๑
ครูออกจากบ้านในตอนเช้าวันนั้น ในขณะฝนตกพรำ ครูกลับบ้านในเย็นวันนั้น ก็ในขณะฝนตกพรำเหมือนกัน อากาศเยือกเย็นตลอดทั้งวันและยังเยือกเย็นไปถึงกลางคืน แต่ครูรู้สึกว่าความเยือกเย็นที่บรรยากาศในศาลได้บันดาลให้เกิดขึ้นเสียดแทงใจครูนั้น เป็นความเยือกเย็นที่ข่มความเยือกเย็นของอากาศเสียสิ้น ดูเหมือนครูแทบจะไม่รู้สึกว่า วันนั้นฝนตกพรำตลอดทั้งวันด้วยซ้ำไป
เหตุการณ์ที่ครูได้ประสบมาในวันนั้น ทำให้ครูอ่อนเพลียละเหี่ยใจอย่างเหลือเกิน ครูรู้สึกว่าชราภาพได้กระโจนเข้ามาจับครูไว้ได้ ด้วยกรงเล็บอันน่าสยดสยองของมันในวันนั้นเอง ครูรู้สึกเหมือนกับว่าได้ถูกกระชากเข้าไปในที่คุมขังของวัยแปดสิบปี ซึ่งแก่หง่อมเต็มที รอแต่วันอีกไม่กี่วันที่จะร่วงหล่นไปจากชีวิตเท่านั้น ความจริงครูก็มีอายุถึงหกสิบเศษแล้ว แต่ครูก็ยังดูแข็งแรงกระปรี้กระเปร่า ทั้งครูเองก็ยังไม่รู้สึกว่าเป็นคนแก่เลย จนกระทั่งทุกวันนี้ครูก็ยังไปสอนหนังสืออยู่ ไม่ใช่เป็นการกระเสือกกระสน ไม่ใช่เพราะว่าถ้าครูไม่ได้ออกไปสอนหนังสือครูจะอดตาย แต่หากว่าครูยังรักการการสอนหนังสืออย่างสุดจิตสุดใจ ใครจะว่าชีวิตประกอบขึ้นมาจากธาตุดิน น้ำ ลม ไฟก็ว่าไป แต่ครูจะว่าชีวิตของครูประกอบขึ้นมาจากกระดานดำ ชอล์ก โต๊ะเรียน และดวงหน้าระรื่น ดวงตาแจ๋วแหววไร้มารยาของพ่อหนู แม่หนู ทั้งตัวเล็กและตัวโต ครูเคยพูดกับลูกศิษย์ของครูว่า “ถ้าครูได้ตายลงในขณะที่ถือชอล์กอยู่ในมือ ครูก็จะไม่คิดเลยว่าได้เคยมีวีรบุรุษคนใดในประวัติศาสตร์ที่ได้จบชีวิตของเขาได้อย่างงดงามยิ่งไปกว่าครู” และเมื่อศิษย์น้อย ๆ ของครู ได้เปล่งเสียงอันไร้มารยาออกมาว่า “ครูที่รักของเราได้สิ้นใจเสียแล้ว” ครูก็จะถือว่านั่นคือสุนทรพจน์ต่อหน้าศพอันจับใจที่สุดรายหนึ่งที่ได้เคยมีมาในประวัติศาสตร์
ครูนั่งอยู่บนเก้าอี้ริมหน้าต่างห้องทำงานแต่ลำพัง เสียงฝนตกต้องหลังคากระเบื้องดังเปาะแปะ แต่ดูเหมือนว่าครูจะไม่ได้ยินเสียงฝน หรือเสียงใดๆเลย สายตาของครูมองจ้องออกไปในนภาอากาศอันเวิ้งว้าง และในความมัวสลัวของอากาศในยามต้นของราตรีนั้น ครูได้เห็นสิ่งๆหนึ่งผุดขึ้นมาในมโนภาพ อาการที่ครูมองจ้องอยู่ในท่าเดิมเป็นเวลานานนั้น ดูประหนึ่งว่ามันเป็นภาพที่ปรากฏเด่นชัดในสายตาของครู
สิ่งที่ครูได้เห็นนั้นคือ กาลเวลา
ในยามนั้นครูไม่รู้สึกว่า กาลเวลาเป็นนามธรรมเลย ครูแลเห็นมันเป็นสิ่งที่มีตัวตนอย่างเด่นชัด ครูแลเห็นมันเคลื่อนไหว มันเดิน มันวิ่ง มันแย้มยิ้ม มันตะคอก มันต้อนรับ มันขับไล่ มันสร้างสรรค์ และมันทำลาย! ครูแลเห็นมันทำได้สารพัดอย่าง มันมีอานุภาพเกรียงไกร มันเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งแต่เล็กที่สุดไปจนถึงใหญ่ที่สุด ตั้งแต่อ่อนที่สุดไปจนถึงแข็งที่สุด ภูเขาและมหาสมุทรก็ไม่อาจต้านทานอานุภาพของมันได้ จักรวรรดิโรมันอันเรืองเดชก็ย่อยยับไป ความศักดิ์สิทธิ์และอำนาจ ที่ล่วงมาจากฟ้าของสันตปาปา และของจักรพรรดิและพระราชาก็แตกดับไป สากลโลกไม่อาจยืนหยัดต่อต้านอำนาจการเปลี่ยนแปลงของมัน มันกวาดล้างระบบสังคมและสถาบันตลอดจนขนบประเพณีที่อวดอ้างว่าเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้มามากต่อมาก กองทัพที่แข็งแกร่งที่สุดก็สยบหัวลงแทบเท้าของมัน เช่นเดียวกับที่ความรักอันหวานฉ่ำที่สุดได้พ่ายแพ้มันมาแล้ว มันแปลงความภักดีเป็นความทรยศ แปลงความซื่อสัตย์เป็นความคดในข้องอในกระดูก ไม่มีสิ่งใดภายใต้ดวงอาทิตย์ที่ได้เคยยืนขึ้นพิสูจน์ความคงกระพันกับมัน
สิ่งที่ทำให้ครูมองเห็นว่ากาลเวลาเป็นตัวตนที่เด่นที่สุด รวมทั้งอานุภาพอันยิ่งใหญ่ของมัน ก็คือกาลเวลาของครูเอง
ครูได้อยู่มาในโลก เป็นเวลาถึงหกสิบปีเศษ กาลเวลาของครูได้ครอบคลุมเหตุการณ์ไว้มากมาย ขบวนการเปลี่ยนแปลงอันยืดยาว ได้ผ่านมาภายใต้การชะโงกเงื้อมแห่งกาลเวลาของครู ในบางขณะการเปลี่ยนแปลงก็เป็นไปในอาการฮวบฮาบ กระแทกกระทั้นโครมครามเหมือนสายน้ำต้นธารที่กระโจนจากหินผาลงสู่ที่เทลาด และไหลแรงเร็วไปสู่ที่ราบต่ำ กาลเวลาของครูก็ทำนองเดียวกับกาลเวลาของโลกในอดีตกาลที่ลึกเข้าไปถึงหมื่นๆปี การเปลี่ยนแปลงดำเนินไปแสนที่จะเชื่องช้า จนดูเหมือนว่าสิ่งต่างๆ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด นอกจากการหมุนเวียนอันจำเจของธรรมชาติ คือมีแต่เรื่องฝนตกฟ้าร้องลมพัด พระอาทิตย์ขึ้นและตก ดวงจันทร์และดาวปรากฏในตอนกลางคืน และการเกิดแก่เจ็บตายของสรรพสัตว์ในอดีตกาลที่ใกล้เข้ามาเป็นพันๆ ปี การเปลี่ยนแปลงค่อย ๆ ปรากฏร่องรอยขึ้น แต่ก็เป็นไปในอาการเอื่อยอ่อย เนิบนาบ แต่ระยะเพียงชั่วสองสามศตวรรษหลังนี้เท่านั้นได้บันดาลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอันน่าอัศจรรย์ มีปริมาณและคุณภาพยิ่งกว่าการเปลี่ยนแปลงที่โบราณกาลหลายพันปีได้สร้างสมไว้หลายเท่าและระยะเวลาเพียงจำนวนทศวรรษของศตวรรษปัจจุบันกลับก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอันมหัศจรรย์ล้ำลึกยิ่งเสียกว่าศตวรรษและพันปีใด ๆ ในอดีตกาล จะได้เคยทำการเปลี่ยนแปลงมาแล้ว การเปลี่ยนแปลงทั้งในทางคุณภาพและปริมาณไม่เป็นขนาดเดียวกัน ในระยะเวลาที่เท่ากัน การเปลี่ยนแปลงที่หนึ่งพันปีได้สะสมไว้ อาจน้อยกว่าการเปลี่ยนแปลงที่บังเกิดในหนึ่งศตวรรษ สิ่งที่ไม่อาจเกิดได้ในศตวรรษหนึ่งที่แล้วมา อาจก่อเกิดได้ในชั่วทศวรรษของศตวรรษในปัจจุบัน
โอ กาลเวลาที่น่าเกรงขาม กาลเวลาที่เปิดโปงอดีต กาลเวลาที่กำความลึกลับของอนาคต และบางทีก็ชี้แนะอนาคต กาลเวลาผู้เป็นมหาครู!
กาลเวลาของครูก็เหมือนกัน ในระยะยี่สิบปีแรกของอายุขัย ครูได้พบการเปลี่ยนแปลงในอาการไหลเอื้อย ไม่ปลุกเร้าความตื่นตาตื่นใจ อาจมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในระหว่างนั้นอันเป็นที่สะดุดตาบ้าง แต่แล้วมันก็เลือนลางไปในกระแสของการเปลี่ยนแปลงที่ไหลเอื่อย แต่ในระยะเวลายี่สิบกว่าปีหลังนี้ ครูได้พบการเปลี่ยนแปลงที่เหมือนกับสายธารอันกระโจนลงมา จากหินผาลงสู่ที่เทลาด ครูได้พบการเปลี่ยนแปลงที่ไหลแรงเร็วกระแทกกระทั้น จุดความตื่นเต้นและตื่นตระหนกให้ลุกโพลงขึ้นในจิตใจของครู มีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่ครูคิดว่า ครูย่อมไม่มีโอกาสได้พบเห็นในชั่วชีวิตของครู และแม้แต่บุตรของครูก็จะไม่ได้พบเห็น การเปลี่ยนแปลงที่ครูคิดว่ามันจะยังไม่เกิดในหนึ่งศตวรรษข้างหน้า แต่ชั่วระยะเพียงไม่กี่ปีมันก็ค่อย ๆ ก่อกำเนิด และปรากฏโจ๋งครึ่มมาต่อหน้าต่อตาครู ซึ่งใครรวมทั้งครูเองด้วย ก็เรียกมันว่าเป็นกาลสมัยแห่งความล้าหลังอันยากที่จะหวังถึง การเปลี่ยนแปลงที่ก่อเกิดคุณภาพใหม่ รูปโฉมนั้นยังมิใช่ภาพที่ชัดเจนตระการตา มันเป็นภาพที่ดูประหนึ่งว่าห่อคลุมไว้ด้วยก้อนเมฆบาง ยังเป็นภาพที่ค่อนไปข้างลางๆ แต่มันก็ปรากฏเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาในสายตาของครู แน่ละครูได้มองมันอย่างตกตะลึง ในบางครั้งความรู้สึกที่ตื่นเต้นของครูก็ระคนด้วยความตื่นตระหนก และความขลาดหวาดหวั่นของเด็ก ๆ ที่ไม่แน่ใจว่าสิ่งซึ่งปรากฏอยู่เบื้องหน้านั้น เป็นมิตรหรือศัตรูของตน เป็นความดีหรือความร้าย เป็นตัวแทนของเทพหรือของมาร
การเปลี่ยนแปลงต่างๆ นานาที่ปรากฏออกมาในกาลเวลาของครูนั้นมิได้เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดำเนินมาเป็นสายอย่างหมดจดแจ่มแจ้ง มิได้มีการจัดลำดับอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย มันเป็นการเปลี่ยนแปลงที่อุบัติขึ้นมาหลายหลายทางในเวลาเดียวกัน มันทอดทับสอดก่ายกันไปมาอย่างสับสนซับซ้อน มันดูประหนึ่งเป็นกระจุกมหึมาของการเปลี่ยนแปลงไม่ว่ามันจะเป็นกระจุกของการเปลี่ยนแปลงที่ดูสับสนและซับซ้อนเพียงใด แต่ขบวนการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนั้น มันก็เอียงเทไปสู่ที่ลุ่มลาด และจะไปรวมการลงเอยอยู่ที่จุดเดียวกัน ดุจธารน้ำทั้งหลายย่อมไหลไปสู่ที่ลุ่มลาด และไปบรรจบพบกันที่ท้องมหาสมุทรฉะนั้น
ความจริงครูได้เคยมองดูการเปลี่ยนแปลงนานาประการเหล่านี้ด้วยความอ่อนอกอ่อนใจมาเป็นเวลานาน เพราะว่าครูแลเห็นแต่ความสับสนซับซ้อนของมัน และครูไม่เข้าใจความหมายของมัน ครูไม่อาจทราบทิศทางที่การเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น จะนำไปสู่มันเป็นกองพะเนินแห่งการผสมปนเปกันของความดีและความชั่ว ตามเกณฑ์ของศีลธรรมแห่งยุคสมัย, ของความสะอาดและความโสโครก, ของความงามและความอัปลักษณ์, ของศักดิ์ศรีและทรามสกุล, ครูแยกสิ่งเหล่านี้ออกจากกันไม่ได้ และซ้ำร้ายยิ่งกว่านั้น มีบ่อยครั้งที่ครูแทบจะชี้ลงไปไม่ได้ว่าอะไรคือความดี อะไรคือความชั่ว อะไรคือความอัปลักษณ์ อะไรคือเทพ อะไรคือมาร แต่ก่อนนี้ถ้าครูจะชี้ถึงสิ่งเหล่านี้ ครูจะชี้ได้อย่างง่ายดาย ครูจะไปที่บุคคลและตำแหน่งอันทรงอัครฐาน แล้วก็จะบอกว่านั่นเป็นสิ่งที่แทนความดีความงาม แล้วครูก็จะมองไปที่ชีวิตอันต้องต่อสู้ เพื่อการดำรงชีพด้วยการอาบเหงื่อต่างน้ำ และการดิ้นรนให้พ้นจากความอดยากปิ้มว่าสายตัวแทบจะขาด และชี้ว่านั่นเป็นความอัปลักษณ์และความโสโครก ซึ่งครูได้สอนศิษย์ให้พยายามหลีกเลี่ยงจงหนัก แต่ผู้คนซึ่งจมอยู่ในชีวิตเหล่านั้นรวมทั้งลูกเต้าเล้าอ่อนของเขา จะออกมาจากชีวิตอัปลักษณ์โสโครกเช่นนั้นได้อย่างไร ครูไม่ได้บอก มันเกินความรู้ของครู และมันไม่ใช่ธุระของครู แน่นอน ครูคิดว่าเรื่องเช่นนั้นเป็นธุระของเทพยดา !
ครูคิดว่า ครูเห็นจะต้องตายไปพร้อมด้วยการนำความสับสนซับซ้อนของความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ซึ่งครูไม่สามารถจะตอบได้ หอบหิ้วติดวิญญาณไปสู่โลกหน้าด้วย จนกระทั่ง....นั่นเป็นเรื่องที่ครูจะบรรยายให้เราฟังเป็นลำดับไปในภายหลัง
ครูขยับตัวมายืนชิดหน้าต่าง ทอดสายตาแลกวาดไปทางซ้ายและขวา ฝ่าฝอยฝนบางๆ ที่กระจายอยู่ในอากาศ เห็นบ้านเรือนคับคั่งบนบริเวณที่ดินแถบนั้น เห็นแสงไฟส่องสว่างอยู่ทั่วไป เสียงดนตรีทำนองเพลงสากลจากเครื่องวิทยุกังวานอยู่ในอากาศ, ครูมองเห็นถนนที่ทอดผ่านชุมนุมหมู่บ้านเหล่านั้น และถนนย่อม ๆ จากหมู่บ้านที่ตัดมาบรรจบกับถนนสายใหญ่ ครูรำพึงว่าที่นี่ความเปลี่ยนแปลงอันหนึ่งที่ผูกติดกับชีวิตของครูทีเดียว เขาว่าแต่ก่อนนี้ภายในบริเวณนี้ไม่เคยมีบ้านเรือนคับคั่ง ไม่เคยมีถนนไม่ว่าจะเป็นสายใหญ่หรือสายย่อม ในฤดูฝน ผู้คนเดินตีนเปล่าเหยียบย่ำไปบนพื้นดินอันเฉอะแฉะ เมื่อไม่มีกิจอันจำเป็นจะต้องออกไปนอกบ้าน ก็ได้แต่นั่งจับเจ่ากันอยู่บนบ้าน ครั้นถึงฤดูแล้ง ที่ดินก็แห้งแข็งและร้อนระอุด้วยเปลวแดดและตีนเปล่าคู่เคียงกันนั้นก็เหยียบย่ำลงไปอีกวันแล้วปีเล่า ชีวิตดำเนินไปอย่างเรื่อยเฉื่อย ในยามค่ำคืนก็มืดตื้อและเงียบสงัด มีแต่เสียงกบ เขียดและจักจั่นเรไรร้องเซ็งแซ่ขึ้นมาเป็นพักๆ ที่ดินผืนใหญ่แถบนี้แต่เดิมมาเป็นสวนผลไม้ของสกุลที่เป็นชาวสวน และในสกุลหนึ่งก็ประกอบด้วยเครือญาติเป็นจำนวนมาก เครือญาติเหล่านั้นปลูกบ้านเรือนตั้งครอบครัวอยู่บนผืนที่ดินที่เป็นของสกุลของตนเก็บผลไม้ขายเลี้ยงชีพ และประกอบกิจอย่างอื่นตามความถนัดของแต่ละครอบครัว ความสัมพันธ์ของแต่ละเครือญาติเป็นไปอย่างสนิทสนม ครั้นแล้วความคลี่คลายขยายตัวทางเศรษฐกิจ รวมทั้งอารยธรรมของนครหลวงที่ได้คลี่คลายตามกันมา ก็ได้บันดาลให้ชุมนุมเครือญาติของชาวสวนในแถบนี้แตกกระเจิงกันไปหมด ตกมาถึงรุ่นลูก ๆ ของครู การติดต่อระหว่างเครือญาติแทบจะไม่มีเลย และเมื่อพวกเครือญาติได้พบกันในบางโอกาส การสนทนาพาทีระหว่างกันก็เต็มไปด้วยกลิ่นไอของพิธีรีตอง ความสนิทสนมกลมกลืนอันระรื่นชื่นใจของเครือญาติแต่เก่าก่อนได้จางหายไปเสียแล้ว เมื่อหวนระลึกไปถึงสิ่งนี้ ครูก็เศร้าใจและความเศร้าใจก็ทับทวีขึ้น เมื่อครูเห็นแน่ว่าความเปลี่ยนแปลงได้พัดพาเอามันไปอย่างที่จะเรียกคืนมาอีกไม่ได้แล้ว ข้อนี้และข้ออื่น ๆ อีกที่ทำให้ครูสงสัยว่า ความเปลี่ยนแปลงที่ครูได้เผชิญมาตลอดชีวิตอันยืดยาวของครูนั้น ทำให้ชีวิตผู้คนดีขึ้นหรือเลวลง มันทำให้ครูลังเลใจว่า ครูควรจะเกาะอยู่กับสมัยของครู หรือว่าควรจะกางแขนออกโอบกอดสมัยที่ครูกำลังเผชิญอยู่ และติดตามความเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ ไปพร้อมด้วยความหวังว่า ชีวิตที่ดีกว่า งามกว่าและเปล่งกว่าจะโผล่ออกมาจากอนาคตอันใกล้
ที่ดินของพวกชาวสวน ที่สกุลของเขาได้อยู่กันมาแต่ครั้งปู่ย่าตายาย ได้ถูกตัดขายและเปลี่ยนมือกันไปหมด และเจ้าของเดิมก็โยกย้ายไปเช่าบ้านที่เขาอยู่ประกอบอาชีพใหม่ ถูกล่ะ บางคนก็ไปเป็นข้าราชการซึ่งอาจจะดูภาคภูมิกว่าชาวสวน แต่เขาก็ต้องแลกกับผืนที่ดินอันเป็นสมบัติเก่าแก่และเป็นหลักฐานของเครือญาติ มันจะคุ้มกันหรือ ? ครูเคยตั้งปัญหาอันนี้ขึ้นถามตัวเอง
แสงสว่างจากดวงไฟฟ้าตามบ้านเรือน, ถนนหนทางอันเป็นระเบียบเรียบร้อย ความคึกคักสวยงามของบ้านเรือน และการแต่งกายของผู้คนซึ่งเข้าแทนที่สีเขียวของใบไม้ และสีสันนานาชนิดของลูกไม้ และชีวิตอันเรื่อยเปื่อยง่าย ๆ แต่ทว่าอบอุ่นด้วยความรักของเครือญาติ และแช่มชื่นด้วยดวงหน้าซื่อๆ ที่เคยคุ้นกันมาแต่น้อยคุ้มใหญ่ การเปลี่ยนเช่นนี้ครูก็พูดไม่ได้เต็มปากว่า ครูมีความชื่นชมยินดีอย่างไม่มีข้อสงสัย เพราะว่าในบางครั้งบางคราวครูก็เคยนึกอาลัยในอดีต แล้วครูก็งวยงงไป
เมื่อยังเยาว์วัย ครูเคยฝันว่าโตขึ้นครูคงจะได้ใช้ชีวิตผู้ใหญ่อย่างผาสุก ในความห้อมล้อมของเครือญาติ นั่นบ้านลุง โน่นบ้านป้า นี่บ้านอา แล้วครูก็จะมีลูก แล้วลูก ๆ ของพวกลูกลุงลูกป้า ก็จะวิ่งเล่นกันเกรียวกราวในละแวกนั้น แต่ครั้นแล้วกาลเวลาได้มาเขย่าครูให้ตื่นจากฝันอันอภิรมย์ และครูก็ได้มองเห็นความจริงที่ไม่เหมือนกับภาพฝันสักนิดเดียว บ้านเรือนของคณาญาติได้ถูกรื้อถอนไปตามลำดับ เหลือแต่บ้านแบบโบราณของครูหลังเดียวที่ตั้งโดดเดี่ยวอยู่ท่ามกลางแบบบ้านสมัยใหม่ แม้แต่ลูกสาวของครูก็ได้ออกจากบ้านโบราณของครูไปกว่าสิบปีแล้ว เมื่อเธอได้แต่งงานกับชายที่ฐานะค่อนข้างดี
หน้าเก่าในสวนของละแวกนั้น ที่เหลือให้ครูได้ชื่นชมอยู่ คงมีแต่หน้าเดียว คือหน้าของบุตรชายที่ได้แต่งงานเมื่อห้าหกปีมานี้ และเนื่องด้วยการแต่งงานนั้น พ่อและลูกก็ได้ช่วยกันตบแต่งซ่อมแซมบ้านโบราณ ให้ประกอบด้วยบรรยากาศของสมัยใหม่ขึ้นมาไม่น้อย ได้มีการขยายตัวเรือนให้กว้างออกไปกว่าเดิม ต่อเติมห้องขึ้นอีกสองห้องเป็นห้องนอนของบุตรชายห้องหนึ่ง และห้องรับแขกที่ได้ตบแต่งอย่างทันสมัยห้องหนึ่ง พร้อมกับได้ตั้งโต๊ะรับประทานอาหารขึ้นในห้องนั้น และแต่นั้นมา ครูก็ต้องย้ายที่รับประทานอาหารจากนอกชานและจากระเบียงหน้าห้องทำงานของครู ซึ่งใช้เป็นที่รับแขกด้วย ไปนั่งรับประทานที่โต๊ะภายในห้องรับแขก พร้อมกับบุตรชายและสะใภ้ ส่วนภรรยาของครูนั้นมักจะขอตัวรับประทานเสียในครัว แกบอกกับลูกชายว่า “มื้อไหนที่แม่ไปนั่งกินข้าวที่โต๊ะกับลูก แม่รู้สึกว่ากินไม่อิ่มสักที แม่เคยนั่งชันเข่ากับพื้น กินข้าวด้วยมือตั้งแต่เล็ก จนแก่ตัวป่านนี้แล้วลูกเอ๋ย แม่กลับตัวไม่ทันหรอก” บุตรชายก็หัวเราะ แต่นานครั้งหนึ่งเขาก็เคี่ยวเข็ญเอาแม่ไปนั่งรับประทานอาหารที่โต๊ะจนได้ ส่วนครูไม่ออกความเห็นว่ากระไร ครูเข้าใจดีในคำชี้แจงสั้น ๆ นั้น และก็มีอยู่บ่อย ๆ ที่พ่อกับแม่ได้มานั่งรับประทานอาหารด้วยกันแต่ลำพังที่นอกชานเรือน ซึ่งเป็นที่ ๆ คนทั้งสองได้รับประทานร่วมกันมาเป็นเวลากว่าสามสิบปีแล้ว จนกระทั่งภรรยาของครูได้จากไปเมื่อสองปีที่แล้ว แกก็ได้จากไปด้วยความรู้สึกอันเดิมว่าการนั่งกินข้าวที่โต๊ะกับบุตรชายและสะใภ้นั้นช่างไม่มีรสเสียเลย ส่วนครูนั้นถึงแม้จะรู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่าห้องพระและนอกชานยังคงเป็นที่ซึ่งจับใจครูเป็นนักหนา แต่ครูก็มองดูห้องรับแขกที่ตบแต่งงามตาทันสมัย และโต๊ะรับประทานอาหารของลูกชาย ในฐานที่เป็นความจริงบางอย่างที่ต้องโผล่ขึ้นมาในบ้านของครู และในอายุขัยของครู ครูอาจจะรู้สึกเฉย ๆ ไม่ยินดียินร้ายกับมัน หรืออาจจะงวยงงอยู่บ้างก็ตาม แต่ครูก็ต้อนรับมันในฐานที่มันเป็นความจริงอย่างหนึ่ง ซึ่งหากว่ามันจะเป็นที่ขวางนัยน์ตาของใคร เขาก็ไม่อาจขจัดมันออกไปเสียจากชีวิตได้ ครูได้ต้อนรับมัน เพราะว่าอย่างน้อยครูก็จะต้องอยู่ไปกับมัน
ในเรือนหลังนั้นดูเหมือนว่า ห้องทำงานที่ค่อนข้างคับแคบของครูจะเป็นศูนย์กลางที่เชื่อมวิถีของอดีตกับปัจจุบันให้ติดต่อกัน และเป็นที่ ๆ ทำให้ครูอาจที่จะมองดูวิถีของปัจจุบันอันกำลังคลี่คลายไปสู่อนาคตซึ่งยังดูมัว ๆ และสับสนเต็มทีในความรู้สึกนึกคิดของครู บางครั้งบางคราวครูก็ลองพยายามเพ่งดูมันด้วยความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความกระหายอยากรู้อยากเห็นของเด็ก ๆ ด้วยหวังว่าอาจจะได้เห็นภาพที่ชัดขึ้นกว่าเดิม แต่แล้วครูก็ได้ประสบแต่ความอ่อนอกอ่อนใจ อันเป็นผลของความพยายามที่ล้มเหลว ในห้องทำงานของครูมีตู้หนังสือสองใบ และมีโต๊ะเขียนหนังสือหนึ่งตัว รูปร่างและแบบพร้อมด้วยความเก่าคร่ำของมันย่อมประกาศสมัยของมันอยู่ในตัว ผู้ที่ย่างเข้าในห้องทำงานครู จะรู้สึกในทันทีว่า เขาได้หายใจเอาอากาศของกาลเวลาที่ถอยหลังไปไกล เมื่อเขาแลดูสิ่ง ๆ หนึ่ง ซึ่งเหมือนกับหีบไม้รูปยาวและเตี้ยสีน้ำตาลคร่ำเช่นเดียวกับสีตู้และโต๊ะมีลวดลายและมีฝาเป็นกระจก ภายในบรรจุสายลูกตุ้มที่แกว่งไปมาอยู่เสมอ พร้อมทั้งมีหน้าปัด มีเข็มที่บอกเวลาเหมือนนาฬิกาทั้งหลาย แขวนอยู่ที่ผนังห้องด้านขวามือ เขาก็รู้สึกคล้ายกับว่า หีบยาวที่บรรจุสายลูกตุ้มและหน้าปัดนาฬิกาภายในห้องทำงานของครูนั้น มันบอกเวลาที่ต่างกว่าเวลาของนาฬิกาตั้งสีฟ้ารูปกลมกะทัดรัด ซึ่งตั้งอยู่บนโต๊ะเล็กเหนือผืนผ้ารูปลายงามในห้องรับแขกราว ๆ สักสามสิบปี แต่อาศัยการทำงานที่ครูได้ทำติดต่อกันมาไม่ขาดสายเป็นเวลาถึงสี่สิบปี และคอยติดตามสดับเหตุการณ์ และสังเกตดูความเปลี่ยนแปลงที่ยังเกิดขึ้นมาเป็นลำดับนั่นเอง ที่ทำให้ครูไม่หล่นลงไปติดอยู่ในหลุมของอดีตแล้วก็หลงอยู่กับอดีตนั้น การทำงานและการใช้ชีวิตในหมู่เด็กที่รุ่นใหม่มาแทนที่รุ่นเก่าอยู่ทุกปีนั้น ทำให้ชีวิตของครูใกล้ชิดสนิทสนมกับปัจจุบันกาลอยู่เสมอ ความเก่าคร่ำของวัตถุเครื่องใช้ภายในห้องทำงานของครูนี้ และบนโต๊ะทำงานที่เก่าคร่ำตัวนี้ ซึ่งเป็นที่รับรองแขนอันแข็งแรงสดชื่นด้วยเนื้อหนังของวัยหนุ่ม....มาจนถึงวัยชรา เมื่อครูได้นั่งลงทำงานเตรียมการสอนและตรวจสมุดเรียนของเด็ก ๆ ทั้งยังได้ยินเสียงแจ๋ว ๆ ของเขาเหล่านั้นแว่วติดตามครูมาจนถึงบ้าน จิตใจของครูก็เคลื่อนติดตามไปกับกาลเวลา ถึงแม้ในบางครั้งคราว จะเป็นการติดตามไปอย่างงวยงงสนเท่ห์ แต่ครูก็ได้ติดตามมันไปพยายามที่จะเข้าใจเรื่องราวของมัน ถึงแม้จะเป็นเพียงความเข้าใจ อย่างกระท่อนกระแท่น การทำงานในห้องทำงาน ความสนใจชีวิตของเด็กรุ่นแล้วรุ่นเล่าที่ได้ร่วมหายใจเอาฝุ่นชอล์กมากับครู ช่วยผลักดันให้ครูได้เดินคลอเคลียมากับกาลเวลา ถึงแม้ในบางครั้งบางคราวความเหน็ดเหนื่อยจะทำให้ครูอยู่ข้างหลังกาลเวลาบ้าง แต่ครูไม่เคยหล่นลงไปในหล่มของอดีตแล้วก็ติดอยู่ในหล่มนั้นเลย
ครูถอนหายใจลึกยาว ผ่อนคลายความรำพึงอันหนักหน่วง ครูเริ่มรู้สึกน้อย ๆ ในความเยือกเย็นของฝอยฝน ครูลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างแช่มช้านั้น มันมิได้หมายความว่า ครูได้เปลื้องปลดความรำพึงออกไป ครูเอามือไพล่หลังเดินดูรูปถ่ายหมู่ที่ติดกรอบแขวนไว้ที่ผนังห้องหลายรูป แล้วครูก็มาหยุดยืนดูรูปถ่ายซึ่งมีน้ำหมึกจารึกวัน เดือน ปี ใต้ภาพได้จางไปจนแทบจะอ่านไม่ออกนั้น แสดงว่าเป็นภาพหมู่เด็กนักเรียนที่ได้ถ่ายร่วมกับครูเมื่อราว ๆ ยี่สิบห้าปีมาแล้ว แน่ละ ขณะนั้นครูเป็นชายหนุ่ม ครูเพ่งดูภาพนั้น มิใช่เพื่อจะหวนไปชื่นชมความสดชื่นแห่งวัยหนุ่มของครู ครูย้ายสายตาจากดวงหน้าเล็กหน้าหนึ่งไปสู่อีกดวงหน้าหนึ่ง และส่ายไปเป็นลำดับอย่างช้าๆ ผงกศีรษะน้อย ๆ เพื่อทบทวนความจำของอดีตอันไกล ครั้นแล้วอดีตอันไกลนั้น ก็ค่อย ๆ เคลื่อนใกล้เข้ามาทุกที่ชัดขึ้น ๆ จนกระทั่งครูได้แลเห็นความเคลื่อนไหวอันเต็มไปด้วยชีวิตของเจ้าของดวงหน้าน้อย ๆ เหล่านั้น ได้ยินเสียงหัวเราะอันร่าเริงแจ่มใสกังวานออกมาจากดวงหน้าเหล่านั้น
นี่เป็นภาพหมู่นักเรียนรุ่นหนุ่มน้อย ซึ่งเป็นที่รักใคร่โปรดปรานเป็นที่สุดของครูรุ่นหนุ่ม เพราะว่ามีนักเรียนที่เรียนเก่งและมีความประพฤติดีเด่นอยู่ในรุ่นนั้นหลายคน และภายหลังที่ออกจากโรงเรียนไปแล้ว นักเรียนเหล่านั้นได้ไปประกอบการงานมีหลักฐานเป็นที่น่าชื่นชมยินดี และในกาลต่อมาบางคนก็มีเกียรติคุณเด่น เป็นที่เชิดหน้าชูตาของโรงเรียน และพวกเขาเหล่านั้นได้เขียนจดหมายมาถึงครู และบางคนก็ได้มาบอกกับครูด้วยตนเองเป็นใจความว่า ความสำเร็จใดๆ หรือเกียรติคุณใด ๆ หากว่าเขาได้รับมาครูได้มีส่วนอย่างสำคัญในการนำเขาไปพบกับมัน ในการสดุดีครูของเขา เด็กเหล่านี้เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ก็ยังสามารถจดจำรายละเอียดแห่งชีวิตในวัยเยาว์ของเขาได้ดี และได้รวบรวมพรรณนามาให้ครูเขาฟัง คำของเขาเหล่านี้และจากนักเรียนรุ่นอื่น ๆ อีก ได้ประทับจับใจครูตลอดมา และก็บรรดาถ้อยคำที่มาจากบุคคล ซึ่งครั้งหนึ่งเป็นเด็กเล็กของครูผู้มีดวงใจสุกสะอาด เหมือนดวงใจที่ร่วงหล่นมาจากพระคัมภีร์ต่าง ๆ นั้น ได้หล่อเลี้ยงกำลังกาย กำลังใจให้ครูสามารถประกอบวิชาชีพที่เหน็ดเหนื่อย และน่าเบื่อหน่ายได้มาอย่างสม่ำเสมอ และด้วยความอิ่มอกอุ่นใจจนถึงวัยชรา
ดวงหน้าสดปราศจากมายาและบาป ในภาพถ่ายที่ครูได้เพ่งดูพร้อมกับ ได้เคลื่อนย้ายสายตาไปตามดวงหน้าต่าง ๆ นั้น ได้พลิกความทรงจำของครูแต่หนหลังให้ปรากฏเด่นชัดขึ้นมา ครูรำลึกได้ว่าดวงหน้าเหล่านี้ได้โผล่ออกมาจากที่ต่าง ๆ กัน บางหน้ามาจากวังและจากคฤหาสน์มโหฬารอันเต็มไปด้วยความมหัศจรรย์ของชีวิตที่สมบูรณ์พูนสุขดุจชีวิตในเทพนิยาย บางหน้ามาจากห้องแถวและทุ่งนา บางหน้ามาจากเยาวราชและสำเพ็ง บางหน้ามาจากสกุลขุนนางที่มีชื่อเสียงของสกุลจารึกอยู่ในพระราชพงศาวดาร และบางหน้ามาจากความเป็นธรรมดาสามัญปราศจากสิ่งที่เรียกกันว่าสกุล บางหน้ามาจากร้านขายนาฬิกา บางหน้ามาจากตลาดสด หน้าที่มาจากครอบครัวซึ่งพ่อแม่ต้องเอาแรงออกขายหาเช้ากินค่ำ หาได้ยากในหมู่นักเรียนมัธยมชั้นสูงสมัยนั้น ในกาลต่อมาเมื่อศิษย์น้อยเหล่านั้นได้จากครูไปเป็นเวลาสิบปียี่สิบปี และสามสิบปีตามลำดับ ครูได้เห็นความเปลี่ยนแปลงและความสับเปลี่ยนบางอย่าง บังเกิดขึ้นในวิถีชีวิตของเขาอย่างน่าพิศวง ดวงหน้าบางดวงที่โผล่ออกมาจากกลุ่มเมฆ ในท้องนภากาศได้เคลื่อนลงสู่พื้นดิน และดวงหน้าจากพื้นดินได้ลอยขึ้นไป คุณภาพบางอย่างได้คลี่คลายออกมาจากความเป็นธรรมดาสามัญและความต่ำต้อย
ครูเพ่งพินิจดวงหน้า ของเยาว์มานพผู้หนึ่งในภาพนั้น แล้วครูก็ทอดถอนใจใหญ่ ดวงหน้านั้นช่างละม้ายแม้นพ่อหนูอีกคนหนึ่ง ซึ่งครูได้พบที่ศาลและเพิ่งจากเขามา เมื่อไม่กี่ชั่วโมงมานี่เอง ระหว่างพ่อหนูสองคนนี้มีกาลเวลาคั่นอยู่ราวยี่สิบห้าปี ครูได้สอนหนังสือแก่เด็กชายทั้งสองคนนั้น ต่างกันแต่ว่าคนแรกครูได้สอนเมื่อครูยังอยู่ในวัยหนุ่ม ส่วนคนหลังครูได้สอนเขาในวัยชรา เขาทั้งสองเป็นที่รักยิ่งของครูไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เพื่อระลึกถึงดวงหน้าของศิษย์น้อยที่ครูได้พบในศาลวันนี้ และครูได้โอบกอดเขาพลางพิศดูหน้าเขาด้วยนัยน์ตาที่มีน้ำตาคลอ และบัดนี้ขณะที่ครูพินิจดวงหน้าของเด็กอีกคนหนึ่งในภาพถ่ายเก่านั้น น้ำตาก็ออกมาคลอตาอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อเพ่งดูภาพนั้น ด้วยจิตใจอันดื่มด่ำในอดีต ครูได้แลเห็นความเคลื่อนไหวปรากฏขึ้น ในภาพนั้นครูผละจากภาพแรก เดินดูภาพหมู่นักเรียนอีกสองสามภาพที่แขวนอยู่ ณ ใกล้เคียงกัน แล้วครูก็ยกเก้าอี้จากริมหน้าต่าง ไปตั้งที่หน้าโต๊ะเขียนหนังสือพลางนั่งลงบนเก้าอี้ ผินหน้าไปทางภาพถ่ายภาพแรก เพ่งพินิจดูภาพนั้นต่อไป ครั้นแล้วบรรดาชีวิตในภาพนั้นก็ผุดขึ้นมาในจินตนาการของครูอย่างแจ่มกระจ่าง.....