คู่สนทนานั่งนิ่ง ๆ อยู่ครู่ ดูเหมือนว่าเขาทั้งสองต่างก็กำลังใช้ความคิด ครั้นแล้วนิทัศน์ได้เป็นผู้ทำลายความเงียบขึ้น

“พ่อเธอจะบวชเป็นพระอยู่ตลอดไป หรืออย่างไร ?”

“ทีแรกพ่อก็ไม่คิดจะบวชจริงจังหรอก ท่านบวชเพื่อหนีภัยของเจ้าหน้าที่ ที่คอยรังควานหาความท่านและเพื่อไม่ให้แม่ชอกช้ำเพราะท่านจะต้องไปเป็นโจร แต่เมื่อแม่ตายแล้วพ่อบอกว่าไม่รู้จะสึกออกไปทำอะไร ท่านจึงมอบตัวฉันให้เป็นเด็ดขาดแก่ท่านอาจารย์ ซึ่งท่านเชื่อว่าจะเลี้ยงดูอบรมฉันได้ดีกว่าท่าน ตั้งแต่นั้นมาฉันก็ได้เป็นศิษย์ของท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์ก็เมตตารักใคร่กันมาก เพราะสงสารว่าฉันกำพร้าแม่ ท่านรับปากกับพ่อว่าจะเลี้ยงฉันให้เป็นคนกับเขาสักคน”

“แต่เธอก็เป็นคนอยู่แล้ว” เด็กชายผู้เยาว์วัยท้วงขึ้น

จันทาหัวเราะแหะ “ตามธรรมดาชาวบ้านนอกอย่างฉัน ถึงแม้จะเป็นคนเหมือนคนอื่น ๆ แต่ชีวิตของพวกฉันเกลือกกลั้วอยู่กับวัวควายและทุ่งนาป่าเขา ต้องตรากตรำทำงานหนัก ไม่ได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียน และ เห็นความเจริญของบ้านเมืองอะไรกับเขา เป็นคนก็เหมือนไม่ได้เป็น ที่ท่านอาจารย์ว่าจะเลี้ยงให้เป็นคนนั้น ท่านหมายความว่า จะช่วยให้ฉันได้ศึกษาเล่าเรียนและได้รู้เห็นความเจริญของบ้านเมืองกับเขาบ้าง ดังนั้นเมื่อท่านได้มีโอกาสเข้ามาอยู่ในกรุงเทพ ท่านจึงพาฉันเข้ามาด้วย และจัดแจงให้ฉันได้เข้าเรียนที่โรงเรียนในวัด นับตั้งแต่นั้นมา ฉันได้มีโอกาสได้เล่าเรียนอย่างเป็นล่ำเป็นสัน ฉันเข้ามากรุงเทพกับท่านอาจารย์เมื่อฉันมีอายุได้สิบสองปี”

“วัชรินทร์กับเธอเป็นญาติกันหรือ ? แต่ฉันไม่เห็นเธอเล่นหัวกับเขาเลย และดูเธอออกจะเกรงกลัวเขา ฉันไม่เห็นว่าเขาเป็นคนน่ากลัวอะไรเลย”

“ฉันไม่ได้เป็นญาติกับคุณวัชรินทร์ ท่านเจ้าคุณ คุณพ่อคุณวัชรินทร์เป็นคนรู้จักคุ้นเคยกับท่านอาจารย์ของฉันตั้งแต่สมัยที่ท่านไปรับราชการอยู่ทางบ้านเมืองของฉัน ท่านอาจารย์ปรารถนาจะให้ฉันได้มีมูลนายไว้เป็นที่พึ่ง ท่านจึงมอบตัวฉันให้เป็นบ่าวของท่านเจ้าคุณ และขอให้ท่านเจ้าคุณช่วยชุบเลี้ยงให้ฉันได้เล่าเรียนตามควร ท่านอาจารย์บอกฉันว่าท่านอยากให้ฉันได้เข้ารับราชการ และการที่จะได้ดิบดีในทางราชการนั้นจะต้องมีนายคอยช่วยเหลือ ท่านเจ้าคุณได้ส่งฉันเข้ามาเรียนที่นี่ เพราะเห็นว่าฉันเป็นเด็ก โตจะได้คอยรับใช้คุณวัชรินทร์ และคอยป้องกันคุณวัชรินทร์ถ้ามีเด็กโต ๆ มารังแก”

นิทัศน์นึกขึ้นในภาระของจันทา และเขาอดที่จะยกขึ้นมาพูดล้อเล่นไม่ได้ เขาได้ถามสหายของเขาว่า “ถ้าฉันต่อยกับวัชรินทร์เธอจะช่วยวัชรินทร์ต่อยฉันหรือ ?”

จันทามองดูหน้าสหายน้อยของเขา และพูดอย่างจริงจังว่า “ฉันต่อยเธอไม่ลงหรอก เธอเป็นเพื่อนคนแรกของฉันในโรงเรียนใหม่นี้ และเธอมีบุญคุณกับฉัน แต่ถ้าเป็นคนอื่นฉันจะต้องป้องกันคุณวัชรินทร์อย่างเต็มที่”

อย่างไรก็ดีนิทัศน์รู้สึกเป็นสิ่งที่น่าเศร้า ที่เด็กคนหนึ่งได้มาเรียนหนังสือ ในฐานะเป็นบ่าวของเพื่อนนักเรียนคนหนึ่ง เขาแปลกใจที่จันทาพูดถึงฐานะของเขา โดยไม่แสดงความอึดอัดใจเลย ยิ่งกว่านั้นในการสนทนากันต่อไปอีกเล็กน้อย จันทายังแสดงให้เห็นว่า เขามีความชื่นชมในฐานะของเขา ทั้งยังถือว่าเป็นโชคดีเสียอีก ซึ่งเด็กชายผู้นี้มีชีวิตเป็นอิสระภายใต้ความคุ้มครองเลี้ยงดูของพ่อแม่ ที่แม้ว่าค่อนข้างจะยากจนไม่อาจเข้าใจได้

หลังจากที่เด็กทั้งสองได้เล่าเรื่องของครอบครัว และชีวิตบางตอนของเขาสู่กันฟัง และก็นับว่าเขาทั้งสองได้รู้จักหัวนอนปลายตีนกันดีแล้ว ความสนิทสนมระหว่างเขาทั้งสองก็ได้เพิ่มพูนขึ้นเป็นลำดับ จันทาแลดูนิทัศน์ด้วยความนับถือในสติปัญญา และคุณงามความดีที่เขาได้รับอบรมสั่งสอนมาจากพ่อแม่ของเขา แม้ว่านิทัศน์จะมีอายุน้อยกว่า และแม้ว่านิทัศน์จะเป็นเด็กร่างเล็กและดูบอบบาง ในขณะที่จันทาร่างใหญ่และล่ำสัน แต่จันทาก็เลื่อมใสในความกล้าหาญทางใจของมิตรคนเล็กๆ ของเขา ฝ่ายนิทัศน์ก็แลดูจันทาด้วยความยกย่องในความอดทนบึกบึนของมิตรผู้มาจากชนบท ซึ่งได้ฝ่าความระกำลำบากของชีวิตในยามเด็กเล็กมาโดยปราศจากการปริปากบ่น และยอมรับความลำบากยากแค้นสาหัสเช่นนั้น โดยถือว่าเป็นของธรรมดา

ในระหว่างโรงเรียนปิดเทอมต้น จันทาได้รับเชิญจากนิทัศน์ให้ไปเที่ยวที่บ้าน เพื่อจะได้รู้จักกับพ่อแม่พี่น้องของเขา และเพื่อจะได้กินข้าวคลุกกะปิเมืองระยองฝีมือของแม่ตามที่นิทัศน์ได้อวดไว้ จันทาออกจะตื่นเต้นไม่น้อย เพราะว่านี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาได้รับเกียรติจากเพื่อนชาวกรุงเทพ เมื่อยังอยู่ที่วัดกับท่านอาจารย์ เขาเคยมีเพื่อนและออกไปหาสู่กันบ้างเหมือนกัน แต่เพื่อนเด็กสองสามคนที่เขาเคยมี ก็ล้วนแต่เป็นเด็กวัดเหมือน ๆ กัน ได้แต่ไปคุยไปเที่ยวเล่นซุกซนกันตามประสาเด็กวัด คือเที่ยวเอาหนังสติ๊กไปซุ่มยิงนกหรือเที่ยวจับปลาตามท้องร่องตามบ่อมาย่างกินกัน และบางทีก็จับกลุ่มสุมหัวเล่นการพนันเอารูปยาซิกาแรตกันบ้าง และเอาสตางค์กันบ้าง หากว่าเขามีสตางค์จะพนันกัน จันทาปลาบปลื้มมากที่จะได้ไปบ้านนิทัศน์ แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีความหวาดกลัวว่าจะประพฤติตนไม่ถูกต้อง และไม่รู้ว่าจะพูดจากับพี่น้องของนิทัศน์ว่าอย่างไร ด้วยเหตุที่เขามักมีความหวาดกลัว และมีความลังเลใจต่าง ๆ นานาในเวลาพบปะกับผู้คนนี้เอง จันทาจึงมองดูนิทัศน์เหมือนหนึ่งว่านิทัศน์เป็นนักรบคนเล็ก ๆ ผู้มีความกล้าหาญอย่างน่าอัศจรรย์ เวลาที่นิทัศน์ยืนขึ้นตอบคำถามของครูด้วยกิริยาเรียบ ๆ และได้พูดด้วยน้ำเสียงฉาดฉานนั้น จันทาเห็นว่าเป็นอาการที่สง่างามนัก และเขารำพึงว่าจะเป็นเวลานานอีกสักเท่าใดหนอ กว่าเขาจะพูดด้วยอากัปกิริยาอันเต็มไปด้วยความมั่นใจเช่นนั้นได้ หรือบางทีเขาก็จะทำไม่ได้จนตลอดชีวิตของเขา แม้ว่าในบางคราวคำตอบของนิทัศน์จะผิด แต่เขาก็ไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงบนสีหน้าของสหาย เวลาที่นิทัศน์โต้เถียงปัญหากับพวกเพื่อน ๆ โดยเฉพาะในระหว่างเพื่อนนักเรียนที่เป็นลูกขุนนางใหญ่โตหรือเชื้อพระวงศ์ เขาก็ไม่มีท่าทางที่อ่อนแอ และเขาสามารถทำให้เด็กลูกคนใหญ่โตเหล่านั้น ต้องจำนนไปบ่อย ๆ พฤติการณ์ของนิทัศน์ข้อนี้เป็นที่ประทับใจของจันทา และนี่ก็เป็นอีกข้อหนึ่งที่เขาคิดว่าอีกนานนักกว่าเขาจะทำได้ หรือบางทีก็จะทำไม่ได้เลยจนตลอดชีวิต จันทายังไม่เห็นนักเรียนโต ๆ มาพูดจาข่มขู่หรือเล่นรังแกนิทัศน์ เขาเห็นนักเรียนโต ๆ ทำแก่คนอื่น ๆ แต่กับนิทัศน์เขาเคยเห็นนักเรียนโต ๆ มาขอคัดลอกบทเรียนที่เป็นการบ้าน ซึ่งเจ้าตัวทำมาไม่เสร็จจากบ้าน หรือไม่ได้ทำมาเลย และนิทัศน์ก็วางสมุดให้เพื่อนนักเรียนเหล่านั้นคัดลอกได้ตามใจ ในขณะที่เด็กซึ่งเรียนเก่ง ๆ บางคน มักจะอิดเอื้อนบ่ายเบี่ยงไม่ยอมให้คัดลอกจนกว่าจะถูกขู่กรรโชก

ไปถึงบ้านนิทัศน์ จันทาตื่นเต้นมากขึ้นที่ได้พบทั้งแม่และพี่น้องหญิงของสหายอยู่พร้อมหน้าและทุกคน ได้แสดงอาการต้อนรับเขาอย่างเต็มอกเต็มใจ ถึงแม้พี่สาวของนิทัศน์ ซึ่งเป็นดรุณีในวัยรุ่นสาวจะมีกิริยาสงบเสงี่ยมตามปกติวิสัยเด็กหญิงในวัยนั้นก็ตาม แต่บนดวงหน้าแห่งอาการยิ้มละไม ซึ่งดวงใจบริสุทธิ์ทอแสงอยู่ในยิ้มนั้นได้แสดงให้เห็นถึงความเต็มใจต้อนรับอย่างไม่เป็นที่สงสัย ส่วนแม่น้องสาวผู้เป็นเด็กนั้นยิ้มย่องแสดงอาการดีใจอย่างออกหน้า

จันทาจะไม่แปลกใจในอาการต้อนรับขับสู้ครั้งนี้เลย ถ้าเขาได้ทราบว่าบุคคลเหล่านี้มีความรู้สึกต่อเขาอย่างไร นิทัศน์ได้เล่าเรื่องชีวิตของจันทาให้ครอบครัวของเขาฟังโดยละเอียดแล้ว พ่อแม่มีความสงสารเห็นใจเขามาก ส่วนสองพี่น้องหญิงซึ่งไม่ประสาในชีวิตความเป็นอยู่ของชาวชนบทมาก่อน และประกอบกับนิทัศน์เป็นเด็กที่มีความสามารถในการบรรยายดังนั้น นอกจากเด็กหญิงทั้งสองจะมีความเห็นใจจันทาเช่นเดียวกับพ่อแม่แล้ว เธอยังนึกถึงจันทาในฐานะเป็นผู้ที่ได้ผจญชีวิตมาอย่างกล้าหาญ สมควรจะเป็นวีรชนน้อย ๆ ซึ่งเธอทั้งสองย่อมจะนึกถึงด้วยความตื่นเต้น สิ่งที่เด็กหญิงทั้งสองได้มองที่ตัวของจันทาด้วยประกายตาอันวาววามก็คือ เสื้อไหมที่เขาได้สวมใส่มาตามคำขอร้องของนิทัศน์ เสื้อไหมตัวนั้นดูประหนึ่งเป็นศีรษะของศัตรู ที่แม่ทัพจากเมืองขุขันธ์ได้รบชนะและตัดศีรษะนั้นมาได้ บังอรพี่สาวนึกอยากจะให้จมูกของเขาโด่งขึ้นมากกว่านั้นสักนิด เพราะดูมันแบนไปหน่อย เมื่อเปรียบเทียบกับจมูกของเด็กทั้งสาม

นิทัศน์ได้แนะนำแก่ครอบครัวด้วยความภาคภูมิใจว่า มิตรของเขาผู้นี้แหละคือผู้ที่มาจากหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลจากกรุงเทพหลายร้อยกิโลเมตร ซึ่งทุกคนในหมู่บ้านนั้นสามารถทำผ้าไหมได้เองทุกคน ยังชีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องอาศัยเงินและตลาดเช่นคนในกรุงเทพ ทุกสิ่งที่คนเหล่านั้นได้บริโภคเขาทำมันได้ด้วยมือเขาเอง สองพี่น้องยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ขณะฟังคำบอกเล่าของนิทัศน์ ซึ่งเธอได้เคยฟังอย่างยืดยาว และด้วยความตื่นเต้นมาแล้วครั้งหนึ่ง ขณะที่แม่เข้ามาลูบหลังต้อนรับ จันทาก็ได้แต่ทำหน้าเรี่ย ๆ และงวยงงไปที่ความเป็นอยู่อันต่ำต้อยควรเป็นที่เหยียดหยามดูหมิ่นของเขา กลับมาได้รับความยกย่องจากบุคคลเหล่านี้ เขาไม่รู้จะเข้าใจในเหตุผลแห่งการยกย่องนัก แต่มันก็ทำให้เขาสบายใจ และแน่ใจว่าเขาได้มาอยู่ในหมู่คนที่มีน้ำใจไมตรีต่อเขาโดยแท้จริง

บ้านของครอบครัว “สวัสดิรักษา” เป็นตึกแถวสองชั้น เมื่อพ่อยังทำงานอยู่ได้ใช้เป็นที่อยู่ล้วน ๆ แต่เมื่อพ่อล้มเจ็บลง และต้องออกจากงานจำเป็นต้องแบ่งเป็นร้านค้าเสียส่วนหนึ่ง จึงทำให้บ้านคับแคบไปสำหรับใช้เป็นที่อยู่ของครอบครัว ๕ คน แม่ได้แบ่งตอนหลังตู้ใส่สินค้าเป็นห้องนอนของพ่อและแม่ ซึ่งเกือบจะเรียกได้ว่าเป็นซอกเล็ก ๆ แต่ยังดีหน่อยที่มีลมทางประตูหลังบ้านพัดโกรกเข้ามาพอเย็นสบาย จากประตูหลังบ้านไปสู่ครัวมีซานซึ่งใช้เป็นที่อาบน้ำ และมีเนื้อที่กว้างพอที่จะตั้งม้านั่งเตี้ย ๆ ขนาดกว้างยาวไล่เรี่ยกับเตียงนอนสำหรับนอนสองคน ที่ตรงนั้นแหละได้ถูกดัดแปลงใช้เป็นห้องต่างๆ สุดแต่จะต้องการโดยปกติใช้เป็นที่รับประทานอาหารบางคราวก็ใช้เป็นที่นั่งเล่น บางคราวใช้เป็นที่รับแขก บางคราวก็ใช้เป็นที่ดูหนังสือและทำบทเรียนของเด็ก ๆ และบางทีในตอนหัวค่ำบางวันแม่เหน็ดเหนื่อยจากการงานแม่ก็จะไปเอนหลังที่นั่น และบอกลูก ๆ ว่า “วันนี้แม่เหนื่อยเหลือเกิน ให้แม่นอนสักงีบหนึ่ง อย่ากวนแม่นะ” และเด็ก ๆ ก็จะอยู่กันอย่างสงบเงียบ และในเวลานั้นแม้แต่ใครจามออกมาก็จะถูกอีกคนหนึ่งหรือสองคนถลึงตาเอา

ส่วนห้องชั้นบนนั้น แม่มอบให้เป็นที่อยู่หลับนอนของลูกทั้งสาม และเป็นที่เก็บสมบัติเล็กน้อยของพ่อแม่ เด็กทั้งสามได้แบ่งห้องชั้นบนออกเป็นสองตอน ตอนหนึ่งเป็นส่วนของบังอรและพยอมผู้น้อง ซึ่งกว้างกว่าตอนที่เป็นส่วนของนิทัศน์ ทางด้านของสองพี่น้องหญิงนั้น ได้รับการจัดและตบแต่งอย่างเป็นระเบียบ และดูงามตาพอใช้ แต่ทางด้านของนิทัศน์ตรงกันข้ามไม่มีใครทราบว่าเขาต้องการใช้มุมไหนเป็นที่เก็บเครื่องเขียน มุมไหนเป็นที่เก็บเสื้อผ้า และมุมไหนเป็นที่เก็บของเล่น เพราะสิ่งของเหล่านี้ถูกวางปนเปกันไปหมดเนื่องจากความรักของเขตหนึ่งย่อมกระทบกระเทือนไปถึงความเป็นระเบียบและความสะอาดของเขตหนึ่งด้วย เพราะฉะนั้นเจ้าของที่ทั้งสองฝ่ายจึงมักจะมีปากเสียงกันอยู่บ่อย ๆ โดยเฉพาะระหว่างบังอรกับนิทัศน์ และเมื่อในบางคราวความสับสนปนเปที่นิทัศน์ได้ก่อขึ้น ถึงแก่รุกล้ำเข้าไปในเขตของดรุณีทั้งสอง เป็นต้นว่ากรงดินใส่จิ้งหรีดของเขา ไปปรากฏอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้งที่งามกระจิ๋มกระจิ๋มด้วยเอนตัวน้อย ๆ บังอรก็เห็นว่าเป็นการรุกรานที่ปล่อยให้ยืดเยื้อต่อไปไม่ได้ ในเวลาเช่นนั้นพี่สาวถึงแก่เคยใช้คำขู่ว่า ถ้าน้องชายไม่ทำตัวให้น่ารักเท่าครึ่งหนึ่งของตุ๊กตาตัวที่เธอได้ทิ้งไปแล้ว เธอจะบอกแม่ให้จัดการอพยพเขาลงไปนอนในร้านข้างล่าง ในเวลาปกตินิทัศน์จะยอมจำนนต่อคำขู่และลงมือจัดสิ่งต่าง ๆ ให้อยู่ในที่อันควร แล้วพี่น้องก็จะหัวร่อเข้าหากัน แต่มีเวลาที่เด็กชายอารมณ์ไม่ดีเขาก็จะหน้างอและไม่ยอมอ่อนข้อต่อคำขู่ และเมื่อเขาถูกขู่กรรโชกซ้ำ เขาก็จะโต้ตอบว่า แม่จะไม่เป็นคนใจร้ายอย่างที่พี่สาวอยากให้แม่เป็น หรืออย่างที่พี่สาวได้เป็นอยู่แล้ว การโต้เถียงที่ออกจะเอาจริงเอาจังก็จะดำเนินไปจนได้ยินไปถึงแม่ และแม่ก็จะเข้ามาระงับเหตุโดยกล่าวแก่พี่สาวว่า “หนูอร น้องเป็นเด็กผู้ชายไม่เหมือนกับเด็กหญิงและน้องยังเล็กอยู่ เมื่อน้องค่อยโตขึ้นก็จะค่อยเข้าใจเรื่องเหล่านี้ไปเอง หนูต้องอดทนหน่อยและช่วยน้องด้วยการสั่งสอนแนะนำโดยดี” กับนิทัศน์แม่จะลูบหัวและพูดกับเขาว่า “ลูกรักของแม่อย่าเป็นคนอารมณ์ร้าย พี่ต้องช่วยแม่ทำงานด้วยความเหน็ดเหนื่อยเพื่อครอบครัวของเรา เพื่อการพยาบาลพ่อและเพื่อการเล่าเรียนของหนู หนูเป็นเด็กดีหนูคงไม่อยากจะทำอะไรให้พี่ร้อนใจไม่สบายใจไม่ใช่หรือ ?” แม่ไม่กำหราบลูกด้วยการแสดงโมโหโทโส แม่มักจะใช้น้ำเย็นเข้าลูบ นิทัศน์ก็น้ำตาคลอซบหน้าลงบนอกแม่ แล้วความราบรื่นชื่นบานก็กลับคืนมาสู่พี่น้อง นาน ๆ ครั้งหนึ่งจะมีการโต้เถียงกันอย่างรุนแรงระหว่างพี่น้อง พ่อจะเรียกลูก ๆ เข้าไปหาให้คำตักเตือนสั่งสอน แล้วทุกคนก็จะออกมาจากอกของพ่อด้วยเสียงสะอึกสอื้น ทุกคนจะจดจำไปนานเมื่อเป็นคำตักเตือนที่มาจากพ่อ ซึ่งเคยเป็นหลักพึ่งพานักของครอบครัว และบัดนี้ต้องเจ็บป่วยทุพพลภาพ ทุกคนจะเสียใจไปนานและความเสียใจนั้นได้เพิ่มความอดทนและรักในระหว่างพี่น้องทั้งสามยิ่งขึ้น

แม่บอกกับจันทาว่า บ้านออกจะคับแคบสักหน่อย แต่จันทาฟังด้วยกิริยาอันสงบ เขาไม่รู้ที่จะตอบว่ากระไร เขาไม่เคยมีความคิดที่จะวิจารณ์ความแคบความกว้างของบ้านหลังใด เขายังไม่เคยเห็นบ้านใดที่มีความคับแคบเกินไปเลย เนื้อที่ที่เขาต้องการและที่เขาเคยชินมาในชีวิต ก็คือที่สำหรับซุกหัวนอน เมื่อเขามีที่สำหรับจะซุกหัวนอนแล้วก็เป็นอันเพียงพอแก่ความต้องการของเขา ไม่ว่าที่ใดที่เขาได้เอาหัวของเขาซุกลงไป เขาก็นอนหลับทั้งนั้น เว้นแต่อากาศจะหนาวจัดและเขาไม่มีผ้าห่มจะป้องกันความหนาวเท่านั้นจึงจะก่อปัญหาแก่เขาบ้าง ส่วนความแคบและกว้างของบ้านนั้นเขาไม่เคยคิดถึงมัน มันอยู่เลยความต้องการของเขาไป

เมื่อการต้อนรับทางหน้าบ้านค่อยสงบลงแล้ว นิทัศน์ได้จูงมือสหายเดินเบา ๆ เข้าไปทางด้านหลังเพื่อทำความเคารพพ่อ ขณะนั้นพ่อนั่งครึ่งนอนครึ่งอิงหมอนปลอกผ้าขาวสะอาดอยู่บนเตียงเล็กเตี้ย ๆ มีหนังสือธรรมะเล่มหนึ่งวางอยู่ข้างตัว แสงแดดที่ส่องสาดจากประตูด้านหลังเข้ามาทำให้ “ซอก” ของพ่อสว่างแจ่มใส ทางด้านหัวนอนมีโต๊ะเล็ก ๆ สูงสีดำบนโต๊ะตั้งพระพุทธรูปปางบำเพ็ญทุกข์กิริยาองค์ย่อม ๆ สูงประมาณหนึ่งคืบขัดเป็นเงางาม มีกระถางธูปเทียนและแจกันปักดอกบัวหลวงตั้งขนานอยู่ข้าง ๆ มีโต๊ะเล็กเตี้ยอีกตัวหนึ่งตั้งชิดขนาบกับเตียงด้านหัวนอน มีหนังสือหลายเล่มอยู่บนโต๊ะพร้อมด้วยขวดยาถ้วยยาและของใช้อื่น ๆ ที่พ่อพร้อมจะหยิบใช้ได้เองโดยไม่ต้องรบกวนผู้อื่น สิ่งของต่าง ๆ ในบริเวณซอกน้อย ๆ ของพ่อปรากฏอยู่อย่างสะอาดเรียบร้อย แสดงว่าคนป่วยไม่ได้ถูกทอดทิ้งให้ผจญกับพยาธิอย่างเปล่าเปลี่ยว แม้ว่าทุก ๆ คนในบ้านอันคับแคบนั้นจะมีงาน ทำเต็มมือ ร่างของคนป่วยค่อนข้างซูบเพราะได้ต่อสู้กับพยาธิอันร้าย บนพื้นที่เล็ก ๆ เพียงขนาดเท่าเตียงที่นอนอยู่มาเป็นเวลาแรมปี แต่ดวงตาที่ฝังลึกอยู่ในดวงหน้าที่เห็นโหนกกระดูกแก้มสองข้างนูนขึ้นมานั้น มีประกายแจ่มใส และมียิ้มอันเอิบอิ่มด้วยความกรุณาปราณีปรากฏบนริมฝีปากที่เหี่ยวและซูบ เมื่อบุตรชายสุดที่รักนำสหายของเขาไปคุกเข่ากราบลงที่เตียง พอยกมือขวาขึ้นรับไหว้ เพราะมือซ้ายเคลื่อนไหวไม่ได้ พ่อลดมือลงลูบหลังจันทาซึ่งทำให้เด็กชายผู้ล่ำสันจากเมืองขุขันธ์รู้สึกว่าเป็นการต้อนรับที่ชุ่มชื่นใจยิ่งกว่าจะกล่าวออกมาเป็นถ้อยคำ พ่อทราบเรื่องของจันทาดีอยู่แล้วจึงปราศรัยกับเขาถึงเรื่องบิดาของเขา และจันทาได้บอกให้คนป่วยทราบว่า นับแต่ได้เสียแม่ไปแล้ว พ่อของเขาได้ปลงใจอยู่ในสมณเพศด้วยศรัทธาอันแท้จริง และในปัจจุบันนี้ท่านก็เป็นที่เคารพนับถือของพวกชาวบ้านสมกับศรัทธาของท่าน

ระหว่างที่นิทัศน์ชวนจันทาขึ้นไปนั่งเล่นกินขนมกันข้างบนซึ่งพี่สาวของเขาจัดหาไว้ให้นั้น นิทัศน์ได้เล่าให้สหายฟังว่า แม้พ่อจะป่วยเจ็บทุพพลภาพแต่จิตใจ ของพ่อมั่นคงและสงบยิ่งกว่า ในยามที่พ่อยังสบายดีอยู่ พ่อบอกว่าพ่อได้เสียร่างกายบางส่วนไป แต่พ่อได้จิตใจที่งดงามและสะอาดกว่าเดิมมาเป็นเครื่องชดเชย ซึ่งมีค่ากว่าร่างกายที่เสื่อมโทรมไป พ่อบอกว่า ถ้าพ่อไม่ล้มเจ็บคงจะเป็นเวลาอีกนานทีเดียวกว่าพ่อจะได้พบจิตใจที่พ่อได้พบแล้วในขณะนี้ ดังนั้นพ่อจึงไม่เสียใจที่พ่อได้มีร่างกายทุพพลภาพ และพ่อได้ขออย่าให้ลูก ๆ เศร้าโศกเสียใจกับการเจ็บป่วยของพ่อ

“แม่พอจะเข้าใจคำบอกเล่าของพ่อ แม่จึงไม่ใคร่ทุกข์โศก แต่พวกเราเด็ก ๆ อดที่จะเศร้าโศกแทนพ่อไม่ได้ เพราะเรายังไม่รู้เข้าใจสิ่งที่พ่อเรียกว่าเป็นสิ่งประเสริฐและงดงาม” นิทัศน์ลงท้าย

“พ่อบอกเธอหรือเปล่าว่า พ่อพบจิตใจที่งดงามนั้นได้อย่างไร ?” จันทาถามอย่างสนใจ

“พ่อบอกว่า พ่อได้พบจิตใจเช่นนั้นโดยคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นดวงประทีปส่องทาง และเมื่อได้แลเห็นทางอันสว่างแล้ว พ่อก็ใช้กำลังวังชาเท่าที่มีอยู่เดินไปตามหนทางนั้น พ่อบอกว่าต้องใช้ความพากเพียรอดทนในการเดินทาง เพราะไม่ใช่หนทางที่สนุกสนาน และฉันก็ไม่ได้ซักถาม เพราะเด็ก ๆ อย่างเรายังชอบสิ่งที่สนุกสนานอยู่” เด็กชายผู้เยาว์พูดอย่างซื่อสัตย์ และสหายของเขาก็พยักหน้ารับรอง “พ่อบอกว่าในการเจ็บป่วยนี้ พ่อเสียใจอยู่ข้อเดียวที่พ่อไม่สามารถจะเป็นประโยชน์แก่ครอบครัวได้ พ่อสงสารแม่ที่ต้องแบกภาระหนักแต่ผู้เดียว แต่ความจริงนั้นพ่อยังเป็นประโยชน์แก่พวกเราอยู่เสมอ ถึงแม้พ่อจะทำงานไม่ได้ แต่พ่อก็ได้ให้คำสั่งสอนอบรมเราแทนแม่ ซึ่งต้องใช้เวลาแทบทั้งวันไปในการหาเลี้ยงพวกเรา ฉันรู้สึกว่าคำสั่งสอนของพ่อเป็นสิ่งที่มีค่ามากและเราไม่เบื่อที่จะฟังเลย พ่อไม่เคยดุเราเลย พ่อพูดกับเราอย่างอ่อนโยน ฉันอยากให้ครูทุกคนพูดกับนักเรียนเหมือนอย่างที่พ่อพูดกับฉัน”

เขากำลังกินขนมครกอยู่พลางดูภาพในสมุดที่นิทัศน์ตัดจากหนังสือต่าง ๆ มาปิดไว้ เมื่อพลิกไปถึงภาพเรือนไม้สองชั้นระบายสีมีสวนเล็ก ๆ อยู่หน้าบ้าน นิทัศน์ก็วางขนมที่กำลังจ่ออยู่ที่ปากแล้วชี้ให้จันทาดูภาพนั้นพร้อมกับพูดว่า “ฉันจะปลูกบ้านตามแบบในภาพนี้ให้แม่อยู่ เมื่อฉันโตขึ้นและหาเงินได้ ฉันได้รับปากกับพ่อไว้แล้ว” ท่าทางของเขาจริงจังจนจันทาไม่เห็นคำพูดของเขาเป็นสิ่งน่าขัน “พ่อเล่าให้ฟังว่า ก่อนจะล้มเจ็บพ่อได้อุตส่าห์เก็บเงินไว้ก้อนหนึ่ง และหวังว่าอีกสองสามปีข้างหน้าจะปลูกบ้านได้สักหลังหนึ่งพอที่ครอบครัวของเราจะอยู่กินได้อย่างสบาย และมีบริเวณให้เราได้ใช้เล่นสนุกกันได้บ้าง แต่เมื่อเจ็บป่วยลงจึงต้องเอาเงินที่เก็บไว้มาทำทุนเปิดร้านค้าขาย โครงการปลูกบ้านของพ่อก็ล้มไป พ่อถามฉันว่า เมื่อฉันโตขึ้นฉันจะปลูกบ้านให้แม่อยู่ได้หรือไม่ ฉันถามพ่อว่า พ่อคิดว่าฉันจะทำได้หรือไม่ พ่อตอบว่าถ้าฉันเป็นเด็กดีตลอดไปและมีความมานะพากเพียรฉันก็จะทำได้ ฉันจึงตอบพ่อว่า ฉันจะเป็นเด็กดีและมีความมานะพากเพียรอย่างไม่ลดละ เพราะฉะนั้นฉันคงจะปลูกบ้านให้แม่ได้ พ่อลูบศีรษะฉัน ฉันตัดภาพนี้เพื่อเอาไว้ดูแบบเมื่อฉันโตขึ้น ฉันอยากให้บ้านของเรามีบริเวณทางหลังบ้านสักหน่อย เพื่อเลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่ จะได้ทุ่นค่าอาหารบ้าง และบางทีฉันอาจทำสวนเล็ก ๆ สำหรับปลูกต้นหม่อน ดีไหมเธอ ?”

ระหว่างที่เด็กชายทั้งสองนั่งเล่นสนทนากันอยู่นั้น เด็กหญิงพยอมได้ถือโอกาสเดินขึ้นเดินลงและเตร่ไปข้างๆ ด้วยดวงหน้ายิ้มระรื่น และคอยเวลาของเธอที่จะเข้าไปร่วมวงกับเด็กชายทั้งสองด้วยความอดทน เมื่อถึงเวลารับประทานอาหารกลางวัน แม่และพี่จัดหาอาหารมาให้เขาข้างบน นิทัศน์ร้องเชิญจันทารับประทานข้าวคลุกกะปิเมืองระยองที่แม่คลุกให้ด้วยความภาคภูมิใจ บังอรทำส้มโอแช่อิ่มให้เขาเป็นของหวาน และพยอมอวดว่าเธอเป็นคนออกไปซื้อน้ำแข็ง และจัดการตอกน้ำแข็งเอง เพื่อตอบแทนการประจบประแจงเด็กหญิง พี่ชายได้เชิญน้องสาวเข้าร่วมวงรับประทานด้วย แม่อยู่ดูแลการรับประทานของเขาครู่หนึ่งแล้วก็ลงไปเฝ้าร้านข้างล่าง บังอรคอยดูแลช่วยเหลือการรับประทานของเขาตลอดเวลา และคอยเตือนน้องชายให้ทำหน้าที่ของเจ้าบ้าน เมื่อนิทัศน์สนใจกับจานอาหารของเขามากเกินไป การเอาใจใส่ช่วยเหลือในสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ และด้วยกิริยาอันนุ่มนวลที่บังอรได้แสดงต่อเด็กทั้งสามในวันนั้น เป็นภาพประทับใจเด็กชายที่ชีวิตของเขาได้เติบโตขึ้นมาจากเมล็ดข้าวในบาตรพระ และการช่วงชิงอาหารระหว่างเด็กวัดด้วยการใช้เล่ห์กระเท่ห์ต่าง ๆ ตลอดชีวิตของจันทาไม่เคยมีอาหารมื้อใดที่เขาได้รับประทาน โดยมีผู้ปรนนิบัติอย่างอ่อนโยนเช่นที่เขาประสบในวันนั้น อาหารที่ครอบครัวนิทัศน์จัดให้เขารับประทานต่างจากอุปการะของเจ้าคุณอภิบาลราชธานีท่านบิดาของวัชรินทร์ แต่การรับประทานที่บ้านของนิทัศน์ ได้ก่อความชื่นอกชื่นใจอย่างประหลาดที่เขาไม่เคยพบมาก่อนในชีวิต จนเขาอดรู้สึกไม่ได้ว่าเด็กชายที่มีพี่สาวช่างเป็นเด็กชายที่มีโชคดีเสียจริง

ในระหว่างการรับประทานอาหาร เด็กหญิงพยอมทราบว่า ในตอนบ่ายพี่ชายจะพาแขกของเขาไปเที่ยวเล่นในวัดข้าง ๆ บ้านจึงขอร่วมคณะด้วย

“เราจะไปเล่นว่ายน้ำกันในสระที่วัด เธอไปเล่นด้วยไม่ได้หรอก เพราะเธอยังว่ายน้ำไม่เป็น” พี่ชายชี้แจง

“พี่จะไม่ไปจับผีเสื้อกันดอกหรือ ?” เด็กหญิงถามด้วยความรู้สึกผิดหวัง พลางก็มองไปที่เสื้อไหมของจันทา นิทัศน์ก็หัวเราะขึ้น และบังอรยิ้มละไม จันทามีสีหน้างวยงง แล้วนิทัศน์ก็อธิบายความหมายแห่งคำนั้นแก่สหายของเขา

น้องฉันเขาอยากเลี้ยงตัวไหม และทำผ้าไหมได้อย่างเธอ เขาตื่นเต้นในความรู้ความสามารถของพวกเธอมาก”

จันทาก้มหน้าอย่างอาย ๆ ขณะเหลือบตาไปพบยิ้มละไมของบังอร

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ