๑๒

ในบรรดานักเรียนร่วมห้องของจันทานั้น มีนักเรียนที่มาจากชนบทอีกคนหนึ่งชื่อบุญครอง จันทาเคยคาดหมายไว้ว่า ถัดจากนิทัศน์เขาคงจะได้บุญครองเป็นมิตรสนิทของเขา เพราะเหตุว่าบุญครองมาจากชนบทเหมือนกัน ถึงแม้จะมาจากคนละภาคของประเทศไทย แต่ความคาดหมายมิตรภาพอันจากบุญครองต้องประสบความล้มเหลว บุญครองมาจากต่างจังหวัดก็จริง แต่เขามิได้มาจากครอบครัวของชาวนาที่ยากจนข้นแค้นเช่นจันทา บิดาของบุญครองเป็นเจ้าของสวนยางอยู่ในจังหวัดภาคใต้ ครอบครัวของบุญครองเคยเป็นชาวนา ซึ่งต้องทำนาเลี้ยงชีวิตด้วยความเหนื่อยยาก ทำนองเดียวกับครอบครัวของจันทาเหมือนกัน และในชั้นเดิมก็มีที่ดินสำหรับทำนาพอเลี้ยงชีวิตไปปีหนึ่ง ๆ แต่อาศัยที่บิดาของบุญครองเมื่อยังเยาว์วัยได้ไปเรียนหนังสือกับพระ และรู้วิชาหนังสือพอควรที่จะเป็นเสมียนได้ บิดาของบุญครองจึงไปเป็นเสมียนอยู่ที่อำเภอ เหตุที่ตั้งตัวมีหลักฐานเป็นเจ้าของที่ดินผืนใหญ่ และเป็นเจ้าของสวนยางขึ้นมาได้นั้น เนื่องด้วยบิดาของบุญครองเป็นเสมียนแผนกที่ดินของอำเภอ การที่ปฏิบัติหน้าที่อันนี้ทำให้บิดาของบุญครองได้เรียนรู้ว่าถ้าเขาปรารถนาเขาก็มีโอกาสจะได้ครอบครองที่ดินจำนวนมาก และการเปลี่ยนแปลงฐานะครอบครัวของเขา จากการเป็นชาวนาผู้ต่ำต้อยไปสู่ความเป็นเจ้าของสวนยางได้โดยไม่ยาก อาศัยอิทธิพลหน้าที่ราชการ และความร่วมมือจากการถ้อยทีแลกเปลี่ยนประโยชน์กันระหว่างตัวเขากับกำนันผู้ใหญ่บ้านที่มาขอจับจองที่ดิน เขาค่อย ๆ สะสมที่ดินในทำเลดี ๆ ไว้ทีละเล็กละน้อยด้วยการเลือกจับจองตามปกติ และการจับจองทับลงไปบนที่ดินที่ชาวนาได้เข้าครอบครองทำงานโดยมิได้มาทำการจับจองให้ถูกต้องตามพิธีการของกฎหมาย อาศัยโอกาสและอิทธิพลในหน้าที่ราชการเช่นนี้ ในเวลาไม่นานบิดาของบุญครองก็ได้เป็นเจ้าของที่ดินโดยชอบด้วยกฎหมาย มีเนื้อที่ประมาณร้อยไร่ ต่อมาโดยอาศัยโอกาสและอิทธิพลในหน้าที่ราชการเช่นเดียวกัน บิดาของบุญครองก็ได้ดำเนินการปลูกต้นยางบนพื้นที่ดินเหล่านั้นด้วยความร่วมมือจัดการของกำนันผู้ใหญ่บ้านซึ่งเป็นหุ้นส่วนในการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กัน เมื่อบุญครองโตพอที่จะประสาแล้วก็ได้พบตัวเองเป็นบุตรของเจ้าของสวนยางซึ่งเป็นครอบครัวที่มีหน้ามีตาครอบครัวหนึ่งของจังหวัด มิใช่เป็นบุตรของครอบครัวชาวนาที่อัตคัดขัดสน ดังที่พ่อแม่ของเขาได้เป็นมา ด้วยเหตุที่ครอบครัวของเขาได้เปลี่ยนฐานะจากชาวนามาเป็นเจ้าของสวนยางนี้เอง ตัวเขาและพี่ชายอีกสองคนจึงได้มีโอกาสเข้าเรียนที่โรงเรียนเทเวศร์รังสฤษดิ์ ในขณะที่ลูก ๆ ของครอบครัวชาวนาผู้เป็นมิตรสหายและเครือญาติของบิดามารดาของเขา ยังต้องตากแดดเลี้ยงควายอยู่ตามทุ่งนา และไปเที่ยวจับปลาตามห้วยหนองมาเลี้ยงชีวิต

อย่างไรก็ดีบุญครองก็ได้ทราบจากแม่ของเขาว่า ครอบครัวของเขาเคยเป็นชาวนาที่ยากจนมาก่อน เมื่อเขาถูกส่งมาเรียนหนังสือที่โรงเรียนอันมีศักดิ์นี้ แม่ของเขาก็ได้แก่เขาอีกครั้งหนึ่งว่า ในขณะที่พ่อออกไปรับราชการที่อำเภอนั้น ตัวแม่เองได้ทำงานหนักอยู่ในทุ่งนามาเป็นเวลาหลายปี บัดนี้ครอบครัวตั้งหลักฐานได้แล้ว และลูก ๆ ก็มีชีวิตผาสุกสบายกันแล้ว แม่จึงตักเตือนลูกให้ระลึกถึงความยากลำบากที่ปู่ย่าตายายและพ่อแม่ได้ประสบมาแต่ปางหลัง จะได้ไม่ลืมตัวฟุ้งเฟ้อเมื่อเข้ามาเรียนหนังสือในกรุงเทพ บุญครองฟังคำสั่งสอนของแม่ด้วยความรู้สึกอึดอัด เขาไม่อยากจะฟังเรื่องชีวิตอันระกำลำบากของปู่ย่าตายาย เพราะเขาไม่ชอบมัน เขาไม่อยากจะให้แม่พูดถึงเรื่องที่พ่อแม่ได้เคยเป็นชาวนาก่อน เพราะมันเป็นชีวิตที่ต่ำต้อย เขาอยากจะให้แม่พูดถึงชีวิตอันรุ่งเรืองในปัจจุบัน สำหรับตัวเขา ถือว่าเป็นบุตรของเจ้าของสวนยางและพ่อเป็นข้าราชการ แต่บุญครองพอใจคำสั่งสอนของพ่อ พ่อของเขามีความทะเยอทะยาน พ่อได้สอนเขาให้คอยเลียนแบบอย่างความประพฤติของเด็กนักเรียนลูกผู้ดีในกรุงเทพ พ่อหวังจะได้เห็นลูกชายคนเล็กได้เจริญวัยเป็นเจ้าคนนายคนในภายหน้า พ่อไม่ได้สอนเขาถึงความเสงี่ยมเจียมตัว หรือความมัธยัสถ์อดออมในการใช้จ่ายดังที่แม่ได้สั่งสอน แต่พอได้สั่งสอนเขาถึงเรื่องการวางตัวว่า “พ่อก็มีเงินพอจะอุดหนุนลูกมิให้น้อยหน้าคนอื่นเขา” ซึ่งเป็นคำสั่งสอนที่ถูกใจบุตรชายอย่างยิ่ง ด้วยเหตุที่เด็กชายบุญครองได้เข้ามาสู่กรุงเทพ พร้อมด้วยยึดถือเอาคำสอนของพ่อเป็นประทีปนำทาง เช่นนี้จันทาจึงมิได้รับมิตรภาพอันอบอุ่นจากเด็กชายผู้มาจากชนบทผู้นี้

บุญครองเป็นนักเรียนใหญ่รุ่นเดียวกับจันทา ภายหลังที่ได้สอบถามและทราบว่า เพื่อนนักเรียนร่วมห้องของเขาเป็นใครมาจากไหนแล้ว บุญครองก็เลือกการผูกมิตร เขาปรารถนาจะได้เข้าอยู่ในกลุ่มของเด็กผู้ดีมีเงิน เขาตีตนออกห่างจากนักเรียนในสายตาของเขาเห็นว่าไม่มีอะไรจะถ่ายทอดเป็นประโยชน์แก่เขาได้ เช่นเซ้งและจันทา เขาเกรงว่าความยากจนและต่ำต้อยรวมทั้งการปราศจากความสง่างามของเด็กพวกนี้จะชักนำเขาไปสู่ที่ต่ำ เขาพยายามผูกมิตรกับเด็กชายที่มาจากตระกูลผู้ดีชั้นสูง ซึ่งเขาคิดว่าการเป็นมิตรกับเด็กเหล่านั้นจะเป็นการเชิดชูฐานะของเขา และจะช่วยให้เขาได้เรียนรู้ถึงความเป็นอยู่ของคนชั้นสูงเหล่านี้ ซึ่งเขาเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งแก่การปรับปรุงความประพฤติของเขา ให้สู่มาตรฐานของชนชั้นผู้ดี เมื่อยังอยู่ชั้นมัธยมที่สี่ความคิดที่จะเลียนแบบลูกผู้ดีชั้นสูงเหล่านี้ยังเบาบางอยู่ เพราะเขายังเยาว์วัยและเด็ก ไม่สู้จะมีความคิดถึงเรื่องเช่นนี้มากนัก แต่ความคิดของเขาได้คลี่คลายออกไปเมื่อเขาโตขึ้นและเรียนสูงขึ้น

บุญครองได้รับความสำเร็จในการผูกมิตรกับเด็กชั้นสูงอย่างหม่อมราชวงศ์รุจิเรขเป็นคนแรก เด็กชายหม่อมราชวงศ์ชอบการคบหามีสมัครพรรคพวก และก็เป็นที่รู้กันว่าในหมู่สมัครพรรคพวกของเขานั้น เขาจะต้องได้เป็นหัวหน้า เขาชอบคลุกคลีกับเด็กทั่วไปไม่เลือกชั้น เขาชอบการเล่นสนุกมากกว่าการเรียน เขาเป็นนักกีฬาของโรงเรียน แต่เขาไม่ใช่นักกีฬาที่นิยมหลักการของ ‘เจ้าคุณ’ นัก เขานิยมการเล่นอย่างฉลาดแกมโกง เขาว่ามันออกรสดีกว่าที่เล่นโดยอาศัยมารยาทของนักกีฬาอย่างเคร่งครัด เขาเคยประกาศว่าเขาไม่ขอเป็นนักกีฬาเมื่อเขาอยู่นอกสนามกีฬา ด้วยลักษณะนิสัยเช่นนี้ของหม่อมราชวงศ์รุจิเรข จึงไม่เป็นการยากที่บุญครองจะได้รับมิตรภาพจากเขา พร้อมทั้งยอมรับเอาการเป็นลูกน้องของเด็กชายหม่อมราชวงศ์ด้วย สำหรับเด็กชายหม่อมหลวงอิทธิพรนั้น บุญครองได้ใช้ความพยายามเป็นพิเศษในการผูกมิตร เพราะเด็กชายหม่อมหลวงเป็นคนถือตัว เขาไม่ใช่คนเก็บตัวก็จริง แต่เขาก็คบหาสมาคมแต่ในหมู่เด็กที่เป็นชนชั้นเดียวกับเขา แต่เด็กชายบุญครองเป็นเด็กฉลาดในทางของเขา เขารู้ว่าความถือตัวนั้นอาจเอาชนะได้ด้วยความประจบเอาใจ เขาเป็นคนที่มีความอดทนเมื่อรู้ว่าความอดทนนั้นจะนำผลประโยชน์มาสู่เขา เมื่อเรียนอยู่ชั้นมัธยมห้า บุญครองก็ประสบความสำเร็จอย่างเป็นที่พอใจในการผูกมิตรกับเด็กชายเชื้อพระวงศ์ทั้งสอง สำหรับเด็กชายศิริลักษณ์นั้น บุญครองรู้สึกว่าเป็นการยากที่จะได้รับมิตรภาพอันสนิทจากเขา เด็กชายบุตรท่านเสนาบดีมิใช่เป็นคนถือตัวและวางท่าปึ่งชาเช่นหม่อมหลวงอิทธิพร ความจริงนั้นศิริลักษณ์เป็นเด็กชายมีเสน่ห์น่ารัก จะพูดจากับใครเขาก็ใช้สุนทรวาจาและกิริยาอันสุภาพ เสน่ห์ของเขาอยู่ที่ดวงหน้าระรื่น ดวงตาหวานมีประกายแห่งยิ้มละไมอยู่เสมอ นอกเหนือไปจากนี้ เขายังมีประวัติการเรียนในชั้นดีเยี่ยม ใคร ๆ ก็ชอบลอบรักเขาอยู่เงียบ ๆ เพียงแต่รู้สึกว่าศิริลักษณ์เหมือนดวงจันทร์ที่แขวนอยู่บนกิ่งโพยม อยู่ห่างเกินกว่าที่จะได้รับรักจากเขา เขารับไมตรีจากทุกคนและปฏิบัติอย่างเดียวกันต่อทุกคน แต่เขาก็สถิตอยู่ในโลกของเขาโดยเฉพาะ จากบ้านเขาถูกบรรจุมาในรถยนต์เก๋งคันใหญ่ หลังจากที่เขาลงจากรถไม่กี่นาทีก็ถึงเวลาเข้าห้องเรียน ถึงเวลาหยุดพักกลางวัน เขารับประทานอาหารที่นำมาจากบ้านภายในห้องเล็กพิเศษ โดยมีสตรีพี่เลี้ยงคอยรับใช้ดูแลอยู่ตลอดเวลา เสร็จจากการรับประทานอาหารเขาเหลือเวลาเพียงเล็กน้อย ซึ่งมักจะใช้ไปในการเดินดูเด็กนักเรียนอื่น ๆ เล่นสนุกกันในสนาม หรือมิฉะนั้นก็กลับเข้าไปอ่านหนังสือในห้องเรียน ในระหว่างนี้ถ้าเด็กอื่น ๆ เข้าไปสนทนาปราศรัยกับเขา เขาก็สนทนาด้วย และก็เป็นการสนทนาด้วยกิริยาอันสำรวม ซึ่งเป็นคนละอย่างกับอาการปึ่งชา เมื่อโรงเรียนเลิกรถเก๋งของเขาก็มาเทียบอยู่หน้าตึกเรียน และเขาก็เข้าสู่โลกของเขา แม้ว่าเขาจะโปรยปรายยิ้มละไม่ให้แก่สหายร่วมห้องที่เดินผ่านรถยนต์เขาไปมา เป็นป้อมที่บุญครองตีไม่แตก หม่อมเจ้าศุภมงคลกับวัชรินทร์ก็มีโลกของเขาโดยเฉพาะเช่นเดียวกัน เด็กชายหม่อมเจ้ามีชีวิตที่ห่างเหินกับเด็กอื่น ๆ มาก ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ใช่คนเย่อหยิ่ง ๆ ถือยศศักดิ์เช่นเด็กเจ้านายบางคน วัชรินทร์มีผิวพรรณและดวงหน้างามชวนพิศ แต่กิริยาท่าทีค่อนข้างจะจืดชืด และไม่มีคุณสมบัติเด่นทางปัญญา เด็กชายสองคนหลังนี้ บุญครองได้รับไมตรีจิตจากเขาก็จริง แต่ก็เป็นไมตรีที่ไร้มธุรส ส่วนเด็กชายปิ่นแก้วค่อนข้างมีใจกว้างขวาง เขาต้อนรับการผูกมิตรของบุญครอง แต่เขานิยมเด็กชายที่มีลักษณะเป็นตัวของตัวเองเช่นนิทัศน์มากกว่า

ในระหว่างเรียนอยู่ชั้นมัธยมห้านั้น ศิริลักษณ์ กับเซ้งมีชื่อเด่นในการเรียน ครูประจำชั้นเคยกล่าวขวัญว่า เด็กสองคนนี้เมื่อเรียนถึงชั้นมัธยมแปดคงจะเป็นตัวเก็งของโรงเรียนในการสอบชิงทุนสกอลาซิปแข่งขันกับโรงเรียนอื่น ๆ ปิ่นแก้วกับนิทัศน์เป็นอีกคู่หนึ่งที่มีชื่อเด่นในการเรียน แต้มในการสอบของนิทัศน์มักจะเสียไปเนื่องด้วยเขาเอาเวลาไปอ่านหนังสืออื่น ซึ่งมิใช่หนังสือเรียน เพื่อหาความรู้พิเศษ เมื่อใดที่เขาวางมือจากการหาความรู้พิเศษ และมุ่งแต่การเรียนโดยเฉพาะ เขาก็ทำให้ศิริลักษณ์ต้องยอมรับว่าเขาเป็นคู่แข่งที่น่าเกรงขามมาก หม่อมเจ้าศุภมงคลเรียนได้ดีมากเหมือนกันในบางคราว แต่ขาดความสม่ำเสมอ วัชรินทร์อยู่ในระดับกลาง แต่การเรียนของรุจิเรขและอิทธิพรอยู่ในจำพวกที่เรียกว่าไม่สู้จะเอาถ่าน

หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป ภายหลังการเปิดเรียนเทอมปลาย เซ้งแต่งตัวไว้ทุกข์เดินเข้ามาในโรงเรียน สีหน้าของเขาซีดเซียวและเศร้าหมอง นิทัศน์เป็นคนแรกที่สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวเซ้ง เขาเข้าไปทักทายเซ้ง และครู่หนึ่งต่อมา เพื่อนนักเรียนร่วมห้องของเซ้งก็ทราบกันว่า เซ้งได้เสียบิดาของเขาไปแล้ว บิดาของเขาล้มเจ็บมาราวสามสัปดาห์ แต่เขาไม่ได้เล่าความป่วยเจ็บของบิดาให้พวกเพื่อน ๆ ทราบเลย เขาเก็บงำความทุกข์ไว้กับตัวเขาแต่ผู้เดียว แต่ในระหว่างสองสามวันที่ผ่านมา จันทาได้พบเซ้งอ่านหนังสือเล่มเล็กซึ่งเข้าใจว่าเป็นพระคัมภีร์ในยามว่างจากการเรียน และในเวลานั้นเขารู้สึกว่าเซ้งต้องการอยู่อย่างสงบ เขาจึงมิได้เข้าไปรบกวน ข่าวที่ติดตามมากับความตายของบิดาเซ้ง และเป็นข่าวที่ทำให้เพื่อนนักเรียนต้องตกตะลึงไปตาม ๆ กันก็คือ การมาโรงเรียนของเซ้งในวันนั้นจะเป็นการมาครั้งสุดท้าย ในวันนั้นเขามาลาออกจากโรงเรียน ซึ่งหมายถึงการจากโรงเรียนที่เขารักอย่างยิ่ง จากครูและเพื่อนนักเรียนอันชุมนุมอยู่ในสวนสวรรค์ไปชั่วชีวิต ข่าวนี้ได้เรียกร้องให้นักเรียนหลายคนเข้ามาออกันอยู่ในห้องก่อนถึงเวลาเข้าเรียน ต่างเข้ามากลุ้มรุมอยู่รอบเซ้ง ในขณะที่เขารวบรวมหนังสือและเครื่องเรียนห่อผ้าเพื่อขนกลับบ้าน นักเรียนแทบทุกคนที่แวดล้อมเขาอยู่ พยายามบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์แก่เขาเป็นครั้งสุดท้าย นิทัศน์เป็นหัวแรงในการให้ความช่วยเหลือ ในระหว่างนั้นเพื่อนนักเรียนบางคนได้ซักถามเขาเกี่ยวกับเรื่องครอบครัวและสาเหตุที่เขาต้องลาออก เซ็งชี้แจงว่าบิดาของเขาเป็นผู้หาเลี้ยงครอบครัว และครอบครัวของเขาไม่มีรายได้ทางอื่นนอกจากการทำงานของบิดา เมื่อบิดาของเขาตายลง ครอบครัวของเขาก็เหมือนกับแพที่ลอยไปตามสายน้ำที่ขาดคนค้ำ จำเป็นจะต้องมีคนค้ำแพนั้นให้ลอยไปโดยปลอดภัย ลำพังแม่คนเดียวไม่สามารถรับภาระหนักเช่นนั้นได้ เพราะแม่ไม่มีทุนรอน และยังมีน้องเล็ก ๆ ที่จะต้องเลี้ยงดูอีก เขาจึงต้องออกจากโรงเรียนไปช่วยแม่ของเขา การออกจากโรงเรียนของเขาจะช่วยลดรายจ่ายของครอบครัว และร้านแก้นาฬิกาเล็ก ๆ ของบิดาจะดำเนินงานต่อไปได้ด้วยการรับช่วงงานของนายช่างน้อยผู้นี้เป็นทายาท ทั้งตัวเขาและแม่ต่างก็รู้สึกว่า บิดาเป็นคนรอบคอบอย่างยิ่งที่ได้ถ่ายทอดความรู้ไว้ให้เขาแต่เยาว์วัย เพื่อน ๆ ฟังคำบอกเล่าสั้น ๆ ของเขาด้วยความรู้สึกตื้นตันใจ เด็กคนหนึ่งแสดงความเสียดายที่โรงเรียนต้องเสียนักเรียน ซึ่งจะเข้าแข่งชิงทุนสกอลาซิปในนามของโรงเรียนไปคนหนึ่ง พวกเด็กๆ ที่มีศรัทธาในเซ้งมาก เด็กที่เรียนอ่อนสองสามคนคร่ำครวญถึงการจากไปของเซ้ง เพราะเขาจะขาดเพื่อนที่จะอธิบายบทเรียนให้แก่เขาโดยไม่แสดงอาการเบื่อหน่ายหรือรำคาญ ในยามที่ต้องเผชิญกับความตกต่ำของชีวิต คุณค่าของเซ้งกลับได้รับการเชิดชูจากหมู่มิตรน้อยของเขาให้เห็นเด่นชัดยิ่งกว่าในยามปกติ เซ้งฟังเสียงอันสำแดงไมตรีจิตและความอาลัยเหล่านั้นด้วยอาการสงบ ครั้นแล้วความคิดแจ่มใสได้โผล่ขึ้นมาในสมองอันค่อนข้างทึบของอู๊ดเด็กอ้วน ซึ่งเตี่ยของเขาตั้งร้านค้าขายอยู่ใน ตลาดขายของสด อู๊ดได้ร้องขึ้นว่า “ถ้านาฬิกาที่บ้านของพวกเราเสีย เราจะไปให้เซ้งแก้” จันทาอยากจะ เปล่งเสียงสนับสนุนขึ้นมาทันที แต่เขาต้องยับยั้งไว้ เพราะเขามิได้อยู่ในบ้านของเขาเองที่มีนาฬิกา แต่ก็ได้มีนักเรียนคนหนึ่งร้องสนับสนุนขึ้นว่า “เราจะส่งนาฬิกาของเราไปที่ร้านเซ้ง” ต่อจากนั้นก็มีเสียงรับรองเซ็งแซ่ตามกันมา ทำให้เซ้งต้องเงยหน้าขึ้นจากห่อหนังสือและเผยอยิ้มออกมาจากริมฝีปากที่สั่นเป็นครั้งแรก เมื่อมีเสียงระฆังเข้าห้องเรียนดังขึ้นเด็กๆก็ค่อยแยกไปที่นั่งของเขา และไม่มีใครที่แยกไปโดยมิได้กล่าวคำไว้อาลัยเซ้งอย่างจริงใจคนละสองสามคำ จันทายึดแขนของเซ้งไว้แน่นครู่หนึ่ง เขามีน้ำตาคลอเมื่อบอกกับมิตรรักว่า เขาจะไม่ลืมมิตรและจะชวนนิทัศน์ไปเยี่ยมที่บ้าน

เมื่อครูเข้ามาในห้อง และนั่งลงที่โต๊ะของครูเรียบร้อยแล้ว เซ้งได้ลุกขึ้นไปลาครู แน่ละสีหน้าของครูได้เปลี่ยนแปลงไป ครูก็มีความเศร้าใจในการจากไปของเซ้งทำนองเดียวกับนักเรียนทั้งหลาย เมื่อเด็กชายช่างแก้นาฬิกาเดินกลับมาที่โต๊ะเพื่อเอาห่อหนังสือของเขานั้น มีเสียงเรียกชื่อเซ้งแผ่ว ๆ ขึ้นมาสองสามเสียง เซ้งเงยหน้าอันโศกเศร้ากวาดสายตาไปยังหมู่มิตร พลางหันไปคำนับครูอีกครั้งหนึ่ง แล้วก็เดินออกจากห้องไปช้าๆ สายตาทุกคู่แลตามส่งเขาจนลับตา ภายในห้องเต็มไปด้วยความรู้สึกวังเวง จนครูเว้นเสียมิได้ที่จะพูดกับบรรดานักเรียนว่า ครูทราบดีถึงความเศร้าใจของนักเรียนใน เช้าวันนี้ และครูก็ได้ร่วมรับความเศร้าใจนั้นด้วย แต่การเรียนก็จำจะต้องดำเนินต่อไปตามปกติ

ขณะที่เซ้งหิ้วห่อหนังสือลงมาข้างล่าง ผ่านห้องทำงานของท่านอาจารย์ ‘เจ้าคุณ’ พอดีท่านโผล่ออกมาที่ประตู เซ้งจึงคำนับท่าน แล้วเตรียมจะออกเดินต่อไป เขารู้สึกว่าตัวเขาเป็นสิ่งเล็กน้อยเกินไปที่จะให้ท่านต้องมารับทราบเรื่องราวส่วนตัวของเขา แต่ “เจ้าคุณ” เกิดความสนใจในตัวเขาขึ้นมาโดยที่เขามิได้คาด ท่านเพ่งดูเขาด้วยสายตาที่ลอดออกมาจากแว่นเช่นเคย จนรู้สึกประหม่าและเสียขวัญ เขาจะต้องจากโรงเรียนที่รักของเขาไปด้วยการแสดงตนไม่เป็นมิตรของท่านอาจารย์ ‘เจ้าคุณ’ เป็นครั้งสุดท้ายเจียวหรือ ? เขาแทบจะร้องไห้โฮออกมาเมื่อแลสบตาท่าน

“เธอชื่อเซ้ง ศิษย์ครูอุทัยใช่ไหม ?” ‘เจ้าคุณ’ ถาม

“ใช่ครับ” เสียงของเขาเครือ

“เมื่อปีกลายนี้ฉันพบเธอที่ริมรั้วข้างต้นลั่นทม ?”

“ใช่ครับ” ถึงตอนนี้เขาระงับความตกใจไว้ไม่ได้ เขาเริ่มสะอึกสะอื้น

“เธอร้องไห้ทำไม ?” ‘เจ้าคุณ’ เดินเข้ามาใกล้เขา และถามด้วยความประหลาดใจ

“ผมกลัวท่านอาจารย์ขอรับ ผมไม่อยากจะจากโรงเรียนไปด้วยเสียงดุด่าของท่านอาจารย์ติดตามผมไปข้างหลัง” เสียงสะอึกสะอื้นของเขาถี่ขึ้น “ผมอยากได้รับพร”

‘เจ้าคุณ’ เอามือโอบไหล่เขาเหมือนกับที่ท่านทำกับหม่อมราชวงศ์รุจิเรข ความรู้สึกซาบซ่านแล่นเข้าไปจับดวงใจ แม้เขาจะงงงวย

“เข้าไปสนทนากับฉันในห้องสักครู่หนึ่งเถอะ”

‘เจ้าคุณ’ ให้เซ็งนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง และท่านนั่งลงบนเก้าอี้ของท่านที่โต๊ะทำงาน

“เช็ดน้ำตาเสียและหยุดร้องไห้ แล้วเราจะได้สนทนากัน” ‘เจ้าคุณ’ พูดกับเขาด้วยเสียงอ่อนโยน “เธอไม่ต้องตกใจ และไม่ต้องกลัวฉันอีกต่อไป”

“จริงหรือขอรับ ? ท่านอาจารย์จะไม่ดุว่าผมในเช้าวันนี้หรือขอรับ” เสียงของเขาสั่นเครือด้วยความปิติ

ยิ้มที่เปล่งปลั่งด้วยความกรุณา ปรากฏอยู่บนดวงหน้าของท่าน นั่นเป็นการรับประกันอันมั่นคงโดยไม่จำเป็นต้องมีถ้อยคำประกอบ เมื่อเซ้งเช็ดน้ำตาหยุดสะอื้น และอารมณ์ของเขาอยู่ในอาการสงบแล้ว ‘เจ้าคุณ’ ก็เริ่มสนทนากับเขา

“เธอหิ้วห่อหนังสือจะไปไหน ? เธอไม่สบายไปหรือในวันนี้ ?”

“มิได้ครับ” เซ็งตอบ “บิดาของผมเสีย” แล้วเซ้งก็บรรยายเหตุการณ์ทั้งหมดให้ท่านฟัง

จากสีหน้าและท่าทีของ ‘เจ้าคุณ’ แสดงว่าท่านรับทราบความทุกข์ของเซ้งด้วยความเห็นใจอันลึกซึ้ง

“เป็นข่าวร้ายเหลือเกินสำหรับเด็กอายุขนาดเธอต้องผจญ” ท่านอุทานด้วยความเจ็บปวด “ฉันเสียใจกับเธอจนไม่รู้ที่จะพูดว่ากระไร เธอคงจะต้องกระเทือนใจมากที่ได้เสียทั้งบิดา และโอกาสที่จะได้เรียนหนังสือต่อไปจนจบ ฉันทราบว่าเธอเรียนหนังสือได้ดี”

เซ้งจะไม่พิศวงเลยถ้า ‘เจ้าคุณ’ จะกล่าวว่า ท่านรู้ถึงการเล่าเรียนของศิริลักษณ์ แต่การที่ท่านแสดงว่าท่านมีความรู้ในเรื่องของเด็กเช่นเขานั้น เป็นสิ่งเกินความคาดหมายของเขา ในยามปกติเขาคงจะตื่นเต้นอย่างยิ่ง แต่ในยามที่หัวใจของเขาจมดิ่งอยู่ในความเศร้าโศก เขาเพียงแต่รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยและตอบคำปรารภของท่านว่า “ผมเสียใจมากเหมือนกันขอรับ ที่ต้องออกจากโรงเรียนไปกลางคัน แต่ว่าการออกจากโรงเรียนของผม จะเป็นประโยชน์แก่แม่และน้องๆ ข้อนี้ทำให้ความเสียใจของผมคลายลง”

คำตอบของเด็กชายซึ่งมาจากครอบครัวยากจนได้เปิดเผยให้เห็นดวงจิตอันสูงส่งภายในร่างอันซูบเซียวและปราศจากความสง่างามของเขา ‘เจ้าคุณ’ ต้องยอมรับกับตัวของท่านว่า ท่านมีความนับถือเด็กชายผู้ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่กี่นาที ได้สะอึกสะอื้นด้วยความกลัวต่อคำดุด่าของท่าน ท่านได้ปราศรัยกับเซ้งถึงความวิบัติของครอบครัว และปลอบโยนเขาต่อไปอีกครู่หนึ่ง แล้วท่านก็เริ่มสนทนากับเขาตามจุดที่ท่านมุ่งหมาย

“ฉันได้พบเธอโดยบังเอิญเมื่อตะกี้นี้ แต่เรื่องที่ฉันจะพูดกับเธอต่อไปมิใช่เรื่องบังเอิญ เป็นเรื่องที่ฉันตั้งใจจะพูดกับเธอตั้งแต่ปีกลาย แต่ฉันได้หลงลืมไป” ‘เจ้าคุณ’ ได้พูดกับเขาด้วยน้ำเสียงอันเป็นมิตร ซึ่งเป็นเสียงที่เขาไม่คุ้นมาก่อน “เมื่อฉันพบเธอที่ริมรั้วโรงเรียนใกล้ต้นลั่นทมปีที่แล้ว ฉันได้ติเตียนความประพฤติของเธอด้วยถ้อยคำรุนแรง เธอคงจะจำเหตุการณ์วันนั้นได้ดี เพราะมันทำให้เธอกลัวฉันมาจนถึงวันนี้ และเธอก็คงจะเกลียดชังฉันตั้งแต่วันนั้นมาจนถึงวันนี้เช่นกัน”

ท่านหยุดพูด จ้องดูหน้าเด็กชายผู้ตกเป็นจำเลยของท่านเมื่อปีกลาย เซ้งทำปากขมุบขมิบซึ่งเป็นอาการแสดงความลังเลใจของเขา และในที่สุดเขาได้พูดออกมาว่า “ผมยังจำเหตุการณ์ในวันนั้นได้ดีขอรับ และยังกลัวท่านอาจารย์จนถึงวันนี้จริงขอรับ แต่ผมไม่เคยนึกเกลียดท่านอาจารย์แม้แต่ชั่วลมหายใจเดียว พระผู้เป็นเจ้าจะไม่ทรงยกโทษให้ผมเลย ถ้าผมมีจิตคิดร้ายต่อท่านอาจารย์”

“ในเช้าวันนี้ฉันรู้จักเธอดียิ่งกว่าที่ได้รู้จักอยู่แล้วจากครูอุทัย แต่การที่เธอไม่เคยนึกเกลียดชังการกระทำอันไม่เป็นธรรมของฉันเสียเลยนั้น กลับทำให้ฉันรู้สึกว่า ความผิดที่ฉันได้กระทำไปแล้วนั้นมากกว่าที่ฉันคาดคิด” ท่านอาจารย์หยุดนิดหนึ่ง สีหน้าของท่านหม่นหมอง แต่เซ้งไม่สามารถเข้าใจความหมายแห่งถ้อยคำของท่านได้ “รุ่งขึ้นจากวันนั้นครูอุทัยได้มารายงานผลการสอบสวนปากคำจากเธอโดยตลอด และฉันก็ได้ทราบถึงสาเหตุ และความจำเป็นที่ทำให้เธอต้องถ่ายปัสสาวะที่ริมรั้ว แล้วฉันก็รู้สึกว่าเมื่อฉันได้ดูเธอในวันก่อนนั้น ฉันได้กระทำไปด้วยความฉุนเฉียว และไม่ได้ให้โอกาสเธอชี้แจง ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่เป็นธรรม นอกจากนั้นครูอุทัยยังได้รายงานให้ฉันทราบว่า เธอเป็นเด็กที่มีความประพฤติดีและเรียนที่เป็นพิเศษ ฉันก็ยิ่งแน่ใจว่าฉันได้กระทำผิดต่อเธอ และฉันรู้สึกเสียใจ ถึงแม้ว่าฉันจะกระทำไปด้วยความปรารถนาดีต่อเธอ และรับรองได้ว่าฉันมีความปรารถนาดีอย่างกระตือรือร้นต่อนักเรียนทุกคน แต่ฉันก็ไม่วายเสียใจสำหรับถ้อยคำอันรุนแรง และไม่เป็นธรรมที่เกิดจากความฉุนเฉียวของฉัน ถ้อยคำเหล่านั้นคงกระทำให้เธอกระเทือนใจและโทมนัสไม่น้อย ฉันตั้งใจว่าจะพบเธออีกครั้ง และทำความเข้าใจกับเธอ แต่ฉันก็หลงลืมไป เดี๋ยวนี้เมื่อฉันได้พบและได้สนทนากับเธอแล้วฉันรู้สึกเสียใจยิ่งกว่าเดิม ฉันได้เห็นความดีของเธอ ยิ่งกว่าที่ครูอุทัยได้รายงานให้ฉันทราบ ฉันขอให้เธอยกโทษให้อาจารย์”

ท่านพูดอย่างหนักแน่นและจริงจัง จนทำให้เซ้งรู้สึกเหมือนตกอยู่ในความฝัน เขาตะลึงจังงังและรู้สึกซาบซ่านไปทั้งตัว น้ำตาไหลรินออกมาอีกครั้งหนึ่ง มันเป็นหยาดน้ำตาแห่งความโสมนัสตื้นตันใจอันล้นพ้น เขายกมือขึ้นไหว้ ‘เจ้าคุณ’ และพูดด้วยเสียงสั่นสะท้านว่า “ผมยกโทษให้อาจารย์ไม่ได้ดอกครับ เพราะผมไม่เคยรู้สึกว่าท่านอาจารย์มีโทษอะไรเลย ผมรู้สึกว่าท่านอาจารย์มีแต่พระคุณ และผมก็มีแต่ความเคารพท่านอาจารย์ตลอดมา”

คำพูดอย่างง่าย ๆ และมีน้ำหนักแห่งความจริงใจของเขาทำให้ “เจ้าคุณ” ต้องกลืนน้ำลายด้วยความตื้นตันใจเช่นเดียวกัน ท่านลุกจากเก้าอี้และเดินมาที่เซ้ง ประคองให้เขาลุกขึ้นพลางเอามือโอบไหล่เขาไว้แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอันสำแดงความรักใคร่เด็กชายลูกจีนอย่างจริงใจว่า “เธอมีดวงใจบริสุทธิ์และกว้างขวางนัก เธอไม่เล็งเห็นโทษของฉัน แต่พระเจ้าของเธอคงจะเล็งเห็น เพราะฉะนั้นขอให้พระองค์ทรงยกโทษแก่ฉันก็แล้วกัน”

เซ้งได้แต่ซบศีรษะลงที่อกท่าน แล้วก็สะอึกสะอื้นด้วยความซาบซึ้งในวาจาของท่าน

“ขอให้เธอจงแน่ใจว่า เธอจากโรงเรียนนี้ไปพร้อมด้วยความรักและอาลัยของอาจารย์”

เซ้งรู้สึกถ้อยคำของ “เจ้าคุณ” ดังน้ำอมฤตที่หลังชะโลมลงเหนือวิญญาณอันเหี่ยวแห้งของเขา ทำให้วิญญาณนั้นกลับสดชื่นอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะเดินออกไปพ้นประตู เขาต้องหยุดชะงักด้วยเสียงร้องเรียกครั้งสุดท้ายของ “เจ้าคุณ”

“เซ้งจงบอกคุณแม่ของเธอว่า อาจารย์มีความเสียใจด้วยอย่างลึกซึ้ง สำหรับความวิปโยคที่ครอบครัวของท่านได้รับและนี่......” ท่านส่งธนบัตรใบละสิบบาทให้เซ้ง “เป็นเงินที่อาจารย์มีอยู่ในขณะนี้ อาจารย์ขอฝากไปให้คุณแม่เธอเพื่อร่วมในการบำเพ็ญกุศล”

เซ้งได้จากโรงเรียนไป พร้อมด้วยความรักติดตามเขาไปข้างหลัง

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ