๗
จากสภาพของเด็กวัด จากห้องแคบและรกรุงรังของกุฏิวัดชั้นล่าง จากการเลี้ยงชีพด้วยเมล็ดข้าวสุกในบาตรพระ และจากวงสังคมของพวกเด็กวัดอันประกอบด้วยเด็กเช่นเจ้าแตนผู้ลักขาเป็ด และเด็กที่ยากจนในโรงเรียนเล็กที่วัด นักเดินทางน้อยแห่งเมืองขุขันธ์ได้อพยพมาสู่บ้านใหญ่ หรือนัยหนึ่งโลกใหม่ของเขา เป็นความตื่นเต้นอันใหญ่หลวงในชีวิตอีกครั้งหนึ่ง เมื่อเขาหวนคิดไปว่าอ้ายหนูน้อยเด็กบ้านนอกผู้มาจากหมู่บ้านแห่งตำบลอันคนกรุงเทพไม่เคยได้ยิน และไม่สนใจที่จะได้ยิน จะได้เข้าไปอยู่ในคฤหาสน์อันสวยงาม มีบริเวณกว้างขวางประกอบด้วยสวนดอกไม้งามและสระอาบน้ำใสสะอาด สนามหญ้าใหญ่มีกำแพงล้อมรอบ จะได้เข้าไปพึ่งใบบุญบารมีของพระยาอภิบาลราชธานี เขาภูมิใจหนักหน้าที่ได้เปลี่ยนฐานะจากเด็กวัดมาเป็นบ่าวของท่านขุนนางผู้ใหญ่ที่ได้สืบต่อตระกูลกันมาสองชั่วคน อันนับได้ว่าเป็นชั้นผู้ดีแท้ นอกจากท่านอาจารย์ที่วัดซึ่งเป็นผู้อุ้มชูอุปถัมภ์เขามาตั้งแต่น้อยแล้ว บัดนี้เขายังได้ชื่อว่าเป็นคนที่มีนายคอยคุ้มกะลาหัว ทั้งยังอาจส่งเสริมให้เขาได้ดิบได้ดีต่อไปภายหน้า และภายในเวลาอันสมควร เขาก็ยังจะได้กินขาเป็ดโดยการซื้อหาด้วยสตางค์ของเขาเอง มิใช่ขาเป็ดที่เจ้าแตนขโมยเขามา
อย่างไรก็ดี แม้ว่าจันทาจะได้เข้าไปอยู่ในบ้านอันเพียบพร้อมด้วยความหรูหราสง่างามราวกับปราสาทราชวังก็ตาม แต่เขาก็ได้พบว่าที่อยู่อันแท้จริงของเขานั้น มันก็ยังคงเป็นซอกเป็นมุมที่รกสกปรกอันตั้งเคียงกับความหรูหราสง่างามอยู่นั่นเอง และมันก็ไม่วิเศษไปกว่าซอกมุมที่เขาได้เคยมาอยู่ในวัด หรือแม้ในหมู่บ้านชนบทของเขาเอง อาหารที่รับประทานกันในตึกใหญ่ย่อมเป็นอาหารวิเศษมีราคาแพง และอุดมสมบูรณ์อย่างแน่นอน แต่อาหารที่ตัวเขาได้กินเข้าไปวันหนึ่ง ๆ ก็ไม่สู้แตกต่างไปกว่าที่เขาเคยกินมาในวัดเท่าใด และด้วยความเข้มงวดของแม่ครัว ในบางวันอาหารที่เขาได้รับแบ่งมาก็ออกจะจำกัดจำเขี่ย และเขารู้สึกว่ากินไม่อิ่ม แต่เขาก็อดทนเอา เขาต้องรู้จัก ‘เจียมกะลาหัว’ นี่เป็นคาถาแห่งการครองชีวิตที่ท่านอาจารย์ได้พร่ำสอนให้เขาท่องบ่นไว้เสมอ ความอดทนและความสงบเสงี่ยมเจียมตัวเป็นสองสิ่งที่ผูกติดกับชีวิตของเขาอย่างแน่นแฟ้น เพราะว่าตลอดชีวิตของเขา เขาก็ได้รับการพร่ำสอนมาแต่เท่านี้ และเขาก็จดจำใส่ใจไว้อย่างมั่นคง
ตามธรรมดาคนเราจะได้รับความรักหรือความชัง ก็เนื่องมาแต่ความประพฤติของเขาเอง แต่กฎข้อนี้ใช้ไม่ได้สำหรับจันทา เมื่อเขาเข้ามาอยู่ในคฤหาสน์ใหญ่ เพราะว่าเขาถูกคนบางคนชังน้ำหน้าโดยที่เขาไม่ได้กระทำความผิดหรือความเดือดร้อนแก่ผู้ใดเลย ในกาลต่อมาเขาจึงได้เรียนรู้ว่า ในเมืองสวรรค์และภายในคฤหาสน์ ใหญ่ ๆ เช่นนี้ มีความชั่วร้ายบางอย่างที่เขาไม่เคยพบมาก่อนในชีวิตอันต่ำต้อยของชาวชนบท เขาถูกบางคนลอบชิงชังหมั่นไส้ เพราะเหตุที่เขาถูกส่งเข้าโรงเรียนอันสูงศักดิ์ร่วมกับคุณวัชรินทร์ และเขาก็ได้รู้จักความอิจฉาริษยาของมนุษย์เป็นครั้งแรกภายในคฤหาสน์หรูหราสง่างามนี้เอง
ความจริงนั้น นอกจากที่ได้รับโอกาสให้เข้าเรียนในโรงเรียนเทเวศร์รังสฤษดิ์แล้ว ความเป็นอยู่ของเขาก็ไม่ดีไปกว่าเมื่อยังเป็นเด็กวัดอยู่กับท่านอาจารย์ เขาถูกจัดให้อยู่ในห้องเก็บของซึ่งอยู่ติดกับโรงรถยนต์ ใกล้กับห้องของครอบครัวนายแจ้งคนขับรถ เขาต้องหายใจเอากลิ่นน้ำมันเครื่องยนต์ กลิ่นน้ำมันเบนซิน กลิ่นสนิมเหล็กของเครื่องอุปกรณ์เก่า ๆ ที่ทิ้งไว้ในห้อง เข้าไปในปอดทุกวัน เขาถูกมอบตัวให้เป็นลูกมือของนายแจ้ง ในการทำความสะอาดโรงรถยนต์และรถยนต์สองคัน นอกจากนั้นเขายังต้องช่วยคนทำสวนตัดหญ้าและรดน้ำต้นไม้ และอาจจะต้องวิ่งไปซื้อของถ้าแม่ครัวประสงค์จะใช้เขา รวมทั้งคนอื่น ๆ อีก เขาต้องทำงานจิปาถะจนแทบไม่มีเวลาจะพักผ่อนดูหนังสือ แต่เขาไม่เคยปริปากบ่นหรือแสดงกิริยาเบื่อหน่ายต่อการรับใช้ที่ไม่มีขอบเขต ด้วยการยึดมั่นต่อคาถาที่ว่าต้องรู้จัก ‘เจียมกะลาหัว’ กล่าวตามความเป็นจริงแล้ว เขาต้องทำงานหนักยิ่งกว่าอยู่ที่วัด เพราะที่นี่เขามีนายมากมาย และกล่าวตามความยุติธรรมแล้วงานที่เขาให้นั้น เกินกว่าค่าข้าวสุกและค่าเล่าเรียนเสียด้วยซ้ำ แต่เด็กชายจันทาไม่เคยคิดถึงความยุติธรรมและความจริง เขาไม่เคยถูกสอนให้คิดเช่นนั้น เขาคิดแต่ว่าพระคุณของเจ้าคุณนั้นล้นเกล้า และงานต่างๆ ที่เขาทำนั้นไม่ว่าผู้ใดจะใช้เขา เขาได้ทำไปเพื่อสนองพระคุณของท่าน
แต่คนบางคนยึดมั่นว่า การที่เขาเป็นเด็กบ้านนอก และได้ถูกส่งไปเรียนร่วมโรงเรียนกับคุณชายวัชรินทร์ เป็นบาปที่ไม่มีความดีใด ๆ ในตัวเขาจะลบล้างได้ และเป็นโทษที่ไม่อาจอภัยได้ เพียงแต่ความเป็นเด็กบ้านนอกและเด็กวัดของเขาอย่างเดียว ก็ทำให้เขาหมดความน่าเอ็นดูเสียแล้ว ที่ได้บังอาจกระเสือกกระสนเข้ามาอยู่ในบ้านของท่านผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ คนเหล่านั้นเห็นไปว่า การที่มีเขามาอยู่ร่วมด้วยทำให้ศักดิ์ศรีของบ่าวไพร่ในบ้านนั้นลดน้อยถอยลงทั้งที่เป็นบ่าวเขาอยู่ บ่าวบางคนยังเหยียดหยามพวกบ่าวด้วยกันเองยิ่งกว่านายจริงๆ ของเขาเสียอีก และบางคนก็แสดงกิริยาวาจายิ่งกว่านายจริงๆ ของเขาเสียอีก เด็กชายจันทากำลังจะได้เรียนรู้ความรู้สึกใหม่ ๆ ที่ปรากฏออกมาจากพวกบ่าวไพร่เหล่านี้ โดยที่เขาไม่ได้ประสงค์จะเรียนมันเลย
เพราะเหตุว่าเขาอยู่ใกล้ชิดกับครอบครัวของนายแจ้ง และได้ช่วยเหลือแบ่งเบาภาระของนายแจ้งจนเกือบจะถูกนับว่าเป็นคนหนึ่งในครอบครัวของนายแจ้ง ผลจึงปรากฏว่า มีแต่ครอบครัวนายแจ้งเท่านั้นที่มีความรักใคร่เห็นใจเขาอย่างแท้จริง นอกจากนั้นก็มีนายเบี้ยวคนสวนอีกคนหนึ่ง ที่เห็นว่าความเป็นเด็กบ้านนอกของเขาหาควรถูกถือเป็นอาชญากรรมดังที่คนบางคนต้องการจะให้เป็นไม่ นายเบี้ยวเห็นคุณค่าของจันทาจากการที่เขาได้มีเวลาว่างนั่งพักมวนบุหรี่ใบตองสูบภายใต้ร่มไม้มากขึ้นกว่าเดิม เฉพาะอย่างยิ่งในวันที่จันทาหยุดโรงเรียน ในบางวันเขาถึงแก่ได้มีโอกาสกลับไปนอนพักกลางวันที่ห้องของเขาครูใหญ่ ซึ่งเขาไม่เคยได้รับโอกาสเช่นนี้มาก่อนเลย ด้วยเหตุนี้นายเบี้ยวจึงต้อนรับจันทาในฐานมิตรของเขา
ในยามโพล้เพล้วันหนึ่ง แม่สายภรรยานายแจ้งเดินผ่านไปทางหน้าห้องจันทา เห็นห้องมืดไม่ได้จุดไฟ เข้าใจว่าจันทาไปเที่ยวคุยอยู่ที่ห้องคนทำสวนทางหลังตึกก็บ่นพึมพำขึ้น แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงจันทาขานรับออกมาจากความมืดสลัวภายในห้อง แม่สายจึงร้องถามว่าทำไมเขาจึงไม่จุดไฟ
“ฉันไม่สบายจ๊ะ” เป็นเสียงเครือตอบออกมาจากข้างใน
“ก็เมื่อเย็นยังเห็นเช็ดรถอยู่นี่นะ” แม่สายพูดขณะเดินเข้าไปในห้อง
“ฉันเป็นไข้ตั้งแต่อยู่ที่โรงเรียน”
“ทำไมไม่บอกให้ป้ารู้ ขยันไม่เข้าเรื่อง” แม่สายบ่นด้วยความปรานี
“ฉันคิดว่าพอจะทำได้”
เมื่อแม่สายจุดตะเกียงหลอดดวงเล็กขึ้น จึงเห็นดวงหน้าเขาแดงก่ำ แกเอามือวางลงบนหน้าผากของเด็กชาย พลางก็ร้องขึ้นว่า “อ้ายหนูหน้าของเอ็งร้อนผ่าวไข้คงสูงมาก. เอ็งไปขอยาแก้ไข้ที่คุณลมัยเขามากินหรือเปล่า”
“เปล่าจ๊ะ”
“ทำไมถึงไม่ไปล่ะ เหลวไหลจริง” แม่สายดุ “ทำยังกะเป็นเด็กแดงๆ ไม่รู้จักขอหยูกขอยาเขากิน”
“วันก่อนฉันปวดท้องมาก ฉันไปที่เรือนคุณลมัย พบแม่ปรางเด็กของคุณลมัย เขาให้ยาเม็ดฉันมาเจ็ด–แปดเม็ด เขาบอกฉันว่าเป็นยาฝรั่งอย่างดี คุณลมัยใช้ทานเวลาปวดท้อง พอคุณลมัยกลับมาที่เรือน ทราบเรื่องจากแม่ปรางก็ดุเอาว่า เอายาดี ๆ มาให้ฉันกินทำไม คุณลมัยพูดว่าเด็กบ้านนอกอย่างฉันเคยอยู่อย่างอด ๆ อยาก ๆ มาแล้ว มาอยู่ที่นี่ได้กินอิ่มนอนหลับก็ดีถมไป อย่าไปพะนอมันให้มากนัก”
เมื่อจันทาหยุดพูด แม่สายก็เอามือเท้าสะเอวส่งเสียงแหลมว่า “แล้วเขาว่ายังไงอีก ? ป้าคิดว่าเขาพูดมากกว่านั้น คุณลมัยเวลาจะโขกสับใครเขาไม่พูดสั้น ๆ หรอก”
“คุณลมัยพูดกับแม่ปรางว่า เรื่องปวดท้องปวดไส้ของฉันไม่ต้องถึงกับจะต้องกินหยูกกินยาอะไรหรอก ทิ้งไว้สักวันมันก็จะหายไปเอง พวกคนบ้านนอกน่ะเวลาเจ็บป่วย เขาใช้รากไม้ฝนกินฝนทาเท่านั้น เขาอยู่กันมาอย่างนี้ตั้งบรมกัลป์มาแล้ว ชีวิตของเขาไม่เหมือนกับของพวกเรา”
“หนอยแน่ะ!” เสียงของแม่สายแหลมยิ่งขึ้น “คุณลมัยเขาเห็นจะลืมไปว่า อีปรางเด็กของเขาถึงมันจะเป็นเด็กหน้าตาดีมันก็มาจากบ้านนอกเหมือนกัน”
“ความจริงพวกบ้านนอกอย่างฉัน ก็เป็นอย่างที่คุณลมัยว่านั่นแหละ เขาไม่ได้พูดเท็จหรอกจ๊ะ”
“เพราะเหตุนี้หรือ เอ็งถึงมัวแต่นอนซมอยู่ในห้องไม่ไปขอยาเขากิน”
“จ๊ะ ฉันกลัวคุณลมัยจะหาว่าไม่เจียมกะลาหัว” เขาพูดเสียงเครือ “และฉันคิดว่าอีกสองสามวันก็คงจะหายไปเอง”
“ก็เผื่อมันไม่หายล่ะ”
“ก็อาจจะตายจ๊ะป้า” เขาพูดด้วยอาการปกติธรรมดาและสีหน้าที่ปราศจากความกระวนกระวาย
ความเศร้าสะเทือนใจวูบขึ้นมาในอกของแม่สาย แกรู้สึกว่าเสียงที่พูดถึงความตายที่ออกมาจากปากอันแห้งผากของเด็กชาย ดูมิใช่เสียงที่ออกจากร่างอันมีชีวิตเลือดเนื้อเช่นมนุษย์ทั้งหลาย มันดูประหนึ่งเป็นเสียงของต้นไม้ป่าหรือของกิ้งกือไส้เดือน ที่ไม่รู้จักอาลัยตายอยากในชีวิตของมันเลย แม่สายหวนระลึกถึงลูกคนเล็กที่ป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ และได้ตายจากไปเมื่อปีกลาย แกเสียใจแทบอกหักที่ลูกชายผู้น่ารักได้ตายจากไปเพราะความโง่เขลาของแกเอง แกคิดว่าเด็กเป็นไข้ปวดหัวตัวร้อนอย่างธรรมดา แกก็ให้ยาหอมยาต้มกินไปตามเรื่อง กว่าจะรู้ว่าเป็นไข้ที่มีอันตรายก็สายเสียแล้ว แม่สายนั่งลงเคียงข้างคนป่วย เอามือลูบไล้ตามหน้าด้วยความสงสาร แกระลึกได้ว่าเมื่ออ้ายหนูของแกมีอาการหนัก แกเอามือลูบตามหน้าก็พบความร้อนอย่างเดียวกันนี้พลันแกก็ใจหายวูบ ความเศร้าโศกอาลัยอย่างลึกซึ้งที่บังเกิดขึ้นในขณะที่ได้เสียลูกรักไปได้หวนกลับมาสู่ความทรงจำของแกอีก
“พ่อแม่พี่น้องของอ้ายเด็กคนนี้ เขาก็คงจะเศร้าโศกเหมือนอย่างที่ฉันเคยเศร้าโศกมาแล้ว ถ้าอ้ายเด็กคนนี้ต้องตายไป” แกรำพึงอยู่ในใจ พลางน้อมศีรษะลงพูดกับจันทาด้วยเสียงอ่อนโยนว่า
“หนูเอ๋ย ชีวิตของเอ็งไม่เหมือนต้นไม้ใบหญ้าหรอกนะ เอ็งก็เป็นมนุษย์เหมือนข้าเหมือนคุณลมัยเหมือนกัน เอ็งควรจะได้กินยาเช่นเดียวกับคุณลมัย ถ้าเขาเป็นไข้หนักเหมือนอย่างเอ็ง ป้าไม่ต้องการจะเห็นภาพที่ป่าได้เห็นมาเมื่อปีกลายอีกครั้งหนึ่ง ป้าจะไปจัดเอายามาให้”
พอขยับตัวลุกขึ้นยืน แม่สายก็เหลือบไปเห็นจานข้าว และถ้วยแกงเผ็ดหน่อไม้ที่วางอยู่ทางหัวนอนของจันทาอีกด้านหนึ่ง ข้าวในจานพร่องไปเพียงสองสามช้อน จันทาชายตามองตามสายตาของแม่สายไปทางจานข้าว เดาความสงสัยข้องใจของแกได้จากสายตานั้น เขาจึงให้คำตอบเสียก่อนว่า “ฉันกินไม่ลงจ๊ะป้า คอมันแห้งและไม่รู้สึกหิว”
“ทำไมไม่ขอข้าวต้มจากแม่ครัวเขา ข้าวแกงอย่างนั้นคนเป็นไข้ที่ไหนจะกลืนเข้าไปลง ป้าคิดว่าแกงเผ็ดหน่อไม้นั่นจะเป็นของแสลงด้วย”
“แม่ครัวเขาเคยพูดให้ฉันได้ยินว่า อาหารอย่างที่ฉันได้กินอยู่ทุกวันนี้ดีเกินฐานะของฉันไปเสียแล้ว และมันก็ถูกของเขา ฉันจึงไม่กล้ารบกวนแม่ครัว” จันทาพูดด้วยน้ำเสียงปราศจากความขมขื่น “นอกจากนั้น ฉันทราบว่าแม่ครัวเขาโกรธฉัน ที่ลูกชายของเขาไม่ได้รับความอุดหนุนจากท่านเจ้าคุณให้ไปเรียนที่โรงเรียนเทเวศร์”
“อีขี้ข้าพวกนี้ใจมันยังกะหิน!” แม่สายคำราม เมื่อแกโน้มตัวลงไปพูดกับจันทาเสียงของแกอ่อนโยนลง “ป้าจะไปเอายาที่คุณลมัยมาให้ ถ้าเขาพูดโหยกเหยกกับป้าก็จะลองดีกันสักที เจ้าคุณเองท่านก็ไม่ใช่คนใจดำ...”
ในครั้งนั้นจันทาได้นอนป่วยอยู่หลายวัน ภายหลังเขาจึงได้ทราบว่าในระยะเวลาเดียวกันนั้น นักเรียนในโรงเรียนของเขาป่วยเป็นไข้หวัดกันหลายคน และเด็กบางคนได้เสียชีวิต เขาคิดว่าตัวเขาควรจะรวมอยู่ในจำนวนเด็กที่เสียชีวิตด้วย หากว่าไม่ได้อาศัยการดูแลพยาบาลด้วยความเอาใจใส่ห่วงใยอย่างดียิ่งของแม่สาย ในระหว่างที่อาการของจันทาทรุดหนักลง แม่สายถึงแก่กล้าขอให้คุณลมัยเชิญนายแพทย์ที่เคยมาตรวจรักษาคุณวัชรินทร์เมื่อเด็กชายผู้นั้นไม่สบายเล็ก ๆ น้อย ๆ คุณลมัยถึงแก่ตาลุก และร้องอุทานออกมาเหมือนหนึ่งได้เห็นแม่สายคลุ้มคลั่งจนเสียสติไปเสียแล้ว คุณลมัยได้แสดงให้แม่สายเห็นอย่างแจ่มแจ้งว่า การที่ไปเชิญนายแพทย์ที่เคยรักษาคุณวัชรินทร์ให้มารักษาอ้ายเด็กบ้านนอกคนนั้นน่ะ จะทำได้ก็ต่อเมื่อแผ่นดินได้หมุนขึ้นไปแทนท้องฟ้า และท้องฟ้าได้หมุนกลับลงมาแทนพื้นดิน
“เด็กมันเจ็บจวนจะตายอยู่แล้วคุณลมัยขา” แม่สายคร่ำครวญ
“เมื่อมันถึงที่ ก็ต้องปล่อยให้มันตายไป” คุณลมัยตอบอย่างมั่นคง “มันไม่มีธรรมเนียมแม่สาย ที่บ่าวจะใช้นายแพทย์ร่วมกับนาย ฉันรู้สึกว่าการที่จะไปเอานายแพทย์ของคุณวัชรินทร์มารักษาอ้ายจันนั้น เป็นการกระทำที่ผิดร้ายแรงเสียยิ่งกว่าจะปล่อยให้อ้ายจันมันตายไป”
แม่สายกัดริมฝีปากแน่น เพราะหากไม่ทำดังนั้นแล้ว แกไม่แน่ใจว่าจะมีคำผรุสวาทอย่างแรงหลุดออกมาโดยที่แกไม่สามารถป้องกันไว้ได้ แกสะบัดก้นลุกออกมาอย่างไม่มีกิริยา แกคิดของแกว่าคนที่ไม่มีกิริยายังเป็นมนุษย์กว่าคนที่ไม่มีหัวใจเป็นไหน ๆ
อย่างไรก็ดี ในวันรุ่งขึ้น ทุกคนในบ้านต่างก็มีความประหลาดใจที่เห็นรถยนต์ของนายแพทย์ประจำตระกูลแล่นผ่านประตูใหญ่เข้ามา ต่างซักถามกันว่า ‘ท่าน’ ที่บนตึกเป็นอะไรไป แต่ครั้นแล้วทุกคนที่รู้เห็นต่างมีความประหลาดใจยิ่งขึ้น เมื่อเห็นนายแพทย์ถือกระเป๋าใหญ่เดินตรงไปที่โรงรถยนต์ และเข้าไปในห้องของ ‘อ้ายเด็กบ้านนอก’ แทนที่จะเข้าไปในตึก
เมื่อแม่สายได้กระเสือกกระสนสืบเสาะที่อยู่ของนายแพทย์และได้ซมซานเข้าไปหา พร้อมทั้งวิงวอนให้มาชุบชีวิตของเด็กชายที่กำลังป่วยหนักคนหนึ่งนั้น ก็นับว่าเป็นการเคราะห์ดีอยู่ที่คุณหมอมีความเห็นแตกต่างไปจากคุณลมัย คุณหมอเห็นว่าการชุบชีวิตมนุษย์ให้รอดพ้นจากอันตรายนั้น แม้ในบางกรณีจะเป็นสิ่งที่ต้องการ ‘การถ่อมตน’ ของหมอ หมอก็มีหน้าที่จะเชิดชูการช่วยเหลือเช่นนั้น ยิ่งกว่าจะปล่อยให้คนป่วยเป็นอันตราย เพราะ ‘การถือตัว’ ของหมอ เหตุการณ์อันน่าชื่นชมดังกล่าวนี้ ได้ก่อให้เกิดความไม่ผาสุกแก่คนบางคน เฉพาะอย่างยิ่งคือคุณลมัย ซึ่งมีความเคียดแค้นความเป็นเจ้ากี้เจ้าการของแม่สายเป็นอันมาก คุณลมัยถือว่า ‘ประเพณีอันดีงาม’ ของ ‘ปราสาท’ หลังนี้ได้ถูกลบล้างไปอย่างน่าเจ็บใจ และน่าอับอาย การรอดตายของเด็กชายจันทาก็ไม่อาจชดเชยกับ ‘ประเพณีอันดีงาม’ ที่ได้สูญเสียไปแล้ว ไม่มีใครได้ซักถามคุณลมัยว่า ‘ประเพณีอันดีงาม’ นั้น มันก่อรูปขึ้นมาได้อย่างไร และมีใครบ้างที่ต้องการเชิดชูมันไว้ให้อยู่ค้ำฟ้า
ไม่ว่าคนอื่นจะมีความคิดเห็นในเรื่องของเขาอย่างไร เมื่อเด็กชายจันทาหายป่วยและไปโรงเรียนได้แล้ว เขาก็คงเป็น ‘อ้ายเด็กบ้านนอก’ ผู้มีความสงบเสงี่ยมเจียมตนเช่นเดิม ความรู้สึกแจ่มจ้าที่อุบัติขึ้นใหม่ในระหว่างที่เขานอนเจ็บอยู่นั้น ก็คือความกตัญญูรู้คุณของแม่สายอย่างซาบซึ้งใจ รวมทั้งคุณหมอผู้สามารถที่ได้ถ่อมตัวลงมารักษาคนไข้ผู้ต่ำต้อยเช่นตัวเขา เขาแน่ใจว่าถ้าเขาต้องเจ็บป่วยอยู่ที่บ้านในชนบท หมอผีหมอธรรมก็คงจะกู้ชีวิตของเขาไว้ไม่ได้ และแม้ในคฤหาสน์หลังใหญ่ในเมืองสวรรค์นี้ก็ดี เขาก็มีทางจะตายไปไม่น้อยกว่าในชนบท หากปราศจากการวิ่งเต้นช่วยเหลืออย่างสุดจิตสุดใจของแม่สาย เขารู้สึกว่าเขาได้รอดตายมาอย่างบังเอิญ เพราะมีสตรีผู้มีใจกรุณาเช่นแม่สาย ซึ่งได้เสียลูกรักไปเมื่อปีกลายนี้อยู่ใกล้ชิดกับเขา
ส่วนบุคคลเช่นคุณลมัยและแม่ครัว ตลอดจนคนอื่น ๆ ในประเภทเดียวกันนั้น เขาไม่มีความคิดเห็นในทางขมขื่นจะตอบแทนความคิดเห็นเช่นนั้น ไม่อาจแหวกความสงบเสงี่ยม ความซื่อ และความไม่ประสาในชีวิตอันแน่นหนาของเขาออกมาได้ เขาเพียงแต่คิดเห็นว่าบุคคลเช่นคุณลมัยและคนอื่น ๆ ในประเภทเดียวกับคุณลมัยนั้น ไม่เหมือนกับบุคคลเช่นแม่สายและนายแจ้ง ครั้นเมื่อเขาได้มาอยู่กับคนเหล่านั้นนานไป เขาก็เห็นได้ว่าแม้คนเหล่านั้นจะไม่รักเขา แต่ในระหว่างคนเหล่านั้นเองก็หาได้มีความรักต่อกันไม่ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้สนใจกับเรื่องราวของคนเหล่านั้น เพราะเขาต้องมีงานโรงเรียนและงานบ้านทำอยู่เต็มมือตลอดวัน แต่เขาก็ได้ยินจากแม่สายและนายเบี้ยวเป็นครั้งคราวว่า คนเหล่านั้นได้พูดนินทาว่าร้ายกันว่ากระไรบ้าง บางรายถึงแก่มีแผนการจะหักหลังกันทีเดียว
เมื่อวันคืนแห่งการใช้ชีวิตใน “ปราสาท” ล่วงไปจนเขาออกจะคุ้นกับชีวิตภายในบ้านนั้น และความตื่นเต้นในความแปลกใหม่สวยงาม ที่ทำให้ดวงตาของเขาพร่าพรายไปในตอนต้นค่อยสงบลงแล้ว ความเป็นจริงที่เขาได้พบเห็นในชีวิตประจำวัน ได้ก่อเกิดความรู้สึกใหม่ ๆ แก่เขาหลายประการความถึงโลดใจที่เขามีต่อสระน้ำอันกว้างใหญ่ใสสะอาด ต่อสวนดอกไม้อันผลิดอกใบหลากสีวิจิตรตระการตา ต่อสนามหญ้าผืนใหม่อันเรียบนุ่ม ต่อต้นมะม่วงที่กำลังออกลูกสะพรั่งที่เขาได้เห็นและทำให้เขารู้สึกน้ำลายไหล เมื่อแรกไปอยู่ใหม่ ๆ นั้น ได้ค่อย ๆ เหือดหายไป เมื่อความเป็นจริงได้ปรากฏแก่เขาว่า สระน้ำนั้นเป็นของสงวนสำหรับ “ท่าน” ต่าง ๆ ที่อยู่บนตึก จะลงมาพายเรือและอาบน้ำเล่นเป็นครั้งคราว และ “คุณ ๆ” อีกสองสามคนที่อยู่ในฐานะกึ่งนายกึ่งบ่าว เช่นคุณลมัยจะลงไปลอยคอกันบ้างในยามที่อากาศร้อน ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างเขากับสระน้ำอันสดใสสะอาดนั้นก็คือการไปนั่งขัดถูบันไดซีเมนตที่ท่าน้ำ เมื่อมีตะไคร่น้ำเกาะหนา และเอาตะไกรไปตัดเล็มหญ้าที่ขอบและที่ลาดสระให้เรียบร้อย ตามที่คุณลมัยหรือคนอื่น ๆ จะสั่งการ หากว่าเขาต้องการจะออกกำลังว่ายน้ำ เขาก็จะต้องไปอาบตามลำคลอง หรือไปอาบกับนิทัศน์ในสระที่วัดข้างบ้าน ส่วนสวนดอกไม้งามตะการตา และสนามหญ้าอันกว้างใหญ่นั้นเล่า ความเกี่ยวข้องของเขาก็มีแต่จะถูกเรียกให้ไปตบแต่งให้งามตา แต่การที่จะเก็บดอกไม้งามมาเชยชม และเข้าไปเดินเล่นวิ่งเล่นบนสนามหญ้าอันอ่อนนุ่ม ซึ่งเขาได้มีส่วนร่วมในการตบแต่งนั้น เป็นของต้องห้าม ส่วนผลมะม่วงดกน่าพิสมัยบนต้นที่เรียงเป็นแถวอันชวนให้เขาน้ำลายไหลนั้น อยู่ในการดูแลรักษาของคุณลมัย ประกอบด้วยความร่วมมือของแม่ครัว ความสัมพันธ์ของเขาที่มีต่อผลมะม่วงเหล่านั้น ก็คือการถูกเกณฑ์ให้ขึ้นไปเก็บและนำมาส่งมอบให้คุณลมัย บางทีก็โดนคำสั่งของแม่ครัวซึ่งอ้างว่าจะเอาไปปรุงอาหารหรือเอาไปทำมะม่วงกวนเพื่อทำไปให้ “ท่าน” บนตึก มะม่วงที่เขาปีนขึ้นไปเก็บทั้งดิบทั้งสุกนั้นคราวหนึ่ง ๆ มีจำนวนมากมาย แม่ครัวจะนำไปปรุงอาหารและกวนเก็บไว้เป็นของหวานสำหรับท่านบนตึก และ “คุณ” จำพวกกึ่งนายกึ่งบ่าว ตลอดจนได้แจกจ่ายกันไปอย่างไรนั้นเขาไม่ทราบ แต่เขาได้ยินคนพูดกันว่ามะม่วงจำนวนไม่น้อยได้ถูกส่งไปขายนอกบ้าน และเงินที่ขายได้จะเข้าพกเข้าห่อของใครบ้างเป็นความลับ มีคนบางคนทุ่มเทเวลาในการสืบสวนความลับอันนี้ แต่เด็กชายไม่เคยสนใจกับเรื่องเช่นนี้ เขาคิดว่าไม่ใช่กิจของเด็กบ้านนอกเช่นเขาจะเข้าไปสอดส่องรู้เห็น เขาเพียงรับรู้ตามความเป็นจริงว่า ไม่ว่าการกวนมะม่วงที่เขาได้ปีนขึ้นไปเก็บลงมาจะได้กระทำกันมากน้อยเพียงใด แต่เขาไม่เคยได้ลิ้มรสเลย ภายหลังที่เขาได้ทำการปีนป่ายและผจญกับความเจ็บแสบจากการรุมกัดของมดแดงจนเหน็ดเหนื่อยแล้ว บางทีคุณลมัยหรือแม่ครัวก็ปัดลูกที่เสียหรือเหี่ยวให้เขาไปสักสองสามลูกพร้อมกับชี้แจงว่า เอ็งไม่ใคร่จะได้กิน กินมากท้องจะเสีย เป็นเด็กอย่าหัดตะกละตะกราม เขารับฟังโดยดุษฎี รุ่งขึ้นจากวันที่เก็บมะม่วงในบางครั้งเขาได้ยินคนในบ้านบ่นกันว่ากับข้าวในวันนั้นไม่น่ากินเลย เพราะแม่ครัวแกไม่สบายท้องร่วง และเขาได้ยินคนในบ้านพูดกันว่า ในบางวันคุณลมัยเรอ และหายใจออกมาเป็นกลิ่นมะม่วงกวน
การหวงห้ามและข้อจำกัดกีดกันต่าง ๆ ที่เขาได้ประสบมาภายในคฤหาสน์ใหญ่นั้น เขาได้รับคำอธิบายที่พูดต่อ ๆ กันมาว่า เพื่อให้ต้องตามประเพณีอันดีงาม ประเพณีอันดีงามดังกล่าวนี้มันแตกต่างกับขนบชีวิตในหมู่บ้านในชนบทของเขา เป็นดีกว่าที่หมู่บ้านของเขาย่อมได้กินได้ใช้สิ่งที่เขามีส่วนทำมันขึ้น แต่ในชุมนุมของ “ปราสาท” แห่งเมืองสวรรค์นี้ เขาได้ทำแต่เขาไม่ได้กิน เขาปีนขึ้นไปเก็บผลมะม่วง แต่ผู้กินและผู้ได้รับประโยชน์จากมะม่วงเหล่านั้น คือคุณลมัย แม่ครัวและคนอื่น ๆ ส่วนตัวเขาและอีกบางคนถูกกันออกไปนอกวง ในการต่อมาเมื่อเขาเจริญวัยขึ้น เขาจึงได้เรียนรู้ว่าสิ่งที่คุณลมัยและบางคนเรียกวันว่า “ประเพณีอันดีงาม” ซึ่งจะต้องช่วยกันเชิดชูไว้ชั่วฟ้าและดินนั้น บางส่วนมันก็ตรงกับที่วิทยาศาสตร์สังคม อธิบายว่าการที่คนจำพวกหนึ่งมีแต่พันธะหน้าที่แต่ไม่มีสิทธินั่นเอง
ความรักใคร่กลมเกลียวฉันพี่น้องที่เขาได้ร่วมชีวิตมาในหมู่บ้านของแม่และพ่อ ซึ่งประกอบด้วยครัวเรือนร่วมร้อยหรือกว่าร้อยนั้นเขาไม่ได้พบที่นี่ หรือ ณ ที่อื่นใดในเมืองสวรรค์ ในคฤหาสน์ใหญ่นี้ การแก่งแย่งแบ่งขั้นในระหว่างผู้คนที่ร่วมอยู่ในบ้านเดียวกันเป็นที่สะดุดตาเขา เจ้าคุณและคุณหญิงพร้อมด้วยบุตรชายของท่าน เป็นเจ้าขุนมูลนายที่อยู่เบื้องบนสุด โดยเฉพาะตัวท่านเจ้าคุณนั้น ทุกคนในบ้านต่างก็ถือว่าท่านเป็นร่มโพธิ์ร่มไทร เป็นที่พึ่งพำนักแห่งชีวิตของเขาทั้งหลาย นอกจากเจ้านายชั้นเบื้องบนสุดแล้ว ยังมีเจ้านายชั้นรองลงมาอีก คือคุณอบเชยและคุณบานชื่นสองสตรีพี่น้องโฉมงาม ผู้มีวัยไม่เกินสามสิบห้าปีพร้อมด้วยบุตรของหล่อน แต่เดิมหล่อนทั้งสองอยู่ในชั้นบ่าวและผู้อาศัย คุณอบเชยเป็นพี่เลี้ยงธิดาของท่านเจ้าคุณ ซึ่งได้ถึงแก่กรรมเมื่อสามสี่ปีมาแล้ว หลังจากนั้นท่านเจ้าคุณได้ยกย่องคุณอบเชยไว้ในฐานะภรรยาน้อย และต่อมาได้พ่วงคุณบานชื่นเข้าไปในขบวนอีกคนหนึ่ง แม่อบและแม่ชื่นตามที่คนในบ้านได้เรียกกัน ได้กลายเป็นคุณอบคุณบานชื่นแต่นั้นมา ส่วนคุณหญิงยังถือว่าสตรีทั้งสองเป็นบ่าวอยู่นั่นเอง คือเป็นบ่าวประเภทนางบำเรอ แต่คนทั้งหลายไม่กล้าถือเช่นนั้น เพราะมันเป็นอันตรายต่อการเป็นอยู่ของเขา อย่างไรก็ดีเจ้านายชั้นเบื้องบน คือคุณหญิงย่อมมีความขุ่นใจเจ้านายรุ่นใหม่ที่แปรสภาพจากการเป็นบ่าวของท่านอยู่เรื่อยมา แม้ว่าทางภายนอกคุณอบเชยและคุณบานชื่นจะแสดงคารวะต่อคุณหญิงเป็นอันดี แต่เมื่อถูกคุณหญิงพูดจาโขกสับอยู่เนือง ๆ ก็มีความสะเทือนใจเป็นธรรมดา เมื่อผลประโยชน์ของเจ้านายชั้นสูงและชั้นต่ำขัดแย้งกันอยู่โดยธรรมชาติเช่นนี้ ความสมัครสมานกลมกลืนกันก็ย่อมจะเกิดขึ้นไม่ได้ และย่อมจะมีความกินแหนงแคลงใจกันอยู่เป็นนิจ เพียงแต่ว่าฝ่ายหนึ่งแสดงออกนอกหน้า เพราะอยู่ในฐานะที่แสดงได้ในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งจำต้องซุกซ่อนความหมางใจไว้ภายใน โดยที่ทั้งสองฝ่ายก็มีคนสนิทของตัว ความกินใจหมางใจนี้ก็ได้คลี่คลายไปในหมู่สนิทด้วย จันทาได้สังเกตเห็นการแบ่งชั้นในหมู่เจ้านายของเขา รวมทั้งการแบ่งพวกกันด้วย แม้ว่าเขาจะไม่ทราบรายละเอียดของมันนัก
พวกบ่าวไพร่ก็เลียนแบบเจ้าขุนมูลนายของเขามีการพยายามยกตนเอง และเหยียดหยามกันในหมู่พวกบ่าว ดังนั้นในหมู่พวกบ่าวจึงมีการแบ่งชั้นขึ้นอีก ในชั้นยอดของพวกบ่าวก็มีคนจำพวกกึ่งนายกึ่งบ่าว เช่นคุณลมัยหรือญาติของคุณหญิงบางคนที่อาศัยอยู่ในบ้านนั้น การที่แม่ลมัยได้รับการยกย่องเป็นคุณลมัยขึ้นมานั้น ก็เพราะคุณลมัยเป็นคนสนิทของคุณหญิงได้รับความไว้วางใจจากคุณหญิงให้เป็นผู้ดูแลกิจการบ้านทั้งหมด ทั้งเป็นผู้วินิจฉัยในการจับจ่ายใช้สอยทั่วไปด้วย เมื่อคุณลมัยเป็นผู้แทนของคุณหญิงในทางอำนาจเศรษฐกิจเช่นนี้ คุณลมัยจึงเป็นที่ยำเกรงของบ่าวทุกคนในบ้าน จะโดยจำใจหรือเต็มใจก็ตาม บ่าวทั่วไปแลดูคุณลมัยเสมือนว่าหล่อนเป็นเจ้านายของเขาคนหนึ่ง และคุณลมัยก็ตั้งใจสุดกำลังที่จะวางตนเป็นเจ้านายให้สมกับที่ได้รับยกย่อง เป็นต้นว่าได้จัดหาคนรับใช้ส่วนตัวขึ้นบ้าง ระหว่างคุณลมัยกับคุณอบเชยและคุณบานชื่นนั้น ต่างก็ตีความฐานะของกันและกันแตกต่างกันไป คุณอบเชยและคุณบานชื่นไม่ต้องผูกพันตนไว้ภายใต้อำนาจเศรษฐกิจที่คุณลมัยได้รับช่วงมาจากคุณหญิง สตรีทั้งสองจึงมองสตรีคนสนิทของคุณหญิงในฐานะเป็นบ่าว ส่วนคุณลมัยนั้นเล่าก็ไม่รับรองความเป็นเจ้านายของสตรีทั้งสอง โดยถือมติของคุณหญิง กล่าวตามทรรศนะของสตรีทั้งสามที่มีต่อกันแล้ว ทั้งสามก็เป็นบ่าวด้วยกัน แต่เมื่อต่างคนมองเข้าไปที่ตัวของตัว ทั้งสามก็แลเห็นตนเองเป็นเจ้านายด้วยกัน ฐานะของคนทั้งสามและอีกบางคนในประเภทเดียวกันนี้เป็นฐานะที่ออกจะคลุมเครือ และก่อความหนักใจให้แก่จันทาที่จะรับรู้ฐานะของคนเหล่านี้อยู่ไม่น้อย เพราะมันเป็นการจัดระเบียบฐานะที่ใหม่อย่างยิ่งสำหรับเขา เขาไม่เคยรู้จักมันในหมู่บ้านชนบทของเขา
มาตรว่าคุณลมัยเป็นคนสนิทและเป็นที่ไว้วางใจของคุณหญิงก็ดี แต่ในทุกวันนี้เมื่อ “อีปราง” เด็กของคุณลมัยซึ่งเป็นช้างพังเผือกมาจากชนบทเริ่มแตกเนื้อสาว คุณหญิงก็ออกจะมีความกริ่งใจเพราะได้เห็นการแปรสภาพของแม่อบและแม่ชื่นเป็นตัวอย่างมาแล้ว ด้วยความกริ่งใจอันนี้ คุณหญิงจึงมีความกริ่งใจต่อไป ว่าการที่คุณลมัยเอาอีปรางมาเลี้ยงไว้เป็นคนรับใช้สนิทนี้ คุณลมัยจะทำไปโดยซื่อหรือว่าจะมีแผนการอะไรอยู่ในใจบ้าง ? เมื่อคุณหญิงเกิดความกริ่งใจเช่นนี้จึงย่อมกล่าวไม่ได้ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างคุณหญิงกับคุณลมัยเป็นความสัมพันธ์อันดีเลิศ