๑๓

ชั้นมัธยมหก จันทาได้เรียนกับครูขุนวิบูลวรรณวิทย์ ท่านขุนเป็นครูที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งของโรงเรียนในฐานเป็นครูชั้นผู้ใหญ่ผู้ทรงคุณวุฒิ และเป็นครูที่นักเรียนทั่วไปยอมรับนับถือว่าไม่อยู่ในจำพวกคร่ำครึ แม้ว่าจะเป็นครูรุ่นเก่า ท่านขุนมีความภาคภูมิใจในความเป็นผู้ดีมีศักดิ์ของโรงเรียน ซึ่งท่านได้สอนมาเป็นเวลาร่วมสิบห้าปี เช่นเดียวกับครูรุ่นเก่าอื่น ๆ เหมือนกัน แต่ท่านก็เป็นผู้ที่บรรดาครูรุ่นใหม่ได้แลดูด้วยความนับถือยกย่องว่าเป็นคนสมัยใหม่ แม้ท่านจะมีความเอนเอียงไปในทางที่ว่า รากฐานของโรงเรียนอยู่ที่ความเป็นผู้ดีของเด็กนักเรียน ซึ่งมาจากตระกูลผู้ดีชั้นสูง แต่ท่านก็วินิจฉัยความดีความชั่วของศิษย์จากความประพฤติของเขาเอง ท่านยกย่องให้เกียรติเด็กที่เรียนดีและความประพฤติดี โดยไม่เลือกว่าเขาจะมาจากชั้นต่ำหรือชั้นสูง คุณสมบัติดังกล่าวนี้ ทำให้ท่านได้รับชื่อเสียงว่าเป็นครูที่รักความยุติธรรม เด็กนักเรียนที่เคยเรียนกับครูอุทัยเมื่อได้มาพบท่านขุนวิบูลวรรณวิทย์ ก็บังเกิดความรักใคร่ไว้วางใจครูผู้ใหญ่ของเขาทำนองเดียวกับที่เขารู้สึกตัวต่อครูอุทัย เพียงแต่ว่าเขารู้สึกเกรงกลัวท่านขุนยิ่งกว่า เพราะท่านออกจะเข้มงวดและเคร่งขรึม แม้เด็ก ๆ จะรู้สึกว่าครูเป็นคนที่มีใจกรุณา และความกรุณาของครูในข้อนี้ ศิษย์ของท่านได้แลเห็นอย่างชัดแจ้ง เมื่อใกล้จะถึงเวลาสอบไล่และภายหลังเวลาสอบไล่ จากการที่ท่านเอาใจใส่ทบทวนวิชา และไม่เข้มงวดในการหักแต้มของนักเรียน เหมือนกับที่ท่านแสดงความเข้มงวดในเรื่องต่าง ๆ ระหว่างปีก่อนสอบไล่

เมื่อจันทาได้ผ่านการเรียนชั้นมัธยมหกไปหนึ่งเทอม เขารู้สึกว่าคุณความดีของครูที่เขาได้ยินกิตติศัพท์มาก่อนนั้นสมจริง ดูเหมือนว่าเขาจะเคารพรักใคร่ท่านขุนยิ่งกว่าครูทุกคนที่เขาได้พบมา เขารักท่านปานๆ กับที่เขารักครูอุทัย แต่ความทรงคุณวุฒิของท่านเรียกร้องความเคารพจากเขาได้สูงกว่าความมีเหตุผล และความคิดแบบสมัยใหม่ของท่านเอาชนะความยกย่องของเขาได้ยิ่งกว่าที่เขาเคยรู้สึกต่อท่านอาจารย์ “เจ้าคุณ” จันทาปรารถนาจะได้รับความรักอันมั่นคงจากครู แต่เขารู้สึกว่าเขาไม่มีทางจะนำตัวของเขาให้เข้าไปใกล้ชิดกับดวงใจของครูได้เลย นอกเสียจากด้วยการแสดงความเอาใจใส่ต่อการเรียนอย่างเต็มที่ เขาไม่อาจทำให้ครูสนใจตัวเขาเป็นพิเศษด้วยความดีเด่นในการเรียน เช่นศิริลักษณ์และนิทัศน์ เพราะฉะนั้น เพื่อที่จะได้รับความรักของครูเป็นรางวัล เขาจึงมีแต่จะแสดงความเพียรให้ครูได้เห็นเท่านั้น ในเทอมที่สองเขาจึงได้ระดมความเพียรของเขาหนักขึ้น แต่โชคมิได้เข้าข้างเขา เพราะว่าในเทอมที่สองนั้นได้มีเหตุการณ์เกิดขึ้น ซึ่งได้ทำลายความรู้สึกส่วนดีที่หากว่าครูจะได้เคยมีต่อเขาเสียหมด แทนที่เขาจะได้รับความรักจากครู เขากลับสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างที่เขามีอยู่หมดไป ดวงใจอันเต็มไปด้วยความสงบเสงี่ยมและเรียกร้องหาแต่ความดีและความถูกต้อง แทบจะแหลกละเอียดไปในวาระนั้น

เหตุการณ์ได้เกิดขึ้นภายหลังการสอบซ้อมประจำเดือนเสร็จสิ้นลง และเด็ก ๆ ได้รับอนุญาตให้พักเรียนได้ในตอนบ่าย ในขณะที่ครูตรวจข้อสอบอยู่ในห้องพักครู เด็กจำนวนหนึ่งได้จับกลุ่มนั่งคุยกันในห้องเรียน หม่อมราชวงศ์รุจิเรขเป็นผู้นำในการสนทนา นิทัศน์กับจันทาร่วมอยู่ในกลุ่มนั้นด้วย เขาพูดกันถึงเรื่องหม่อมหลวงอิทธิพร ซึ่งลาออกจากโรงเรียนไปเมื่อต้นปี เพื่อไปศึกษาต่อในต่างประเทศ รุจิเรขผู้เป็นเกลอแก้วกับอิทธิพร เล่าให้ชุมนุมฟังว่า อิทธิพรได้ไปศึกษาต่อที่ประเทศเยอรมนี อิทธิพรจะเรียนภาษาเยอรมันและวิชาสามัญก่อน ต่อไปจะเข้าเรียนวิชาการทหารโดยที่เป็นผู้นิยมการชกต่อยต่อสู้ไม่ว่าจะเป็นไปในทางรุกรานหรือป้องกันตัว รุจิเรขจึงมีความเลื่อมใสศรัทธาในชนชาติเยอรมันอย่างสูง ในฐานที่ได้ทำสงครามกับประเทศศัตรู ซึ่งมีจำนวนพันธมิตรมากกว่าหลายเท่า ถึงแม้เยอรมันจะเป็นฝ่ายปราชัย แต่รุจิเรขก็มีความเห็นว่า เยอรมันได้ทำการอย่างทรหดเหี้ยมหาญ และเป็นชนชาตินักรบชั้นเอกของโลก เขาเชื่อว่าอิทธิพรจะกลับมาเป็นนายทหารที่แข็งแกร่งที่สุดคนหนึ่งของสยาม

“ในภายหน้าฉันคงจะได้เป็นเพื่อนนายพล” เขาลงท้าย “และบางทีตัวฉันก็อาจจะได้เป็นนายพลคนหนึ่งเหมือนกัน ถ้าท่านพ่อจะส่งฉันไปเรียนที่เยอรมัน”

นักเรียนส่วนหนึ่งซึ่งสนิทสนมกับเขาและเป็นเพื่อนชั้นลูกน้องของเขา ต่างลงเนื้อเห็นกับคำพยากรณ์ของเขา และนักเรียนพวกนั้นก็มีความภูมิใจว่าในกาลภายหน้า พวกเขาอาจจะมีเพื่อนเป็นนายพลถึงสองคน แต่นิทัศน์ ซึ่งตระหนักในความไม่เอาถ่านในการเรียนของอิทธิพร รวมทั้งความอ่อนแอบางประการในลักษณะนิสัยของเด็กชายผู้นั้นไม่เห็นพ้องด้วยเลย เขาสงสัยแม้จนกระทั่งว่า อิทธิพรจะสำเร็จวิชาทหารกลับมาและได้เป็นนายทหารคนหนึ่งหรือไม่ โดยไม่จำเป็นจะต้องเป็นนายทหารที่แข็งแกร่งที่สุดของสยาม อย่างไรก็ดีนิทัศน์ได้เก็บความสงสัยข้อนี้ไว้แต่ในใจเพราะเขา ไม่ชอบเข้าไปเกี่ยวข้องแสดงความเห็นในเรื่องส่วนตัวของคนอื่น

เมื่อเห็นว่าพรรคพวกที่ร่วมวงสนทนาพากันทึ่งเรื่องของนายพลในความเพ้อฝัน หม่อมราชวงศ์รุจิเรขก็คุยต่อไปถึงเรื่องนายพลบิดาของหม่อมหลวงอิทธิพรว่า ได้เคยเป็นนายพลได้เคยออกรบชนะพวกเงี้ยวมาแล้วในรัชกาลที่ ๕ และเสด็จปู่ทวดของเขาได้เคยนำทัพปราบกบฏเจ้าอนุเวียงจันทน์ราบคาบไปในสมัยรัชกาลที่สาม ทั้งนี้ทำให้พวกนักเรียนส่วนที่รุมล้อมฟังเขา เขาเห็นว่าทั้งสองมีแววว่าจะได้เป็นนายพลยิ่งขึ้น เพราะเขาทั้งสองมีเลือดของนักรบผู้เคยออกศึกสงครามเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

“เสด็จปู่ทวดของฉันได้ทำการรบอย่างกล้าหาญ” เขากล่าวในตอนหนึ่ง “ครั้งหนึ่ง ท่านได้เข้ารบตัวต่อตัวกับแม่ทัพของข้าศึก มันล่ำสันพ่วงพีกว่าท่าน ท่านหวุดหวิดจะเสียชีวิตไปเหมือนกัน แต่ท่านเอาชนะได้ด้วยฝีมือดาบที่เหนือกว่า”

แล้วพวกเด็ก ๆ ก็นำเรื่องการรบที่เขาได้เรียนรู้มาจากหนังสือพงศาวดารออกแลกเปลี่ยนสนทนากันอย่างออกรส การสนทนาคงจะได้จบลงด้วยความชื่นบานหรรษาทั่วหน้ากัน หากหม่อมราชวงศ์รุจิเรขจะไม่สรุปว่า “เสด็จปู่ทวดของฉัน และบรรพบุรุษต้นตระกูลของฉัน ได้เสี่ยงชีวิตทำสงครามปกปักรักษาชาติไทยให้ยั่งยืนเป็นปึกแผ่นมาได้จนทุกวันนี้”

นักเรียนผู้หนึ่งซึ่งร่วมอยู่ในคณะของรุจิเรข ได้ออกความเห็นสนับสนุนว่า “พวกเด็กรุ่นเราและชาติไทยเป็นหนี้บุญคุณเสด็จปู่ทวดและบรรพบุรุษของรุจิเรข เพราะว่าท่านเหล่านั้นได้กอบกู้ชาติและรักษาเอกราชของชาติเราไว้จนได้ตกทอดมาถึงพวกเรา”

ถึงตอนนี้นิทัศน์ได้เอ่ยขึ้นว่า “แล้วคนอื่นที่ออกรบป้องกันบ้านเมือง และได้เสียชีวิตไปเพราะเหตุนั้น เช่นพวกชาวบ้านบางระจันน่ะ เราจะไม่นับว่าเป็นผู้กอบกู้ชาติและรักษาเอกราชของชาติไว้ให้เราด้วยหรือ ? และเด็ก ๆ รุ่นเราจะไม่ถือว่าได้เป็นหนี้บุญคุณบรรพบุรุษชาวบ้านเหล่านั้นด้วยหรือ ?”

หม่อมราชวงศ์รุจิเรขหันขวับมาทางนิทัศน์ เขาคิดว่านิทัศน์ตั้งใจจะขัดคอเขา และเขาไม่คุ้นกับการถูกขัดคอ ดังนั้นเขาจึงสะดุ้งเฮือกขึ้นมา ความจริงนิทัศน์ไม่ได้ตั้งใจจะขัดคอเขาเลย เขาไม่มีนิสัยในการก่อการรุกราน เพียงแต่เขามีใจรักในการเชิดชูความจริง และมีความสำนึกหนักแน่นในความยุติธรรม เขาจึงประสงค์จะให้ความยุติธรรมแก่บรรดาบุคคลที่เขาคิดว่าควรจะได้รับเท่านั้น และเนื่องด้วยเขามีความรู้ในทางพงศาวดารกว้างขวางกว่าเด็กอื่น ๆ และมีข้อสังเกตจากการอ่านหนังสือพงศาวดารแตกต่างไปจากเด็กอื่นๆ เขาก็ประสงค์จะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของเขากับพวกเพื่อน ๆ เท่านั้น แต่รุจิเรขเข้าใจไปอีกทางหนึ่ง

“เธอคิดว่าบรรพบุรุษของฉันไม่สมควรเป็นที่เคารพและไม่สมควรที่เธอจะยอมรับว่าเป็นหนี้บุญคุณท่านเช่นนั้นหรือ” รุจิเรขถามด้วยสีหน้าและน้ำเสียงอันแสดงความไม่พอใจทำให้ที่ชุมนุมเงียบสงบลง

“ฉันไม่ได้คิดเช่นนั้นเลย” นิทัศน์ตอบด้วยน้ำเสียงปกติ “ฉันเคารพบรรพบุรุษของเธออย่างยิ่ง แต่เธอคงจะทราบดีเท่ากับฉันเหมือนกันว่าบรรพบุรุษของเธอไม่ได้ออกรบแต่ลำพัง และไม่ใช่แต่บรรพบุรุษของเธอเท่านั้นที่ออกรบกู้ชาติบ้านเมือง”

การที่นิทัศน์มัวแต่สนใจในข้อเท็จจริง และมุ่งจะชี้ความเป็นจริงให้สหายของเขาได้แลเห็นนั้นเอง กลับเป็นการชกนำให้อีกฝ่ายหนึ่งเดือดดาลยิ่งขึ้น รุจิเรขชะโงกหน้าเข้าไปใกล้นิทัศน์ และถามด้วยเสียงกระชากว่า “บรรพบุรุษของเธอได้เคยออกรบหรือได้ทำงานกู้ชาติอะไรบ้างเล่า ? ฉันอยากรู้จักบรรพบุรุษของเธอสักคนหนึ่ง ที่มีชื่อจารึกอยู่ในพงศาวดารบอกมาซิ” นิทัศน์เห็นสีหน้าของหม่อมราชวงศ์รุจิเรขแสดงอาการดุดัน และแขนทั้งสองข้างของเขาก็เกร็ง ขณะนั้นมิตรสหายที่นั่งล้อมวงสนทนาต่างนั่งนิ่งตะลึงกันไป เขาต่างเกรงว่ารุจิเรขจะเข้าทำร้ายนิทัศน์เอาดื้อ ๆ เมื่อโทสะของเขาทวีความรุนแรงขึ้น รุจิเรขเคยทำเช่นนั้นมาแล้วเมื่อเขาเข้าใจว่าเขาถูกขัดคอหรือยั่วโทสะ หากเขากระทำเช่นนั้นแก่นิทัศน์ นิทัศน์ก็ไม่มีทางจะต่อสู้กับเด็กชายหม่อมราชวงศ์ซึ่งเป็นนักกีฬาและมีร่างกายล่ำสันกว่ามาก เด็กชายเหล่านั้นส่วนมากถึงแม้จะนับตัวของเขาว่าเป็นพวกพ้องรุจิเรข แต่เขาก็นิยมสติปัญญาและลักษณะนิสัยบางประการของนิทัศน์ เขาไม่ปรารถนาจะให้เกิดเหตุการณ์รุนแรงขึ้นระหว่างเด็กทั้งสอง ซึ่งไม่เหมาะสมจะเป็นคู่ชกต่อยกันเลย แต่ก็ไม่มีใครในหมู่พวกเขาที่มีความกล้าพอจะเข้าแทรกแซงยับยั้งโทสะของรุจิเรข เด็กชายปิ่นแก้วซึ่งเป็นมิตรกับเด็กทั้งสองฝ่าย และซึ่งรุจิเรขมีความเกรงใจอยู่บ้าง เพราะบิดาของเด็กทั้งสองมีความสัมพันธ์กันเป็นส่วนตัวก็มิได้อยู่ในที่นั้น เมื่อเด็กชายหม่อมราชวงศ์พูดขาดคำลง จันทาซึ่งอยู่ใกล้ชิดกับนิทัศน์ได้สะกิดเตือนมิตรรักให้รู้ตัวว่า เขาไม่ควรจะโต้เถียงกับเด็กชายร่างใหญ่ผู้กำลังมีโทสะต่อไป ขณะที่นิทัศน์ชายตามาทางจันทา จันทาได้ขยิบตาให้เขาเป็นเชิงกำชับอีกครั้งหนึ่ง บัดนี้นิทัศน์สังเกตเห็นเหมือนกันว่ารุจิเรขออกจะเดือดดาลในคำโต้เถียงของเขา แต่เด็กชายผู้มีนิสัยรักความเป็นจริงและยุติธรรมได้ตัดสินใจแล้วว่า เขาควรจะพูดความจริงให้สหายนักเรียนร่วมห้องของเขาได้ฟังต่อไป เขายังคาดคิดอยู่ว่าการกล่าวความจริงที่ตัวเขาไม่มีเจตนาจะรุกรานผู้ใด ไม่น่าจะก่อโทสะแก่สหายของเขาจนถึงขีดที่จะกลายเป็นเรื่องวิวาทกันไป และอีกประการหนึ่งเขาก็ไม่เต็มใจระงับการพูด ในสิ่งที่เขาเห็นว่าเป็นการถูกต้อง ด้วยการแสดงอาการข่มขู่จากอีกฝ่ายหนึ่ง

ครั้นแล้วทุกคนก็ต้องตกตะลึงเมื่อเห็นนิทัศน์ยืดอกอันบางของเขาขึ้นและลงมือพูด เสียงของนิทัศน์ไม่สู้ราบเรียบนัก แต่ทว่ามีความจำนงใจอันหนักแน่นมั่นคงอยู่ในน้ำเสียงนั้น จันทาหน้าเผือดไปทันที

“ฉันไม่ทราบว่าบรรพบุรุษของฉันได้เคยออกรบหรือได้ทำงานกู้ชาติอะไรบ้าง และเท่าที่ฉันทราบไม่มีบรรพบุรุษของฉันสักคนเดียวที่มีชื่อจารึกอยู่ในพงศาวดาร” อาการดุดันบนสีหน้าของเด็กชายนักกีฬาได้คลายลง เขาคิดว่าเด็กชายจากครอบครัวสามัญชนได้ยอมจำนนต่อการคุกคามของเขาแล้ว เขาจึงสงบอารมณ์ฟัง เด็กชายร่างบอบบางพูดต่อไป “ในที่นี้ฉันอยากจะพูดให้รุจิเรขและเพื่อนนักเรียนของเราได้เข้าใจไว้ด้วยว่า บรรดาผู้ที่ได้เสียสละชีวิตกู้บ้านเมืองและรักษาเอกราชของชาติไว้ให้แก่เรานั้นไม่ได้ถูกจารึกชื่อลงไว้ในพงศาวดารทุกคน บรรดาทหารทั้งไทยและจีนที่ตีฝ่าวงล้อมของพม่าออกมากับพระเจ้าตากสิน จนกระทั่งได้กอบกู้เอกราชของชาติไทยขึ้นได้นั้น ทหารเหล่านั้นไม่ได้มีชื่อจารึกอยู่ในพงศาวดารทุกคน ชาวบ้านบางระจันที่ได้ทำการต่อสู้กับพม่าข้าศึกด้วยความอาจหาญทรหดอย่างยิ่งก็ไม่ได้มีชื่อจารึกอยู่ในพงศาวดารทุกคน ชาวเมืองนครราชสีมา ทั้งหญิงและชายที่ถูกพวกญวนกวาดต้อนคุมตัวไปเป็นเชลย เมื่อครั้งขบถเจ้าอนุเวียงจันทน์ และได้ต่อสู้เอาชนะพวกญวนได้ที่ทุ่งสัมฤทธิ์ และต่อมาชาวเมืองหญิงชายเหล่านั้น ได้ทำการต่อสู้ป้องกันเมืองนครราชสีมาโดยมีคุณหญิงโมเป็นผู้นำ ก็ไม่ได้มีชื่อจารึกอยู่ในพงศาวดารทุกคน การที่พงศาวดารมิได้จารึกชื่อราษฎรสามัญชนจำนวนมากมายที่ได้สละชีวิตเลือดเนื้อต่อสู้ป้องกันบ้านเมืองของเรามาเหมือนกัน จะเป็นเหตุให้เราถือว่าเราไม่ได้เป็นหนี้บุญคุณท่านผู้กล้าหาญที่เป็นสามัญชนชาวบ้านเหล่านั้นด้วยหรือ ? บรรพบุรุษของจันทา และบรรพบุรุษของพวกเราอีกหลายคนก็อาจรวมอยู่ในจำพวกราษฎรผู้กล้าหาญเหล่านั้น แต่ว่าท่านที่เป็นบรรพบุรุษที่เป็นราษฎรสามัญเหล่านั้นไม่ได้มีชื่อจารึกอยู่ในพงศาวดารเหมือนกับบรรพบุรุษของรุจิเรขเท่านั้น”

ในระหว่างที่นิทัศน์พูด ชุมนุมน้อย ๆ นั่งนิ่งสงบฟังเขาอย่างตาค้าง และรุจิเรขก็ไม่ขัดขวางเพราะยังไม่รู้ว่าเขาจะลงเอยอย่างไร แต่เมื่อนิทัศน์พูดจบ แววตาของเด็กชายหม่อมราชวงศ์ก็ขุ่นข้นขึ้นทันที เขาพูดด้วยเสียงตวาด “นิทัศน์ แกลบหลู่บุญคุณบรรพบุรุษของฉันหรือ ? แกต้องการแก้พงศาวดารเสียใหม่หรือ?” แล้วเขาก็พรวดพราดลุกขึ้น และเหวี่ยงแขนขวาออกมาตวัดคอนิทัศน์ เพื่อโน้มศีรษะเล็ก ๆ นั้นลงกระแทกกับโต๊ะ เด็กอื่น ๆ ต่างตกใจหน้าตื่นไปตาม ๆ กัน เพราะเกรงว่าศีรษะของนิทัศน์จะแตก แต่ก่อนที่ลำแขนอันล่ำสันแข็งแกร่งของรุจิเรข จะโน้มคอนิทัศน์ให้หน้าและศีรษะของเขากระแทกลงกับโต๊ะนั้น ฝ่ามือซ้ายอันหยาบหนาของจันทาได้พุ่งออกไปยันหน้าของรุจิเรขไว้ เด็กชายนักกีฬาส่งเสียงคำรามเข้าใส่จันทา ราวกับเสือที่ถูกกระสุนปืน แต่ก่อนที่เสือดุจะกระโจนเข้าขย้ำเหยื่อตัวใหม่ของเขา หมัดขวาของจันทาก็เหวี่ยงโครมลงไปที่ไปหน้าของรุจิเรข มีผลทำให้เสือซวนเซแล้วก็ล้มเฮือกหงายลงบนโต๊ะแน่นิ่งไป จันทาไม่คาดว่าพิษสงแห่งหมัดของเขาจะให้ผลรุนแรงถึงปานนั้น แต่ถ้าเขาคาดคิดไป เขารู้ดีว่ากำลังแรงของหมัดนั้นเกิดจากความห่วงใยอย่างยิ่งต่ออันตรายที่จะเกิดแก่มิตรของเขา ยิ่งกว่าความคำนึงถึงการป้องกันตัวของเขาเอง กำลังแรงของหมัดนั้นได้เพิ่มขึ้นเป็นพิเศษ ด้วยแรงแห่งความสำนึกกตัญญูที่เขามีต่อนิทัศน์

เสียงโครมครามในห้องได้เรียกให้ครูประจำชั้นห้องข้างเคียงเดินเข้ามาดู และเมื่อได้ไต่สวนจนทราบสาเหตุแล้วครูห้องข้างเคียงจึงให้นักเรียนไปตามท่านขุนวิบูลวรรณวิทย์เข้ามา พร้อมกับสั่งให้จันทาไปยืนอยู่ข้างโต๊ะครูเพื่อรอการพิจารณาโทษ และจัดหายาดมมาให้เด็ก ๆ จัดการพยาบาลรุจิเรขซึ่งยังนอนหายใจรวย ๆ อยู่ เมื่อท่านขุนเดินเข้ามาในห้องนั้น สีหน้าของท่านบึ้งตึง ท่านคงจะทราบเรื่องเล่า ๆ จากนักเรียนที่ไปรายงานท่านแล้ว ถึงแม้อาจจะไม่ใช่รายงานที่ตรงกับความจริงนัก แต่ข้อที่จันทาจะต้องตกเป็นจำเลย และได้รับโทษอย่างหนักนั้นดูจะไม่มีปัญหา การชกต่อยอย่างรุนแรงจนถึงอีกฝ่ายหนึ่งหมดสติแน่นิ่งไปเช่นนี้ ไม่เคยเกิดขึ้นภายในห้องเรียนที่ท่านขุนได้สอนมาเป็นเวลาสิบห้าปี สีหน้าของครูขณะที่ย่างเข้ามาในห้อง แสดงว่าครูได้รับความสะเทือนใจมาก ท่านมองดูหน้าจันทาอย่างมีความเจ็บปวดในใจ โดยที่ไม่ปริปากพูดอะไรเลย นั่นเป็นนิสัยของท่านที่จะไม่แสดงความเกรี้ยวกราดออกมาอย่างหุนหันพลันแล่น จันทารู้สึกเย็นวาบเข้าไปในหัวใจเมื่อได้สบตาอันไม่เป็นมิตรของครู เขารู้สึกว่าโอกาสที่เขาจะขวนขวายเพื่อแสวงความรักและความไว้วางใจจากครูได้ถูกทำลายยับเยินไปหมดแล้ว

หลังจากหม่อมราชวงศ์รุจิเรขฟื้นจากพิษหมัดของจันทา ครูได้ใช้เวลาในตอนบ่ายวันนั้นไต่สวนพฤติการณ์ที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ดี เรื่องที่เด็กชายหม่อมราชวงศ์ถูกเด็กบ้านนอกชกจนหมดสติไปนี้ ได้ล่วงรู้ไปถึงท่านอาจารย์ “เจ้าคุณ” ในบ่ายวันนั้นเหมือนกัน “เจ้าคุณ” ตกใจมาก เพราะท่านมีความสัมพันธ์เป็นส่วนตัวกับท่านบิดาของรุจิเรข “เจ้าคุณ” จำเป็นจะต้องมีคำตอบอันเป็นที่พอใจแก่ท่านชาย ในเมื่อท่านชายจะทรงเรียกให้ “เจ้าคุณ” ไปรายงานเรื่องนี้ “เจ้าคุณ” ออกจะงวยงงว่าการทำร้ายร่างกายกันอย่างสาหัสเช่นนี้ มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้อย่างไรภายในห้องเรียนของโรงเรียนลูกผู้ดี เหตุการณ์เรื่องนี้อาจส่งความกระทบกระเทือนมาถึงฐานะของ “เจ้าคุณ” ได้ ท่านจึงให้คนไปเชิญท่านขุนวิบูลวรรณวิทย์ไปรายงานเหตุการณ์ต่อท่านเป็นการด่วน และท่านทั้งสองได้ปรึกษาหารือกันในการดำเนินการเรื่องนี้

ในเช้าวันรุ่งขึ้น จันทาได้ถูกเรียกไปยืนหน้าชั้น และครูได้ประกาศให้นักเรียนทั้งหลายทราบว่าทั้ง “เจ้าคุณ” และตัวท่านเองมีความเห็นว่าการใช้กำลังทำร้ายกันอย่างรุนแรงเช่นนี้เป็นการกระทำที่เลวร้ายป่าเถื่อน และจะยอมให้มีขึ้นอีกเป็นครั้งที่สองไม่ได้ “เจ้าคุณ” มีมติว่า ถ้าจันทาก่อความเสียหายร้ายแรงทำนองเดียวกันนี้อีกครั้งหนึ่งเขาจะถูกคัดออกจากโรงเรียน สำหรับความผิดครั้งแรกนี้ครูได้เฆี่ยนเขาสิบที

ในตอนหยุดพักกลางวัน พวกนักเรียนได้จับกลุ่มวิจารณ์กันถึงคำพิพากษาของครู นักเรียนฝ่ายที่เป็นกลาง คือพวกที่ไม่ได้เป็นพวกพ้องลูกน้องของหม่อมราชวงศ์รุจิเรข ไม่สู้พอใจในคำพิพากษาของครู ถึงแม้ว่าเขาจะมีความเคารพในครูของเขามาก การที่จันทาถูกลงโทษเฆี่ยนตีนั้นเขาพอจะยอมรับกันได้ แต่การต่อสู้ของเด็กชายในการป้องกันมิตรในยามคับขันจะถูกวินิจฉัยว่าเป็นการกระทำที่ป่าเถื่อนนั้นพวกเขาไม่เห็นพ้องด้วย พวกเขาคิดว่าหากจันทาจะถูกลงโทษเพราะทำรุนแรงไป จันทาก็ไม่ควรจะได้รับการตำหนิอย่างรุนแรงเช่นนี้ เมื่อนำเอามูลเหตุจูงใจให้เขากระทำการเช่นนั้นมาพิจารณาประกอบด้วย และเมื่อพิจารณาในแง่นี้พวกเขาก็พากันระลึกถึงครูอุทัย พวกเขากล่าวกันว่า ถ้าครูอุทัยเป็นผู้พิจารณาเรื่องนี้ ผลคงจะเปลี่ยนเป็นอีกแบบหนึ่ง แต่ข้อที่พวกเขาข้องใจกันมากก็คือ เหตุใดความประพฤติของหม่อมราชวงศ์รุจิเรขจึงมิได้ถูกหยิบยกขึ้นมาพิจารณาเลย ถึงแม้ว่ารุจิเรขเป็นผู้ได้รับบาดเจ็บ แต่เขาก็เป็นตัวก่อเหตุ และนิทัศน์ก็รอดพ้นจากการจู่โจมทำร้ายของเขามาได้อย่างหวุดหวิด พวกเขาเห็นว่าความประพฤติเช่นที่หม่อมราชวงศ์รุจิเรขได้แสดงออกมานั่นแหละเป็นความประพฤติที่เลวร้ายป่าเถื่อนจริง ๆ เพราะเป็นการใช้กำลังกดขี่การโต้เถียงที่ใช้ปัญญาและเหตุผลของนิทัศน์ นักเรียนฝ่ายที่เป็นกลางเหล่านี้มิได้อยู่ในที่เกิดเหตุจึงมิได้มีโอกาสให้การเป็นพยานต่อครู พวกเขาได้ทราบเรื่องในภายหลัง และพวกเขาพากันนิยมชมชอบข้อโต้แย้งของนิทัศน์มาก

สำหรับนิทัศน์นั้น เขามีความแค้นเคืองอย่างยิ่งต่อผลร้ายที่ไปตกหนักแก่จันทา แต่ความแค้นเคืองของเขามิได้พุ่งไปที่ครู หากพุ่งไปยังกลุ่มนักเรียนพวกพ้องของรุจิเรขสามสี่คน ซึ่งบางคนไม่กล้าให้การไปตามจริง และบางคนก็ให้การบิดเบือนความจริงอย่างปราศจากความละอาย บุญครองเป็นตัวสำคัญคนหนึ่งในหมู่คนเหล่านี้ นิทัศน์ได้ชี้แจงแก่กลุ่มนักเรียนฝ่ายที่เป็นกลางว่าเขาไม่ควรจะไปโกรธครู เพราะครูถูกชักนำให้หลงในข้อเท็จจริง โดยความอ่อนแอและความขลาดของกลุ่มนักเรียนที่เป็นลูกน้องรุจิเรข แต่นั้นมาบุญครองและกลุ่มนักเรียนที่ฝักใฝ่กับรุจิเรขก็ถูกตั้งข้อรังเกียจจากนักเรียนกลุ่มหนึ่งที่ชิงชังความอ่อนแอ และความขลาด ส่วนตัวหม่อมราชวงศ์รุจิเรขนั้นในฐานที่เขาเป็นนักกีฬาของโรงเรียน และเป็นเด็กที่ชอบแสดงความเก่งกล้า อิทธิพลของเขาที่มีต่อเพื่อนนักเรียนร่วมห้องจึงมิได้สูญเสียทั้งหมด อย่างไรก็ดีเกียรติภูมิแห่งความเก่งกล้าของเขาได้ถูกบั่นทอนลงไปไม่น้อย เมื่อข่าวได้แพร่ออกไปว่าการชิมรสหมัดเพียงหมัดเดียวของเจ้าเด็กบ้านนอกชาวเมืองขุขันธ์ได้ทำให้เขาแน่นิ่งหมดสติไป และเจ้าเด็กบ้านนอกก็มิได้รับการตอบแทนที่ระคายผิวแต่อย่างใด เด็กชายหม่อมราชวงศ์ได้พยายามที่จะกู้เกียรติภูมิของเขาคืนมา ด้วยการพูดจาระรานหาเรื่องวิวาทกับจันทาอยู่พักหนึ่งแต่ไม่เป็นผล เพราะจันทาหลีกเลี่ยงต่อการท้าทายแบบนักเลงโตของเขา เขาฟังคำคาดโทษของเจ้าคุณไว้ในใจ เขายินดีจะถูกชกข้างเดียวโดยไม่ชกตอบ อะไรจะเกิดขึ้นแก่เขาได้ทั้งนั้น เว้นแต่การถูกขับออกจากโรงเรียนที่ชุบให้เขาเป็นคนใหม่ขึ้นมา แตกต่างจาก “อ้ายจัน” ที่รู้จักแต่ชีวิตในวงของเด็กผู้ยากจน

แต่เดิมจันทาไม่มีอะไรในตัวสักอย่างเดียว ที่จะเรียกร้องความนิยมสนใจ จากนักเรียนร่วมห้องของเขา หลังจากเกิดเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนใจเขาอย่างแรงแล้ว นักเรียนส่วนหนึ่งได้เริ่มแลดูเขาด้วยความนับถือในความแข็งแกร่งและการตัดสินใจอันเด็ดเดี่ยวของเขา การป้องกันมิตร โดยไม่คำนึงถึงอะไรจะเกิดขึ้นแก่ตัวเขาในภายหลัง นักเรียนเหล่านั้นต่างก็ยกย่องความมีใจกว้างขวางของจันทาและต่างก็ให้ความสนิทสนมแก่เขายิ่งกว่าที่เคยให้ในกาลก่อน แต่ก็มีนักเรียนลูกผู้ดีใจแคบบางคนรู้สึกว่าความเก่งกล้าของจันทาที่แสดงออกมาในวันนั้นเป็นที่บาดนัยน์ตาเขา

อย่างไรก็ดี จันทาได้ต้อนรับปฏิกิริยาในหมู่นักเรียนที่ปรากฏแก่เขาทั้งในส่วนดีและส่วนร้าย ด้วยความรู้สึกอันสงบเสงี่ยมเช่นเคย ในส่วนตัวเขาเองเขาไม่มีความขมขื่นใจอย่างใดในการที่ครูได้ลงโทษเขาเช่นนั้น ถึงแม้ครูจะลงโทษเขาหนักไปยิ่งกว่านั้น เขาก็เห็น เป็นการสมควร และเขาเต็มใจจะรับโทษหนักไม่ว่าขนาดไหน หากว่าการป้องกันอันตรายให้แก่มิตรน้อยของเขาได้สำเร็จลงด้วยดี การถูกลงโทษนั้นไม่มีความหมาย แต่สิ่งที่มีความหมายและก่อความระทมใจอย่างหนักให้แก่เขาก็คือ เขารู้สึกว่าครูยังไม่ทราบเหตุการณ์ในนั้นอย่างแจ่มแจ้งและถูกต้อง เขาหวาดกลัวว่าครูจะเห็นว่าเขาเป็นเด็กที่มีสันดานอันธพาลชั่วร้ายจนไม่สมควรจะได้รับความกรุณาปรานีจากคุณครูอีกต่อไป เขาระทมใจเพราะเขารู้สึกว่าเขาได้สูญเสียความไว้วางใจจากครูไปหมดสิ้น หากว่าเขาจะเคยได้รับจากครูบ้าง และเขาไม่มีโอกาสจะได้รับความรักจากครูอีกต่อไปแล้ว เขารู้สึกว้าเหว่วังเวงใจเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ในตอนค่ำคืน ในขณะที่นั่งดูหนังสืออยู่เดียวดายในห้องแคบ ๆ ข้างโรงรถยนต์ โดยอาศัยแสงสลัวจากตะเกียงหลอด และเขาอดที่จะร้องไห้เหมือนเด็กเล็ก ๆ ไม่ได้

นิทัศน์ได้แสดงความขอบคุณและความรู้สึกจับใจในน้ำใจของมิตรอย่างลึกซึ้ง ข้อนี้เป็นเครื่องปลอบใจจันทาอย่างมีค่า ถึงแม้เป็นสิ่งที่เขามิได้คาดคอยจะรับ นิทัศน์แสดงความแค้นเคืองรุจิเรขที่ได้กลายเป็นผู้ที่ไม่มีมลทินไปได้ เพราะการปกปิดบิดเบือนความจริงของนักเรียนขี้ขลาดสามสี่คน

จันทาบอกกับนิทัศน์ว่า “ฉันคิดว่าโทษที่ฉันได้รับนั้นพอคุ้มกันทีเดียว เมื่อได้แลกกับการที่ได้ฟังคำโต้แย้งของเธอในวันนั้น ฉันและนักเรียนอื่น ๆ ไม่เคยนึกถึงบรรพบุรุษของเราอีกมากมายก่ายกอง ที่ได้ร่วมในการกู้ชาติบ้านเมืองมาเหมือนกัน แต่ว่าท่านเหล่านั้นมิได้มีชื่อจารึกอยู่ในพงศาวดาร อาจมีบรรพบุรุษของใคร ๆ รวมทั้งชาวบ้านของฉัน อยู่ในจำนวนผู้กล้าหาญเหล่านั้นก็ได้ ความจริงที่เธอยกมากล่าวให้พวกเราฟัง ทำให้ฉันค่อยมั่นใจขึ้นว่าพวกชาวบ้านนอกอย่างฉัน ก็ควรจะได้รับการปฏิบัติที่ดีกว่าที่เป็นอยู่กันมาหลายร้อยปีแล้วสักหน่อย เพราะว่าผืนแผ่นดินของเมืองไทยนี้ บรรพบุรุษของชาวบ้านนอกก็ได้ร่วมป้องกันมาเหมือนกัน”

นิทัศน์ตอบอมยิ้มว่า “ทำไมเธอถึงจะไม่ควรมั่นใจละ ก็มือของใครเล่าที่ทำเอารุจิเรขแน่นิ่งไป และช่วยไม่ให้ฉันหัวแตก วันนั้นเธอชกได้อย่างสง่าทีเดียวนะ”

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ