต่ชีวิตในวงแคบ ๆ คือในวงของพวกเด็กวัด และเด็กนักเรียนที่มาจากครอบครัวที่ยากจนยากจน เขารู้สึกอยู่บ้างเหมือนกันว่าชีวิตในวงแคบๆ ที่เขามีส่วนสัมพันธ์อยู่นี้ก็ไม่ใช่ชีวิตที่ผาสุกนัก เด็ก ๆ เหล่านี้รวมทั้งตัวเขาด้วย ยังต้องต่อสู้กับความขาดแคลนและความอดอยากปากแห้งอยู่บ่อย ๆ แม้ว่าเด็กเหล่านั้นจะเป็นส่วนหนึ่งของเมืองสวรรค์ แต่เขาก็มีสิ่งปลุกปลอบใจให้ร่าเริงว่า เขามีโชคดีกว่าเด็กที่ใช้ชีวิตอยู่แต่ในทุ่งนามากมายนัก เด็กบ้านนอกเขาได้พบเห็นทุ่งนาป่าเขาและห้วยหนอง ได้เดินแต่บนคันนาและทางเกวียน ได้นั่งแต่บนหลังควายและในเกวียนที่อืดอาดโคลงไปโคลงมา ได้ชื่นใจแต่เมื่อได้เห็นฟ้าโปรยฝนลงมาตามฤดูกาล และได้เห็นต้นข้าวออกรวงแล้วก็แสงแดดและเปลวไฟซึ่งเป็นยอดมิตรในยามหนาว มันก็เท่านั้นเอง เขาคิดว่ามันก็มีแต่ความซ้ำซากอยู่กับสิ่งสองสามสิ่งที่แวดล้อมชีวิตพวกเขาอยู่ และพวกเขาก็ได้แต่เติบโตมาในความโง่เขลาดักดาน และวงชีวิตอันแคบกิ่วและแสนจะจำกัดจำเขี่ยเสียเหลือเกิน

แต่กรุงเทพเมืองสวรรค์นี้หรือมันช่างเต็มไปด้วยสิ่งแปลกใหม่น่าอัศจรรย์ละลานตาละลานใจไปสิ้น ทางคันนาและทางเกวียนอันแคบขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อคดเคี้ยว จะเอามาเปรียบอะไรกันเล่ากับถนนอันกว้างใหญ่และยาวเหยียด มีเสาไฟฟ้าตั้งอยู่สองข้างทางตัดผ่านกันไปมาขวักไขว่ เทียมเกวียนด้วยวัวที่เดินอย่างเชื่องๆ โคลงเคลง และดูหัวซุกหัวซุนเหมือนคนเมา มีเสียงเอี๊ยดอ๊อดของดุมล้อเสียดสีกับเพลา และเสียงกรุ๋งกริ๋งของกระดิ่งที่คอวัว จะเอามาเปรียบอะไรกันเล่ากับรถยนต์ที่แล่นปรู๊ดปร๊าดราวกับความเร็วของงูเลื้อย รถไอที่แล่นปรื๋อเป็นระเบียบอยู่บนราง เสียงแหลมก้องดังกังวานของรถยนต์และรถราง ก็ต่างกันไกลกับเสียงเอี๊ยดอ๊าดกรุ๋งกริ๋งที่ได้ยินจากเกวียน รถเทียมม้าก็สง่างามและคล่องแคล่วกว่าเกวียนเป็นไหน ๆ แม้แต่รถเจ๊กที่ลากด้วยผู้คนมีเหงื่อไหลโทรมตัว เมื่อวิ่งไปบนถนนกว้างไม่ขรุขระก็ไปได้เร็ว และเป็นที่สำราญของคนโดยสาร ถึงหากว่าตัวของเขาเองจะเป็นแต่เพียงคนเสมอนอก คือได้แต่ชะเง้อดูยวดยานเหล่านี้เมื่อมันวิ่งผ่านไปมาโดยมิได้เป็นผู้นั่งไปบนยวดยานเหล่านี้เอง เขาก็รู้สึกปลาบปลื้มว่าเป็นขวัญตาที่ได้มาเห็น เขาเคยเก็บสตางค์ไว้และลองขึ้นรถรางดูสองหน ส่วนรถเจ๊กยังไม่ได้ลองเลย นอกจากครั้งหนึ่งเพื่อนเด็กวัดของเขาแอบไปลักรถเจ๊กคันหนึ่งขณะที่เจ้าของไม่อยู่ เอามาลากเล่นกันในถนนเปลี่ยวใกล้บริเวณวัด เขาจึงได้มีโอกาสนั่งและลากดู แต่ก็ได้ลองดูประเดี๋ยวเดียวเพราะเจ้าของตามมาพบเข้า พวกเขาทิ้งรถวิ่งเกรียวกระโดดข้ามร่องริมถนนเข้าไปหลบอยู่ในสวน

เขาเคยไปเที่ยวในงานภูเขาทอง และเขาก็ได้เปล่งเสียง “โอ้โฮ” ตามเคย เขาแลเห็นมันเป็นงานใหญ่โตมโหฬารจนไม่รู้ที่จะพรรณนาว่ากระไร ผู้คนหลั่งไหลมาจากทิศานุทิศ แต่งกายด้วยผ้าและแพรหลากสี เป็นปะปนวนเวียนอยู่ในบริเวณงานที่เขารู้สึกว่ามันช่างกว้างใหญ่ไพศาลเสียเหลือเกิน ถึงกระนั้นแล้วก็ยังไม่พอที่จะบรรจุผู้คนที่ชักจะแออัดยัดเยียดเข้าทุกที การเล่นมีหลากหลาย และร้านอาหารที่ส่งกลิ่นโอชาเตะจมูกก็ดูลานตาไปหมด เขาไม่เคยพบเห็นงานที่น่าตื่นตาตื่นใจเช่นนี้มาก่อนเลยตั้งแต่เกิด ในตอนหัวค่ำสามชั่วโมงแรกเขารู้สึกตื่นเต้นเป็นสุขสนุกสนานเสียเหลือเกิน เพียงแต่ได้เดินวนเวียนหลั่งไหลไปกับคนอื่น ๆ และได้เห็นสิ่งต่าง ๆ ในงานเท่านั้น หัวใจของเขาก็พองโตเต็มที่แล้ว ครั้นเมื่อเขาได้เอาสตางค์ที่มีอยู่เล็กน้อยออกซื้อขนมจากทางเดินกินไปพลาง และแวะเข้าไปในร้านการพนันลองเสี่ยงโชคดูครั้งหนึ่ง และมันได้ผลเขาก็รู้สึกว่าหัวใจที่พองโตอยู่แล้วนั้นแทบจะระเบิดตูมตามออกมาเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เขาเดินตัวเบาและไม่รู้สึกเมื่อยล้าเลย จนกระทั่งเขาแวะเข้าไปในร้านการพนันอีกครั้งหนึ่ง และคราวนี้เดินกลับออกมาโดยไม่มีสตางค์เหลือติดอยู่ในกระเป๋าเลย หลังจากนี้ไม่นานเขาก็รู้สึกเมื่อยและเมื่อเดินต่อไปอีกสักหน่อยก็เริ่มรู้สึกหิว เขาเดินเตร่เข้าไปในบริเวณร้านขายอาหารที่หาบขนมจีนน้ำยา มีไอน้ำร้อนลอยขึ้นมาจากหม้อน้ำยา ส่งกลิ่นชวนกินเสียจริง ๆ มีคนนั่งล้อมรอบ บ้างกำลังร้องสั่ง บ้างกำลังกินอย่างเอร็ดอร่อย แม่ค้าส่งจานขนมจีนน้ำยาให้แก่คนอื่น ๆ ทั่วถึงแล้ว งยหน้าขึ้นมาพบดวงหน้าอันแสดงความกระหายของเขา ก็ฉวยจานขึ้นถามว่า “เอาเท่าไหร่จ๊ะ” เขากลืนน้ำลายพลางก็เดินหลีกออกไปจากร้าน ข้างหน้าเขามีร้านก๋วยเตี๋ยวผัดของชาวจีน มีคนนั่งยอง ๆ อยู่บนม้ายาวหน้าร้านเอาตะเกียบคีบเส้นก๋วยเตี๋ยวร้อนๆ ใส่ปากเคี้ยวแก้มตุ่ย บางคนเอามือปาดเหงื่อที่หน้าผากแล้วก็กลืนก๋วยเตี๋ยวปนกับหยาดเหงื่อที่ริมฝีปากเข้าไปเสียงดังซูดซาด เจ๊กผู้ผัดหยิบไข่ที่กองอยู่เป็นพะเนินข้างตัวโขกเข้าที่ขอบกะทะ แล้วเทไข่ลงไปบนเส้นก๋วยเตี๋ยวในกะทะ พลางก็ควงตะหลิวทำการผัดอย่างคล่องแคล่ว แล้วเงยหน้าขึ้นร้องเชิญลูกค้าเป็นครั้งคราว เสียงร้องเชิญของเจ้าของร้านนั้น เขาได้ยินเสียงขับไล่ และดวงตาที่สอดส่ายไปมาของเจ้าของร้านเพื่อคอยสนองคำสั่งของลูกค้านั้นเล่า เมื่อสอดส่ายมาพบกับสายตาของเขา เขาก็เห็นเป็นอาการถมึงทึง เขาทราบดีว่าคำร้องเชิญนั้นมิใช่คำเชิญแก่ทุกคน หากเป็นคำเชิญเฉพาะแต่ผู้ที่มีสตางค์ชำระค่าอาหารอันโอชานั้นได้ เขาเลียริมฝีปากพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ พลางก้าวเท้าออกเดินอย่างเชื่องช้า ผ่านร้านก๋วยเตี๋ยวผัดไปพร้อมกับมีเสียงลั่นในท้อง เขาได้ยินเสียงร้องเชิญของจีนเจ้าของร้านแว่วตามหลังมาอีก และเขาก็อดที่จะเหลียวหลังกลับมาดูร้านก๋วยเตี๋ยวอีกครั้งหนึ่งไม่ได้ ทั้งที่เขาแน่ใจว่าเสียงร้องเชิญนั้นไม่ได้หมายถึงตัวเขาเลย

เขาออกจากบริเวณร้านขายอาหาร เดินคอตกปะปนไปกับผู้คนที่มาเที่ยวงานซึ่งอิ่มหนำสำราญอย่างไม่มีทิศทางอีกครู่หนึ่ง เหมือนกับหยาดน้ำค้างที่เหือดแห้งไปในยามสายเมื่อต้องแสงแดด บัดนี้ความสนุกสนานตอนหัวค่ำได้ละลายไปจากความรู้สึกของเขาหมดแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่ในขณะนี้มีแต่ความเมื่อยล้าและความหิวโหยที่รุนแรงขึ้นเป็นลำดับ แล้วเขาก็นึกถึงข้าวสุกที่เหลืออยู่ในตู้เก็บอาหารเก่า ๆ ที่กุฏิ และอาจจะมีเศษอาหารเหลือตกค้างอยู่บ้าง นึกขึ้นได้ดังนั้นเขาก็รีบเดินแหวกฝูงชนที่เดินชนกัน สวนกันไปสวนกันมา เพื่อหาความสำราญจากการดูและการกิน มิใช่เพื่อการมานมัสการพระพุทธพระเจ้าอะไรดอก เขาหาทางออกจากบริเวณงานเพื่อกลับไปสู่วัด ด้วยความหวังว่าข้าวสุกและเศษอาหารที่วัดจะช่วยบรรเทาความหิวโหยกระวนกระวายที่เขากำลังประสบอยู่ได้

ขณะเดินกลับสู่ที่พำนักในคืนวันนั้น ความรู้สึกว้าเหว่ได้โผล่แวมวามขึ้นมาในจิตใจอันเยาว์วัยของเขา เขารำพึงถึงความสนุกสนานตื่นเต้นในตอนหัวค่ำซึ่งได้จมหายไปในความหิวโหย ร้านรวงต่าง ๆ น่าชื่นน่าชม ร้านขายของและร้านแสดงการเล่นมีอยู่เกลื่อนกลาด ร้านขายอาหารส่งกลิ่นหอมฟุ้งมีอยู่ลานตา ของกินของใช้มีอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์ก็จริง แต่มิใช่ทุกคนที่จะกินจะใช้ของเหล่านั้นได้ มันไม่เหมือนกับที่หมู่บ้านชนบทของเขา ซึ่งใคร ๆ ต่างก็กินและใช้สิ่งที่เขาได้ทำขึ้นเอง เมื่อธรรมชาติอำนวยความอุดมสมบูรณ์แก่เขา พวกเขาย่อมได้กินอิ่มกันทั่วหน้ากัน แต่ที่ในเมืองสวรรค์ รูปการณ์เป็นไปอีกอย่างหนึ่ง ที่นี่ใคร ๆ ก็กินและใช้สิ่งที่เขามิได้ทำขึ้นเอง ใครๆ ก็จะได้ของกินของใช้ก็ต่อเมื่อเขามีสตางค์ที่จะซื้อมัน เพราะฉะนั้นนักเดินทางผู้เยาว์วัยแห่งเมืองขุขันธ์ ผู้เคยจับปลาและกบเขียดมากินเป็นอาหาร และผู้ใส่เสื้อไหมด้วยการปลูกต้นไหมได้เอง จึงต้องเดินคอตกออกมาจากท่ามกลางความอุดมสมบูรณ์ของอาหารและกลิ่นหอมฉุยของมัน ด้วยความหิวโหยด้วยเหตุที่เขาไม่มีสตางค์จะซื้อมัน และเขาก็ยังไม่รู้ว่าจะได้สตางค์มาจากไหน ในคืนวันนั้นเขาออกจะรู้สึกว่าในเมืองสวรรค์นี้ เรื่องสตางค์ดูจะเป็นเรื่องสำคัญมากทีเดียว ในเมืองสวรรค์นี้ไม่มีใครสนใจเรื่องฟ้าเรื่องฝนกันเลย ไม่มีการยกมือท่วมหัวเมื่อฝนตกลงมา ไม่มีใครแสดงความวิตกกังวลเมื่อฝนยังไม่ตกเมื่อถึงฤดูกาล ในเมืองสวรรค์นี้เขาพูดกันแต่เรื่องสตางค์เรื่องเงินกันทั้งนั้น ไม่มีใครพูดถึงเรื่องฝนและเรื่องข้าวออกรวงด้วยความปรีดาปราโมทย์กันเลย

จันทาจุดเทียนไขเดินย่องไปที่ตู้กับข้าวที่คร่ำคร่าซวนเซทางมุมห้อง นัยน์ตาของเขาลุกวาวเมื่อพบจานข้าวที่มีข้าวพูนอยู่จานหนึ่ง วันนั้นเป็นวันพระเขาจำได้ว่ามีเศษอาหารเหลืออยู่หน่อยหนึ่งเมื่อตอนเย็น แต่บัดนี้มันได้อันตรธานไปเสียแล้ว เขาถอนหายใจพลางเอาเทียนส่องหาขวดน้ำปลา ขณะนั้นเขาได้ยินเสียงคนเดินข้ามธรณีประตูเข้ามาเบาๆ พอเขาเหลียวหลังมาก็ได้พบหน้าอันซีดเซียวของเด็กชายแตน เจ้าจอมแก่นแก้วของเด็กวัดนั้น แต่ถูกชะตากันกับจันทา แม้ว่าจะซีดเซียวแต่ดวงตาของแตนวาววามและมียิ้มอย่างร่าเริง

“หิว,รึ อ้ายจัน” เขาทัก

จันทาพยักหน้า เขาพูดไม่ออก “มึงล่ะ”

“หิวฉิบหายเลย” เป็นเสียงตอบของจอมแก่นแก้ว เขาคนนี้แหละที่ไปลักรถเจ๊กมาลากเล่นกัน เขาเคยเข้าไปนอนในกรงขังของโรงพักตำรวจมาสองครั้งแล้ว

“มึงแบ่งข้าวนี้ไปกินบ้างก็ได้” จันทายื่นจานข้าวไปให้แตน “แต่อย่าแบ่งเอาไปมากนักนะ กูหิวเหลือเกิน กูจะหาน้ำปลา”

“ไปแดกมันทำไมวะน้ำปลา เล่นขาเป็ดกันดีกว่า”

เทียนแทบจะหล่นจากมือจันทา เมื่อได้ยินคำว่าขาเป็ดในยามหิวโหย แล้วเขาก็พูดว่า “อย่ามัวพูดเล่นกันอยู่เลยวะอ้ายแตน กูหิวเหลือเกิน”

“เล่นกะหมาอะไร กูมีขาเป็ดให้มึงกินจริงๆ ซีนา” เด็กชายแตนพูดพลางเอามือล้วงลงไปในกระเป๋ากางเกงขาสั้น และเมื่อเขาชักมือออกมาก็มีขาเป็ดสองขาติดมือออกมา “นี่ไงล่ะ กูได้มาจากงานภูเขาทอง กูเห็นมึงเหมือนกันแหละตอนที่มึงยืนหน้าแห้งอยู่แถวหาบขนมจีน กูนึกแล้วเทียวว่ามึงไม่มีปัญญาหากินกับเขาหรอก”

จันทาระลึกได้ว่า ทางข้างหลังร้านขายขนมจีนซึ่งไม่สู้มีแสงสว่างนัก มีหาบเสี่ยโปตั้งอยู่

“มึงซื้อเขามาหรืออ้ายแตน”

แตนเอามือปิดปากแล้วหัวเราะ

“น้ำหน้าอย่างกูจะเอาเงินที่ไหนไปซื้อของดีๆ อย่างนี้มาแจกมึง”

“มึงขโมยเขามาละซี”

“กูหยิบเอามา” แตนพูดเรื่อย ๆ

“มันไม่ดีนะมึง”

“ก็มันหิวนี่นะ” แตนพูดกระชากเสียง “มึงไม่เห็นหรือ ของกินออกเยอะแยะจนลานตาไปหมด หมามันยังกินได้ ทำไมกูเป็นคนจะขอกินกันบ้างไม่ได้ พ่อแม่กูไม่มี”

“นี่มึงไม่ได้ขอเขานี่”

“อ้ายตูดบ้านนอก !” แตนถ่มน้ำลายลงบนพื้นดิน “ขอกันตรงๆ มันจะให้มึงกินรึวะ มันต้องขอกันทางอ้อมอย่างนี้ มึงก็ต้องหัดมือไวไว้บ้าง กันอดตายได้นะมึง ที่กรุงเทพนี่น่ะไม่มีคนใจบุญมากมายเหมือนที่บ้านนอกของมึงหรอก อ้ายจัน ถ้ากูมีตังก็จะใช้ตังซื้อเขาเหมือนกัน แต่นี่กูไม่มีและกูก็ไม่รู้จะไปหาตังที่ไหน มากินกันเถอะกูหิวเต็มที”

จันทาไม่ออกความเห็นว่ากระไรอีก เขาคิดว่าที่เจ้าแตนพูดมันก็มีเหตุผลของมันเหมือนกัน ถึงแม้จะไม่สู้ถูกต้องนัก และในคืนวันนั้นเขาก็กินข้าวกับขาเป็ดกับแตนอย่างเอร็ดอร่อย ถึงแม้ว่าเขาจะรู้ว่าเป็นขาเป็ดที่ขโมยมา

เขารู้สึกว่าในเมืองสวรรค์นี้ มาตรว่าจะมีความสนุกสนานและของกินของใช้อย่างสมบูรณ์ แต่บุคคลเช่นเขาก็ได้แต่ยืนดูอยู่ห่าง ๆ ได้แต่ยืนดูเขากินกัน และมิได้เข้าร่วมในการกินกับเขาด้วย แต่เขาก็ปลอบใจตัวเองว่าสักวันหนึ่งเมื่อเขาโตขึ้นเขาคงจะได้กินได้ใช้ และได้มีชีวิตอันผาสุกสนุกสนาน ดังเช่นที่คนทั้งหลายในเมืองสวรรค์เขามีกัน

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ