- คำนำ
- พระบรมรูปพระบาทสมเด็จฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
- พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๑
- พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๒
- พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๓
- พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๔
- พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๕
- พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๖
- พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๗
- พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๘
- พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๙
- พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๑๐
- พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๑๑
- พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๑๒
- พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๑๓
- พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๑๔
- พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๑๕
- พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๑๖
- พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๑๗
- พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๑๘
- พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๑๙
- พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๒๐
- พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๒๑
- พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๒๒
- พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๒๓
- พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๒๔
- พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๒๕
- พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๒๖
- พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๒๗
- พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๒๘
- พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๒๙
- พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๓๐
- พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๓๑
- พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๓๒
- พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๓๓
- พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๓๔
- พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๓๕
- พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๓๖
- พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๓๗
- พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๓๘
- พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๓๙
- พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๔๐
- พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๔๑
- พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๔๒
- พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๔๓
พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๕
แหลมตรงที่เรือไฟจอดณเมืองเอเดน
คืนที่ ๒๑
วันที่ ๑๖ เมษายน ตอนค่ำ
หญิงน้อย
พ่อจะเขียนเรื่องเมืองเอเดนส่งไม่ทันนั้น ไม่ใช่ว่าไม่มีเวลาเขียน มีถมไป แต่ถ้าส่งจวนเรือออกนัก คนมันพากันตีกินเสียส่งไม่ใคร่จะได้ จึงต้องตาลีตาลานส่งก่อนเรือออกสองสามชั่วโมง แต่เรือแล่นเห็นเอเดนมานานจึงได้อ้อมแหลมเข้ามาถึงที่จอด ดูประหลาดที่คราวนี้แลเห็นเขียวเหมือนตะไคร่น้ำมีบ้างตามน่าเขา นอกจากนี้ไม่เห็นมีอะไรแปลกตากว่าแต่ก่อนเลย เรือทอดสมออิก ๑๕ มินิตจะย่ำค่ำ แต่ต้องเข้าใจว่ากลางวันที่นี่มากขึ้นกว่ากลางคืนแล้ว เห็นเรือรบอังกฤษหลายลำ ชักธงบริวารทุกลำ ที่ทำแต่งเอาธงดาดเปนเพดาน ได้ความว่าหลอดแลมิงตันเจ้าเมืองบอมเบมาตรวจราชการ มีเรือลงมาขายของทันทีในเวลาเรือยังไม่ทันจอด ใช้เรือกระเชียงรุงรังเปนพื้น เสียงอึงมาแต่ไกล คนที่มานั้นเปนพวกสุมาลีดำหัวหยิก บางคนเอาดินอะไรเหมือนดินสีพองโพกหมดทั้งหัว เห็นจะเปนเครื่องกันร้อนได้แลทำให้ผมเปนสีแดง ของที่มาขายนั้นเขาสัตว์ สมุกยอดแหลม พัดขนนก ขนนกเปล่าๆ เปนต้น แต่การที่จะซื้อนั้นแพงเต็มที ไม่ใช่แพงเงิน แพงแรงที่จะต้องต่อมัน เขาสัตว์ที่พ่อซื้อฝากผู้ชาย ตั้งต้นมันก่งราคาคู่ละปอนด์หนึ่ง การที่จะต่อตามกันไม่ใช่อย่างพูดจา ถึงเทลาะกันสักครึ่งชั่วโมง ตกลงคู่ละรูเปียเดียวเท่านั้น มันถูกเหลือเกินเช่นนี้ ถ้าเปนเมืองเราคู่ละ ๒๐ บาทก็เกือบจะขายได้ เดิมคิดว่าจวนค่ำแล้วจะไม่ขึ้น แต่นั่งกับนอนมาหลายวัน เมื่อยเต็มทีจึงตกลงเปนจะขึ้นบก คนที่เมืองนี้ดูชอบกล ฝรั่งก็มี แขกเต๊อกก็มี แขกอาหรับก็มี กิริยาอาการมันคล้ายกันหมด คือเสือกเข้ามาพูดอะไรต่ออะไร ชวนแลกเงิน ขอทาน รับนำทาง รับขนของ เดินโดนหัวไหล่แซกเบียนพร้อมทุกอย่าง ถ้าทำงานแล้วเหมือนไม่มีวิญญาณ เปนต้นว่าเรือกระเชียงเน่าเฟอะ คนตีกระเชียงแต่งตัวไม่เหมือนกันสักคนเดียว อ้ายบ้างก็นุ่งกางเกงไม่มีเสื้อ อ้ายบ้างก็มีเสื้อนุ่งขัดเตี่ยว อ้ายบ้างก็ห่มดองด้วยผ้าขาวเหมือนพระ พอลงเรือแล้วอ้ายบางคนตี อ้ายบางคนหยุด จนเรือไม่เดินเลย จนถึงฝรั่งนายเรือวานให้พ่อถือท้าย ชักเลี้ยวจนหมดแต่เรือมันไม่เลี้ยว โดดเข้าจับหางเชือกเหนี่ยวลุกขึ้นยืนรั้งราวกะจะลากไม้ บอกว่าสั่งให้มันตีกระเชียงดีกว่าลากหางเสือ ก็ส่งภาษาอังกฤษที่เกือบจะไม่เปนภาษาคน อ้ายคนตีกระเชียงตอบก็พูดอังกฤษอย่างไม่เปนภาษาคน เอ็ดกันเรื่อย ตกลงเปนพูดกันมากกว่าทำอะไรหมด เห็นไม่ได้การเอ็ดกันขนานโตจึงถึงฝั่ง พวกเราออกเดินกันไปข้างซ้ายมือ ซึ่งเปนที่ว่าการกงสุลแลโฮเตลกับร้านขายของ ซึ่งพ่อไม่เคยไปแต่ก่อน เพราะเมื่อมาคราวก่อนขึ้นรถไปข้างขวามือ อันเปนทางขึ้นไปบนเนินจนไปถึงบ้านเจ้าเมือง ขึ้นไปบนเขา ลงจากเขาไปเครตาซึ่งเปนเมืองของพวกสุมาลีอยู่ เที่ยววนอยู่ข้างในแล้วกลับมาลงท่า ที่ไปข้างซ้ายนี้มันเปนที่สุดของเมืองไปชนเขา มีถนนสามสาย สายน่าริมทเลมีที่ไว้ถ่านกั้นกำแพงอยู่ข้างทเล สายกลางเปนโฮเตลแลห้าง สายในเปนถนนออกร้างๆ ครุคระ มีแต่ตึกชนิดไม่มีหลังคาเงียบไม่เห็นมีคน ที่ไปเดินสายกลาง ระยะทางเห็นจะราวตั้งแต่วังสวนดุสิตไปถึงถนนดวงตวัน ระหว่างถนนริมทเลกับถนนสายกลางมีสนามแต่ไม่มีหญ้า ปลูกต้นอะไรคล้ายพลับพลึงไว้สักสองสามหย่อม ตรงสพานขึ้นไปมีสวนกั้นเปนคอกไว้นิดหนึ่ง มีต้นไม้รูปร่างแลขนาดเหมือนแลเท่ากับกิ่งไม้ที่เขาเอามาทำฐานรองตั้งในโรงลคร ประมาณสัก ๒๐ ต้นได้ ต่อนั้นไปจึงเปนตึก รูปร่างกระจัดกระจายตามแต่จะเปนไป มีข้างขวามือแถบเดียว ลองแวะเข้าที่ร้านแรก ถามซื้อขนนกกระจอกเทศ เอาออกมาให้ดูมัดหนึ่ง (สามอัน) เรียกราคาถึงปอนด์ครึ่ง เยนตราแกก็ต่อเสียถึงดี จะให้หกชิลลิงส์ ตกลงลดราคาเหลืออยู่ปอนด์หนึ่ง ต้องเด็จออกจากร้านทำมารยาไปอิกร้านหนึ่ง คราวนี้จะซื้อสองมัด เรียกราคาปอนด์ครึ่ง เท่ากับอ้ายมัดเดียวก่อน เยนตราต่อ ๑๖ ชิลลิงส์ ไม่ตกลงออกจากร้านนั้นไปใหม่ คราวนี้จะซื้อสามมัด เรียกราคา ๒๕ ชิลลิงส์ ต่อกันฅอแตกฅอแตน ตกลงเปนได้ซื้อที่ร้านนี้ อะไรๆ บรรดาที่ซื้อเปนเช่นนี้ทุกอย่าง ว่าไปตามความจริง ถ้านึกถึงราคาเมืองเราแล้ว มันช่างถูกเสียจริงๆ ไข่นกกระจอกเทศใบละรูเปีย แต่ในเวลาที่ยืนฟังต่อกันอยู่นั้นอดหัวเราะไม่ได้ แต่ความรำคาญก็มีมาก ยืนๆ อยู่ประเดี๋ยวอ้ายคนนั้นมาเฉียดหน้า ประเดี๋ยวอ้ายคนนี้โดนหัวไหล่ ประเดี๋ยวคนนั้นเอาเงินมาชวนแลก ประเดี๋ยวคนนั้นมารับจะนำไปที่โน่นที่นี่ ประเดี๋ยวคนนั้นเอาเงินมาชวนแลก ประเดี๋ยวคนนั้นมารับจะนำไปที่โน่นที่นี่ ประเดี๋ยวยื่นมือสอดเข้ามาล้วงเอาของที่ซื้อทำเปนจะรับถือไปให้ เขาว่าเปนท่วงเปนทีก็พาสูญ ถ้าไม่เปนทีก็รีดเอาเงินเมื่อถึงท่า แต่ส่วนขอทานนั้นไม่ว่าแห่งหนตำบลใด เดินรอเรียงเคียงไหล่กันไปกับเรา พูดพล่ำไม่หยุดปาก ถึงจะนิ่งเสียอย่างไรก็คงขออยู่เสมอ ลงปลายที่สุดไปที่ร้านขายเหล้า ซึ่งได้แอบปอยน์เมนต์ด้วยเพื่อจะไปกินน้ำ พูดภาษานั้นเหลือกำลัง ไม่เลือกว่าชาติอะไรใช้ภาษาอังกฤษอย่างโคมลอยต่างๆ ทั้งนั้น เรียกเอาน้ำกินรับเออนอห่อหมกแล้วไปลืมเสียเฉยๆ กว่าจะได้มาหยุดคุยกันเสียนาน เร่งรัดเข้าให้เปิด เปิดออกมาได้สองสามขวดแล้วนิ่งเฉยเสีย ต้องเตือนกันใหม่เล่า ดูอัชฌาไศรยคนที่นี่เหมือนกับฬาซึ่งขึ้นขี่หลังแล้วต้องมีคนถือไม้เฆี่ยนขวับๆ ตลอดทาง ไม่มีอะไรนอกจากอยากได้เงินกับอยากพูด เดินกลับลงมาที่สพานดูมันจุดตะเกียงอิลลุมมิเนชั่นในการรับเจ้าเมืองบุ้มบ่าย ตะเกียงที่จุดนั้นเปนหม้อเล็กๆ สีต่างๆ เอาผูกเชือกแขวนแถวเดียวรอบโรงที่สพาน ต้องตั้งนั่งร้านขึ้นไปจุด ใช้จุดด้วยเทียนไขอย่างแฟริแลมป์ จะหาลมสักฉิวหนึ่งก็ไม่มี แต่จุดช่างแสนประดักประเดิด จุดทางนี้ทางโน้นดับ ริบหรี่มอซอมอแซ เมื่อกลับลงมาทุ่มครึ่งพึ่งจะจุดได้สักเจ็ดแปดดวง ถือแต่ชนวนเงื้อง่าหยุดคุยกันพล่าม เรือออกยามครึ่งแล้วยังจุดไม่เสร็จ ฤๅเลยออกมืดหนักลงไป ที่บ้านเจ้าเมืองก็จุดไฟ เห็นจะเปนด้วยค่อยใกล้หูใกล้ตาผู้ใหญ่ค่อยมีไฟทั่วถึง แต่เมื่อเรือออกก็มอดเสียมากแล้ว เมืองเอเดนนี้ถ้าดูจากทเลมันก็พอดูได้อยู่บ้าง ภูมฐานก็ดี นับว่าเปนเมือง แต่ถ้าขึ้นบกแล้วถนนรนแคมดินทรายมันสกปรกเต็มที แต่ยังไม่เลวที่สุดเหมือนอย่างคนพลเมือง คนมันก็เหมือนกับดิน ดินก็เหมือนกับคน หม่อมนเรนทร์ถึงออกปากจะร้องสมาบาป ว่าไม่ได้นึกจะหมิ่นประมาทชาติมนุษย์เลย แต่ทำไมใจฅอมันให้นึกว่าอ้ายพวกนี้เปนสัตว์ดิรัจฉานร่ำไป นี่ฤๅฝรั่งมันจะไม่ว่าเปนดิรัจฉาน ตั้งแต่ขึ้นไปวันนี้ไม่ได้เห็นผู้หญิงสักคนเดียว แต่ที่เราไปเปนตอนข้างคนต่างประเทศ ไม่ใช่หมู่บ้านของชาวเมือง จึงไม่เห็นผู้หญิง แต่ถึงจะไปที่หมู่บ้านของชาวเมืองผู้หญิงก็น้อยที่สุด เพราะฉนั้นคนเมืองนี้ไม่มีเมียเปนพื้น แต่เปนเมืองที่มีสินค้ามาก เปนสินค้าป่ามาแต่อาหรับบ้าง อาฟริกาบ้าง เรือลำนี้ไม่ได้บรรทุกอะไร รับแต่ถ่าน เมื่อกลับลงมาบรรทุกถ่านยังไม่เสร็จ ได้ยินเสียงพวกกุลีแซ่ด้วยเรื่องคุยกันพลางส่งถ่านพลาง ยังเจ้าพวกขายของก็ขึ้นมาขายอยู่กลางเรือ ต้องเอาเชือกขึงวงเข้าไว้ เดินผ่านมันชูอะไรต่ออะไรควักไขว่ไป เสียงอึงไม่ได้ศัพท์ บรรดาห้องใครๆ ต้องลั่นประแจหมด หลุดเข้าไปได้ห้องไหนไม่ว่าอะไรขะโมยสิ้น ทั้งต้องปิดประตูน่าต่างกันผงถ่าน ร้อนเกือบหายใจไม่ออก แต่กับตันจัดให้พ่อขึ้นไปนั่งบนสพาน ได้อ่านโทรเลขแลเขียนหนังสือกินเข้าในห้องกับตัน แล้วอยู่บนนั้นจนกะทั่งเรือออก ได้ดูวิธีเขาออกเรือ นำร่องลงมา ตากับตันยอมให้นำร่องบัญชาหมด ทั้งการที่จะเปิดจักรเดินช้าเดินเร็ว แลถือท้ายอย่างไรนำร่องสั่งเรื่อยทีเดียว ที่แท้ก็สักสิบมินิตเท่านั้น เรือก็ออกพ้นท่า ดูไม่น่าจะต้องมีนำร่อง เขาจุดโคมเขียวโคมแดงสองข้างไว้เหมือนลำคลอง ไหนจะมีดวงใหญ่สีขาวสำหรับบอกเขตร แต่เห็นจะเปนข้อบังคับที่ว่าให้ต้องรับนำร่องเขามาลง นำร่องบอกกับตันว่า วันนี้เปนวันร้อนผิดปรกติ ที่จริงดูก็ไม่สู้กระไรนัก
ที่ขังน้ำจืดณเมืองเอเดน
• • • • • • • • •
คืนที่ ๒๒
วันพุฒที่ ๑๗ เมษายน
วันนี้เรือเข้าช่อง บ๊าบเอลเมนเด็บ แปลว่าทเลน้ำตา เพราะในทเลแดงนี้มีศิลาใต้น้ำมาก แต่ก่อนถ้าเรือมา ญาติพี่น้องรู้แล้วก็ร้องไห้กลัวจะมาเปนอันตราย บ้านช่องนั้นเปนทเลแดงที่มาอยู่ไม่ใคร่เห็นฝั่ง มีลมเย็นกว่าวานนี้ นกบูบียังบินว่อนอยู่ริมๆ เรือ มันเหนื่อยขึ้นมามันก็หยุดนอนลอยเสียบนน้ำ หายเหนื่อยก็บินไปใหม่ ไม่เห็นจับบนเรืออย่างหม่อมราโชทัยว่า
• • • • • • • • •
คืนที่ ๒๓
วันพฤหัศบดีที่ ๑๘ เมษายน
วันนี้ท้องฟ้าสลัวแดดอ่อน มีลมเย็น ทเลราบเหมือนน่ากระจก สีน้ำเงินใสแจ่ม รศชาติกลิ่นอายเปนอย่างใหม่ทีเดียว ในห้องพอที่จะหยุดพัดลมได้บ้าง วันนี้อ้ายฟ้อนนวดยังชั่ว ได้รางวัลอิกปอนด์หนึ่ง ช้าไปคงพอใช้แต่จะเอาดีเห็นจะยาก ค่ำวันนี้กรมประจักษ์เอานิราศมาอ่าน ตอนปินังที่จะร้อยกับลังกา เปนอันแก้ครั้งที่สองแล้วยังใช้ไม่ได้ ที่เลอียดก็เลอียดเกินไป ที่จะเล่าอะไรดูไม่ทั่วถึง เอาหลังเปนน่าๆ เปนหลัง กลัวจะแห้งแลโคมเบื่ออ่าน เขาจึงอาราธนาให้พ่อทำ ได้ทำสำเร็จเวลาเดียวนั้นทั้งสี่น่า ได้คัดสำเนามาให้อ่านเล่น ต่อกันกับที่ส่งมาแต่ก่อนได้ วันนี้เวลานอนหนาวหยุดพัดแลรูดม่านได้
ครั้นวันรุ่งราตรีที่สิบหก | เฝ้าสทกสท้านใจให้สอื้น |
แสนทุกข์ทนพ้นที่จะกล้ำกลืน | ถึงจากอื่นไม่เหมือนพรากจากสุดา |
ค่อยบันเทาเบาอุราแต่ตาหมอ | ได้พูดจ้อเจาะจงส่งภาษา |
มาจำพรากจากซ้ำช้ำอุรา | เฟื่องกถาบาฬีไม่มีใคร |
จะตอบต่อข้อความได้ถามซัก | อกจะหักเสียแล้วกรรมทำไฉน |
แม้นเหาะได้ก็จะใคร่ระเห็จไป | พูดอยู่ในเกาะลังกาสักห้าวัน |
บ่ายสักสองโมงเศษสังเกตเห็น | แหลมเอเดนเหมือนอย่างเกาะดูเหมาะมั่น |
เรือค่อยแล่นเข้าไปใกล้กระชั้น | ดูก็ขันเลี่ยนโล่งโปร่งไนยนา |
เปนคิรีสีคล้ำดำสักหน่อย | ไม่เห็นรอยร่องเด่นว่าเปนผา |
เหมือนดินกองไว้เก่าเก่าเปล่าอุรา | ขาดพฤกษาหญ้าบอนบ่ห่อนมี |
บางแห่งพร้อยรอยเหมือนตะไคร่น้ำ | ไม่เขียวสดสีคร่ำดำหมิดหมี |
แต่เรือนรายชายเขาดูเข้าที | ยอดคิรีป้อมเขม้นเห็นเสาธง |
เรือแล่นวงตรงไปจอดที่ท่า | เห็นนาวาน้อยใหญ่น่าใหลหลง |
พอเวลาบ่ายห้าโมงครึ่งตรง | เขาก็ลงสมอทอดจอดนาวี |
เรือสามลำสำคัญว่าเรือรบ | ชักธงครบเปนระยางล้วนต่างสี |
ทั้งเรือจ้างต่างต่างกระเชียงตี | สุมาลีลูกเรือนั้นเหลือใจ |
พวกขายของร้องอึงทลึ่งถลา | ชูสินค้าพูดมากถลากไถล |
มีขนนกเขาหนังถังขีดไฟ | สมุกไข่ทั้งบุหรี่มีอนันต์ |
จวนพลบค่ำย่ำฆ้องเสด็จขึ้น | อิกคนอื่นมากมายต่างผายผัน |
ลงเรือกระเชียงบ้าน่าเกลียดครัน | อ้ายพวกนั้นเถียงกันเสียงลั่นอึง |
มึงตีกูตีไม่มีจังหวะ | ดูเกะกะวัดเหวี่ยงเสียงผางผึง |
คนถือท้ายชักสายหางเสือดึง | จนไปถึงท่าทอดจอดสพาน |
ตามเสด็จลีลามาข้างซ้าย | ทั้งสองฝ่ายคนหลามตามพลุกพล่าน |
เที่ยวเดินมองจ้องหน้าว่าขอทาน | บ้านริอ่านเมียงมาอาสานำ |
บางพวกมาว่าชวนแลกเงินเหรียญ | ทำพากเพียรสลนเสลือกเสือกพูดพล่ำ |
ดูรูปกายคล้ายเปรตเศษเวรกรรม | หัวหยิกดำฟันขาวยาวโซเซ |
ไม่มากมายเท่าไรใช่เบียดเสียด | แต่น่าเกลียดโดนใครใครหัวไหล่เป๋ |
เดินตัดหน้าผ่ากลางขวางเกเร | เหมือนอย่างเดระฉานน่าระอาใจ |
พ่างพื้นปถพีสีมัวมน | จะหาหญ้าสักต้นหนึ่งไม่ได้ |
ที่ถัดท่าวารีมีต้นไม้ | เหมือนเขาหักปักในโรงลคร |
อันตึกร้านย่านนี้มีอยู่หลาย | แต่ของขายเหมือนกันหมดไม่ลดหย่อน |
สินค้าถูกทุกอย่างต่างเมืองจร | วางซับซ้อนเปนปลาร้าไม่น่าดู |
ของเมืองนี้มีไข่โอทเรช | กับขนนกกระจอกเทศวิเศษอยู่ |
การซื้อหาน่าฉงนเปนพ้นรู้ | เหมือนต่อสู้เถียงเทลาะเบาะแว้งกัน |
บอกราคาห้าตำลึงแล้วพึงต่อ | สลึงหนึ่งนั้นพอซื้อได้มั่น |
ของอะไรซื้อได้ถูกถูกครัน | ที่เปลืองนั้นจริงแท้แต่เวลา |
ต่อตะบันกันไปใครจะแพ้ | พูดกอแกนอกทางขวางนักหนา |
ไม่ว่าคนชาติไหนใช้เจรจา | เปนภาษาอังกฤษเจือแต่เหลือเลว |
ฉันน้อยใจที่มันไม่พูดมคธ | มันสิ้นรศเหลือตำราอ้ายห่าเหว |
ยืนต่อของท้องแขงขัดบั้นเอว | ของเลวเกวก่งราคาจนน่าเคือง |
ซื้อหอยพิมะกะรังทั้งสองฝา | ไข่โอชาสองใบค่อยได้เรื่อง |
สิ้นสามรูปีย์ถ้วนล้วนไม่เปลือง | ไว้เปนเครื่องฝากพระสงฆ์ที่จงใจ |
เคยพึ่งพาอาไศรยได้ไต่ถาม | บาฬีความใหม่แท้ก็แก้ได้ |
ดีกว่าหมอออยสเตอเธอเปนไทย | พบเมื่อใดได้เมื่อนั้นทันต้องการ |
ครั้นเดินไปใกล้จะสิ้นสุดตลาด | ยุรยาตรเข้าไปในสถาน |
ร้านสุราของสำหรับรับประทาน | ว่าเปนร้านแอบปอยน์เมนต์เห็นจะดี |
ว่าซื้อน้ำสำหรับระงับร้อน | เจ้าของต้อนรับจริงวิ่งออกจี๋ |
พาไปหลังร้านจัดชักพัดวี | ยกเก้าอี้มาให้นั่งตั้งเปนแนว |
เจ้าของหายไปข้างไหนก็ไม่รู้ | อิกสักครู่เห็นคนขนถ้วยแก้ว |
แล้วกลับหายไปข้างไหนยังไม่แล้ว | ไม่วี่แววนิ่งเฉยเลยชาชา |
ต้องเอะอะกันกระไรได้เจ้าของ | มามองมองเวียนวนเที่ยวค้นหา |
จึงได้น้ำเลมอเนตปนโซดา | แต่สักห้าหกขวดกวดให้ริน |
มันรินพลางพูดพลางค้างจังหวะ | ต้องเอะอะกันใหญ่ไม่รู้สิ้น |
ไม่เสวยเลยโปรดให้เรากิน | พอชุ่มลิ้นก็ไม่พอจนท้อใจ |
ออกจากนั่นผันกลับรอบสนาม | อย่าเติมความว่ามีหญ้าหาถูกไม่ |
สนามดินเราดีดีไม่มีอะไร | หลังที่ไว้ถ่านศิลามาท่าเรือ |
เห็นเขาตั้งนั่งร้านเปนการใหญ่ | ขึ้นจุดไฟรอบหลังคาน่าเบื่อเหลือ |
เทียนแฟรีริบหรี่ไม่มีเชื้อ | พูดฟั่นเฝือเอ็ดตะโรเสียงโกลา |
จุดดวงนั้นดวงนี้ดับกลับจุดใหม่ | ไม่สำเร็จกันลงได้นานนักหนา |
จนยามครึ่งถึงกำหนดออกนาวา | ไฟที่ท่ายังไม่ติดสักนิดเลย |
นี่เหตุผลกลใดไฉนนั่น | จึงพากันเหลวไหลจิตรใจเอ๋ย |
จนฝรั่งมังค่าก็มาเคย | พูดเบยเบยเหลวเปล่าไม่เข้ายา |
ขึ้นบนเรือเหลือดูผู้ขายของ | ยืนเปนกองเบียดกันสนั่นจ้า |
เขาเอาเชือกวงไว้มิให้คลา | เที่ยวไปมาได้ทั่วกลัวขะโมย |
ชูแต่ของร้องเรียกให้คนซื้อ | เสียงอึงอื้อเท่านั้นเอ๋ยร้องเหวยโหวย |
ดูรูปร่างกาเยช่างเรโรย | มือโบกโบยควักไขว่อยู่ไปมา |
พิเคราะห์ไปให้เห็นเหมือนเช่นยักษ์ | เมื่อทศภักตร์ประน้ำมนต์ด้นมาหา |
ต่างกวัดแกว่งแสงศรแลคทา | พยักหน้าเต้นโลดโดดทยาน |
พระรามแผลงศรไปเปนข่ายล้อม | ให้วงอ้อมกันไว้ไม่ประหาร |
ยิ่งดูดูก็ยิ่งเบื่อเหลือรำคาญ | ต้องคิดอ่านกลับห้องท้องนาวา |
ชาวลังกาท่าทางดีกว่ามาก | ดูไม่ใคร่เปนทรากกากภาษา |
ถึงพูดมากก็ยังพ้องต้องวิญญา | เจรจากันได้ดีไม่มีจน |
เมื่อยามกว่าถึงเวลาเรือจะออก | นำร่องบอกทางสันทัดไม่ขัดสน |
มาบัดเดี๋ยวพ้นช่องร่องตำบล | ใบจักรวนวิดวักตักวารี |
• • • • • • • • •
คืนที่ ๒๔
วันศุกรที่ ๑๙ เมษายน
วันนี้แสงแดดอ่อนกว่าวานนี้ เย็นมาก ขึ้นบนดาดฟ้าสรวมเสื้อสักหลาดพอดี ตั้งกองเขี้ยวเข็ญชายอุรุพงษ์มาหลายวัน เรื่องเสื้อชอบใส่แต่เสื้อบางชั้นในไม่ว่ากลางวันกลางคืน ร้อนฤๅเย็นก็เช่นนั้น ถ้าเผลอตัวเจ็บลงแล้วจะลำบากมาก แรกๆมาก็แต่งตัว พอเคยเข้าตกลงเท่าที่อยู่บางกอก ต่อให้ฝรั่งมาเล่นอะไรต่ออะไรอยู่ก็เท่านั้น แปลว่าคุ้นกันเสียหมดทั้งลำเรือแล้ว
รางวัลแข่งขันนั้นพึ่งเปนที่ตกลงกันเมื่อวานนี้ได้แก่มิสซิสมาเลอโดยสานมากับผัวแลลูกสองคนเปนชาติอังกฤษ มาจากฮ่องกงจะกลับไปบ้านไม่กลับอิก เอาของนั้นมาให้กับตันขอให้พ่อประทานเอง ท่านพวกกรรมกิจกรรมการพากันมาพร้อม พอให้แล้วถึงเชียกัน ช่วยกันติดออกยุ่ง เอาเข็มกลัดทองอย่างแม่ลูกอ่อน (เข็มซ่อนปลาย) ติดที่อกเหมือนตราแล้วพ่อให้ถ่ายรูป ทั้งพวกกรรมการก็ถ่ายด้วย กับตันให้ผ้าพันหมวกกระลาสีทำเปนสายตะพายคนละอัน เอะอะเกรียวกราวกันมาก
ไม่มีอะไรทำชั่วแต่อ่านหนังสือเขียนหนังสือกับคิดวิธีที่จะเที่ยวที่เนเปอลอย่างไร กินเข้าเย็นวันนี้มีมักกะโรนีเส้นย่อมๆ เขาทำไม่ได้ใส่มะเขือเทศ เรียกลูบริอลิตะเลียนเหมือนก๋วยเตี๋ยว เรียกมะนาวแลน้ำตาลพริกป่นมาเติมอร่อยจนตากับตันต้องลอง เลยสั่งให้ทำมาบ่อยๆ
• • • • • • • • •
คืนที่ ๒๕
วันเสาร์ที่ ๒๐ เมษายน
เมื่อคืนนี้เวลาจะนอนต้องปิดน่าต่างกระจกหมด แล้วชักม่านรอบที่นอน แต่ครั้นเวลาย่ำรุ่งตรงตื่นขึ้นเย็นชาไปทั้งตัว ได้นึกแต่แรกนอนแล้ว ว่าควรจะใส่เสื้อชั้นในสักหลาด แต่กลัวจะไม่หนาวเช่นคิดจะนอนไม่หลับ ตื่นขึ้นเอาผ้ากำมหลิดข้างที่นอนห่มไม่หายหนาวพาลจะสท้านเอาด้วย จึงเรียกเอาผ้าห่มอิกผืนหนึ่ง คอยเท่าไรๆ ก็ไม่ได้ ประเดี๋ยวได้ผ้ารัคสำหรับคลุมตีนผืนหนึ่งส่งมาให้ห่ม ห่มชักขึ้นมาข้างบนตีนหลุด ชักไปคลุมตีนข้างบนหลุด เหลือกำลัง
ปรอดเห็นจะราว ๗๐ เศษไม่ใช่หนาวมากมายอะไร แต่รู้สึกหนาวเพราะเสื้อผ้าที่มหาดเล็กจัดไว้ให้ไม่พอใช้เท่านั้น
กินเข้าแล้วขึ้นไปดูแผนที่กับกับตัน เลยพูดกันอยู่บนสพานแลในห้องจนบ่าย ๔ โมง อากาศมัวแลไม่เห็นฝั่ง แลเขาเดินผิดกับที่เคยมาคราวก่อน มาติดฝั่งข้างอาฟริกา กับตันให้ตลับยี่ปุ่นอันหนึ่ง มีรูปไก่หางยาวงามดี นึกอยากสั่งพระยานริศรให้ส่งเข้ามา เขาว่าหลวงสุนทร[๘๖]แลหม่อมอนุวงษ์[๘๗]มีแล้ว แต่หางยาวออกมาก็ร่วงเสีย เห็นทีจะจืดแล้วจึงงดไว้ พิเคราะห์ดูเรื่องเสมหะนี้น่าที่จะไม่หายขาด พอเห็นได้ว่าอากาศที่แห้งแลเย็นนั้นทำให้เสมหะอ่อนชุ่ม ถ้าร้อนหายใจพาลมร้อนเข้าไปให้เสมหะในลำหลอดหายใจนั้นแห้ง น่าร้อนจึงค่อยสบายทั้งที่ล้างยากมักแห้งกรัง ที่ร้ายมากนั้นชื้นเปียกปนกับร้อน ส่วนร้อนชักแห้งแลเหนียว ส่วนชื้นทำให้ชุ่มพองแต่ไม่พอที่จะทำให้เหลว จึงเปนเวลาร้ายไม่สบายกว่าเวลาอื่น เพราะเสมหะขังค้างอยู่ในหลอดหายใจ การที่เปนเช่นนี้จึงเห็นว่า จะสบายแต่เมื่ออยู่ในเมืองหนาว ถ้าไปอยู่ที่ร้อนชื้นคงกลับเปนอิก พ่อจึงไม่มีความหวังใจว่าจะหายขาดได้ เว้นไว้แต่หมอเขาจะมียาแก้ไขประการใด นั่นเปนทางที่จะดูไปก่อน แต่คงรู้ไม่ได้ว่าหายขาดฤๅไม่กว่าจะกลับไปถึงบางกอก จดหมายพ่อนี้ได้ตั้งใจแต่จะเขียนความรู้สึกในใจอันเปนส่วนตัว ไม่ได้พยายามที่จะเขียนเล่าถึงภูมิ์ประเทศฤๅสารบาญชีอย่างใด เพราะการเช่นนั้นได้มอบให้หม่อมนเรนทร์เปนผู้เขียน ส่งเข้ามายังที่ประชุมเสนาบดี คงจะลงในราชกิจจาแล้ว ถ้าได้อ่านหนังสือนั้นเปนหลัก เอาจดหมายพ่อเปนฝอยสำหรับรู้เรื่องเฉภาะตัวแล้วจะเข้าใจแจ่มแจ้งได้ดี
พ่อรีบจบหนังสือฉบับนี้ลงเสียก่อนเวลาไปถึงสุเอส เพราะเปนเวลากลางคืนแลไม่มีท่าทางที่ควรจะขึ้นอย่างไร เปนแต่เรือจะไปถึงในเวลาสองยามวันนี้ รอให้หมอลงมาตรวจ แลรับโคมสำหรับเรือที่จะเข้าคลอง กับทั้งฟังว่ามีเรืออะไรเดินอยู่บ้างจะเข้าได้ฤๅยัง บางทีก็จะได้เข้าภายใน ๗ ทุ่ม อย่างช้าที่ต้องคอย ๔ ชั่วโมง เรื่องในคลองแลปอตเสดจะไว้เขียนพรุ่งนี้ต่อไปทีเดียว เขียนหนังสือนี้แล้วคิดจะขึ้นไปดูเมืองสุเอสอยู่บนสพาน
พ่อคิดถึงลูกเหลือประมาณทีเดียว สารพัดในการหนังสือที่เคยใช้ต้องทำเองทั้งสิ้น จนนอนฝันไปว่าให้หญิงน้อยอ่านหนังสือ Development of the European Natons ให้ฟัง (เพราะพ่อกำลังอ่านอยู่) นอนฟังสบายเพราะนอนจริงๆ นึกเปลี่ยวใจที่ไม่มีใครช่วยในการหนังสือ ยังไม่เคยลืมคิดถึงแต่สักวันหนึ่งเลย
จุฬาลงกรณ์ ป.ร.
• • • • • • • • •
ป.ล.
คืนที่ ๒๕
วันเสาร์ที่ ๒๐ เมษายน
(ต่อตอนกลางคืน) พอเรือจอดประมาณสักครึ่งชั่วโมง เรือเจ้าท่าแลหมอลงมา หมอนั้นมีมาหลายคน ผู้ชายบ้างผู้หญิงบ้าง พ่อไปดูเขาตรวจชั้นที่ ๓ ก่อน เอามายืนเรียงแถวที่ดาดฟ้าชั้นล่าง หมอเข้าไปคลำรักแร้คลำไข่ดัน การที่คลำนั้นดูเหมือนสักแต่ว่าพอถูก ฤๅไม่ถูกเพียงแต่ท่าท่าก็พอ ส่วนฝรั่งดูเปนการสนุกหัวเราะกันคิกๆ คักๆ แต่ถ้าเจ๊กแล้วยกแขนขึ้นบนหัวหน้าตึงตกใจทุกคน คราวนี้จะตรวจชั้นที่หนึ่งแต่พ่อนั้นยกไม่ต้องตรวจ แต่พ่ออยากดูจึงลงไปประชุมกับเขา ที่ประชุมนั้นห้องกินเข้าชั้นล่าง ให้ยืนเรียงกันเปนแถว นางหมอผู้หญิงเข้ามาตรวจ เปนคนกลางคนคล้ายยายลอฟตัศ พอมาถึงพ่อแกบอกว่าพ่อนั้นฟรีไม่ต้องตรวจ ขอเชิญเสด็จกลับจะตรวจคนอื่น ตรวจคนอื่นนั้น หมายว่าจะทำอย่างไร หมอกับคนโดยสานยืนห่างกันสัก ๓ วา เอาบาญชีออกมากางแต่ก็ไม่ยักต้องอ่านชื่อ นับหนึ่งสองสามสี่ พอคนครบบาญชีก็บอกแล้วเลิกกันเท่านั้น แล้วไปดูเขาตรวจชั้นที่ ๒ พวกนั้นสนุกเกรียวกราวกันมาก เล่นตลกต่างๆ แต่การตรวจก็แปลกกว่าชั้นที่ ๑ ยายหมอนั่งที่โต๊ะเอาบาญชีออกกาง ต้องเข้าไปบอกชื่อตัวให้กาบาญชีทีละคน แล้วก็เท่านั้นเอง มันขันที่แรกจะตรวจดูเอะอะ เปนการใหญ่มาก แต่ครั้นถึงการที่ตรวจกลายเปนทำพิธี พิธีนั้นก็ทำตามยศเปนชั้นๆ ด้วย การตรวจนี้สำเร็จใน ๗ ทุ่ม พ่อเห็นว่าดึกแล้วจะไม่มีใครลงมา พอถอดเสื้อเขาก็บอกว่าเจ้าเมืองลงมา ต้องกลับแต่งตัวใหม่ขึ้นไปรับ ที่แท้สมุหราชองครักษ์แลมาศเตอออฟเซเรมอนนีมาก่อน ราชองครักษ์นี้ชื่อเซียปาชา เปนที่อย่างเจ้าพระยาสุรศักดิ์ เพราะซิกิปาชาอย่างที่เจ้าพระยาสุรวงษ์ไปตามเสด็จที่อาเล็กแซนเดรียแลซุลฟีการ์เบย เปนที่อย่างพระยาอนุรักษ์ราชมณเฑียรลงมาประจำตลอดเขตรแดนอิยิปต์ ว่าเคดิฟอยากจะมารับเอง แต่ถึงกำหนดลงไปเปิดโชอะไรในการบุญที่อาเล็กแซนเดรีย ขอให้บอกนัดหมายว่าจะตามไปพบกันแห่งใดแห่งหนึ่งที่ยุโรปในเดือนมิถุนายน เวลานี้รถไฟพิเศษจัดมาคอยอยู่พร้อมแล้ว ขอเชิญให้พ่อขึ้นบกไปนอนปอตเสดทีเดียว จะถึงในก่อนสามยาม พ่อว่าอยากจะไปทางเรือจะได้ดูคลอง แล้วนำฮาลิมปาชา พระยาสมุทบุรานุรักษ์ ชัลชเบย์ ผู้บังคับการโปลิศรักษาคลอง แลมองสิเออเดอตรูริส เปนผู้บังคับการโปลิศเฝ้า เจ้าคนนี้พูดอังกฤษได้ นอกนั้นพูดฝรั่งเศส ท่านสมุหราชองครักษ์ตั้งต้นสปีชไปในภาษาอังกฤษได้นิดหนึ่งลานึกไม่ทันต้องมีล่าม แต่ถ้าพูดธรรมดาพอจะโขลกกันไปได้ แล้วนอนอยู่ในเรือนี้ทั้งสองคน เรือเข้าคลองไม่ได้จนสว่าง จะคอยดูเข้าคลองจึงเลยนั่งอยู่จนสว่างจึงได้นอน นอนไม่ใคร่หลับ เห็นจะเปนด้วยตะกลามกันแซนด์วิชถึง ๓ ชิ้น แลมีลูกสตรอเบอรีลงมาจากบนบกกำลังสด แลใหญ่มากอร่อยเสียจริงๆ กันเข้าไปเต็มจานเพราะอดผลไม้มาเหลือกำลัง พ่อช่างคิดถึงลูกเสียเหลือล้น เพราะกินอะไรอร่อยเคยกินด้วยกันเสมอ ลูกมันโตกว่าที่ยาวาสองเท่าแลไม่มีกลิ่นแตงหนูเลย ที่มีกลิ่นเห็นจะเปนด้วยสุกเกินไปฤๅยังไม่สุก นี่มันกำลังพอดี แต่เพราะมันมีเปรี้ยวในนั้นมากจึงเสาะท้อง ต้องกินน้ำแร่ซ้ำเสียทีเดียว รู้สึกตัวเมื่อราวโมงหนึ่งเรือเข้าคลองแล้ว แต่ง่วงไม่ได้ลุกขึ้นดู กินน้ำแร่แล้วจึงหลับสมิท ไม่มีของจะฝากเพราะถึงกลางคืน
[๘๖] หลวงสุนทรโกษา คอยุเหล ณระนอง (เดี๋ยวนี้เปนพระยาปดิพัทธภูบาล)
[๘๗] หม่อมอนุวงศ์วรพัฒน ม.ร.ว. สำเริง อิศรศักดิ์ ณกรุงเทพ (เดี๋ยวนี้เปนพระยาพจนปรีชา)