จันทา โนนดินแดง นั่งใจเต้นตึ๊กตั๊กมาบนรถยนต์ตั้งแต่ออกจากบ้าน เขานั่งตัวลีบอยู่ข้างคนขับเอามือประสานไว้บนตัก นัยน์ตาทีมีแววตื่นๆ มองตรงไปข้างหน้า สำรวมอิริยาบถจนแทบจะไม่กระดุกกระดิกตัวเลย ราวกับว่าในรถโอเปิลสีน้ำตาลคันนั้น นักเรียนหน้าตาน่าเอ็นดูผิวพรรณผุดผ่อง ซึ่งนั่งอยู่บนเบาะตอนหลัง ได้นำรูปหุ่นนักเรียนขนาดใหญ่กว่าตัวเขาติดรถมาตัวหนึ่ง เพื่อจะเอามาเล่นสนุกกับเพื่อน ๆ ที่โรงเรียนในวันเปิดเรียนเทอมต้น อาการนั่งนิ่งตัวลีบของหุ่นนักเรียนตัวนั้น ทำให้นายแจ้งคนขับรถรู้สึกขันแกมสมเพช เขาจึงหันมาพูดกับรูปหุ่นว่า “นั่งตามสบายเถอะ จะเหลียวดูอะไรเล่นบ้างก็ได้นะ เมื่อผ่านตลาดใหญ่มาแห่งหนึ่งเห็นไหม”

รูปหุ่นขยับเขยื้อนกายเป็นครั้งแรก แต่มือยังคงประสานไว้บนตัก หันมายิ้มกระเรี่ยกระราดกับนายแจ้งพร้อมกับสั่นหน้าแทนคำตอบว่า เขามิได้เห็นตลาดหรือสิ่งใด ๆ ที่ผ่านมา ดูเหมือนเขาไม่แน่ใจว่าการพูดจากับนายแจ้งในขณะนั้นจะเป็นการสมควรหรือไม่ เขาจึงไม่กล่าวตอบออกมาเป็นถ้อยคำ ภาพนี้ไม่ได้เพิ่มความขันแก่คนรถ แต่มันทำให้เขาเกิดความเห็นอกเห็นใจ เขาหวนคิดถึงลูกชายของเขา ที่เรียนอยู่ที่โรงเรียนเล็ก ๆ แห่งหนึ่งไม่ไกลบ้าน มันก็มีสภาพคล้าย ๆ กัน

จันทาอยากจะเหลียวซ้ายแลขวาชมตึกรามบ้านช่องข้างทางที่ผ่านมา ดังที่คนขับรถได้ออกปากแนะนำแก่เขาเป็นที่ยิ่ง เพียงแต่ว่าเขายังไม่กล้าพอที่จะกระทำลงไป เขาไม่แน่ใจว่ามันจะเป็นการผิดหรือถูกหลังจากได้รับการชักชวนจากคนขับรถ เขาเคลื่อนไหวอิริยาบถบ้างก็เฉพาะแต่ได้ก้มหน้ามองลงไปบนเท้าเปล่าเปลือยของนายแจ้งที่เหยียบลงบนคลัทช์ หรือบนที่เร่งน้ำมัน เมื่อเขาได้ยินเสียงครืดคราดในขณะที่เข้าเกียร์ หรือเห็นรถพุ่งเร็วรุดออกไป เขากลับนั่งตัวแข็งทื่ออีกครั้งหนึ่ง และใจเต้นแรงยิ่งกว่าที่เต้นตึ๊กตั๊กอยู่แล้ว ทั้งใบหน้าก็เริ่มเผือด เมื่อเขาแลไปเห็นรั้วเหล็กสีชมพูปลายแหลมข้างหน้า เขาสะดุ้งจนตัวลอยขณะที่นายแจ้งบีบแตรก่อนจะเลี้ยวรถลอดซุ้มเหล็กของประตูใหญ่หน้าโรงเรียน เข้าไปจอดที่หน้าตึกอันดูราวกับปราสาทราชวัง

ความรู้สึกและภาพต่าง ๆ ที่จันทาประสบในวันแรก ที่โผล่เข้าไปบริเวณโรงเรียนเทเวศร์รังสฤษดิ์นั้น ได้ตรึงตราอยู่ในใจเขาตลอดมา เพราะว่าการที่ตัวเขาได้ถูกนับว่าเป็นคนหนึ่งในบรรดาเด็กเหล่านั้นเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยใฝ่ฝันมาก่อน และมันเป็นความตื่นเต้นอันใหญ่หลวงที่สุดอันหนึ่ง ที่เขาได้พบมาในชีวิต ท่านอาจารย์ที่วัดบอกกับเขาว่า “มันนี่ช่างมีบุญเสียเหลือเกิน อ้ายจันมึงรู้ไหมว่ามึงได้เข้าไปในหมู่หงส์กับเขาแล้ว โรงเรียนที่มึงจะไปเข้าไปเรียนนี่นะ เป็นโรงเรียนที่พวกผู้ดีมีตระกูลและพวกเจ้านายท่านไปเรียนกัน ลำพังกูก็คิดว่า มึงได้เล่าเรียนถึงชั้นมัธยม ๓ ก็นับว่าวิเศษโขแล้ว และถึงมึงจะมีโอกาสได้เรียนชั้นสูง ๆ ต่อไป กูก็ไม่คิดว่าถึงจะได้เข้าไปเรียนในโรงเรียนที่มีหน้ามีตาขนาดนั้น นี่ถ้าแม่มึงเขาอยู่เขาคงจะปลื้มอกปลื้มใจแทบตายทีเดียวละ แล้วมึงอย่าเหลิง อย่าลืมตัวว่ามึงเป็นกา จงเจียมกะลาหัวของมึงไว้ และอย่าลืมคำที่กูได้สั่งสอนไว้ต่าง ๆ นานา มึงยังจำได้ไหมวะ....เป็นผู้น้อยค่อมก้มประนมกร....” เมื่อเขารับว่าเขาจำได้ พระอาจารย์ก็เสกกระหม่อมให้สามคาบ

ภาพที่เขาได้พบเห็นในวันแรก ที่เข้าสู่โรงเรียนเทเวศร์รังสฤษดิ์นั้น มันช่างเป็นภาพที่ปลุกเร้าความตื่นใจเป็นนักหนา นอกจากรถยนต์ที่เขานั่งมากับ “เจ้านายเล็กๆ” ของเขาซึ่งเป็นสิ่งมหัศจรรย์อันแรกที่แทรกเข้ามาในชีวิตของเขาแล้ว เขายังได้เห็นรถยนต์และบางทีก็รถเทียมม้าอันสง่างามแล่นลอดซุ้มเหล็กของประตูใหญ่เข้ามาไม่ขาด เมื่อรถจอดนายแจ้งได้ลงไปเปิดประตูรถให้ “เจ้านายเล็กๆ” ลงมาจากรถและขณะที่ “เจ้านายเล็กๆ” เดินนำหน้าตรงเข้าประตูตึกโรงเรียนนั้น นายแจ้งยังได้หิ้วปิ่นโตบรรจุอาหารกลางวันสำหรับ “เจ้านายเล็กๆ” ตามหลังเข้าไปในตึกโรงเรียนด้วย

เพียงในวันแรกเท่านั้น จันทาก็เห็นว่าคำพูดของพระอาจารย์นั้นสมจริง เขารู้สึกว่าเขาได้เข้าไปอยู่ในหมู่หงส์จริง ๆ ทุกสิ่งทุกอย่างที่จันทาได้พบเห็น ณ โรงเรียนเทเวศร์รังสฤษดิ์นั้น มันช่างแตกต่างกับโรงเรียนที่ตั้งอยู่ในวัดพระอาจารย์เสียแทบทั้งสิ้น เริ่มตั้งแต่รั้วเหล็กสีชมพูปลายแหลม ประตูเหล็กบานใหญ่ที่เปิดอ้าออกเต็มที่ และซุ้มเหล็กอันสง่าเหนือประตูใหญ่ สิ่งเหล่านี้ไม่ปรากฏที่โรงเรียนของเขา ที่โรงเรียนเก่าของเขามีแต่ประตูแคบ ๆ บานประตูทำด้วยไม้ซึ่งมีรอยแตกและฉีกไปบ้าง เขาคิดว่าเพียงเท่านั้นมันก็ดีพอแล้วสำหรับสิ่งที่เรียกว่าประตู ส่วนความกว้างของประตูนั้นเขาก็คิดว่ามันกว้างขวางพอดูทีเดียว เพราะว่ารถเล็กทั้งคันก็วิ่งผ่านเข้าไปได้อย่างสบาย แน่ละ ถ้าเป็นรถยนต์อาจจะผ่านเข้าไปไม่ได้นอกจากจะเป็นรถยนต์ขนาดแคบมาก แต่เรื่องนี้ไม่เคยเป็นปัญหาที่ขบคิดกันที่โรงเรียนของเขา ไม่มีใครเคยนึกว่าจะต้องมาขบปัญหาเช่นนี้ เพราะว่าทั้งครูและนักเรียนไม่เคยใช้รถยนต์กันเลยตั้งแต่ตั้งโรงเรียนมา และทั้งครูและนักเรียนต่างก็คิดไปไม่ถึงในเรื่องที่จะใช้รถยนต์ เรื่องการเดินทางชนิดที่เหมือนกับนั่งไปในราชรถ แล้วก็ลมหอบปลิวไปปลิวมาเช่นนั้น เขาคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องของมนุษย์เดินดินเช่นพวกเขา นั่นมันเป็นเรื่องของท่านอีกจำพวกหนึ่ง ซึ่งแม้จะมองเห็นเนื้อเห็นตัวกันอยู่ก็เหมือนกับอยู่คนละโลกคนละยุค ปัญหาที่เด็กนักเรียน ณ โรงเรียนเก่าของเขาขบคิดกันก็มีอยู่แต่ว่าเขาจะต้องออกจากโรงเรียนไปช่วยพ่อแม่ทำงานก่อนจะเรียนจบชั้นมัธยมสามหรือไม่ ? และเขามีหวังจะได้เรียนต่อที่โรงเรียนอื่นจนจบชั้นมัธยมหก ซึ่งพอจะช่วยให้เขาได้ ออกไปทำราชการเป็นเสมียนบ้างหรือไม่ ? หรือว่าเขาจะต้องออกไป “หามเสา” แทนที่จะได้ “หามจั่ว” ซึ่งค่อยเบาแรงสักหน่อย ! พ่อแม่จะหาเงินได้เพียงพอที่จะซื้อหนังสือและเครื่องเรียนอื่น ๆ รวมทั้งค่าเล่าเรียนเดือนละหนึ่งบาทให้เขาได้ตลอดปีหรือไม่ ? เขาจะไปยืมหนังสือเรียนเก่า ๆ ได้จากใคร ? จะมีสตางค์ซื้อข้าวกลางวันและซื้อขนมกันบ้างหรือไม่ พ่อแม่จะมีเงินซื้อเสื้อกางเกงชุดใหม่มาเปลี่ยนชุดเก่าที่ขาด และมีรอยปะหลายแห่งแล้วเมื่อไร ? สิ่งเหล่านี้แหละคือเรื่องที่เด็กนักเรียน ณ โรงเรียนเก่าของเขาคิดและพูดกัน เขาพูดกันถึงเรื่องความขาดแคลนอย่างเป็นของปกติธรรมดา มันเป็นส่วนอันจำเป็นที่ประกอบขึ้นเป็นชีวิตของเขา

นายแจ้งคนขับรถ ที่หิ้วปิ่นโตอาหารตามหลัง “เจ้านายเล็กๆ” เข้าไปในตึกเรียนนั้น นุ่งผ้าพื้นสีน้ำเงินยกกลีบใส่เสื้ออกกลัดกระดุมเรียบร้อย ถ้านายแจ้งได้สวมถุงน่องรองเท้าเสียอีกอย่างเดียวก็จะดูภูมิฐานราวกับพวกครูบาอาจารย์ ภาพเช่นนี้ก็ไม่เคยปรากฏในโรงเรียนเก่าของเขา ที่โน่นพวกเขารวมทั้งพ่อแม่ของพวกเขารู้จักแต่การรับใช้ การถูกปรนนิบัติรับใช้จากผู้อื่นนั้นพวกเขาไม่เคยได้รับและไม่เคยฝันถึง ครั้นโผล่เข้าไปในตึกเรียนจันทาก็ตกตะลึง เมื่อแลไปเห็นบันไดใหญ่ซ้ายขวาอยู่ตรงหน้าซึ่งจะนำนักเรียนไปสู่ตึกชั้นบน เขาแลเห็นพวกนักเรียนขึ้นลงบันไดด้วยอาการคล่องแคล่ว บ้างกระโดด บ้างวิ่ง หน้าตาล้วนแต่อิ่มเอมร่าเริงดูสง่าภาคภูมิและเต็มไปด้วยความสุขสมบูรณ์ เป็นดวงหน้าที่เทียบกันไม่ได้กับดวงหน้าที่ค่อนข้างซูบและมีแววตาตื่นกลัวที่เขาได้พบเห็นอยู่เสมอ ในหมู่นักเรียน ณ โรงเรียนเก่าของเขา เมื่อเข้าไปใกล้ราวบันไดที่ทาชะแลคสีเข้มมันแปลบ เขาลองเอามือลูบคลำดู มันช่างลื่นและไม่ระคายผิวเลย จนเขากริ่งเกรงไปว่ามันจะหม่นหมองเสีย ด้วยฝ่ามืออันสากของเขา โรงเรียนเก่าของเขาเป็นเรือนไม้ชั้นเดียวโบกด้วยน้ำปูนขาว ทั้งสีขาวของปูนก็ได้กระเทาะไปเกือบหมดแล้ว เห็นแต่สีเนื้อไม้เก่า ๆ ที่หยาบและขรุขระ มีบันไดอันเดียวจากพื้นดินไปสู่พื้นโรงเรียน มันมีราวให้จับเหมือนกัน แต่เขาไม่เคยลูบคลำมันเล่นด้วยความพิสมัย เพราะว่ามันเต็มไปด้วยเสี้ยนและมีรอยแตก แต่ที่โรงเรียนเทเวศร์รังสฤษดิ์นี้ เขาลูบคลำทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาเข้าไปใกล้ ไม่ว่าจะเป็นราวบันได บานประตูและหน้าต่าง เขาลูบคลำมันแต่เบา ๆ ดูเหมือนเขารู้สึกว่าความสะอาดและความสง่างามของมันนั้น ออกจะไม่คู่ควรแก่การสัมผัสด้วยฝ่ามือของเขาที่เคยชินมากับการจับต้องของหยาบ ๆ

เมื่อเข้าไปปะปน อยู่กับพวกนักเรียนในห้องเดียวกันเขาก็เห็นอย่างแน่ชัดว่า เขาเป็นกาที่ได้เข้ามาอยู่ในหมู่หงส์ สมกับที่พระอาจารย์ว่าไว้จริง ๆ เสื้อผ้าที่พวกนักเรียนเทเวศร์รังสฤษดิ์สวมใส่กันนั้น ส่วนมากเป็นเสื้อผ้าอย่างดี มีการซักรีดอย่างสะอาดหมดจด ไม่ยู่ยี่ยับเยินและไม่มีรอยปะ รอยขาด หนังสือและเครื่องอุปกรณ์การเรียนก็ล้วนแต่เป็นของใหม่ และมีใช้กันอย่างบริบูรณ์ รวมทั้งของใช้ของเล่นที่เป็นของแปลก ๆ เรื่องราวที่พวกนักเรียนนำมาสนทนากันก็มีแต่เรื่องอันน่าบันเทิงใจ ไม่มีเรื่องจำพวกความขาดแคลนความทุกข์ยาก ดังเช่นที่เขาเคยได้ฟังมาอย่างจำเจ ในหมู่เพื่อนนักเรียนที่โรงเรียนเก่าของเขา เขาไม่ได้ยินพวกนักเรียนที่นี่พูดแสดงความกังวลถึงค่าเล่าเรียนเดือนละ 5 บาท ซึ่งเขาเห็นว่าเป็นจำนวนมากมายนั้นเลย กล่าวโดยสรุปแล้วในวันแรกๆ ที่จันทาได้ไปเข้าโรงเรียนใหม่นั้น เขาไม่เพียงแต่รู้สึกว่าเขาได้ย้ายไปอยู่โรงเรียนใหม่เท่านั้น แต่เขารู้สึกเหมือนหนึ่งว่าได้อพยพจากโลกหนึ่งไปอยู่อีกโลกหนึ่งทีเดียว

จันทารู้สึกว่าเด็กอื่น ๆ ก็ดูจะเข้าใจเขาไปในทำนองนั้นซึ่งก็ไม่ได้ทำให้เขาแปลกใจ แต่มันทำให้เขาอึดอัดใจอยู่ระยะหนึ่ง เขาสังเกตเห็นว่าพวกนักเรียนในห้องเดียวกันคอยชายตาดูเขาเป็นพิเศษ เพราะว่าเขาเป็นนักเรียนใหม่นั้นข้อหนึ่ง แต่ความจริงก็ไม่ใช่มีแต่เขาคนเดียวที่เป็นนักเรียนใหม่ ข้อสำคัญมันเนื่องมาจากเขาเป็นเด็กที่หลุดออกมาจากโลกอีกโลกหนึ่งต่างหาก สายตาที่เด็กอื่น ๆ ชายชำเลืองมาทางเขานั้นมิใช่สายตาที่แสดงอาการเหยียดหยาม เด็ก ๆ ซึ่งถึงแม้จะมาจากที่สูงโดยทั่วไปก็ยังไม่มีเวลาเรียนรู้ที่จะเหยียดหยามคนอื่น ๆ หรือถึงแม้จะได้เรียนรู้มาบ้าง ก็ไม่ใคร่มีเวลาจะไปนึกถึง เพราะเขาต้องใช้เวลาไปในการเรียนและการเล่นสนุกเสียเกือบหมด ความรู้สึกของเด็กอื่น ๆ ที่มีต่อจันทานั้นเป็นไปในทางฉงนสนเท่ห์เสียมากกว่า คือฉงนสนเท่ห์ว่าสหายใหม่ของเขาคนนี้มาจากไหน เพราะว่ามีอะไรบางอย่างหรือหลายอย่างที่ไม่เหมือนกับพวกเขา จันทาได้ทราบในภายหลังว่านักเรียนเหล่านี้ส่วนมากได้เข้าเรียนที่โรงเรียนเทเวศร์รังสฤษดิ์ตั้งแต่ชั้นต่ำ ๆ ได้เรียนกันมา ๆ คนละหลายปี จนโรงเรียนได้กลายเป็นบ้านที่สองเขาไปแล้ว เพราะฉะนั้นนักเรียนหน้าใหม่จึงเป็นภาพที่สะดุดตาของเขา และย่อมเป็นภาพที่สะดุดตาเป็นพิเศษ เมื่อหน้าใหม่นั้นเป็นหน้าที่มาจากทุ่งนาอันไกลโพ้น เพราะว่าเด็กเหล่านี้ไม่เคยเห็นชีวิตในทุ่งนา ไม่เคยพบเห็นชีวิตในทุ่งนา ไม่เคยพบเห็นชีวิตที่เติบโตขึ้นมาจากเมล็ดข้าวในบาตรพระ ซึ่งเป็นข้าวจากสาธารณชน ต่อมาจันทาก็ได้สังเกตเห็นว่าสายตาที่ชำเลืองมานั้น มีบางคู่ที่แววแห่งความเห็นอกเห็นใจได้มาแทนที่ความฉงนสนเท่ห์ซึ่งค่อย ๆ จางไป

เขาตื่นความใหม่ของสถานที่และบรรยากาศของโรงเรียนใหม่อยู่เป็นเวลานาน ในเวลาหยุดพักเรียน เขามักจะเดินท่อม ๆ ไปแต่ลำพัง ตามบริเวณโรงเรียนและในตึกเรียนเที่ยวชมสิ่งต่าง ๆ ตามที่เขาคิดว่าจะชมได้ โดยไม่เป็นการส่อความทะลึ่งหรือความไม่รู้จักเจียมกะลาหัว ดังที่พระอาจารย์ได้สั่งสอนให้เขาระมัดระวังจงหนัก เขาเดินไปตามเฉลียงห้องเรียนและลอบชำเลืองดูความเป็นไปในห้องเรียนต่าง ๆ ที่ยังไม่กล้าพอที่จะไปยืนเกาะประตู และชะโงกหน้าเข้าไปดูตามห้อง แม้ว่าเขาจะได้เห็นนักเรียนคนอื่น ๆ ทำกันเช่นนั้นอย่างองอาจ แต่เขาก็ยังคิดว่าเขาจะทำเช่นนั้นไม่ได้ หรืออย่างน้อยก็ไม่สมควรจะทำ เพราะเขาไม่เหมือนกับเด็กเหล่านั้น เขาพิศดูบานเกล็ดหน้าต่างและลูบคลำมันด้วยความพึงพอใจ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาได้เห็นหน้าต่างที่มีบานเกล็ด ซึ่งเขารู้สึกว่าเป็นการก่อสร้างที่แสนจะวิจิตรบรรจง เขาลองบิดลูกบิดประตู และพิศวงที่มันทำหน้าที่ใส่และถอดกลอนทองเหลืองอันยาวนั้นได้เอง เขาสนเท่ห์และยังค้นคำตอบไม่พบ เมื่อเห็นภาพระบายสีใส่กรอบติดไว้ที่ผนังตึกใกล้ห้องสมุด ภาพนั้นเป็นภาพแสดงการรบที่วอเตอร์ลู และมีค่าบรรยายใต้ภาพว่าเวลลิงตัน ชนะศึกวอเตอร์ลูก็เพราะได้อาศัยสนามฟุตบอลที่โรงเรียนอีตันนั่นเอง ภาพนั้นก่อให้เกิดความทึ่ง แม้เขาจะยังไม่ทราบว่าเวลลิงตันเป็นใคร และวอเตอร์ลูคืออะไร แต่เขาก็พอจะเดาได้ว่าเวลลิงตันคงจะเป็นนักรบหรือแม่ทัพที่มีชื่อเสียงสักคนหนึ่ง และได้ทำการรบชนะใครสักคนหนึ่ง แต่ที่เขาขบไม่ออกและไม่สามารถจะปะติดปะต่อความคิดของเขาให้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาได้คือ เหตุใดสนามฟุตบอลที่โรงเรียนอีตันจึงไปเกี่ยวข้องกับการชนะศึกวอเตอร์ลูของเวลลิงตัน จะเป็นไปได้ไหมว่า ศึกวอเตอร์ลูนั้นได้กระทำกันที่สนามฟุตบอลโรงเรียนอีตัน และเวลลิงตันเคยเป็นครูหรือนักเรียนอยู่ที่โรงเรียนอีตันมาก่อน รู้เบาะแสของโรงเรียนดี เป็นเหตุให้ได้เปรียบฝ่ายข้าศึก จึงทำการรบชนะศึกวอเตอร์ลู เขาอยากจะรู้คำไขปริศนาข้อนี้อยู่ไม่น้อย แต่เขายังไม่กล้าที่จะออกปากถามใคร เขารู้จักห้องสมุดแล้ว แต่เขาก็เพียงแต่เดินเมียง ๆ ผ่านไปมา เขาอยากจะเข้าไปดูหนังสือที่เก็บไว้ในตู้ ซึ่งเขามองเห็นจากภายนอก เขาอยากจะรู้อะไรใหม่ ๆ นอกไปจากความรู้ที่เขาเรียนรู้กับครูในห้องเรียน เขาอยากจะได้ความรู้ที่ช่วยให้เขาหายตื่นหายกลัว และความองอาจเหมือนกับนักเรียนอื่น ๆ จะมีความรู้เช่นนี้อยู่ในหนังสือเหล่านั้นบ้างไหมหนอ ? เขารำพึงอยู่ในใจ และความรำพึงเช่นนั้น มันทำให้เขากระหายที่จะได้ย่างเข้าไปในห้องสมุดนั้น คำอบรมสั่งสอนที่เขาเคยได้รับมา แต่ก็มีคำกำชับกำชาให้เขากลัวเกรงคนอื่น ๆ และคำสอนเหล่านั้นก็นับว่าได้ผลอย่างสมบูรณ์ทีเดียว

สิ่งที่ก่อความทึ่งและความสนเท่ห์อันสำคัญแก่เขาอีกสิ่งหนึ่งก็คือ แผ่นกระดานดำแผ่นใหญ่ยาวซึ่งแขวนอยู่ที่ผนังตึก ตรงกับบันไดที่จะขึ้นไปสู่ห้องเรียนชั้นบน บนแผ่นกระดานดำนั้น จารึกนามของนักเรียนที่เข้าสอบแข่งขันได้รับทุนคิงสกอลาชิปประจำปีต่าง ๆ นามเหล่านั้นได้ถูกจารึกด้วยอักษรทอง เขาไม่ทราบว่าทุนคิงสกอลาซิปมีความหมายว่ากระไร และผู้ที่ได้รับทุนนี้แล้วจะเอาไปใช้ทำอะไรกันบ้างเขาก็ไม่ทราบ แต่ข้อที่เขาพอจะเดาได้บ้างก็คือนักเรียนเหล่านั้น คงจะเป็นนักเรียนที่เรียนเก่ง นอกจากรายนามของนักเรียนบนกระดานแผ่นนั้นยังจารึกนามบิดาของนักเรียนที่ได้ทุนคิงสกอลาชิปไว้ด้วย เขาพิศวงที่เห็นรายนามบิดาของนักเรียนเหล่านั้น มีทั้งที่เป็นขุนนาง เป็นเชื้อพระวงศ์ และเป็นนายนั่นนายนี่ ซึ่งเป็นคนธรรมดาสามัญคละกันไป รวมทั้งนามที่แสดงเชื้อสายว่าเป็นชาวจีนด้วย เขาแปลกใจที่เห็นบุตรคนธรรมดาสามัญก็ไปมีชื่อในการได้รับเกียรติปะปนอยู่กับบุตรของท่านพวกผู้ดีมีตระกูลเหล่านั้น เขาไม่เคยคิดว่า บุตรของคนธรรมดาสามัญจะมีความเฉลียวฉลาดทัดเทียมกับบุตรของท่านเจ้าขุนมูลนายได้ นี่เป็นปริศนาอีกข้อหนึ่งที่เขาคิดว่าจะต้องหาคำอธิบายต่อไป

ภายหลังที่เที่ยวเดินท่อม ๆ สำรวจดูสิ่งต่าง ๆ อยู่ได้สองสามวัน เขาก็ต้องพักการสำรวจไว้ชั่วคราว ในเวลาต่อมาการเดินไปในรองเท้าซึ่งเขาไม่เคยใช้มาก่อน เขาพิศวงที่เห็นเด็กอื่น ๆ สวมรองเท้าเตะลูกหนังและลูกฟุตบอลได้อย่างคล่องแคล่วเหมือนเตะด้วยเท้าเปล่า ๆ ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยสวมรองเท้า และเขาไม่เคยเห็นความจำเป็นที่จะต้องสวม นักเรียนที่โรงเรียนเก่าของเขาก็เดินตีนเปล่ากันทุกคน เท้าของเขาเหล่านั้นเหยียบลงไปบนพื้นที่วาววามด้วยเปลวแดด โดยไม่รู้สึกความแตกต่างกว่าเมื่อเหยียบลงไปบนพื้นสนามเวลาร่มรื่น แต่ที่โรงเรียนเทเวศร์รังสฤษดิ์นั้นมีกฎเกณฑ์ว่านักเรียนจะต้องสวมรองเท้า และเขาก็ได้สวมมันเป็นครั้งแรกในชีวิต

วันหนึ่งตอนหยุดพักกลางวัน ขณะที่เขาไปยืนเมียงมองอยู่ที่หน้าห้องยิม ดูนักเรียนอื่นเขาฝึกซ้อมการเล่นออกกำลังอยู่ในห้องนั้น มีมือเล็ก ๆ มือหนึ่งมาแตะที่แขนของเขา และพร้อมกันนั้นเขาก็ได้ยินเสียงแจ๋วของนักเรียนคนหนึ่งพูดกับเขาว่า “เธออยากเข้าไปเล่นกับเขาไหมล่ะ ถ้าอยากก็เข้าไปด้วยกัน” เขามองดูหน้าเจ้าของเสียงแจ๋วนั้นด้วยความรู้สึกตื้นตันใจ

เขาตอบด้วยกิริยากระดากกระเดื่องว่า “ฉันเล่นไม่เป็น”

“อยากเข้าไปดูไหมล่ะ” เสียงแจ๋วนั้นพูดต่อไปด้วยความอารี เมื่อเขายังยืนเฉยอยู่เพราะความลังเลใจ เจ้าของเสียงแจ๋วได้พูดต่อไปว่า “เข้าไปดูซิ ไปดูเขาเล่นกัน ฉันจะไปเป็นเพื่อนเธอ” แล้วเขาก็ถูกจูงมือและเขาก็เดินตามผู้จูงเข้าไปในห้องยิมอย่างงวยงง

นับตั้งแต่นั้นมา จันทาก็ได้มิตรคนแรกในโรงเรียนใหม่หรือนัยหนึ่งในโลกใหม่ของเขา ในเวลานั้นไม่มีอะไรที่เขาอยากได้ยิ่งไปกว่ามิตรสักคนหนึ่ง ผู้ซึ่งเสนอตัวเข้ามาเป็นประหนึ่งพี่เลี้ยงของเขานั้น แท้ที่จริงเด็กขนาดรุ่นน้องของเขา ถึงแม้จะเรียนร่วมห้องกันก็ตาม เมื่อจันทามาเข้าโรงเรียนชั้นมัธยมสี่ที่โรงเรียนเทเวศร์รังสฤษดิ์นั้น เขามีอายุสิบหกปีแล้ว เพราะฉะนั้นเขาจึงเป็นเด็กรุ่นโตของห้อง เขาออกจะประหลาดใจอยู่เหมือนกันในการถือวิสาสะที่เขาเองเห็นว่าเต็มไปด้วยความองอาจและดูสง่าของมิตรน้อยผู้นี้ เขาได้คุณสมบัติเหล่านี้มาจากไหนหนอ จันทารำพึง จันทาจำชื่อมิตรน้อยของเขาได้แม่นยำ เพราะเขาผู้นี้ได้ลุกขึ้นตอบคำถามของครู ที่นักเรียนอื่นตอบไม่ได้สองสามครั้ง จนใคร ๆ ต้องหันไปมองดูเขาพร้อมทั้งชื่อและหน้าของเขาได้ ครูเรียกเขาว่า “นิทัศน์” นอกจากชื่อที่ครูเรียกเขาแล้ว จันทาไม่รู้จักเขานอกเหนือไปกว่านี้เลย แต่จันทาคาดว่าเขาคงเป็นลูกผู้ดีมีตระกูลคนหนึ่งเหมือนกัน เพราะเมื่อเขาสนทนาปราศรัยกับเจ้านายเล็ก ๆ ของจันทานั้นเขาก็สนทนาได้อย่างไม่สะทกสะท้าน และอย่างเด็กที่มีฐานะเสมอกัน ทั้งนี้เมื่อพิจารณาถึงความเฉลียวฉลาดในการเล่าเรียนแล้ว มิตรน้อยของเขาดูจะเหนือกว่า “เจ้านายเล็ก ๆ” ของเขาเสียด้วยซ้ำ

ต่อมาเมื่อเด็กทั้งสองสนิทสนมกันแล้วด้วยการตั้งคำถามที่เป็นคำถามอย่างบังเอิญ เด็กทั้งสองก็ได้เล่าประวัติของเขาสู่กันฟัง โดยต่างคนไม่มีโครงการมาก่อนเลย แล้วเด็กทั้งสองก็รู้จักหัวนอนปลายตีนกันอย่างดี และต่างก็นึกพิศวงในเรื่องราวของกันและกัน วันหนึ่งจันทาได้ถามนิทัศน์ขึ้นว่า “คุณพ่อเธอเป็นเจ้าเมืองอะไร ?” นิทัศน์เลิกคิ้ว ทำให้ดวงตาโตแจ่มใสของเธอโตยิ่งขึ้นพลางร้องว่า “เอ๊ะ!” แล้วก็ตอบว่า “พ่อฉันไม่ได้เป็นเจ้าเมืองนี่เธอ” จันทาทำหน้าฉงนปรารภต่อไป “ฉันได้ยินใครคนหนึ่งพูดว่า ฤดูร้อนปีหน้า เธออาจจะขึ้นไปทางเหนือไปพักอยู่ที่จวนท่านเจ้าเมือง.....” นิทัศน์หัวเราะพลางตอบว่า “ท่านเจ้าเมืองสุโขทัยนั่นพ่ออาภรณ์ไม่ใช่พ่อฉัน” สีหน้าของเขาเปลี่ยนจากร่าเริงเป็นเคร่งขรึม “พ่อฉันป่วยเป็นอัมพาต....” จันทานิ่งอึ้ง เขาไม่คิดจะถามต่อเพราะสีหน้าของมิตรเปลี่ยนแปลงไป แต่นิทัศน์กลับเป็นผู้บรรยายเรื่องราวในครอบครัวของเขาต่อไป ด้วยคำถามอย่างบังเอิญข้อนั้นเอง จันทาก็ได้ทราบประวัติของมิตรคนแรก ในวันนั้นเขาทั้งสองนั่งคุยกันอยู่ที่ริมสนามใต้ซุ้มต้นลั่นทม ในเวลาหยุดพักกลางวันขณะที่เด็กอื่น ๆ วิ่งเล่นเตะลูกหนังกันเกรียวกราวในสนามฟุตบอลอันกว้างใหญ่

ข้อที่ทำให้จันทาแปลกใจเป็นอันมาก ก็คือนิทัศน์ไม่ใช่ลูกขุนนาง และก็ไม่ได้สืบเชื้อสายมาจากท่านผู้ดีมีตระกูลที่ไหน พ่อของเขาเป็นเสมียนของบริษัทแห่งหนึ่งซึ่งได้ออกจากงานเมื่อสองสามปีมาแล้วนับแต่ล้มป่วยเป็นอัมพาต

“พ่อไม่ได้เป็นข้าราชการ ไม่มีเงินบำเหน็จบำนาญเหมือนข้าราชการทั้งหลาย” เป็นคำบรรยายของนิทัศน์ “พ่อมีเงินที่เก็บออมไว้ก้อนหนึ่งขณะที่งาน แม่ได้อาศัยเงินก้อนนั้นนำไปลงทุนค้าขายเลี้ยงดูครอบครัว”

บ้านที่เขาอยู่จึงกลายเป็นร้านค้าจำพวกที่เรียกว่าร้านชำ ซึ่งมีทั้งของกินและของใช้ทั้งของสดของแห้ง มีเสื่อจากจันทรบูร มีผ้าซิ่นไหม โสร่งไหมจากอุบล มีน้ำปลาและกะปิจากระยอง นัยน์ตาของเขาลุกวาวขึ้นเมื่อพูดถึงกะปิ “แม่ทำข้าวคลุกกะปิให้เรากินบ่อย โดยเฉพาะในตอนเช้าก่อนมาโรงเรียน มันง่ายและสะดวก และมันก็อร่อยดีด้วย ฉันจะพาเธอไปบ้านไปกินข้าวคลุกกะปิเมืองระยองที่แม่จะคลุกให้สักวันหนึ่ง แม่ทำข้าวคลุกกะปิน่ากินนะเธอ” เขาพูดด้วยความภาคภูมิใจ

เขามีพี่สาวคนหนึ่งและน้องสาวคนหนึ่ง เมื่อพ่อล้มเจ็บและต้องออกจากงาน แม่ต้องทำงานหนักเพื่อเลี้ยงดูครอบครัวทั้งหมด เดิมทีพ่อแม่กะว่าจะให้พี่สาวเรียนเป็นนางพยาบาล หรือเป็นครูสุดแต่จะเลือกเอา แต่เมื่อครอบครัวต้องเผชิญความคับขันเข้าเช่นนี้ อนาคตของพี่สาวจึงต้องเปลี่ยนแปลงไป พี่สาวต้องออกจากโรงเรียนเมื่อเรียนจบมัธยมมาช่วยแม่ทำการค้าขาย ส่วนน้องสาวนั้นก็เช่นเดียวกัน เดิมพ่อก็ตั้งใจจะให้เรียนถึงชั้นมัธยม แต่เมื่อพ่อมาเจ็บป่วยทุพพลภาพลงเสียแล้ว คงจะได้เรียนเพียงชั้นมัธยมสาม

“ส่วนฉันเป็นลูกชาย แม่บอกว่าถึงจะเหน็ดเหนื่อยสายตัวแทบขาดอย่างไร ก็จะทำมาหาส่งให้ฉันได้เรียนจนถึงที่สุดเหมือนกับลูกของคนอื่น ๆ เขา” เขาพูดด้วยเสียงเครือ “แม่บอกว่าอยากให้ลูกได้เรียนดีด้วยกันทุกคน แต่จนใจที่กำลังของแม่เพียงคนเดียวแม่หาส่งไม่ไหว จึงต้องตัดใจเลือกส่งแต่ลูกชายแต่คนเดียว แม่หวังว่าฉันจะเป็นหลักของครอบครัวและเป็นที่พึ่งของพี่น้องในภายหน้า และฉันก็จะพยายามเป็นให้ได้ฉันจะต้องไม่ทำให้แม่ผิดหวัง” นิทัศน์พูดเน้นทั้งที่เสียงยังเครืออยู่ ท่าทางของเขาเหมือนกับว่าเขากำลังกล่าวคำปฏิญาณ

เขาเล่าต่อไปว่า “พ่อชื่นใจที่แม่มีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะส่งเสริมการเล่าเรียนของฉัน วันหนึ่งพ่อเรียกฉันไปนั่งข้างๆ แล้วพ่อพูดว่า ‘เดี๋ยวนี้พ่อไม่เป็นประโยชน์อะไรแก่เจ้าและครอบครัวเสียแล้ว แต่ก็ยังเป็นบุญของเจ้าอยู่ที่มีแม่ผู้ประเสริฐ’ เมื่อพ่อพูดจบแล้ว ฉันก็ได้แต่ซบหน้าลงบนตักพ่อแล้วก็ร้องไห้ ฉันไม่ได้พูดอะไร แต่ฉันก็รู้สึกอยู่เสมอว่าพ่อยังเป็นประโยชน์แก่เราอยู่ ถึงแม้พ่อจะทำการงานไม่ได้ และในขณะนั้นฉันมีความปรารถนาเต็มที่จะเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่”

“ค่ำวันหนึ่งเมื่อปิดร้านแล้วพวกเราลูก ๆ สามคนไปนั่งห้อมล้อมข้าง ๆ แม่ ดูแม่นับเงินที่ขายของได้ในวันนั้นคอยดีใจกับแม่ แม่นับเงินเสร็จแล้วมองดูเราทั้งสามไม่ยิ้มแย้มเลย แม่พูดเปรย ๆ ว่าบางทีจะไปขอเช่าที่ในตลาดสด และจะให้พี่ไปขายของในตลาดอีกแห่งหนึ่ง ส่วนแม่ก็จะต้องตื่นแต่เช้ามืดออกไปเที่ยวซื้อของสดมาขาย ฉันได้ทราบจากแม่ในภายหลังว่าลำพังการค้าขายที่บ้านแห่งเดียวอาจไม่พอส่งเสียให้ฉันได้เรียนจนสำเร็จ แต่แม่กำชับไม่ให้ฉันพูดเรื่องนี้แก่พ่อ ฉันมีแม่ที่ประเสริฐจริง ๆ ใช่ไหมเล่าจันทา” เขาช้อนหน้าขึ้นมองดูสหาย พลางยิ้มออกมาทั้งที่มีน้ำตาคลออยู่ในดวงตา

เมื่อเขาตั้งคำถามขึ้นมา จันทาก็ค่อยมีความกล้าขึ้นบ้าง และได้ถามเขาว่า “คุณแม่ของเธอคงจะได้รับการศึกษามาอย่างสูง”

เขาสั่นหน้าพลางตอบว่า “ไม่ใช่หรอกเธอ แม่ไม่ใช่ลูกผู้ลากมากดี แม่ก็เหมือนกับผู้หญิงธรรมดาทั้งหลาย ไม่มีโอกาสจะศึกษาสูง ๆ อะไรกับเขาหรอก ฉันคิดว่าแม่ไม่เคยเข้าโรงเรียนกับเขาด้วยซ้ำ แม่เพียงแต่อ่านออกเขียนได้ ฉันรู้ว่าแม่ไม่ได้เรียนมาจากไหน ที่แม่รู้ค่าของการศึกษาและตั้งใจสนับสนุนลูกในการศึกษา แม่ก็ได้เรียนรู้จากชีวิตที่แม่ได้เห็นมานั่นเอง คนที่มีโอกาสศึกษาเล่าเรียนได้มีชีวิตอยู่อย่างสุขสบาย ไม่เดือดร้อนทุกข์ยากเหมือนคนที่ขาดการศึกษา แม่ได้เห็นมาอย่างนี้ แม่อยากช่วยให้ลูกพ้นจากความลำบากยากแค้น จึงใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดแบกความลำบากไว้เสียแต่ตอนนี้ แม่ไม่ได้เรียนรู้ความดีความชั่วจากหนังสือ แม่เรียนจากชีวิต แม่ได้ใช้เรี่ยวแรงของแม่อย่างเต็มที่เพื่อพ่อและลูก ๆ แม่เป็นวีรสตรีของฉันและก็เป็นบรมครูของฉันด้วย” ดวงตาของเขาเป็นประกายผุดผ่อง

จันทานั่งฟังคำพรรณนาของมิตรด้วยใจเคลิบเคลิ้ม ในชีวิตของเขา เขาเคยรู้จักวีรสตรีอยู่คนหนึ่งตามที่ผู้ใหญ่ได้เล่าให้เขาฟังเกี่ยวกับตำนานของบ้านเมืองในภูมิภาคของเขาคือคุณหญิงโม และในขณะนั้นดูเหมือนเขายอมรับว่า มารดาของนิทัศน์เป็นวีรสตรีคนที่สองที่เขาได้รู้จัก และข้อที่น่าทึ่งเป็นพิเศษก็คือ วีรสตรีคนที่สองนี้ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งเขามีโอกาสจะได้ไปพบด้วยตนเอง และจะได้กินข้าวคลุกกะปิเมืองระยองจากมือของท่านด้วย

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ