- คำนำ
- พระบรมรูปพระบาทสมเด็จฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
- พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๑
- พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๒
- พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๓
- พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๔
- พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๕
- พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๖
- พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๗
- พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๘
- พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๙
- พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๑๐
- พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๑๑
- พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๑๒
- พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๑๓
- พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๑๔
- พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๑๕
- พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๑๖
- พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๑๗
- พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๑๘
- พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๑๙
- พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๒๐
- พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๒๑
- พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๒๒
- พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๒๓
- พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๒๔
- พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๒๕
- พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๒๖
- พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๒๗
- พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๒๘
- พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๒๙
- พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๓๐
- พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๓๑
- พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๓๒
- พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๓๓
- พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๓๔
- พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๓๕
- พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๓๖
- พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๓๗
- พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๓๘
- พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๓๙
- พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๔๐
- พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๔๑
- พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๔๒
- พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๔๓
พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๒๓
รูปทรงถ่ายแกรนด์ดุ๊ก แลแกรนด์ดัชเชสบาเด็น
คืนที่ ๗๙
เมืองบาเดนบาเดน
วันพฤหัศบดีที่ ๑๓ มิถุนายน ร.ศ. ๑๒๖
หญิงน้อย
วันนี้ฝนตกมาแต่เมื่อไรก็ไม่ทราบ ตื่นขึ้นเห็นยังมืดอยู่ นอนต่อไปอิกจน ๓ โมง เลยสายใหญ่ ฝนก็ไม่หายต้องไปรถ เลยไม่ได้ไปที่กินน้ำ กินที่เฟรเดริกบาถ แลอาบน้ำตามเคยพอสำเร็จก็เที่ยง ต้องรีบตลีตลานมากินเข้า เพราะบ่ายโมงหนึ่งจะต้องไปเยี่ยมแกรนด์ดุ๊กไมเคอลเมืองรุสเซีย ได้ไปทั้งกำลังฝน พบปรินเซสวิลเลียมน้องสใภ้แกรนด์ดุ๊กออฟบาเดนอยู่ที่นั่น เธอบอกว่าแกรนด์ดุ๊กวานมาให้ช่วยเปนล่าม กลัวจะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ที่จริงแรกไปถึงออกจะอึกอักอยู่สักหน่อย เพราะนึกไม่ทัน ภายหลังก็พูดเรื่อย ดูเจ็บมากอยู่ รูปร่างแปลกกว่าเมื่อเห็น ๑๐ ปี ไผ่ผอมลงมาก นอนอยู่กับเก้าอี้ที่ผงกขึ้นลงได้ไม่ได้นั่ง ขาออกจะตายๆ เวลาจะเดินต้องผะยุงสองข้าง
เสร็จการเยี่ยมนี้แล้ว กลับมาคอยรับแอริดิตารีแกรนด์ดุ๊ก มาเวลาบ่าย ๒ โมง แต่งเต็มยศ ติดตราจักรีเต็มที่ บอกว่าช้าไปหน่อย เพราะแต่งตัวขึ้นไปถวายแกรนด์ดุ๊กแลแกรนด์ดัชเชสทอดพระเนตร์ นั่งพูดกันอยู่เปนนาน เธอมาจากคาลสรูห์ แล้วจะกลับคาลสรูห์ในบ่ายวันนี้
แกรนด์ดุ๊กไปแล้วได้ขึ้นโมเตอคาร์ไปส่งก๊าดเยี่ยมเจ้าหญิงวิลเลียม ซึ่งเปนน้องสใภ้ของแกรนด์ดุ๊กออฟบาเดน วันนี้ฝนตกไม่หยุดเลยจนค่ำ ได้รับหนังสือเมล์บางกอก จึงได้อ่านแลเขียนตลอดวันยังค่ำ รังสิตมาจากไฮเดลแบ็ก หมอให้มารักษาตัวอาบน้ำที่นี่ ได้นำรูปซึ่งถ่ายพร้อมกันที่บ้านเจ้าไวมาร์มาให้ลงชื่อ เขาลงกันหมดแล้ว กับรูปที่เจ้าหญิงโซไฟถ่าย แลรูปดอกไม้ที่เธอให้มาส่ง รูปที่ช่างถ่ายที่ไฮเดลแบ็ก เล่นแสงสว่างเปนช่องนั้นเข้าทีมาก เขาเล่นกระดาษต่างๆ ออกจะครึๆ ถ้าคนดูธรรมดาเห็นจะไม่ใคร่จะเห็นงามต้องดูอย่างเก๋ อ้ายการที่เล่นรูปต่างๆ เช่นนี้ มันเหมือนกันกับเขียนรูปอย่างใหม่ๆ ที่พ่อเกลียด แต่เพราะพ่อชอบเล่นถ่ายรูป จึงได้ชอบรูปแผลงๆ ไปนึกถึงอกตาช่างเขียน แกคงเบื่ออ้ายเขียนตามเคย จึงได้ยักเขียนบ้าๆ ได้ตั้งใจจะซื้ออ้ายบ้าๆ ไปให้เห็นสักแผ่นหนึ่งว่าบ้าเพียงไหน แต่จับเข้าก็เสียดายเงิน เคยตั้งใจกัดฟันว่าจะซื้อสักแผ่นหนึ่งให้ได้ พอออกปากว่าจะซื้อคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ร้องจุ๊ๆ ทั่วกันหมดเลยซื้อไม่ได้ เช่นนี้มาหลายคราวนักหนาแล้ว
พ่อมีตาอ้วนอังกฤษใช้คนหนึ่ง รูปร่างเปนยอนบุล เอื้อเฟื้อดีจริงๆ นึกอะไรเปนต่างๆ เลยโปรด ให้รางวัลนาฬิกาเรือนทองลงยาเปนรางวัล ออกจะรู้สึกคุ้นเคยเปนเราๆ กับพวกคนใช้เหล่านี้ ดูก็สบายดี ถ้าคนใช้สำรับนี้อยู่แล้วค่อยทุเลา ดีกว่าคนโฮเตลที่ไม่คุ้นเคยกันเปนอันมาก
• • • • • • • • •
ถนนในสวนเมืองแฟรงก์เฟอต
คืนที่ ๘๐
วันศุกร์ที่ ๑๔ มิถุนายน
เช้าไปที่อาบน้ำทั้งกินทั้งอาบ แล้วไปที่รมควัน เวลายังเหลือพอแวะดูรูปภาพที่แกละรีเล็กข้างโรงเทียเตอ ซื้อรูปทเลแผ่นหนึ่ง กับรูปน่าหนาวแผ่นหนึ่ง ได้เวลาไปขึ้นรถไฟไปตามทางเมืองคาลสรูห์แลมันไฮม์ทางสองชั่วโมงครึ่ง บ่าย ๒ โมงเศษถึงแฟรงก์เฟิต เมืองแฟรงก์เฟิตนี้เปนเมืองโบราณมาก เคยเปนเมืองหลวงของแฟรงกิชเอมไปร์ (ไม่ใช่ฝรั่งเศส) ภายหลังเปนที่สำหรับเลือกเอมเปอเรอเยอรมัน ลงในที่สุดเปนเมืองฟรีเตาน์ไม่มีเจ้า ปกครองเมืองเอง แล้วจึงได้รวมในปรูสเซีย มีพลเมืองถึงสามแสนห้าพัน ตอนเมืองเก่าเปนถนนคดค้อมแลแคบ ตอนเมืองใหม่ทำถนนใหญ่ๆ แลตรงๆ ตึกรามใหญ่โตคึกคัก สเตชั่นว่าเปนสเตชั่นงามที่สุดในคอนติเนนต์ ใหญ่เสียจริงๆ หลังสเตชั่นเปนลานกว้างใหญ่มีสวนคั่นอยู่กลาง สองข้างเปนถนนสองสายเคียงกัน ทั้งทางคนเดินด้วยประมาณกว้างสายละสักเส้นหนึ่ง โฮเตลเองคลิเชอฮอฟ ซึ่งเปนโฮเตลใหญ่ที่พ่อมาอยู่ ตั้งอยู่หลังสเตชั่น พรักพร้อมเปนโฮเตลอย่างดีอยู่สบาย ทางตรงสเตชั่นเปนถนนใหญ่เรียกไกเซอสตราสส์ ถนนนี้เปนที่ค้าขายห้างหออยู่ตลอด คนจอแจทั้งสายอยู่สายเดียว นอกนั้นเปนถนนกว้างแลตรงยาวๆ สุดตา ตึกก็ใหญ่ๆ แต่เปนบ้านเรือนอยู่ คนไม่สู้จอแจทั้งนั้น ถนนใหญ่ๆ อย่างไกเซอสตราสส์ มีหลายสาย เมืองนี้ตั้งอยู่ที่แม่น้ำเรียกว่าไมนซ์ กว้างเห็นจะสักเท่าคลองบางหลวง
มาหยุดกินเข้ากลางวันที่โฮเตล บ่าย ๓ โมงเศษเกือบ ๔ โมง จึงได้ไปเที่ยวดูรูปภาพตามแกละรี รูปดีๆ มีเขาก็ไม่ขาย รูปอย่างใหม่ที่ตุ๊กแกๆ เราก็ไม่อยากซื้อ เลยไม่ได้ซื้ออะไร ซื้อแต่รูปสีน้ำบ้างกับตุ๊กตาตัวหนึ่ง แล้วไปตามถนนใหญ่จนถึงที่สุดถนนแห่งหนึ่ง เปนสวนเรียกสวน ปาล์ม มีเรียกเงินค่าเข้าที่ประตู พอเข้าไปก็ถึงสวนไม้สีซึ่งปลูกเปนลายมีน้ำพุอยู่กลาง หลังสวนไม้สีนี้มีตึกหลังใหญ่ เปนที่สำหรับคนเข้าไปนั่งกินเข้า หลังตึกเปนสวนหลังคากระจกปลูกปาล์ม จัดเปนทำนองป่ามีน้ำพุที่กลาง ไม่ประหลาดอะไรกว่าที่เรามี เปนแต่ใหญ่ขึ้นนิดหนึ่ง ทำเมืองเราได้ง่ายแลงามกว่านี้ เว้นไว้แต่ต้นที่เปนใบอ่อนปลูกแทนหญ้าเห็นจะทนร้อนไม่ได้ แต่ของเราง่ายที่ปลูกได้ในดิน ของเขาต้องปลูกกระถาง ของเขาต้องใช้กระจก เราไม่ต้องใช้ ปาล์มเขาปลูกมาเก่าต้นใหญ่ๆ ออกจะโทรมแล้วก็มี เรือนปาล์มนี้ตั้งอยู่ในที่สูง ยกพื้นขึ้นไปเปนสองชั้น ชานดินทั้งสองชั้น ข้างเรือนปาล์มนี้ตั้งเก้าอี้เปนที่คนนั่งกลางแจ้ง มีคนนั่งเต็มแน่นไปทั้งนั้น เขาว่าเปนยิ้วเกือบทั้งสิ้น เมืองนี้มียิ้วถึงหมื่นห้าพันคน เปนคนมั่งมีโดยมาก ตึกใหญ่ๆ มักจะเปนของพวกยิ้วทั้งสิ้น ถัดเรือนปาล์มไป มีสวนปลูกต้นกุหลาบต่างๆ ยกพื้นสูงหน่อยหนึ่ง กำลังมีดอกสีต่างๆ ครืดไปทั้งนั้น ที่น่ารักมากคือกุหลาบเลื้อย เลื้อยขึ้นโค้งใหญ่เต็มโค้งได้จริงๆ มีดอกตั้งแต่โคนขึ้นไปจนกระทั่งถึงยอด กุหลาบต้นหนึ่งสูงประมาณสักสิบศอกเปนไม้เรือน ดอกเต็มต้นจนไม่น่าเชื่อ เหมือนจัดปักขวดฤๅจัดจาน หลังสวนกุหลาบนี้เปนที่สนามเล่นลอนเตนนิส เล่นได้ประมาณสักแปดวง เดินเลียบไปอิกข้างหนึ่งมีสระใหญ่ น้ำพุขึ้นในกลางสระ มีเรือสำหรับเล่น เดินวนไปรอบก็พอออกมาถึงประตูสวน ไม่ใหญ่กว่าสวนดุสิตตอนข้างน่า สระเล็กกว่าสระอโนดาด ในการจัดสวนเหล่านี้ไม่ยากลำบากอะไร มีสวนที่ใช้ไออบอุ่นอยู่ตอนหนึ่ง น่าสวนมีสระบัวปลูกบัวสายหยิบหยีน่าสงสาร เข้าไปในร่มหลังคาทำเปนโรงยาวกว้าง ปลูกปาล์มคล้ายกับหลังแรกที่กล่าวถึง แต่ที่ข้างฝาของโรงใหญ่นั้นห้องหนึ่งพอออกมุขยื่นไปเปนโรงหลังคากระจกเตี้ยๆ แต่ยาว ปลูกต้นไม้ที่ต้องการร้อน ใช้แรงไอน้ำซึ่งล่ามท่อไปรอบโรง เปิดให้ร้อนมากบ้างน้อยบ้างตามประเภทของต้นไม้ บางแห่งเข้าไปถึงเหื่อออก ต้นไม้ที่ปลูกในนั้นเปนไม้ดอกก็อย่างเดียวทั้งโรง ออกดอกครืดเต็มไปหมดดูงามดี ที่ใช้อากาศร้อนมากนั้นคือหน้าวัว ซึ่งปลูกไว้ครบทุกอย่าง เต็มทั้งหลังหนึ่ง หมากผู้หมากเมียหลังหนึ่ง คล้าหลังหนึ่ง พวกกระบองเพ็ชร์หลังหนึ่ง บัวต่างๆ รวมทั้งบัววิกตอเรียด้วยหลังหนึ่ง กล้วยไม้หลังหนึ่ง บอนหลังหนึ่ง ยังเจ้าพวกไม้ที่กินตัวสัตว์เช่นนกกระทุงต่างๆ ก็กันไว้หลังหนึ่ง ต้นไม้ในเรือนหลังนี้มันช่างไม่รู้สึกประหลาดอะไรเลยจริงๆ เพราะเหตุที่เราปลูกกลางแจ้งเปนหมดทั้งนั้น ไม่ต้องประดักประเดิดอะไร การประหลาดของสวนนี้ มันอยู่แก่ผู้ซึ่งเปนชาวเมืองนี้ เขาสนุกสนานตื่นเต้นกันมาก ถ้าเราดูออกจะคับแคบใจดูประดักประเดิด แต่ก็ทีจะตรงกันข้ามอยู่ ถ้าเราจะพยายามปลูกต้นไม้เมืองหนาวบ้าง คิดทำเรือนเย็นเห็นจะฉิบหายมากกว่าเขาทำร้อน
เดินเล่นนั่งเล่นอยู่ในสวนนั้นจนเกือบย่ำค่ำจึงได้กลับ มาแวะที่ร้านโลเวนทัล ซื้อของเครื่องทองกระจุกกระจิก ทุ่มหนึ่งกลับมากินเข้าที่โฮเตล เวลายามหนึ่งไปดูเซอคัสที่เทียเตอซึ่งอยู่ใกล้กับโฮเตล เดินไปนิดหนึ่งก็ถึง โรงนี้อยู่ข้างจะทำงามมาก ก่อด้วยศิลาทั้งนั้น ที่ดูข้างในก็ดี ไม่ต้องขึ้นสูง แลแบ่งชั้นแปลกกันกับเทียเตออื่นๆ ที่คนดูเปนวงกลม ถ้าแลดูตามธรรมดาก็เปนสามชั้น แต่เขาเปิดทางด้านสกัดแลด้านข้าง รวงขึ้นไปจนถึงเพดาน คงจะปันได้ ๗ ชั้นเหมือนกัน สเตชที่เล่นลครก็ใหญ่ ในโรงนี้ไม่ห้ามสูบบุหรี่ เจ้าของเซอคัสนี้ ชื่อ อาลเบอตชูมาล เล่นอยู่ข้างจะวิเศษพิศดารเปนอันมาก เมื่อแรกจะไปชายอุรุพงษ์ไม่สมัค อยากจะไปดูซิเนมาโตคราฟ ถึงไหนดูที่นั่นถูกฅอกับดุ๊ก ครั้นไปดูเข้าแล้วบ่นใหญ่ ว่าถ้าไปดูซิเนมาโตคราฟจะเหยยับยิ่งเสียกว่าไม่ได้ไปเมืองซุริค กลับมาเลยคลั่งกันกับดุ๊กใหญ่ อยากจะเอาไปเล่นบางกอกบ้าง ว่ากันฉุยอยู่จนดึก ทำนองที่เล่นนั้นดังนี้
พ่อไปเขาเล่นมาเกือบชั่วโมงหนึ่งแล้ว เล่นเปนเซอคัส เมื่อไปถึงกำลังคนต่อขายาวสูงประมาณสักแปดศอก เดินโย่งเย่งตามกันเปนแถว แล้วมีม้าใหญ่ห้าตัว ผูกเครื่องไม่มีคนขี่ ม้าเล็กสูงศอกเศษห้าตัว เทียมล้อเหมือนอย่างไบซิเกอล มีคนนั่งขับ วิ่งวนเวียนต่างๆ ลงปลายรถนั้นจอดพอระยะชั่วตัวม้า ม้าใหญ่กระโดดข้ามแล้วม้าเล็กลอดห่วง ม้าใหญ่ตัวหนึ่งม้าเล็กตัวหนึ่งวิ่งบนขอบสังเวียนที่พอจุตีน ม้าใหญ่กระโดดข้ามม้าเล็ก คนขี่ม้าทำท่าต่างๆ ตามเคย แต่เก่งกว่าที่เคยเห็น เรื่องม้ามันเปนเล่นเพื่อเหตุอยู่หน่อยหนึ่ง แต่ก่อนนี้ได้คิดเล่นกันขึ้นจนถึงไม่มีม้า คนดูพากันร้องติเตียนว่าไม่เปนเซอคัส จึงได้เกิดเล่นเซอคัสขึ้นในท่อนต้น เมื่อเวลาหยุดเล่นได้ไปดูม้า สัตว์อื่นก็มีแต่ไม่ได้เล่น สักแต่ว่ามีพอเปนพิธี ม้าที่มีเลี้ยงอยู่ในที่เลี้ยงชั้นต่ำของโรงถึง ๑๖๐ มีล่อเลี้ยงอยู่ด้วย
ตอนที่ ๒ จึงกลายเปนดรามะติก เปนเรื่องที่คิดขึ้นประกอบให้เข้ากันกับเรื่องม้า จะเล่าก็ออกจะเปนเอาอย่างหม่อมราโชทัยไปสักหน่อยหนึ่งแล้ว แต่เรื่องมันน่าเล่าอยู่ นึกว่าลูกคงจะชอบฟัง ความสังเขปดังนี้ มีพวกชาวป่าที่คอยลักยิงเนื้อในป่าหลวงอยู่มากด้วยกัน แต่ในครัวหนึ่งที่ในเรื่องนี้มีพี่น้องสามคน ยังอยู่แต่พ่อ แม่ตาย พี่ชายใหญ่ออกไปยิงเนื้อ น้องคนกลางรักอยู่กับผู้หญิงคนหนึ่ง ผู้หญิงนั้นกำลังมาหา แต่น้องคนเล็กออกจะเบาๆ เต็ง เอาปืนของพี่ชายคนกลางไปเล่น มือกระทบไกเข้า ปืนลั่นออกไป ครั้นเสียงปืนดัง เจ้าพนักงานรักษาป่าไม้สำคัญว่าผู้ร้ายลักยิงสัตว์จึงวิ่งมาจะจับ ถุ้มเถียงกันอย่างไรจนเจ้าพนักงานนั้นออกจากที่นั้นไปแล้ว มีกวางตัวหนึ่งซึ่งที่จริงถูกปืนแล้ววิ่งมา เจ้าคนที่ ๒ จะยิง นางผู้หญิงห้ามว่าเจ้าพนักงานเขาจะมาจับ เจ้าพนักงานได้ยินเสียงปืนลั่นครั้งที่ ๒ แลได้ยินเจ้าผู้ชายกับนางผู้หญิงนั้นพูดกัน สำคัญว่าชายคนที่ ๒ ยิงจึงหวนกลับมาจับ ชายที่ ๒ ก็ปฏิเสธว่าไม่ได้ยิง เนื้อมาล้มลงตายเอง จึงชัณสูตรปืนลูกก็หายไปลูกหนึ่ง เพราะน้องทำลั่นไปนั้น เห็นสมจริงจึงจับตัว ดิ้นกันชุลมุนหลุดไปได้ พวกรักษาป่าจึงเอาปืนยิงถูกล้มลง พอพี่คนใหญ่มาถึง มาโกรธเอะอะแล้วเป่าหลอดเรียกพวกขโมยด้วยกัน คิดจะแก้แค้น จึงหักกิ่งสนปัก ในเวลานั้นก็พอคนที่ถูกปืนนั้นฟื้นขึ้นแล้วเกิดฟ้าแลบ ใช้แสงไฟสว่างแวมๆ ลงมาอย่างสายฟ้า แปลว่าพาลจะปิดม่าน เปนสิ้นเรื่องกันเสียที
คราวนี้ตอนที่ ๒ มีการนัดไปยิงสัตว์ ลงมาเล่นในกลางวงที่คนดูข้างล่าง คือที่สังเวียนม้านั้น กั้นข่ายสองข้าง แขวนธง มีพวกนักเลงไปยิงสัตว์ที่เขาเรียกว่าพวกวันอาทิตย์ เปนแต่เก๋ๆ ไม่ใช่นักเลงยิงจริง ใช้ผู้หญิงทั้งนั้น ยืนบนขอบสังเวียนสองฟาก มีคนที่สำหรับไล่สัตว์ ที่เปนคนใครๆ จะไปรับอาสาช่วยก็ได้ เจ้าพวกขโมยนั้นไปรับอาสาช่วยไล่สัตว์ รายอยู่แถวน่าริมข่าย ดีดเกราะในมือดังสนั่น ในเวลาที่สัตว์มามีนกเฟซั่นเปนๆ จริงๆ วิ่งออกมาก่อน พวกนั้นก็พากันยิง แต่ไม่มีใครยิงถูกสักคนเดียว นกวิ่งไปตามข่ายหมด คราวนี้กระต่ายแล้วเนื้อออกมาเปนๆ จริงๆ ก็ยิงไม่ถูกเหมือนกันอิกทั้งสองคราว ในครั้งหลังที่สุดมีซิคแนลบอกมาว่าหมูป่าจะมา พวกนั้นก็ตั้งท่าจะยิง พอหมูป่าวิ่งออกมาก็ร้องกรี๊ดกร๊าดทิ้งปืนวิ่งหนีเข้าโรงหกล้มหกลุกไปหมด พวกขโมยเหล่านั้นก็ฉวยปืนได้ ยิงสัตว์ต่างๆ มีกระต่ายแลนกที่เปนแต่รูปโยนออกมามากก็ดีใจพากันไปจะไปกินเลี้ยง
คราวนี้เปิดม่านบนสเตชเปนเรสเตอรองต์ จัดการจะเลี้ยงกัน มีชาวเบอลินออกมาด้วย มีลูกอ่อน จะเลี้ยงดูอะไรลูกอ่อนนั้นก็ร้อง จึงเอานมมาให้กิน ใส่ขวดโตมีสายดูด มีตลกหลวงเข้าไปปลอมลงในเปลกินน้ำนมนั้นเสียหมดถึงสองคราว จึงจับได้ วิ่งหนีไป พวกขโมยนั้นก็ไปถึงพากันไปกินเลี้ยงอยู่ในนั้น เจ้าของเรสเตอรองต์อยากจะไล่พวกขโมย จึงแต่งคนมาร้องอึงแลตีกลองก็ไม่ไป จนเกือบจะเกิดวิวาทกันขึ้น คราวนี้พวกที่นัดกันจะมาเลี้ยงนั้นมา มีกระบวนแห่แมร์มาด้วย ขึ้นรถมาจากในโรงออกมาในสังเวียนเปนพวกๆ แล้วขึ้นไปบนที่เลี้ยงบ้างอยู่ข้างล่างบ้าง เลี้ยงกันแล้วเล่นเพลงไฮแลนด์ คือชาวเหนือ เต้นรำแลโบกมือไปโบกมือมาทั้งหมด ตบขากระทืบตีนเปนจังหวะ คนประมาณสักสองร้อย มันแกว่งไปแกว่งมาพร้อมๆ กันเหมือนกัน ดูงามดีมาก แล้วมีการแข่งขัน เล่นถีบชิงช้า ชิงช้านั้นเปนกระดานเช่นที่บ้านเรา แต่ยาวขึ้นได้ตั้งเก้าคนสิบคน ยืนโหนอย่างเดียวกัน ส่วนเงินที่สำหรับจะคาบนั้น ทำเปนรูปคล้ายๆ เรือฤๅรถ เอาขาหมูแฮมผูกไว้มีทั้งสองข้าง ถีบไปทางไหนก็คงโผไปรังไว้หมูแฮมนั้นได้ อ้ายขโมยพลอยขึ้นไปถีบด้วย คนที่ไปถีบเหล่านั้นไปไม่ถึง โดดไปก็พลัดตก เขาเอาผ้ารับ แต่เสียงมันดังอุบๆ น่ากลัวซี่โครงหัก คราวนี้ในพี่น้องสามคนนั้นคนหนึ่ง โดดไปถึงขาหมูแฮมได้ก็ตบมือโห่ร้องกันเซงแซ่ ต่อนั้นชกมวยมีขึ้น ต่อยกันบนแท่นหลายคู่ มีชาวเมืองเบอลินคนหนึ่งมากับเมีย ขึ้นไปสู้กับเขาบ้าง ทำท่าเก้กังเกะกะ ถูกจับเหวี่ยงลงไป ยายเมียเหยเข้าไปวุ่นต่างๆ เปนการเล่นตลก อยู่ข้างจะดีไม่ใช่เล่นอย่างที่เรียกกันว่ามวย คราวนี้ยิงเป้า เป้านั้นเปนรูปนกอินทรีตราเยอรมัน มีเจ้าพนักงานป่าไม้แลนายตำรวจภูธรยิงถูกแต่ปีกหาง อ้ายพี่ชายใหญ่ไปยิงถูกหัวแลมงกุฎพลัดตก ก็ตบมือเฮฮาเกรียวกราวกัน พวกพ้องก็เอาขึ้นบ่าหาม ถือถ้วยทองแห่แลเต้นรำกันในกำลังครึกครื้นอยู่นั้น มีฟ้าร้องฟ้าผ่าแลพยุใหญ่ลูกเห็บตก เสียงครืนครานเปรี้ยงปร้าง แลฟ้าแลบแวบวาบ ลมพัดต้นไม้ลู่แลสัตว์วิ่งถลากถลา ลูกเห็บนั้นปลิวออกจากเขาด้วยสีฝัดหมุนกระดาษปลิวว่อน ไฟไหม้ในตึกลุกโพลงๆ อยู่ข้างหลัง ต่างคนต่างตื่นแตกออกท่าตื่นต่างๆ
คราวนี้จับบทพวกโจรที่นัดกันจะทำร้ายพวกรักษาป่านั้น พยายามจะไปยิงชมัว (สัตว์ชนิดหนึ่งคล้ายเยียงผา) ตัวที่งามให้จงได้ ที่โรงนี้เขาทำตพานอย่างโรงโขนขึ้นไปจนเกือบชิดเพดาน ให้เห็นเปนเขาสูงที่น่าผาชันในสเตชก็เปนเขา นอกสเตชลงมาจนถึงที่วงกลางเล่นเซอคัสก็เปนเขา เปนตพานลงมาตลอด แรกปล่อยให้แพะสองตัวเดินตามตพานบนชิดเพดาน แพะนั้นซ้อมแล้ว เดินช้าๆ อย่างดูอะไรต่ออะไรไม่ตกอกตกใจ ทีหลังสามคนพี่น้องนั้น เดินไต่ตามขึ้นไป แพะก็เดินเลี่ยงจนลับเขา สามคนนั้นก็ขึ้นปีนเขา มีพลาดพลัดลงมาห้อยบ้าง ดูออกจะเสียวไส้ เมื่อถึงยอดเขาจึงยิงปืน พอเสียงปืนดังขึ้น พนักงานป่าไม้ก็ไต่เขาตามออกมา ข้างพี่น้องสามคนเอาเชือกหย่อนลงมาจากยอดเขา สองคนรั้งอยู่ข้างบน คนหนึ่งไต่เชือกลงมาจากน่าผาสูงถึงซอกเขาที่ต่ำ เอาตัวชมัวที่เปนทีว่ายิงตายตกลงมานั้นผูกโอบไว้กับตัว แล้วสาวเชือกกลับขึ้นไปเดินกลับตามยอดเขา พบพนักงานรักษาป่าเกิดยิงกันขึ้น เจ้าสามคนนั้นยิงเจ้าพนักงานรักษาป่าล้มอยู่บนทาง หัวห้อยลงมาที่น่าผา แล้วพากันกลับลงมา ที่พื้นโรงเซอคัสมีตำรวจภูธรแลพนักงานรักษาป่ามานั่งบังคันดินสูงประมาณสักศอกเศษ คอยจะยิงพวกโจรๆ สามคนนั้นก็ลงมา มาบังคันดินอยู่สองคน อิกคนหนึ่งนั้นไปเอาม้าตำรวจภูธรที่ผูกไว้ข้างล่างขี่ควบหนี พวกรักษาป่าแลตำรวจภูธรก็ไล่ ไปพบพวกที่ขี่ม้าไล่เนื้อก็พลอยไล่ตามไปด้วย เปนการสำแดงวิธีขี่ม้าขึ้นตพาน ออกจากทางข้างน่าโรงกระโดดข้ามคันดินสองคันใกล้ๆ กันแล้วขึ้นตพานตั้งแต่พื้นล่างขึ้นไปถึงพื้นโรง ขึ้นตพานแต่พื้นโรงไปจนถึงเพดานโรง ด้วยความว่องไวรวดเร็ว ม้าวิ่งหลายสิบตัว คราวนี้มีรถโมเตอคาร์แล่นขวางออกมา ขโมยที่ลักขี่ม้านั้นม้าตื่นพลัดตกลงในเหวตาย พ่อแลน้องสองคนกับผู้หญิงที่รักกับน้องคนกลางมายืนเศร้าโศกร้องเพลงอย่างยืนแขงไม่กระดิก เปนจบเรื่องกันเท่านี้
คราวนี้ต่อไป เปนฤดูที่ห้ามยิงสัตว์ พวกสัตว์ทั้งหลายชื่นชมยินดีเล่นเต้นรำ ออกเปนบาเลต์ พวกหนึ่งแต่งเปนผึ้ง พวกหนึ่งเปนแมงปอ เปนรังผึ้ง เปนต้นไม้มีช่อสำหรับผึ้งกิน ออกมาเต้นบนโรงชั้นบน จนจบเพลงแล้ว จึงเดินลงมาที่สนามเซอคัสข้างล่าง พวกอื่นก็ออกมาแทนอิก เปนหมู่กวางหมู่สัตว์ต่างๆ สวมหัวเหมือนอย่างเราเล่น ตัวแต่งต่างๆ แต่ใช้ผ้าที่พราวเปนเลื่อมสีต่างๆ พวกละ ๘ คน มีหัวน่าอย่างนางไม้นำ ออกมาเข้าเปนวงกันในสนามเซอคัส แลยืนรายขึ้นไปบนตพานจนตลอดถึงเพดาน เห็นจะออกหมดโรง สองร้อยเศษ คนที่มาเต้นเหล่านั้นถือเหมือนกับดุ้นฟืนคนละดุ้น เต้นไปเต้นมาสลัดดุ้นฟืนนั้นเปนช่อดอกไม้ รำช่อดอกไม้นั้นอิก ทีหลังตาข่างซึ่งหุบอยู่ในกลางสังเวียนคลี่ออก มีลูกกลมเล็กๆ สีเขียวสีแดงสีขาวพุ่งขึ้นมาแทนน้ำพุ ข้างบนที่เพดานมีสายเชือกห้อยย้อย แดงรอบหนึ่งขาวสองรอบ ตามสายที่ห้อยนั้นมีไฟฟ้าดวงเล็กๆ ติดรายลงมา หันไปรอบๆ เหมือนอย่างโคมเวียน แสงไฟฉายสู้ส้าออกมาจากในโรง หรูเปนกำลัง พอเสร็จการหรูนี้ก็เลิก เวลาห้าทุ่มเศษ กลับมาแล้ว ดุ๊กกับชายอุรุพงษ์คิดเล่นกันใหญ่เสียงตึงตังอยู่บนตึก
• • • • • • • • •
คืนที่ ๘๑
วันเสาร์ที่ ๑๕ มิถุนายน
เมื่อเช้านี้หนวกหูทั้งเสียงรถรางแลเสียงทำงานข้างที่นอนตื่นบ่อยๆ กินเข้าเช้าแล้วเวลา ๕ โมงเช้าไปเที่ยวซื้อของตามร้าน กลับมากินเข้ากลางวันที่โฮเตล เวลาบ่ายไปดูเมืองเก่า ซึ่งมีถนนซอกแซกแลมีเรือนโบราณเปนอันมาก ซึ่งยังคงอยู่ ที่ได้แก้ไขเปนใหม่ไปเสียในการขยายถนนก็มาก ที่เมืองนี้มีที่ซึ่งเกี่ยวด้วยการสำคัญหลายอย่าง ในสแควร์หนึ่ง เปนที่เก่ารอบข้าง ตรงน่าสถานที่ซึ่งสำหรับเลือกไกเซอคือเอมเปอเรอ เรือนเก่าๆ น่าดูนัก ได้เข้าไปดูในที่ซึ่งสำหรับเลือกไกเซอซึ่งพ่อเคยไปแต่ก่อนครั้งหนึ่งแล้ว คราวนี้ได้ซ่อมแปลงใหม่หมดทั้งนั้น รักษารูปเดิมไว้ แลได้ก่อต่อออกไปอิกทำนองเดียวกับอย่างเก่ายาวมากอยู่ ดูสอาดหมดจด ชั้นล่างจัดเปนเรสเตอรองต์สำหรับคนไปกินเข้า ในห้องที่มีรูปเอมเปอเรอทั้งหมด แต่ก่อนมีรูปเอมเปอเรอวิลเลียมที่ ๑ ทำด้วยศิลาตั้งอยู่ตรงกลาง เดี๋ยวนี้ย้ายไปไว้ที่อื่น เรื่องราวของที่นี้ ถ้าจะเล่าจะยาวไป ได้ซื้อสมุดภาษาอังกฤษส่งมาให้อ่านจะได้ความเลอียดดีกว่า
ออกจากที่นั้นไปสวนเลี้ยงสัตว์ ในสวนเลี้ยงสัตว์นี้ก็มีเรสเตอรองต์หลังใหญ่ตั้งอยู่ตอนข้างน่า ทำนองเดียวกันกับสวนปาล์ม ด้านหลังก็มีเตอเรสยกเปนชั้นๆ สำหรับคนนั่งเล่นแลกินอะไรต่างๆ ทำนองเดียวกัน มีคนไปนั่งอยู่เต็มแล้วตั้งแต่วัน ทางที่จะดูนั้นเริ่มข้างขวาของตึกเรสเตอรองต์ จับตั้งแต่นกพวกโนรี สัตวา เบญจวรรณ แลไม่มีชื่อ ไม่เคยเห็นล้วนพวกเกาะคอน แล้วจึงไปถึงไลออน เสือ สัตว์ที่คล้ายเสือ จนชมด เม่น หมดแล้วจึงถึงลิง ได้เข้าไปดูเอควาเรียม ซึ่งอยู่ขวามือก่อน เขาทำเปนซอกเขาเข้าไปจนถึงในถ้ำ เล็กกว่าแลไม่ดีกว่าเอควาเรียมที่เนเปอล แต่มีปลาประหลาดอยู่คู่หนึ่ง เขาเรียกว่าหมาน้ำ มีหน้ามีปากคล้ายหมา ตัวโตป่องกลาง รูปเปนฟัก มือมีเล็บเหมือนตีนหมา ขันที่มันเกาเปน ทำไมจึงได้รู้จักคัน ยกมือขึ้นเกาเหมือนหมา ทั้งเอควาเรียมมีประหลาดอยู่คู่เดียวเท่านั้น ขึ้นไปข้างบนอิกชั้นหนึ่ง เลี้ยงงู คางคก กิ้งก่าต่างๆ จนจรเข้เปนที่สุด มีทางลงมาเปนชานป้อม ในซุ้มเลี้ยงนกเค้าแมว ตามชานเนินรอบป้อมเลี้ยงพวกแพะแกะเยียงผา ชมัวแลย้าก คือจามจุรีที่มีขนยาว หลายตัว มีหมีขาว หมีดำ แลช้าง ช้างเปนช้างอาฟริกา หัวหลิมหูใหญ่รูปร่างกอมก้อน่าเกลียด เขาสอนให้หมุนหีบเพลงได้ ในหมู่ช้างนั้นมีฮิโปโปตอมัส จมอยู่ในน้ำ ล่อด้วยใบผักกาด ดูมันอืดอาดขี้เกียจกว่าจะขึ้นบกได้ กิริยาอาการเปนช้างแกมหมู เวลาจะให้อ้าปากอ้าอยู่ได้นานๆ มีขนายข้างล่างสี่ ข้างบนสี่ พิฦกแท้ๆ ในหมู่นี้มีแรด มีสัตว์ที่คล้ายแรด ที่เขาเรียกว่าหมูหลึ่ง ซึ่งเคยมีตัวหนึ่งที่บางกอกเมื่อเร็วๆ นี้ แต่นี่ตัวมันโตกว่ามาก นกเล็กๆ ต่างๆ ขังกรง นกใหญ่ปล่อย พวกเป็ดห่านปล่อยต่างหากคนละสระ พวกยิราฟแลเซบราตลอดจนแกงการู ที่สนุกมากนั้นคือแมวน้ำที่เราเรียกว่าแมวน้ำ ไม่ใช่หมาน้ำ เวลาโยนปลาให้กินโดดขึ้นเขาเหมือนมีตีนเดินได้ ดูมันว่องไวมากกว่าที่หน้าตาจะว่องไว ดูทั่วแล้วเดินขึ้นไปบนเรสเตอรองต์ หยุดกินน้ำ มีพวกเด็กๆ ยิ้วมาแอบมองร่ำไป
ในเมืองนี้มียิ้วมาก ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว เราเข้าใจว่ายิ้วนี้เปนฝรั่งที่ไม่นับถือพระเยซู เพราะเหตุที่แต่งตัวเปนฝรั่ง แต่ที่จริงมันห่างไกลกันมาก รูปพรรณก็แลเห็นได้ถนัด ความประพฤติแลทางทำมาหากินผิดกันกับฝรั่งใกล้ข้างแขก ในรุสเซียโปแลนด์เปนมากกว่าที่อื่น เปนเรื่องที่กาหลอยู่เปนนิจ
ว่าโดยรูปพรรณที่แลเห็นได้ถนัดคือจมูกโด่งเปนสันหักเปนลอนที่หัวตา พื้นเดิมเปนคนไปจากยรูซาเลม ซึ่งเปนเมืองที่พระเยซูสอนสาสนา ตามทางสาสนาคล้ายแขก คือรับศีลเข้าสุนัดไม่กินหมู จะกินสัตว์ต้องชำแหละ ภาชนะสำหรับหาอาหารต้องแยกกันกับฝรั่ง กินเหล้าน้อย ไหว้พระใช้ภาษาเฮบริว ที่หมอมิสชันนารีเรียกว่าเฮบราย เปนสาสนาชั้นก่อนพระเยซู นับถือมอสฤๅโมเซซึ่งเปนครูสาสนาคุ้นเคยกับพระเจ้า รับศีลสุนัดเปนอย่างเก่าซึ่งเซนต์ยอนถือว่าไม่ถูกตามแบบเดิมก่อนนั้นขึ้นไป จึงเปลี่ยนเปนรับศีลน้ำ ครั้นมหมัดเกิดขึ้นภายหลัง กลับเห็นว่ารับศีลสุนัดนั้นถูก รับศีลน้ำไม่ถูก จึงกลับไปถือรับศีลสุนัด แต่ต้นขั้วพระเจ้านั้นก็เหมือนกันทั้งแขกยิ้วฝรั่งแลแขกมัสลหมั่น ความรังเกียจที่ฝรั่งรังเกียจพวกแขกยิ้วเปนสองอย่าง ๆ หนึ่งรังเกียจด้วยสาสนา เพราะเปนศัตรูกับพระเยซู แต่ความรังเกียจเช่นนั้นก็เบาบาง มีความรังเกียจอิกข้อหนึ่งว่าพวกยิ้วสกปรก แลเปนคนคิดแต่หาเงินไม่ว่าดีฤๅชั่ว สุดแต่ได้เงินแล้วก็ทำได้ เช่นกับขายของเลวบอกว่าของดีเปนต้น แต่ธรรมดาเปนยิ้วแล้วหากินคล่องมีความเพียรมาก สงเคราะห์กันแลกันก็มาก คนในเมืองนี้ที่มั่งมีมากๆ เปนยิ้วเสียเปนพื้น ให้คนกู้ยืมเงิน ถ้าจะกู้ที่อื่นไม่ได้คงจะกู้ได้ที่ยิ้ว เอาดอกเบี้ยแรง ตั้งยี่สิบสามสิบเปอเซนต์ ผู้หญิงยิ้วโดยมากอยู่ข้างจะสรวย ผมดำตาดำ ยิ่งเด็กๆ มักจะหน้างามงาม แลเห็นรูปรู้จักว่ายิ้ว แต่ถึงรูปร่างจะคล้ายฝรั่ง ชื่อเสียงคงยังแปลก เช่นกับชื่อหะซันแลอะไรต่างๆ อย่างแขกๆ ถ้าจะเปนชื่อแซ่มักจะเปนคำที่เพราะๆ เพราะเปนชื่อที่คิดขึ้นใหม่ วันนี้เปนวันเสาร์ ซึ่งพวกยิ้วทั้งปวงถือเปนวันหยุดอย่างวันอาทิตย์ของฝรั่ง วันศุกร์ของแขก จึงได้มีคนมากที่สวนเลี้ยงสัตว์นั้น ร้านดีๆ ที่ขายของเปนยิ้วเสียเปนพื้น พวกยิ้วนี้ต้องถูกเกณฑ์เปนทหารเหมือนกัน แต่เปนผู้ต้องยกเว้นไม่ให้เปนนายทหาร เพราะเขาเห็นกันว่าเปนคนขี้ขลาดคิดแต่จะหาเงิน ในราชการฝ่ายพลเรือนข้างเยอรมนีนี้ไม่ใช้พวกยิ้วเลย แต่ที่เมืองอังกฤษใช้ จนกระทั่งถึงเปนอรรคมหาเสนาบดีก็ได้ ในรุสเซียถูกข่มเหงข่มขี่ลำบากบ่อยๆ
คนเหล่านั้นออกเริ่มจะดูกันขึ้น พ่อก็กลับมาโฮเตล กินเข้าแล้วสองทุ่มไปสเตชั่นขึ้นรถไฟ มาทางเมืองดามสตาดต์ ซึ่งเปนเมืองหลวงของแกรนด์ดุ๊กคัลเฮส เมื่อหยุดบ้านตามทางหลายตำบลแล้วจึงถึงไฮเดลแบ็ก คาลสรูห์ รัสตัตต์ ต้องมารอที่โอสตามเคย มาถึงบาเดนบาเดนสองยาม
• • • • • • • • •
คืนที่ ๘๒
วันอาทิตย์ที่ ๑๖ มิถุนายน
เวลาเช้าไปอาบน้ำแลรม เวลาเที่ยงแกรนด์ดุ๊กออฟบาเดนมาหาอิก เสด็จมาขอบใจในการที่ได้ให้ตราลูก เวลาบ่ายมิสเตอเวอนี[๑๖๔]มาหา อ้วนขึ้นเปนอันมาก เวลาเย็นลูกเขยมิสเตอกรุปที่ตายมาหา แล้วลงไปนั่งเล่นในสวน ออกเดินเที่ยวตามเคย กลับมาบ้านกินเข้า มิสเตอเวอนีมากินด้วย
กินเข้าแล้วเขามีอิลลุมมิเนชั่นที่คอนเวอเซชั่นเฮาส์ เปนการมีงานให้พ่อ เวลายามหนึ่งได้แต่งตัวอิวนิงเดรส ติดตราเมืองบาเดน เขาเปลี่ยนที่ให้จอดรถที่ถนนปลายร้าน คนดูเต็มตั้งแต่วิลลาไปจนถึงคอนเวอเซชั่นเฮาส์ เขากันทางให้เดินไปในหว่างคน วันนี้เปนการออกร้าน คนอยู่ข้างจะต้อนรับแขงแรงตลอด ไปนั่งที่น่าคอนเวอเซชั่นเฮาส์ ไม่แลเห็นอะไรนอกจากหัวคน มีดอกไม้เพลิง คราวแรกพเนียง แต่ปักมากๆ ให้รายเปนกอๆ จุดพร้อมกันหมดตลอดสนาม แล้วเป่าแตรไปเสียตอนหนึ่ง คราวที่ ๒ พลุด้ามสีต่างๆ จุดรายตลอดสนามเปนลาย คราวที่ ๓ ดอกไม้เทียนประดับเปน จ. ป. ร. ต่างสีฝอยทองเปนรัศมี มีกรวดแลตไลจุดพร้อมกันหมด เมื่อหมดดอกไม้สามคราวนี้แล้ว จึงนำให้ลงเดินดูแต่งไฟ ด้านข้างคอนเวอเซชั่นเฮาส์ทั้งสามมุข รายไฟฟ้าตามชายคาตลอด ยอดมุขกลางเปนอามบาเดน ซ้ายขวาเปนดาวมีรัศมี จุดด้วยแกสทั้งสามแห่ง เสาใหญ่ๆ มีโคมไฟฟ้าสีเขียวแลขาวสลับกันพันรอบทุกเสา ด้านข้างสนามใช้ถ้วยแก้วทาสีแดงแลขาว ผูกเปนลายหย่อมกลางงามมาก มีโคมรายเปนตัวหนังสือว่าไซแอม ตามอเวนิวตั้งโครงแผงไฟ ตามตเกียงแฟรีแลมป์ด้วยถ้วยแก้วสีต่างๆ พอลงไปถึงที่สนามเขาจุดดอกมตาดดอกใหญ่ ซึ่งเปลี่ยนสีในใต้ต้นไม้ที่ปลูกริมถนน คนเดินไขว่ไปมาดูงามจริงๆ เรื่องนี้เรายังไม่เคยเล่นในเมืองเราเลย เปนของที่น่าเล่นมาก เขาเกณฑ์ให้เดินไปรอบสนาม แล้ววนไปทางน่าร้าน กลับมานั่งที่เดิม ออกจะเปนนั่งไม่มีมูล ประเดี๋ยวหนึ่งก็แห่กลับทวนมาทางเดิมอิก แล้วกลับขึ้นรถมาวิลลา
• • • • • • • • •
คืนที่ ๘๓
วันจันทร์ที่ ๑๗ มิถุนายน
เวลาเช้าไปถ่ายรูปที่สวนเปนการทดลอง เพราะพ่อได้กล้องมาใหม่เรียกว่าปัลโมส์ เปนกล้องใช้ม่านตั้งง่ายเปนที่สุด แลรูปได้ดีที่สุด รักเหลือเกิน เปนกล้องที่คิดจะเอาไปใช้ที่นอรเว พอได้ถ่ายเห็นดีเข้า รู้สึกคิดถึงกรมดำรงก่อนคนอื่นหมด เพราะเปนคนเล่นถ่ายรูปไม่รู้จักเบื่อเหมือนคนอื่น ตกลงใจว่ากล้องชักรูปอย่างนี้เปนของควรหาไปฝากพวกที่เล่นชักรูปด้วยกันได้ จะวานหมอฟิสเตอสั่ง ออกนึกว่าตาหมอแกจะเห็นเราคลั่งอะไร ต้องอธิบายเสียก่อน ว่าจะเอาไปให้พวกพ้องที่ชอบถ่ายรูปด้วยกัน เพราะเราสั่งหลายกล้อง ราคาอันละสามร้อยม้ากเศษเท่านั้น ถ้ารู้ราคาจะดูถูกว่ากล้องเลว แต่จะรับสัญญาได้ว่าถ้าไม่ดีให้โยนน้ำ รูปที่พ่อถ่ายวันนี้ ไปล้างยังแช่อยู่ จะไปพิมพ์ที่ปารีส ถ้าพอพิมพ์ได้จะส่งเข้าไปให้ดูเปนตัวอย่าง พ่อเชื่อว่าผู้หญิงถ่ายได้ดีที่สุดเปนแน่ ขนาดก็ได้เลือกขนาดที่หากระจกง่ายในบางกอก คือเก้ากับสิบสองเซนติเมเตอร์ ถ้าหากว่าจะเสียได้ด้วยอย่างหนึ่งอย่างใดก็เสียด้วยกระจกเมืองเรามันไกลนัก ถึงกระจกจะไวสักเท่าใด ไปถึงเข้ามันอ่อนไปหมด ที่นี่กระจกอะไรๆ ไม่ว่า ออกจะใช้ได้เสียทั้งนั้น แต่มันก็มีถอยหลังอยู่บ้าง ในการที่ล้างแลพิมพ์อยู่ข้างจะช้ากว่าในบางกอกมาก ข้อนี้ก็เปนแต่เขาบอกเล่า เพราะพ่อไม่ได้ล้างเอง ถึงเมืองไหนต้องคบช่างถ่ายรูปเมืองนั้น แต่จะได้ลองทำเองเวลาไปในเรือ ได้เข้ามือกันกับหมอฟิสเตอให้หมอถือกล้องใหญ่ พ่อจะถือกล้องเล็ก
ไปอาบน้ำแลรม กลับมาทำงานจนเวลาจวนบ่ายโมงหนึ่ง แกรนด์ดุ๊กให้รถมารับ ขอให้อุรุพงษ์ไปด้วย จึงได้ไปกับบริพัตร รังสิต ข้าราชการในจำนวน แกรนด์ดุ๊กลงมารับที่รถ แกรนด์ดัชเชสควรจะรับบนต้นบันไดแต่อยู่ไม่ได้ ลงมาครึ่งบันไดด้วยความปรานีพ่อ ได้ขึ้นไปพักในห้องนั่ง จึงแปลออกว่าแกรนด์ดัชเชสไปคาลสรูห์เมื่อวานนี้ เพื่อจะไปหยิบของที่พ่อให้ไว้มาตกแต่งคาเซอลนี้ มีลับแลปักบังเพลิงเปนต้น คาเซอลนี้ ดูข้างนอกเหมือนอย่างเก่าคร่ำคร่ามาก เพราะความจริงก็เก่าจริง แต่ข้างในแกรนด์ดุ๊กองค์นี้เองได้แต่งงดงามมาก พ่อชอบในวิธีที่แต่ง ไม่ใช่เก๋อย่างใหม่ๆ ที่หันเบี้ยวไปเบี้ยวมา ตั้งอย่างตรงๆ แต่คั่นเปนเหล่าเปนตอน สมกับคาเซอล ทั้งงามทั้งสบาย เวลาเลี้ยงจัดห้องหนึ่งต่างหากเฉภาะแต่เจ้านาย นั่งโต๊ะกลมเล็กๆ ข้าราชการทั้งสองฝ่ายกินต่างหากข้างล่าง น่าดูในห้องนี้มีรูปเจ้านายต้นตระกูลทุกองค์ ที่กลางโต๊ะแกรนด์ดัชเชสได้เอาเครื่องถมขึ้นตั้งไว้ น่าพิศวงด้วยเรื่องความรู้ของแกรนด์ดัชเชส รู้อะไรๆ ในการเจริญขึ้นใหม่ในวิชาการสารพัดทุกอย่าง นับว่ารู้เท่าเวลาบ้านเมืองที่วิชาการดำเนินไป ไม่ได้ล้าหลังเลย อาจจะเล่าถึงเรื่องอะไรๆ ได้โดยเลอียดแม่นยำหมดทุกอย่างไม่ได้หยุด ตลอดเวลาเรานั่งกินเข้าได้ฟังต่างๆ แกรนด์ดุ๊กยังเอาใจใส่ในความเปนไปของการงานประเทศอื่นๆ ทั่วไป การสนทนาถึงไม่มีการตลกคนอง ยังได้ฟังเรื่องราวต่างๆ ซึ่งเปนข้อความมั่นคง แลประกอบไปด้วยความคิดความเห็น ไม่ใช่อย่างนั่งพูดกับคนแก่เลย เมื่อกินเข้าแล้วได้ลงไปข้างล่างที่ชาลาซึ่งพ่อได้ไปเฝ้าวันแรก ทั้งสององค์ได้ยอมให้พ่อถ่ายรูปด้วยกล้องใหม่ พ่อยังไม่พอ เพราะไม่ไว้ใจ ได้ให้กลับมาเอากล้องเก่าไปถ่ายซ้ำอิก ตกลงยอมทนให้ถ่าย แล้วให้ข้าราชการทั้งสองฝ่ายไปเฝ้าในที่นั้น แกรนด์ดุ๊กได้ให้เครื่องราชอิศริยาภรณ์แก่ข้าราชการที่ตามพ่อ พ่อก็ได้แจกข้าราชการในราชสำนักของแกรนด์ดุ๊ก มีความยินดีที่ได้รูปแกรนด์ดุ๊กแลแกรนด์ดัชเชสซึ่งถ่ายเมื่อปีกลายนี้ กับทั้งเหรียญที่อยู่ในสมบัติครบ ๕๐ ปี ทำงามจริงๆ กับหม้อซึ่งเปนฝีมือเมืองนี้ใบหนึ่ง กลับมาเวลาจวนจะบ่าย ๔ โมง
วันนี้ไม่ได้ไปไหนต่อไปอิก ทำงานเขียนหนังสือแลส่งรูปส่งสิ่งของต่างๆ นับว่าเปนสิ้นเขตรตอนบาเดนบาเดน ยุติเรื่องกันเพียงเท่านี้ จะได้ตั้งต้นแต่ปารีสต่อไปใหม่
จุฬาลงกรณ์ ป.ร.