พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๑๐

วิลลาโนเบล ที่ประทับณตำบลซันเรโม ดูจากด้านใน

วิลลาโนเบล ที่ประทับณตำบลซันเรโม ดูจากด้านใน

คืนที่ ๓๓

เมืองซันเรโม

วันอาทิตย์ที่ ๒๘ เมษายน

หญิงน้อย

เมื่อคืนนี้ออกจะตลีตลานรีบนอน เพราะตกใจว่าจะต้องมาแต่เช้า ครั้นรุ่งขึ้นถูกแสงสว่างเข้าทางน่าต่างก็ต้องตื่น เพราะน่าต่างอย่างฝรั่งดูเปนมีสำหรับให้เรือนงาม ถ้าบทจะโตก็โตใจหาย ซ้ำมีกระจกกรุเท่านั้นไม่ใคร่มีบานไม้ โดยแดดจะส่องมาทางนั้นก็ไม่เดือดร้อน กลับออกจะอุ่นๆ ดีไปเสียอีก ส่วนข้างอากาศเย็นนั้นเปิดเปนช่องแต่เล็กนิดเดียวก็พอ การเปิดน่าต่างมันจึงใหญ่เสียจริงๆ แต่พื้นขึ้นไปเกือบจดชายคา กรุกระจกตลอด ข้างนอกมีบานเกล็ดไม้โปร่งๆ ในการที่จะกันแดดแลบังตา เอาผ้าโปร่งขึงเต็มหลังกระจกแล้วมีม่านผ้าหนาสองข้าง แต่ม่านนั้นกว้างจากขอบน่าต่างข้างละสักคืบเดียว สักแต่พอให้เขาเห็นว่ามีม่านเท่านั้น จะชักจะรูดอะไรไม่ได้เลย จึงไม่มีอะไรป้องกันแสงสว่างไม่ให้เข้าในห้อง ต้องตื่นให้แต่เช้า ต่อ ๕ โมงจึงถึงเวลามาสเตชั่น รถไฟเปนอย่างรถอิตาลี มีรางทางเดียว นั่งมาในหลังเดียวด้วยกันหมด รถมาตามทางหยุดบ่อยเสียเหลือดี เพราะต้องหลีกกัน แลเข้าถ้ำจนเหม็นเบื่อ กำลังพูดอะไรๆ กันสนุกประเดี๋ยวก็เข้าถ้ำโกรกกรากดังจนพูดกันไม่ได้ยิน การที่เข้าถ้ำบ่อยๆ เช่นนี้ เพราะรถสายนี้เดินเลียบมาริมทเล บางแห่งราวกับว่าคลื่นจะซัดถึง เมื่อถึงเปนแหลมหัวเขายื่นลงไปในน้ำแห่งใดก็เจาะอุโมงค์ทุกแห่ง สุดแต่จะมาให้ริมน้ำใกล้ที่สุดเปนที่ตั้ง ทางสำหรับรถม้าเดิมเขามีอยู่แล้ว แต่เมื่อถึงเนินถึงชายเขาก็ไต่ขึ้นไปบนหลังเนินหลังเขา แต่รถไฟมันขึ้นสูงลงต่ำยากจึงต้องเจาะเขา น่าจะสงไสยว่าเหตุไฉนทางมีอยู่แล้วจึงไม่มาด้วยรถโมเตอคาร์ ขึ้นรถไฟให้ช้าทำไม ข้อนี้พ่อก็สงไสย แต่เมื่อถามได้ความว่าทางรถไฟที่ตัดมาผ่านทางเดิมร่ำไป ก่อนเวลารถไฟจะเดินเขาปิดทางที่ผ่านเสียนานๆ รถโมเตอคาร์ต้องมาหยุด คอยให้รถไฟไปแล้วเครื่องกั้นทางเปิดจึงไปได้ร่ำไป จึงได้ช้า ถ้าจะออกแต่เยนัวจะถึงซันเรโมต่อย่ำค่ำ รถไฟที่นี่ก็ช้าอืดอย่างเอก ช้าในเชิงหยุดบ่อย ดูในแผนที่คเนว่าทางควรจะเดิน ๒ ชั่วโมง มันเดินถึง ๔ ชั่วโมง ตามระยะทางที่มาไม่เปนป่า จะว่าเมืองติดต่อกันมาตั้งแต่เยนัวจนถึงซันเรโมก็ได้ แต่ไม่ใช่เมืองอย่างแน่นคลั่กคลั่ก เปนไร่ปลูกผักมีเรือนหยอดอยู่ตามกลางกลางไร่เปนเจ้าของเจ้าของไป ตึกที่นี่เปนตึกอย่างเรือนตุ๊กตา คือผนังขาวน่าต่างเขียวหลังคาแดงเปนพื้น เขตรที่กั้นเปนส่วนใช้กำแพงศิลาก้อนๆ แทนรั้ว เพราะถ้าจะใช้รั้วไม้แพงกว่าก่อกำแพงศิลา ในไร่เหล่านี้ปลูกผักต่างๆ ซึ่งจะออกชื่อทีจะไม่ถูก จนกว่าจะได้ไปเห็นถึงที่ แต่ในไร่เหล่านี้คงปลูกองุ่นด้วยทุกแห่ง องุ่นที่ปลูกนั้นเปนตอสูงประมาณสัก ๔ ศอกฤๅจนกระทั่ง ๖ ศอก โตตั้งแต่เท่าด้ามพายขึ้นไปจนถึงเท่าแขน ปีนี้ฤดูล่าพึ่งจะแตกยังไม่เดินเถาโดยมาก แต่เขาได้ปักไม้ค้างฤๅใช้เสาศิลาแทน แล้วปูร้านข้างบนเหมือนปลูกน้ำเต้าแลฟักทอง ที่เดินเถาแล้วบ้างก็มี จับโยงเปนเถาๆ ไป เขาเหลือไว้แต่สักห้าหกเถา ถ้าปล่อยให้เถาอยู่มากลูกเล็กไป ที่ซึ่งปลูกองุ่นแลทำไร่ผักเช่นนี้เปนที่หว่างเขาดินทราย ถ้าขึ้นเนินเขามีศิลาปนปลูกต้นโอลิฟฤๅต้นสน ต้นสนนั้นปลูกเปนป่าสำหรับตัดไม้อย่างปลูกต้นสักเมืองยวา บ้านคนมีเงินที่เปนเศรษฐีคหบดีอยู่ริมทางรถไฟก็มี ห่างทางโดยมาก ที่เห็นริมทางมักจะเปนตึกรูปต่างๆ มีสวนดอกไม้อยู่รอบรอบ ดอกไม้นั้นเปนไม้สีซึ่งปลูกให้มีดอกเสียในเรือนกระจกฤๅน่าร้อนก็ในไร่ แล้วจึงเอามาฝัง ไม่ใช่ของใครใครทำ มีที่ซื้อที่ขาย เมื่อต้องการจะให้มีดอกไม้หย่อมใดสีใด เรียกเจ้าพนักงานเขามาปลูกได้ทีเดียวตามความปรารถนา สุดแต่มีเงินเสียแล้วจะเอาอย่างไรเปนได้ทั้งนั้น มีหมู่บ้านซึ่งควรจะนับว่าเมือง คือมีท่าเรือด้วยสักสองสามตำบล ซันเรโมนี้ก็เปนตำบลหนึ่งซึ่งควรจะเรียกว่าเมือง มีตึกกว้านบ้านเรือนมาก มีโฮเตลใหญ่ๆ เพราะเปนที่พวกนักเลงเที่ยวมาพัก ผู้มีเงินมักมาสร้างฤๅซื้อบ้านเหล่านี้ไว้ ตัวมาก็อยู่ ไม่มาก็ให้เขาเช่า มีคนเช่าก็ไม่ตลอดปี ชั่วแต่ฤดู เรือกสวนอะไรก็ทิ้งร้างๆ ไว้ มีแต่ต้นไม้ใหญ่ เมื่อจะมาอยู่ฤๅจะให้ใครเช่า จึงแต่งทั้งเรือนทั้งสวน ในที่เช่นนี้ถนนรนแคมมักจะหมดจดสอาด เปนที่มาพักอยู่เงียบๆ ฤๅมากรอกันตามฤดู ตามชายทเลเปนเช่นนี้ตลอดไปจนกระทั่งเมืองฝรั่งเศส ตอนข้างฝรั่งเศสย่อมจะครึกครื้นกว่าข้างอิตาลี

เวลามานี้ไม่มีที่กินเข้าฤๅรถกินเข้าอย่างใด เขาจัดอย่างที่เรียกบาสเกตอันเราเคยแปลว่ากระจาด แต่ไม่ใช่กระจาด เปนกระจาดอย่างฝรั่งดังนี้ ตัวบาสเกตนั้นทำเปนรูปหีบสานด้วยหญ้าโปร่งๆ สูงสักศอกหนึ่งยาวสักศอกคืบ เอาลวดเหล็กผูกตามบุญตามกรรมพอฝาไม่หลุดจากตัว อาหารที่มีอยู่ในนั้นคือเนื้อไก่ย่างเย็นๆ ทั้งตัว หมูแฮมที่ต้มแล้วจืดๆ เนื้อโคเค็ม ลิ้นโค เนยแขงสามอย่างทั้งที่เปนหนอน เกลือพริกไทยใส่กรวยกระดาษผนึกเหมือนถั่วที่ขายในตลาด ของหวานมีผลไม้ แปร์ แอบเปอล ส้ม ภาชนะที่ใช้ จานเลวขอบน้ำเงิน น้ำโอเดอเวียง เปนน้ำแร่ที่เมืองเอเวียง แต่จืด ถ้วยทำด้วยกระดาษพับแบนๆ เวลาจะรินน้ำก็กางออก อย่างเอาใบตองตักน้ำกิน ผ้าเช็ดมือกระดาษ หมดเท่านั้น ตามแต่จะว่ากันไป ของขายตามสเตชั่น มีลูกสตรอเบอรีป่า ลูกแอบเปอลออกจะดีๆ แต่ลูกองุ่นมีเหี่ยวปรอดทั้งสิ้น รศชาติก็อย่างเดียวกับลูกเงาะเก็บเมื่ออ่อนๆ ด้วยอารามอยากจะได้เงิน

มาถึงซันเรโม เวลาบ่าย ๓ โมงไม่ถึงครึ่ง คนที่สเตชั่นแน่นเต็มไปทั้งนั้น โห่ร้องเกรียวกราวเปิดหมวกโบกมือตบมือเซงแซ่ มีลูกเอียดเล็ก[๑๐๔] ลูกแดง[๑๐๕] ติ๋ว[๑๐๖] เอียดน้อย[๑๐๗] พระยาวิสูตร[๑๐๘] พระวิภาค[๑๐๙] มาคอยอยู่ในที่นั้น ลูกเอียดเล็กไม่สูงขึ้นกี่มากน้อย เปนแต่อ้วนขึ้น ลูกแดงโตขึ้นมาก ตาติ๋วก็ไม่โตขึ้นนัก แต่อ้วนขึ้น ลูกเอียดน้อยสูงขึ้นสักหน่อยอ้วนขึ้น ทั้งสี่คนแก้มแดงด้วยหนาวมันเผา ขึ้นรถโมเตอคาร์กับเอียดเล็กแลเอียดน้อย ชายอุรุพงษ์ เยนตรา คนเกรียวกราวตลอดหนทาง

เรือนที่นี่นับเปนห้าชั้นทั้งชั้นล่าง ด้วยที่ตั้งนั้นแอบข้างเขาตะแคงอยู่ข้างหนึ่ง ด้านข้างหลังเรือนเปนสี่ชั้น ด้านข้างน่าเปนห้าชั้น ชั้นล่างเปนที่เลี้ยงข้าราชการแลครัว ชั้นรองขึ้นมาห้องข้างหลังเปนห้องคนพักที่ร่วมกระได แลมีห้องเขียนหนังสือ ห้องไว้ถ้วยชาม ด้านข้างน่ากลางเปนห้องรับแขก ห้องคอย ห้องกินเข้า มีเฉลียงด้านน่าแลด้านข้างฝากระจก ชั้นที่ ๓ มีห้องสองแถว แต่แถวหลังได้สองห้อง เพราะเปนกระไดเสียห้องหนึ่ง ในสองห้องด้านหลังนั้น เปนห้องอุรุพงษ์กับเสมอใจ[๑๑๐]สองคนต่อห้อง ห้องหลวงฤทธิกับหลวงศักดิสองคนต่อห้อง ด้านข้างน่ามีสี่ห้อง ห้องนอนพ่ออยู่ตรงชายอุรุพงษ์ ถัดมาอิกห้องหนึ่งเปนห้องเขียนหนังสือ ต่อไปเปนห้องพระยาบุรุษ ตรงกระไดเปนห้องแต่งตัวของพ่อ คำที่เรียกว่าห้องห้องนี้ ต้องเข้าใจว่ารูปพรรณสัณฐานเหมือนห้องมุขหลังแลมุขยาวพระที่นั่งอัมพร แต่เตี้ยกว่าแคบกว่ามีห้องละน่าต่างเดียวเท่านั้น เหลือเศษผนังพอตั้งเตาไฟ แต่มุมเรือนเปนหอกลมทั้ง ๔ มุม ชั้นล่างเขาเอาไว้เปนที่สำหรับนั่งเล่นฤๅเขียนหนังสือ ชั้นที่ ๓ ซึ่งพ่ออยู่ มุมข้างห้องนอนเปนที่ล้างหน้า เพราะจะตั้งตู้ล้างหน้าแลตู้แต่งตัวไม่ได้ในห้องนอน มุมข้างห้องแต่งตัวเปนห้องอาบน้ำ ต้องขึ้นจัน[๑๑๑]ไปสามคั่นทั้งสองแห่ง มุมข้างด้านหลังเขาก็ใช้อะไรกันตามความพอใจ ชั้นที่ ๔ เหมือนชั้นที่ ๓ เปนห้องบริพัตรแลเจ้าสามกรม[๑๑๒] กับเจ้าพระยาสุรวงษ์ ชั้นที่ ๕ เปนที่บ่าวอยู่ มีอิกหลังหนึ่งเล็กอยู่ข้างขวา สำหรับลูกเมืองนอก ๖ คน พระรัตนโกษา หม่อมนเรนทร์ แลพระยาวิสูตร หลังข้างซ้ายจรูญแลตาหมอ เครื่องใช้ในการกินแลครัวเปนของเราจัดเอง บ่าวไพร่เปนคนอังกฤษทั้งหมด เครื่องใช้คือทำถ้วยชามอย่างเลวๆ แต่ติดตราเสีย จะเอาไว้ใช้ที่ปารีสต่อไป แต่ขโมยได้จานน้ำเงินลายทองเช่นใช้ที่บางกอก ซึ่งทำแล้วมาใหม่มาใช้บ้าง บริเวณพื้นที่มีสวนอยู่น่าตึก ตัดทางลดเลี้ยวไปมีต้นไม้ใหญ่ๆ ตามโคนต้นไม้ใหญ่ๆ ซื้อต้นไม้ดอกมาแต่ง ไม่กว้างขวางเท่าไรก็ถึงรั้วน่าบ้าน ซึ่งเปนที่โรงรถอยู่ริมนั้น รั้วนี้ยังไม่สิ้นเขตรบ้าน แต่เพราะมีทางรถไฟผ่านเข้ามา ฟากข้างริมทเลเปนของบ้านนี้เหมือนกัน เปนสวนมีต้นไม้มีเขื่อนตกลงทเล ลักษณเกาะสีชังไม่ผิดอะไรกันนัก หมดสิ่งที่มีในบ้านเท่านี้ ที่น่าเรือนมีสระปลาเงินปลาทองหางซิวตัวเล็กๆ เห็นจะสักสองตัวได้ มีบ่อน้ำ มีเครื่องจักรสำหรับตักน้ำแต่หักโกรงเกรงหมดแล้ว สมมตกันว่าเปนมอนิเมนต์จรูญ คู่กันกับมอนิเมนต์กรมหลวงนเรศร์ที่บางปอิน[๑๑๓] ถึงว่าเปนเรือนเล็กๆ แต่อยู่สบาย พ่อไปเที่ยวเดินเล่นแล้วกลับขึ้นมากินน้ำชาแล้วได้อาบน้ำ ฤกษ์ไม่ดีมาหลายวัน แต่ไม่ได้อาบมาถึง ๗ วันแล้ว สกปรกเกือบจะปั้นชมภูพาลได้ตัวหนึ่ง กินเข้าทุ่มครึ่ง มีแต่ลูกกับเจ้าสามกรมเท่านั้น เพราะห้องเล็ก ได้โชรูปพระที่นั่ง แลอ่านนิราศกรมประจักษ์ วันนี้หนาวเต็มที ในห้องกินเข้ามือเย็นตีนเย็น ปรอด ๕๒ ต้องติดไฟทั่วทุกห้อง การติดไฟนั้นติดดื้อๆ คือมีเหล็กสองอันหัวเปนตุ๊กตาหมอบ ต่อไปข้างท้ายเหมือนรางรถไฟ แล้วเอากระดาษแลลูกปรงแห้งเปนเชื้อ เอาฟืนกองขึ้นไป สุมไฟกันดื้อๆ มีปล่องขึ้นไปตามผนัง เมื่อแรกสุมปล่องยังเย็นอยู่ ควันพ่นออกมาข้างน่าตระหลบไปทั้งห้อง ต่อปล่องร้อนจึงดูดไปขึ้นไปเอง ใส่ฟื้นเข้าไปก็ติดเอง ไม่ต้องพัดต้องก่อ มาคราวก่อนไม่หนาวเช่นนี้ สุมไฟก็เปนสุมไฟเล่น คราวนี้สุมจริง ของกว่าจะมาถึงช้า ต้องคอยกันอยู่เกือบ ๓ ชั่วโมง จึงได้จัดห้อง

• • • • • • • • •

คืนที่ ๓๔

วันจันทร์ที่ ๒๙ เมษายน

เมื่อคืนนี้นอนต้องแถมนวมอิกชั้นหนึ่ง เพราะหนาวเยือกเย็นเต็มที ฟ้าร้องกระหึมคืนยังรุ่ง ฝนฝรั่งตกประปรายตลอดคืน แล้วยังซ้ำตกกลางวันจนเวลาบ่ายไม่มีแสงแดดเลย เปนหวัดมาแต่วานนี้มีไอแลเมื่อยปวดสีข้าง ตอนเช้ามีแมลงวันมาตอมหน้าอยู่ตัวหนึ่งต้องไล่ปกกัน แล้วจึงหลับต่อไปอิก ที่นี่ดีด้วยมีม่านแพรเฉภาะหลังบานกระจก รูดขึ้นรูดลงได้ น่าต่างฝาเกล็ดค่อยสนิท กินเข้าเวลาบ่ายโมง ๑ เพ็ญมาไม่ได้ ปวดฟันไปเสียแล้ว เปนด้วยอะไรก็ไม่รู้ ใครออกมาต้องมาขลุกขลักกันด้วยเรื่องฟันทุกคน มิสเตอคาแนคกับมิสเตอเวสเตนกาดลา พระวิภาคมาหา ช่างตัดเสื้อเอาผ้ามาให้เลือกวัดตัดเสื้อใหม่ เพราะตั้งแต่มา ใช้เสื้อของดุ๊กสำรับเดียว เสื้อที่แซมป์สันตัดคับหมด ได้เลือกผ้าตัดใหม่สี่สำรับ กับให้แก้เสื้อกั๊กของเก่าบ้าง พอจะใช้ได้ตลอดจนกลับ

ได้กะโปรแกรมที่จะเดินทางต่อไปอิกเปนสองตอน ตอนต้น คือ วันที่ ๑๕ ออกจากซันเรโมไปเมืองตุริน แล้วไปเมืองเวนิส กลับมาเมืองฟลอเรนศ์ ขึ้นปาร์มาข้ามเขาอาลป์ ไปสวิตเซอแลนด์ พักเมืองโคโมหัวทเลสาบข้างหนึ่ง ตรงกันข้ามกับเยเนวาตามยาวของทเล แล้วเที่ยวลูเซอนฤๅลอซานแลที่อื่นๆ แล้วขึ้นไปมิลานเข้าเมืองฝรั่งเศส ประมาณว่าวันที่ ๔ ฤๅที่ ๕ เดือนมิถุนายน ในระหว่างเมืองอังกฤษกับฝรั่งเศสไม่แน่ แต่เมืองลอนดอนอากาศคงไม่ถูกกับโรคพ่อ ด้วยชื้นแลควันมาก ที่จะออกจากลอนดอนไป กำหนดไว้ว่าวันที่ ๒๖ จะไปขึ้นออสเตนด์ แล้วไปแฮมเบิค ข้ามไปเดนมาร์กทีเดียว บางทีการที่ไปนอรเวจะช้าไป จึงได้กำหนดลงว่าวันที่ ๒ เดือนกรกฏาคมออกจากโคเปนเฮเกน ไปคริสเตียเนีย ทั้งขากลับด้วยเบ็ดเสร็จพอเต็มเดือนกรกฏาคม แล้วจึงจะตั้งต้น ภาคที่ ๒ จับเมืองกีลขึ้นมาเบอลิน แลในเยอรมนีต่างๆ ซึ่งยังไม่ได้กะ แต่จะเอาแน่ยังไม่ได้ บางทีจะเปลี่ยนแปลงไป

หมอของรังสิต ซึ่งอยู่ไฮเดลแบคมาตรวจสองคน คนหนึ่งเปนโปรเฟสเซอ ชื่อไฟลเนอ คนหนึ่งชื่อฟิสเตอเปนผู้ช่วย คนแรกแก่เปนผู้ตรวจ คนที่ ๒ อายุ ๓๓ ซึ่งจะขอมาอยู่ประจำไปพลาง พูดอังกฤษคล่องทั้งสองคน ตั้งต้นตรวจนั้นคือให้เล่าอาการตามที่รู้สึกทั้งเก่าใหม่ จบแล้วให้ยืนที่ตรงน่าต่าง ดูในช่องจมูกเห็นว่ารูจมูกข้างซ้ายแคบ แต่ไม่มากถึงที่จะทำให้หายใจไม่คล่อง แล้วเอาช้อนกดลิ้นดูภายใน ว่าบวมตามหลอดที่ใต้ขาตะไกร คราวนี้ลงมือตรวจหัวใจ ให้ถอดเสื้อเอาแตรฟังทั่วทุกแห่ง ที่ตรงไหนตรวจแล้วกาไว้กับตัว แล้วตรวจปอดเคาะโขกในที่ต่างๆ ต้องหายใจแรงตามเคย เสร็จเรื่องปอดแล้ว คราวนี้ดูตั้งแต่ข้อตีนขึ้นมาจนท้องน่อง ลำขา ตลอดจนสันหลังถึงต้นฅอ กว่าจะสำเร็จกิจการตรวจนี้เกือบชั่วโมงหนึ่ง แล้วคราวนี้ชำระถึงเรื่องกินนอนทำงานต่างๆ ตกลงเปนเห็นรูปในชั้นแรกนี้ ว่าหัวใจดีปอดดี ข้อที่เมื่อยปวดนั้นเปนด้วยเนีฟ กล้ำเนื้อดี มีชำรุดอยู่แต่เรื่องจมูก ถ้าจะเรียกสปีเชียลลิสต์ ควรจะเรียกผู้ที่ชำนาญในการรักษาจมูกแลกระโหลกหัว แต่จะยังไม่ว่าแน่ จะขอตรวจอิกเวลาหนึ่ง ในเวลาตื่นนอนขึ้น ยังไม่ได้ลุกขึ้นจากที่นอน จะตรวจปัสสาวะ ทั้งที่ไปไหนกลับมาถึง แลเมื่อตื่นนอน กับอิก ๒๔ ชั่วโมง แล้วให้ยืนที่น่าต่างส่องดูใบหู ว่าใบหูซีดไป จะต้องตรวจโลหิต จะแทงเอาที่หูฤๅที่แห่งหนึ่งแห่งใดพ่อก็ตกลงยอม นัดกันพรุ่งนี้ แกเลยทุ่มเหว[๑๑๔]ว่าพ่อกลัวจะตายในสามปีนั้นไม่ตาย ถ้าผ่อนทำงานให้น้อยลงหน่อย นอนให้มากขึ้นอิกหน่อย จะอยู่ได้ ๘๐ พ่อก็บอกแกว่านี่เปนการทุ่มเหวของหมอตามเคย พ่อไม่เชื่อ แกไม่ยักฟังดันทุ่มไปอิก แกว่าที่ว่านี้ตามลักษณกำลังร่างกายที่จะเปนไปได้ตามที่แลเห็น เช่นกับรูปร่างแลหัวใจปอดหนุ่มกว่าอายุ เว้นแต่ถ้ามีโรคไภยอันใดกระแทกกระทั้นมา นั่นก็เปนธรรมดาอยู่เองที่จะอยู่ไปไม่ถึง ตาหมอคนนี้เปนคนโปรดของแกรนด์ดุ๊กแลแกรนด์ดัสเชสออฟบาเดน ไปเฝ้าตรวจพระอาการอยู่เสมอ ไปเฝ้าเมื่อวานซืนนี้ทูลเรื่องจะมาตรวจอาการพ่อ แกรนด์ดุ๊กแลแกรนด์ดัสเชสเลยสั่งมาถึง รังสิตบอกว่าทรงพระออดแอดทั้งผัวทั้งเมีย เพราะ ๘๐ แล้วทั้งคู่ ตาหมอนี่ไปรักษาอยู่ แกรนด์ดัสเชสนั้นถ้าไม่ทรงสบาย แต่ชั่วได้ข่าวว่าตาหมอนี่มาแล้วเท่านั้นก็รู้สึกสบายขึ้น เซอแปตริกแมนซัน หมออังกฤษก็มาถึงวันนี้เวลาบ่าย ๒ โมง แต่พ่อขอผัดไปพรุ่งนี้เวลาบ่าย จะถูกตาหมอเหล่านี้ตรวจอย่างเลอียดอิกสี่ห้าหนอยู่ข้างเดือดร้อน แต่ไหนๆ ได้ออกมาให้ตรวจแล้ว จะให้ตรวจเสียให้ถึงที่

ทุ่มหนึ่งแล้วขึ้นรถโมเตอคาร์ไปเที่ยว แต่เวลานี้กลับมีแสงแดดดีกว่าเมื่อกลางวัน แต่ก็หนาวชืดเต็มทีเพราะฝนตกยังค่ำ ทางที่ซันเรโมนี้มีสองสาย ที่เปนสายใหญ่ คือ ริมทเลสายหนึ่ง ดอนสายหนึ่ง นอกนั้นก็เปนแต่ทางขวาง ฤๅทางหลวงสำหรับไปเมืองอื่น ข้างอิตาลีเขาแบ่งทางเปนสามชั้น ชั้นที่หนึ่งทางซึ่งเปนท่าค้าท่าขาย ทางเมืองต่อเมือง ทางเดินกองทัพ เช่นนี้ใช้เงินรัฐบาล ถ้าเปนทางในเมืองนับเปนชั้นที่สอง ใช้เงินมิวนิสิเปอล คือค่าธรรมเนียมภาษีในเมือง ค่าไฟค่าน้ำ ถ้าหากว่าเปนทางที่เฉภาะเข้าในหมู่บ้าน เปนทางชั้นที่สาม เช่นทางไปที่ฝังศพที่เยนัว เก็บภาษีในอาหารเข้าออกตำบลนั้น เช่นเป็ดไก่เปนต้น มาทำทางอย่างนั้น ทางที่ไปวันนี้เปนทางใหญ่ทั้งสองทาง แต่เปนทางชั้นที่สอง แต่ดีกว่าทางชั้นที่หนึ่งเสียอิก ทางริมทเลอยู่เหนือทางรถไฟขึ้นมา โดยมากลงเขื่อนปูศิลากว้างๆ ปลูกต้นไม้เปนหย่อมเปนหมู่  สำหรับนั่งเล่นเปนของกลาง ฟากข้างในเปนบ้านเรือน วิลลาบ้าง โฮเตลหลังโตๆ หลายๆ ชั้น มีดินชานน่าบ้านแล้วก่อเปนเขื่อนศิลารับตรงที่ต่อกับถนน สูงบ้างต่ำบ้างตามแต่รูปเขา ทางที่เข้าบ้านมักจะตัดแหวะเข้าไปในพื้นที่ที่ต่อถนนระดับเสมอถนน แล้วผ่อนสูงขึ้นไปจนถึงน่าเรือนได้ระดับพื้นบน ตามขอบเขื่อนแลลานบ้านปลูกไม้สีต่างๆ เปนหย่อมบ้างเปนลายบ้าง สีเดียวกันบ้างสลับสีบ้าง ต่างๆ ตลอดหนทาง ต้นไม้ที่อยู่เหนือไม้สีนั้น ปลูกปามเปนพื้น ของเขาปลูกมานานจนต้นสูงๆ เหมือนต้นตาล ถนนแถวหลังอิกแถวหนึ่งเปนตึกแถวอย่างฝรั่งหลายๆ ชั้น มีร้านขายของเปนของมาจากอื่นทั้งนั้น พ่อได้ลองลงเดินระยะหนึ่งไม่สดวก เพราะคนมันรู้จักตอมดูนัก ขากลับมาแวะที่สวนปลูกต้นไม้ขาย ซึ่งเปนบ้านราษฎรแซกอยู่ในระหว่างบ้านใหญ่ๆ มีเปนอันมาก ถัดออกไปเมื่อพ้นเมือง ก็เปนสวนปลูกต้นไม้ขายตลอดไป สวนปลูกต้นไม้ขายเช่นนี้ ไม่ผิดอะไรกับสวนตาเยนกินที่คลองขุดใหม่ ใช้พูนดินเหมือนกันแต่ไม่มีร่อง เพราะที่มันเทตะแคงอยู่แล้ว แต่ต้นไม้มันช่างผิดกับบ้านเราเสียจริงๆ คือปลูกเปนต้นฤๅกอที่พอจุกระถางดินขนาดต่างๆ กะให้พอออกดอกพร้อมกันหมด ด้วยอาไศรยเลี้ยงกิ่งที่แขงลิดกิ่งที่อ่อนเสีย ตัดให้คงข้อพอเสมอกัน เมื่อแตกออกมาก็แตกพร้อมกันเท่านั้น กุหลาบต้นหนึ่งมันมีดอกพร้อมกันหมดตั้งยี่สิบสามสิบดอก ตูมบ้างแย้มบ้างบานบ้างทอยกันไป ต้นอื่นๆ ที่มีดอกเปนช่อใหญ่ๆ ดอกติดกันหมดเหมือนจัดพุ่มเครื่องนมัสการเปนแต่เตี้ย งามกว่าจัดดอกไม้หัวโล้นเช่นจัดกัน ที่เปนดอกเล็กๆ เช่นสโนดรอปก็ปลูกให้ชิดกันเปนกอ ดอกขาวแซกไปในเขียวเต็มทั้งกระถาง แต่เปนพ้นวิไสยที่จะพรรณาด้วยเรื่องชื่อหาใครถามไม่ใคร่ได้ อิตาเลียนเรียกอย่างนั้น ฝรั่งเศสเรียกอย่างนี้ อังกฤษเรียกไปอย่างอื่น นับว่าเปนดอกไม้สีที่หาที่สุดมิได้ เช่นกับแดงก็ตั้งแต่แดงแก่ แดงเจือเหลือง ม่วงสีต่างๆ ชมภู น้ำเงิน ขาว เหลือง ลาย แต่สีนั้นเปนพ้นวิไสยที่จะเห็นได้ในเมืองไทย พ่อได้พิเคราะห์ดูหนักแล้ว สีมันสดจริงๆ สดเหมือนกำมหยี่เหมือนแพร จนได้เห็น ได้ถูก ได้ดมรู้ว่าเปนดอกไม้จริงๆ ยังอยากจะเชื่อว่าทำด้วยกำมหยี่ฤๅด้วยแพรร่ำไป งามจนหลับตาลงก็เห็นเปนดอกไม้ เหตุที่มันสดใสงดงามเช่นนี้ เพราะอะไร เพราะแสงแดดที่นี่ไม่แรงสีไม่ตก ดอกไม้ของเราที่ว่างามสักเท่าใดเท่าใด เช่นกับกุหลาบสีชมภู ฤๅเหลือง ฤๅขาว มันมาปรากฎแก่ไนยตาว่าสีตก เหมือนอย่างกับเอาผ้าแพรฤๅกำมหยี่ออกทิ้งค้างไว้ในกลางแจ้งสีตกเช่นนั้น อิกอย่างหนึ่งมันสดจริงๆ กลีบชุ่มน้ำ ถ้าจะเอามาขยี้บีบจะได้น้ำในนั้นมากกว่าดอกไม้เมืองเรา ถ้าจะมีดอกไม้ที่จะเปรียบในทางสดกับดอกไม้เมืองฝรั่งได้ เห็นจะมีแต่ดอกบัวซึ่งพึ่งแย้มในเวลาต้องพระอาทิตย์ มีเครื่องป้องกันภายนอกกลีบข้างในสดได้จริง ในเรื่องปลูกไม้ดอกเมืองเรานี้น่าท้อใจเปนอันมาก ถึงจะได้กิ่งได้เม็ดไปปลูก คงจะไม่พ้นจากเซียลงแลกลีบอ่อนบอบแบบ ดอกไม้ฝรั่งเช่นกุหลาบบานออกเต็มที่แล้วทิ้งไว้ในห้องเท่าไรๆ ก็ไม่โรย เช่นสโนดรอป ถ้าเมืองเราเด็ดจากต้น ถือสักครึ่งชั่วโมงเท่านั้นก็หน้าคว่ำ นี่มันอยู่ได้ยังค่ำไม่ยักเหี่ยวแห้งอันใด อิกอย่างหนึ่งเรื่องกลิ่น ที่เรากริ้วว่าดอกไม้ฝรั่งไม่หอมนั้นก็อิกนะแหละ ที่จริงดอกไม้มันมีกลิ่นหอม แต่มันหอมสำหรับที่อากาศอ่อนๆ ไม่เผาน้ำในดอกไม้ให้เหือดแห้งไปเสีย ไปปลูกที่เมืองเรามันหายหอมหมด เพราะพอบานออกก็ถูกแดดเผาน้ำฤๅน้ำมันแห้งทันที ที่หอมอยู่ได้แต่ดอกไม้ที่มีน้ำมันมาก กลิ่นกล้า ถ้าเอามาปลูกในเมืองฝรั่ง จะกลายเปนเหม็นไปก็จะได้ ที่ซึ่งไปดูวันนี้ เขาเก็บดอกกุหลาบให้ดอกหนึ่งเลยต้องซื้อเขาสองกระถาง มันส่งเร็วแท้ๆ รถโมเตอคาร์เรามาถึงบ้าน ต้นไม้ก็มาถึงพร้อมกัน ได้ส่งให้นายมุ่ยวาดรูป จะส่งเข้ามาให้ดู อยากจะส่งต้นเต็มทีแต่มันเหลือวิไสย มีขันอย่างหนึ่ง เห็นหน่อกล้วยปลูกใส่ถังไว้สองหน่อ นึกว่ามันจะเอาราคาสัก ๕๐๐ ฟลอรินฤๅอย่างไร จึงลองถามดู ได้ความว่าหน่อละแปดฟลอริน ถึงเช่นนั้นก็ยังเก่งมากอยู่

กินเข้าวันนี้มีเข้าตั้ง คำที่เรียกว่าเข้าตั้งนี้เปนภาษาของชายบริพัตร คือเอาเข้าเปนขอบพิมพ์ เอากับเข้าวางภายใน เช่นกับมันตั้ง แลมีเนื้อนกเปนต้นอยู่ข้างใน เข้าตั้งเช่นนี้ย่อมจะดิบโดยมาก แต่ถ้ามาวันไรที่ในเรือทักกันว่าเข้าตั้งแล้วกับตันแกหน้าเรี่ยทุกที ด้วยแกกลัวจะดิบ แต่ผเอินไม่ยักดิบสักทีเดียว มาวันนี้มีเข้าตั้งเปนตากบบริบูรณ์เต็มที่ เลยเลิกไม่ได้กินกัน เรื่องกินเข้า ฝรั่งมันจะไม่ท้องขึ้นอย่างไร ถึงจะอี๊จะเขี่ยเท่าไร ก็เมื่อเข้ามันดิบมันเข้าไปในท้องสักช้อนหนึ่งก็ได้ท้องขึ้นกันเท่านั้น วันนี้มีลูกเชอรีแต่ไม่หวานเลย ยังชั่วกว่าภุมเรียงสักนิดหนึ่งที่ไม่เปื้อนปาก แต่ลูกองุ่นพอใช้ ลูกเล็กแต่ว่าหวานอยู่ เปนผลไม้มาจากอื่นทั้งนั้น พ่อให้นึกวิตกว่าจะหาอะไรให้ไม่ได้ พิจารณาดูหนัก ไม่เห็นมีอะไรดีกว่าดอกไม้ ฤๅจะว่าให้ถูกไม่มีอะไรนอกจากดอกไม้ นี่จะทำอย่างไรดียังนึกไม่ได้ แต่วันยังมีอิกหลายวัน ขอไว้คิดต่อไปก่อน

เรื่องที่ฝังศพที่มีรูปทลึ่งตึงตังขึ้นมาจากโลง เล่าเมื่อวันที่เยนัวนั้น เจ้าของรู้เข้าว่าพ่อชอบเลยส่งโปสต์ก๊าดแลก๊าดชื่อมาให้ ได้ส่งมาให้ดูในซองนี้ด้วย

• • • • • • • • •

คืนที่ ๓๕

วันอังคารที่ ๓๐ เมษายน

ตื่นขึ้นตาหมอยังไม่ทันมา นอนต่อไปอิกก็ไม่หลับ ตกลงเปนต้องให้ไปตามมาทั้งตัวครูแลลูกศิษย์ ตรวจบนที่นอน ในการตรวจวันนี้ซ้ำรอยอย่างเก่าอิก แปลกแต่ตรวจตอนขาแลตอนท้องถ้วนถี่ขึ้น แล้วจึงแทงเอาเลือดที่นิ้วกลางมือข้างซ้าย ก่อนที่จะแทงนั้นชำระนิ้วให้หมดจด แล้วเอาเข็มที่แกมีมาแทงเจ็บปลาบหนึ่ง แล้วรีดโลหิตให้ติดในแผ่นกระจกเล็กๆ สามแผ่นเอาน้ำลูบที่ตรงแผลปราดเดียวก็หายเจ็บ ได้ความว่าโลหิตจางไป จะเอาไปเข้ากล้องส่อง แล้วขอให้ลองนัดน้ำมัน คล้ายน้ำมันตานีในขวดบีบ บีบเข้าไปในจมูกแล้วเอามือปิดข้างน่าไว้ ให้สูดเข้าไปทั้งสองข้าง แรกๆ เข้าไปรำคาญเต็มที มันเฟอะฟะอยู่ในจมูกสักครู่หนึ่งจึงโล่ง คราวนี้เอาน้ำเงินชุบแปรงโตอยู่ มีก้านเงินโค้งยอนเข้าไปในฅอ ทาที่ลำฅอข้างละครั้ง ที่ทำดังนี้เพื่อจะให้เนิฟในลำฅอแลในจมูกหยุดกระดุกกระดิก เมื่อเวลานัดน้ำมันเข้าไปใหม่ๆ เสมหะตกสั่งออกบ้างขากออกบ้างเปนยวงๆ แต่จมูกไม่รู้สึกคัด เสมหะมันครอกแครกอยู่ในฅอต้องขากถ่มร่ำไป ยังไม่รู้ว่าจะมีผลอย่างไร ไม่ได้นัดยาเลย จนถึงเวลาเขียนหนังสือนี้ รู้สึกรำคาญ

ได้ขโมยขึ้นรถโมเตอคาร์ของรพี ซึ่งดูหน้าตาต้น[๑๑๕]อยู่ ไปกับชายบริพัตร ชายอุรุพงษ์ รพี แลพระยาบุรุษ กระโจมไปร้านขายโปสต์ก๊าดแลรูปต่างๆ ทีเดียว ซื้อได้รูปถ่ายแลโปสต์ก๊าด ซึ่งสั่งให้เขาบรรจุหีบส่งเข้ามา ได้ซื้อกรอบรูปต้นเข้ามาสำหรับให้เห็นว่าของที่ซันเรโมมันเลวถึงเพียงนี้ สิ่งที่ดีมีแต่ดอกไม้ แต่รูปดอกไม้ที่ให้นายมุ่ยเขียนได้ลงสี จะหาสีให้เหมือนดอกไม้จริงไม่ได้ มันแห้งแลอ่อนไปหมด พอเดินออกจากร้านที่หนึ่ง จะไปเข้าร้านที่สอง คนมาดูอยู่ที่น่าร้านเต็มเสียแล้ว เพราะรู้จักเหลือที่จะรู้จัก ไปเจอโปสต์ก๊าดรูปพ่อเอง ขายอยู่เสียที่ร้านนั้นแล้ว เดินเข้าไปอิกร้านหนึ่งที่หัวมุมซึ่งรถจอด คนยิ่งประชุมกันมากขึ้น มีผู้หญิงเยอรมันสองคนเข้าไปในร้าน ไปกระซิบถามเจ้าของร้าน ซึ่งนึกสงไสยอยู่แล้ว ไปพูดกับบริพัตรว่าเหมือนนัก เห็นกิริยาที่พูดกัน นางนั่นจะไม่ได้ยืนยันเปนแน่ นางสองคนและเลียมเข้ามาใกล้พ่อ ทำกิริยาเรียบร้อย ถามว่าพูดฝรั่งเศสฤๅ พ่อบอกว่าโน ถามภาษาอังกฤษติดเข้ามาทีเดียว ว่าลูกท่านไม่ใช่ฤๅอยู่ที่ไฮเดลเบิค พ่อนิ่ง เลยเล่าต่อไป ว่าเคยชอบกับญาติของเขาคนหนึ่ง ได้ให้สิ่งของ พ่อนิ่งฟังหัวเราะ คราวนี้ถามว่าท่านเปนกิงออฟไซแอมไม่ใช่ฤๅ พ่อก็พยัก คราวนี้เลยพล่ามใหญ่ จนต้องตีกินกลับมา เลยไปแวะที่โฮเตลเบลวู เพื่อจะกินเข้าให้แปลกที่ด้วย เพื่อจะเยี่ยมเพ็ญด้วย พบพระยาวิสูตร เซอแปตริกแมนซันหมอ กินเข้าอยู่ที่นั่น ได้นั่งโต๊ะกัน ๖ คนในพวกที่ไป พวกที่เลี้ยงอยู่ข้างจะช้ามาก กับเข้าก็พอใช้ได้อยู่ แต่มีเข้าดิบเปนครั้งที่สอง ที่โฮเตลนี้เปนห้าชั้นทั้งชั้นล่างคือชั้นลูกกรง พระที่นั่งอัมพรหลังสูงควรจะเรียกว่าสี่ชั้นฉันใด ที่นี่ก็ห้าชั้นฉันนั้น ชั้นที่สองเปนที่นั่งสองห้อง กินเข้าที่เฉลียงฝากระจก สิ่งที่ดีในที่นี้ คือมุลี่นอกกระจกที่เฉลียง ใช้สายเปนตกั่ว ชักขึ้นชักลงแนบเนียน ลมไม่พัดเทิบทาบ มีลิฟต์ขึ้นตรงกลาง แต่เปนลิฟต์สาวเชือก อย่างเช่นกล่าวมาแล้วแต่ก่อน ขึ้นไปเยี่ยมเพ็ญซึ่งอยู่ห้องนอนชั้นที่สาม ที่เขาเรียกกันว่าพื้นที่อยู่ เห็นนอนแฟบทีเดียว เรื่องราวที่เปนนั้น คือฟันมันขึ้นโค้งบวมปวด เลยนอนไม่หลับ แล้วเลยมีอาการอ่อนเพลียอะไรอย่างเก่ามา เซอแปตริกแมนซันไปพบจึงรับตัวไปให้เดนติสต์ถอนฟัน ถอนแล้วเสร็จยังบวมจนจับไข้ การที่ตกใจในเมื่อถอนฟันนั้น ตัวเองรู้สึกเหมือนอย่างกับว่าหัวใจได้หยุด แต่นั้นมาก็อ่อนเปลี้ยเปนลม ต้องเอาคนไปช่วยพระเสนีพิทักษ์ให้นั่งยาม หมอห้ามไม่ให้ไปไหนจนอากาศร้อนจัดจึงจะให้ขึ้นไปประเทศข้างเหนือ

ออกจากโฮเตลนี้เวลายังมีพอ ก่อนเซอแปตริกแมนซันจะมาตรวจอาการ เลยไปเที่ยวทวนทางกลับไปทางเมืองเยนัว เวลาไปตามทางต้องหยุด สำหรับรถไฟผ่านสามครั้ง แต่เปนเหตุให้แปลออกว่าเหตุใดรถไฟมันจึงผ่านกันบ่อยนัก ได้ความว่าการมันเปนเช่นนี้ ทางรถม้านั้นเปนทางเดิมเช่นกล่าวมาแล้ว ไปคดๆ เคี้ยวๆ คือต้องการจะให้ไปผ่านหมู่บ้านข้างริมน้ำ บ้านที่ทำนั้นไม่ใช่ก่อสร้างตีตรางเปนเมือง เปนบ้านเรือนที่ทำสำหรับไร่ ขนาดทับสองห้องอยู่กลางไร่ แต่หากก่อด้วยศิลาผิดกันเพียงเท่านั้น นี่เปนอย่างเล็กประปรายทั่วไปตามไร่ อย่างเขื่องขึ้นมาก็เปนตึกสี่เหลี่ยมรี พื้นอยู่ในสองชั้นฤๅสามชั้น ผนังทาปูนแดงขาวเหลือต่างๆ น่าต่างเล็กๆ ทาเขียว เปนเรือนก่อด้วยอิฐ ซึ่งไทยเราเรียกว่าตึก คำที่เรียกว่าตึกนั้นก็คือมาจากรูปร่างเช่นนี้ มุงกระเบื้อง โดยมากอย่างกระเบื้องกรมมหิศร เพราะแกมาถ่ายอย่างไปจากที่นี่ เรือนเหล่านี้ปลูกสุดแต่ให้อยู่ในกลางสวนกลางไร่ของตัว หันทิศใดทิศหนึ่งไม่มีประมาณ ยังมีโรงแฟคตอรีที่ทำการอิกโรงหนึ่ง ซึ่งวางเผะผะตามแต่จะเปนไป จนถนนเลี้ยวโค้งเปนลูกดาล อิฐที่ทำนั้นเปนอิฐรู แต่ไม่ใช่อิฐรูอย่างไทย ที่เจาะลงไปตามแบนเหมือนขนมปัง นี่เจาะตามขวางเหมือนหมอนรูบรรทุกเกวียนบรรทุกเรือที่จะไปจำหน่ายที่อื่น ถัดนั้นไปยังมีบ้านซึ่งเปนหมู่บ้านปลูกติดกันเช่นตลาด แต่คดๆ เคี้ยวๆ แลแคบ ชักโค้งจากชายคาถึงกันสองฟากถนน ว่ากันแผ่นดินไหวไม่ให้พัง ในกลางหมู่บ้านเช่นนี้ ทางเพียง ๘ ศอกเปนอย่างใหญ่ จน ๖ ศอก ๕ ศอกเศษก็มี บางทีมุมออกมายื่นอยู่ในกลางถนนต้องเลี้ยวหักทบ บางแห่งถนนฟาดลงไปริมทเลมาก ต้องเว้นตึกปลูกไม่ได้ โดยมากในที่ที่หมิ่นๆ เช่นนั้นตลิ่งพังกินเข้ามาในท้องถนนก็มี เขาเย็บถุงเอาก้อนศิลากลมๆ บรรจุในถุงทิ้ง บ้านที่ผ่านไปวันนี้เปนหมูติดต่อกัน ตอนแรกเรียกว่าทัดเจีย ตอนที่สุดเรียกว่าซันโตสเตฟฟาโน บ้านมากกว่ากันสักหน่อย เปนคนชาวบ้านนอกทั้งนั้น มีร้านขายของริมถนนเหมือนร้านชำ ขายผักเปนต้น จนกระทั่งไม้กราด ไม่ใช่ติดต่อกันไป นานๆ มีร้านหนึ่ง ตาแก่ตาเถ้าผู้ชายในแถบนั้นใส่เสื้อเชิ้ดเสื้อกั๊ก ไม่มีเสื้อชั้นนอก สีต่างๆ เปื้อนๆ หมวกผ้าๆ ผู้หญิงก็ใช้ห่มผ้าคลุมไหล่ตะแบงมานเปนพื้น มันน่าเอ็นดูแต่พวกเด็กๆ แต่งตัวปู้ยี่ปู้ยำเหมือนผู้ใหญ่ แต่หน้าพองโตๆ แก้มแดงไหม้เกรียม ซนปรากฎ ปีนโน่นขึ้นนี่เล่นอยู่ตามริมหนทาง น่ากลัวรถทับแข้งหักขาหัก เพราะทางที่ไปมันคดไปคดมา แลเรือนไม่เปนท่องแถวเช่นนี้ รถไฟทำทีหลังได้เลือกหนทาง ไม่ทำไต่ไปตามทางรถม้า เช่นรถไฟปากน้ำ แต่จะอาไศรยทำไปตามข้างทางรถม้าอย่างรถไฟปากน้ำไม่ได้ เขาจึงเลือกตัดใหม่ตามแต่จะเหมาะ ถ้าที่ไหนตลิ่งพังก็ปัดขึ้นไปข้างบน ที่ไม่พังก็เลียบลงมาริมน้ำที่สุดที่จะมาได้ วันนี้มีคนขี่ไบสิเกิลแข่งฤๅตามสามสี่คน เห็นจะเกือบตาย เปนพวกเซกันด์คลาสรุ่นหนุ่ม ขันที่เฟิสต์คลาสมันเลิกเอาจริงๆ เหมือนเมืองเรา ไม่มีใครขี่เลย วันนี้ไปตามทางผ่านดอกไม้มาก แต่จะเล่าก็ซ้ำ กลับมาทางเดิม

ถึงที่อยู่พบหมอแมนซันมาอยู่แล้ว ตั้งต้นตรวจอาการกันใหม่ คราวนี้ไม่ต้องเล่า ตำราเดียวกันนั่นเอง แต่เพราะแกเปนอังกฤษ พูดกับเราได้คล่องใจ ไม่ต้องประจงตัวเหมือนหมอไฟลเนอ กินเวลาตรวจเข้าไปยิ่งกว่าหมอไฟลเนออิกครึ่งหนึ่ง แกตำเข็มที่นิ้วกลางข้างขวา ตรงกันข้ามกับตาคนโน้น แทงเสียเปนสามแผล เอาเลือดไปหกแผ่นกระจก ข้อความที่สำแดงเปนความเห็นวันนี้ เห็นว่าไม่ชำรุดอะไรทั้งหัวใจแลปอด เสียง รูปร่าง กล้ำเนื้อ ดวงตา ยังหนุ่มกว่าอายุมาก ไม่มีไซน์อันใดซึ่งจะมีโรคถึงตายปรากฎเลย เรื่องจมูกว่าเหมือนกันกับหมอโน้น แต่หมอนี้ว่าไม่อยากจะให้กินยาอะไร อยากจะให้กำหนดอาหารแลนอนให้พอ แลลดทำงานให้น้อย ถ้าเปนเวลามาเที่ยวรักษาตัวเช่นนี้ ขอให้หยุดทำงานที่เปนการหนักหมดทุกอย่าง แต่อย่าให้นอนขี้เกียจ หาที่ไปเที่ยวทางไกลให้ทุกวัน เคยทำการอ่านเขียนอย่างไรมากน้อยเท่าใด ให้ทำให้เต็มที่เหมือนอย่างแต่ก่อนอย่าลดเลย แต่ให้เปลี่ยนเรื่องให้หมด ให้เปนเรื่องที่พอใจแลสนุก แล้วถามถึงเรื่องคิดถึงบ้านฤๅไม่ บอกว่าคิดถึง ไล่เลียงถึงทำงานอะไรบ้าง พ่อบอกว่าเขียนจดหมายถึงลูก ถามว่าผู้ใหญ่ฤๅเด็ก มีผัวฤๅถึงไม่เอามาด้วย พ่อว่าลำบาก แกก็บ่นเรื่อยทีเดียว ว่าควรจะเอาครอบครัวมาอย่าให้เปนห่วงถึงบ้านจึงจะดี ใครจะว่ากระไรก็ช่างเปนไร ขอให้พยายามที่จะนึกถึงบ้านแต่ในทางที่สบายใจ อย่าให้ใจแห้งใจฝ่อ อย่าให้โกรธ ถ้าใครไม่ชอบหน้าชอบตาก็เพิกเฉยหลีกเลี่ยงเสียบ้าง แกเชื่อว่านี่แลเปนยาดียิ่งกว่ายาอื่นๆ ขออย่าให้พ่อรีบตลีตลานกลับไปบ้าน ให้อยู่นานให้ได้พักมากสักหน่อยหนึ่ง นั่นแลเปนทางที่จะหายแน่ แต่เรื่องที่จะว่าให้แน่นอนลงไปว่ากระไรขอตรวจอิกต่อไปอย่างหมอไฟลเนอ ทีก็จะต้องไปที่อาบน้ำแลไปหาสเปชเชียลลิสต์เรื่องจมูกแผนเดียวกัน วันนี้ได้อาบน้ำครั้งที่สอง

โฮเตลเดอลาเรน

โฮเตลเดอลาเรน

• • • • • • • • •

คืนที่ ๓๖

วันพุฒที่ ๑ พฤษภาคม

หมอทั้งสามคนมาเวลาจวนเที่ยง แต่ไม่ได้ตรวจพิศดารอันใด มาบอกผลของการที่ตรวจโลหิตแลปัสสาวะ แลเขียนความเห็นมาอ่านให้ฟัง หมอแมนซันยังไม่ได้เขียนความเห็น แต่ฟังความเห็นหมอไฟลเนอ เห็นด้วย จะไปเขียนข้อบังคับจะไปปฤกษากันทำความเห็นร่วมกัน กล่าวสัมโมทนิยกถาอยู่ประมาณเกือบชั่วโมงหนึ่ง จึงได้นัดยาทาฅอแล้วกลับไป

ตอนเช้าวันนี้จะไปเที่ยวก็เกิดขัดข้อง ด้วยวันนี้เปนวันที่ ๑ เดือนพฤษภาคม เปนวันตามนักขัตฤกษ์ของพวกโซเชียลลิสต์ คือบุคคลจำพวกที่ไม่ชอบผู้มีทรัพย์มียศทุกๆ เมือง คนพวกนี้มีแห่ ถือธง ตีกลอง เป่าแตร เปนฤกษ์ที่เจ้านายผู้มีบรรดาศักดิไม่ออกจากบ้าน ด้วยกลัวจะกระทบกระทั่งชวนวิวาทกันขึ้น ถ้าเปนเมืองที่สำคัญๆ โทษถึงต้องเตรียมทหารประจำโรง ด้วยเกรงพวกนี้ เมื่อมากเข้าด้วยกันจะเที่ยวข่มเหงผู้อื่น ข้างอากาศก็เปลี่ยนใหม่ ตั้งแต่มาอยู่สามวันไม่เหมือนกันสักวันเดียว วันแรกหนาว วันที่สองฝนตก วันนี้ลมจัดตึงๆ คลื่นแรง แต่อากาศใสแจ่มแดดจัด นอนตอนหัวค่ำต้องเปิดนวม ตอนเช้าต้องเลิกแบลงเกตเสียชั้นหนึ่ง ลมมันเคยพัดยืนประตูอยู่นานๆ สังเกตดูต้นไม้ใหญ่ยอดเอนไปทางเดียวกันทุกต้น ออกไปเดินเล่นในสวนแลริมทเลถ่ายรูปคลื่นแลรูปกันเอง วันนี้ได้ถ่ายรูปโปรเฟสเซอไฟลเนอด้วย เพราะแกมาตรวจอาการเวลาบ่าย แลได้ชวนนั่งกินน้ำชาด้วยกัน รับจะเขียนบูเลตินสำหรับบอกอาการให้หนังสือพิมพ์ทราบ พรุ่งนี้จะมาส่ง แกสันทัดอย่างธรรมเนียม

เวลาเย็นหมอไปแล้วจะทนอยู่กับบ้านไม่ได้ต่อไป จึงขึ้นรถโมเตอคาร์ไปกับ รพี บริพัตร อุรุพงษ์ เยนตรา ด้วยกันเท่านั้น ไปทางตวันตกซึ่งจะไปในแดนฝรั่งเศสจนถึงที่แหลมอันหนึ่งลงมาตกน้ำ เปนที่รถไฟเข้าปล่องที่ตรงนั้นเงียบแลแดดส่องตรง จึงได้ลงเดินตากแดดเล่นตามคำแนะนำของหมอ แกว่าถ้าอยู่แต่ในที่ร่มจะทำให้เลือดน้อยไป แต่ก็เปนการประดักประเดิดในเรื่องเดินนั้น ด้วยลมพัดจัดเสมอ ประเดี๋ยวหมวกหลุด ประเดี๋ยวต้องเดินทวนหน้าตื้อ มันดีที่ไม่เหนื่อย เดินไปเท่าไร ๆ ข้อก็ไม่ล้า ถ้าเวลาขึ้นชันๆ หน่อยรู้สึกเหนื่อย แต่หยุดเสียประเดี๋ยวก็หาย หายไม่ต้องกินน้ำ เพราะที่แท้มันกินทางตัว คืออากาศที่เข้าทางปากฤๅทางจมูกรู้สึกเยือกเย็นเข้าไปภายใน เหมือนได้กินน้ำแขงหายเหนื่อย ข้อที่จะต้องเที่ยววิ่งหาน้ำกินนั้นเปนไม่มี เพราะฉนั้นในยุโรปฝรั่งจึงได้เดินทน ทำฤๅเล่นการออกกำลังที่เรียกว่ากรีฑาได้มาก มันเบาแรงกว่าที่จะทำในเมืองเรามากมายนัก เหมือนแนะนำให้ออกกลางแดดมันออกได้จริงๆ สบายจริงๆ โทษถึงไม่ออกไม่สบาย เอาไปแนะนำเมืองเรา ขืนทำมูมมามก็อาจจะจับไข้

เดินไปหน่อยหนึ่งถึงโรงสุรา ซึ่งตามหนทางเลียบทเลเหล่านี้ มีรายๆ กันไปตลอด คงจะปลูกอยู่ฟากถนนข้างริมทเล ซึ่งเปนน่าผาชันๆ ลอยอยู่ไม่ติดต่อกับโรงเรือนอื่นๆ เปนตึกพื้นดินปูกระเบื้อง ไม่ใคร่จะเกินสองห้อง ฤๅมีปะรำหลังคาอะไรต่อออกไปบ้าง แต่โรงที่พ่อแวะนี้เปนสองห้อง ห้องกลางตั้งชั้วมีขวดเหล้าต่างๆ มีโต๊ะสำหรับนั่งกินเหล้าสองโต๊ะ ห้องในเข้าไปอิกห้องหนึ่ง มีโต๊ะอิกโต๊ะหนึ่ง ที่พื้นเปนน้ำแฉะ เหมือนหิ้วถังน้ำเข้ามาหยดเปื้อน แต่ไม่มีน้ำ จะเปื้อนอื่นไม่ได้นอกจากเหล้าหก มีคนนั่งกินเหล้าอยู่หกเจ็ดคน เมื่อแรกไปถึงกินอยู่ห้องในก็มีห้องนอกก็มี นึกว่าทีจะมีคนเมามายอยู่ในนั้นบ้าง เดินเข้าไปดูท่วงที เห็นมันก็ดีอยู่ รู้สึกว่าเราเปนคนโตเข้าไปในนั้น ที่จะรู้สึกว่าเปนเจ้าเปนนายก็เห็นจะไม่ใช่ จะรู้สึกด้วยโมเตอคาร์ก็ไม่ใช่เพราะเราจอดรถไว้ห่างไกล ลุกขึ้นโจกเจกเดินออกไปนั่งห้องนอกเอง ตาเจ้าของโรงเอาเก้าอี้มาตั้งเอาผ้ามาปูโต๊ะต้อนรับไต่ถาม ถ้าจะบอกอย่างพระณรงค์วิชิต[๑๑๖] ก็ต้องว่าพูดกันเรื่องกินเหล้า คือถามว่ากินเหล้าอะไร พ่อรับทุกอย่าง อย่างหนึ่งนั้นเรียกว่า คิอันติ คือเหล้าแดงที่เปนขวดป่องๆ ฅอเล็ก มีฟางหุ้มอยู่ครึ่งขวด เช่นกับอีผู้หญิงในรูปเขียนที่ห้องแป๊ะเต๋งรินให้ตาแก่กิน เหล้าเช่นนี้มันขันอยู่อย่างหนึ่งที่ไม่ต้องใช้จุก กรอกเหล้าลงไปในขวดรูปเผลาะแผละ แล้วเอาน้ำมันออลิฟกรอก หนาประมาณกว่านิ้วนิดหน่อย ที่ปากเอาแต่กระดาษหุ้มไว้เท่านั้น เวลาจะรินเปิดกระดาษที่ปาก แล้วเอาหลอดแก้วคล้ายกับสูบน้ำอบฝรั่งแยงลงไปในปากขวด พอเสมอน้ำมัน แล้วดูดปลายหลอดด้วยปาก สูบน้ำมันขึ้นมาหมด แล้วเทลงเสียในถ้วยต่างหาก สำเร็จกิจการเปิดขวดกันเท่านั้น พ่อได้ชิมดู ดูรศชาติมันจืดๆ แต่เขาว่าเหล้าอิตาเลียนแล้วไม่บอกรศแต่แรก เว้นแต่เมาง่าย ได้ซื้อเหล้าเช่นนี้สองขวด ให้แก่ฝรั่งนักเลงเหล้าที่เขาอยู่ในนั้นเปนที่พอใจ รินแล้วลุกขึ้นยืนดื่มให้พ่อ คราวนี้ได้ว่าซื้ออย่างที่สองต่อไป เรียกว่า บาเบรา อามาบีลา สีเหลืองๆ เปนอย่างว่าเหล้าขาว แล้วมอบให้ท่านนักเลงเหล่านั้นอิก ยังอิกขวดหนึ่งที่เปนอย่างที่สามเรียกว่ามอสคาโต หวาน ก็ได้ให้ท่านนักเลงเหล่านั้นเขาอิก กว่าจะเปิดขวดที่สามแล้ว ขวดที่หนึ่งเกือบหมด คราวนี้ปรารภถึงตาเจ้าของไม่ได้ผลประโยชน์ จะให้อะไรแกดี ตกลงต้องไปสืบ ว่ามีผู้หญิงที่ขายเหล้าอยู่คนหนึ่ง เปนลูกเจ้าของร้านฤๅไม่ใช่ ได้ความว่าเปนลูก แล้วให้เงิน ๒๐ แฟรงก์ ออกจากร้านนั้นเดินต่อมาอิก จนถึงโรงอิกโรงหนึ่งเปนระยะกัน คราวนี้แกมีปะรำต่อโรงออกมา ไม่ได้เข้าไปในโรง หยุดแต่ที่ปะรำ ตาเจ้าของโรงอยู่ข้างจะต้อนรับแขงแรง แกจะเปนอะไรมาแต่ก่อน ฤๅกะไรๆ รู้ไม่ได้ เพราะพูดกันไม่ได้สักคำ แต่เห็นมีผ้าแถบเล็กๆ ติดที่น่าอกถึง ๔ อัน คราวนี้เราไม่เล่นเรื่องเหล้า ด้วยเห็นทีหนึ่งแล้วคงเหมือนกัน ลูกสาวเอาไข่มาเลี้ยง ไข่นั้นดิบๆ มีพริกไทยกับเกลือมาด้วย เมื่อแรกนึกว่าจะเปนแต่ซื้อมาต้มกินที่บ้าน นางนั่นมาเตือนให้กิน เราก็ไม่เข้าใจ เรียกจะเอาไข่สุกมันก็ไปเอามาให้ทั้งตะกร้า เพื่อจะให้เปนที่เข้าใจดีเจ้าของต้องเจาะแล้วดูดกินเปนตัวอย่าง เราจึงอ้อ กินลองดูบ้าง ของมันอร่อยดีจริง ไม้ซึ่งเราสำคัญว่าไม้จิ้มฟันเสียบอยู่กลายเปนไม้สำหรับเขี่ยไข่ โรงสุราโรงนี้เปนต้นทางที่จะลงไปออสเปดาเลตตีเปนสองแพร่ง ทางลงต่ำเปนทางไปเมืองเก่าซึ่งอยู่ริมน้ำ ทางขึ้นสูงเปนทางไปเมืองใหม่ พ่อเลือกลงทางเมืองเก่า เพราะขี้เกียจเดินขึ้นสูง แต่เขาห้ามไม่ให้รถโมเตอคาร์ลง หมายว่าถ้าเดินลงไปถึงที่เมืองเก่าแล้ว จะจับรถกลับขึ้นมาทางเมืองใหม่ พบรถโมเตอคาร์ที่ตรงทางแยก แต่ตาครูเจ้าของร้านเหล้าเอื้อเหลือเกิน เดินเผลอๆ ไปประเดี๋ยวมาเดินเสมอหน้ากันกับเราแล้ว ทีจะมาเปนเพื่อนด้วยความเอื้อเฟื้อ แต่จะเอาอะไรจากแกไม่ได้ เพราะพูดภาษาอื่นไม่เปนนอกจากอิตาเลียน ในกลางทางที่เหมือนตีนสพานลงมานั้น มีบอกขายที่ตัวโตๆ ทีจะซื้อที่ไว้ตัดขายอย่างเยนตรา พอตกเชิงสพาน เปนที่แยกทางรถไฟแลสเตชั่น ถัดนั้นเข้าไปก็เปนร้านตลาด ทำก็ไม่สู้เลว ออกใหม่ๆ แต่ช่างเงียบนักเงียบหนาไม่ใคร่พบคน แวะเข้าไปที่ร้านขายโปสต์ก๊าด ซื้อรูปแลโปสต์ก๊าดที่ส่งเข้าไปให้ ตาครูคนนั้นตามเข้าไปกำกับ เยนตราไปพบเข้าว่าแกเปนมเรง เลยถูกเกณฑ์ให้ล่อเอาแกไปส่ง ออกเรี่ยๆ อยากจะขอตัว เลยต้องยั่วว่าขี้ขลาด จึงได้ตกลงพาลับเลี้ยวมุมไปประเดี๋ยวหนึ่ง เราย้ายร้านไปใหม่ไม่เห็นมีอะไร นอกจากโปสตก๊าดกับรูปแลของขยี้ๆ พอเยนตราเลี้ยวมุมมาแลเห็นออกวิ่งๆ มาได้ครึ่งทาง อีตาขรัวคนนั้นวิ่งตามหลังมาแล้ว พอมาถึงถามว่าทำไมจึงจัดการเอาแกไปได้ บอกว่าชวนแกไปดูโมเตอคาร์ พอไปถึงมุมเอาเงินให้แกเสียดื้อๆ โบกบัดให้แกกลับเข้าใจว่าเปนที่ตกลงกันแล้ว ครั้นกลับมาแกก็วิ่งตามกลับมาอิก คราวนี้เรี่ยมากขึ้น ต้องเกณฑ์ให้ไปปล่อยตานั่นให้ได้ เยนตราไปแล้วพากันขึ้นกระไดไปอิกชั้นหนึ่ง ถึงชั้นที่เปนที่ตั้งโรงพยาบาลแลอะไรต่างๆ พอเดินเลี้ยวมุมก็เจอะเยนตรา บอกว่าปล่อยตาครูไว้ที่รถโมเตอคาร์แล้ว แต่ที่ไหน รถโมเตอคาร์จอดอยู่ถัดเยนตรามานั้นนิดเดียว ตาครูนั่นยืนกำกับโมเตอคาร์แต้อยู่ เราพากันขึ้นโมเตอคาร์ นึกว่าจะขับหนีแก ไม่ให้ทันแกโดดขึ้นไปได้บ้าง แต่ที่จริงบาป แกไม่ได้ตั้งใจจะขึ้นเลย พอเราขึ้นรถกันเสร็จแกก็เปิดหมวกคำนับ ออกสงสาร ขึ้นไปอิกชั้นหนึ่งจึงแวะที่โฮเตลเดอลาเรน

ที่ตำบลนี้ ถ้าจะให้เข้าใจง่ายว่าเปนอย่างไร น่าจะเปรียบด้วยเกาะสีชัง คือตัดเขาขึ้นไปเปนคั่นๆ เช่นนั้น แต่ต้องขยายส่วนให้กว้างกว่าเกาะสีชังหลายเท่า พอที่ถนนใหญ่แลตึกโตโตตั้งได้ ชั้นล่างนั้นทีแรกเราไปถึงคือแนวรถไฟแลที่ร้านไปซื้อของ แล้วขึ้นกระไดอย่างเกาะสีชังขึ้นไปอิกชั้นหนึ่งเปนหมู่ตึกใหญ่ๆ หลังนั้นขึ้นไปอิกชั้นหนึ่งตลอดน่ากะซีโน บ่อนฝรั่ง ซึ่งเปนที่ตกแต่งต้นหมากรากไม้หรู เพราะเปนที่ประชุมคนมาเล่นการพนันต่างๆ แต่เวลานี้ปิด ขึ้นไปอิกชั้นหนึ่งจึงถึงถนนแนวน่าโฮเตล การจัดโฮเตลได้เคยเล่ามาแล้ว นี่ก็ไม่ประหลาดอะไรกัน คือมีห้องนั่ง แต่เขาให้เราเข้าไปนั่งห้องใน ซึ่งอยู่น่าห้องอ่านหนังสือพิมพ์ เวลาสั่งกับเข้าเราก็เขียนหนังสือบ้าง ดูหนังสือพิมพบ้าง จนกับเข้าพร้อมกินด้วยกัน ๕ คน อาหารดีเปนการบรรจง เสียแต่ลูกไม้ ส้มเปรี้ยว ลูกแอบเปอลอ่อนร่วงเอง แต่ครั้นเวลาจะกลับ เมื่อพ่อเดินออกมาถึงห้องที่เขานั่งๆ กัน ที่ไหนพวกท่านยายท่านตาเหล่านั้นลุกขึ้นยืนคำนับถอนสายบัว ซ้ำลูกสาวของเจ้าของโฮเตลสองคนเอาดอกไม้มาถวายช่อโต นับว่าเปนสำเร็จกิจการต้น อย่างที่เขาจับได้ปลายมือเปนอย่างดี

ผลไม้ที่เล่าเมื่อคืนขาดไปเสียสิ่งหนึ่งตัวสำคัญ คือลูกโถที่ฝรั่งเรียกปีช วันแรกมาไม่สุก วันนี้ได้สุก ลอกเปลือกกินหวาน ไม่จิ้มน้ำตาลก็พอกินได้ รศชาติมันออกมะเฟืองนิดๆ ห่างแอบเปอล ใกล้เน๊กตริน ลูกแปร์อิกอย่างหนึ่งโตมากขนาดเท่ามตูมนิ่ม หน้าตานั้นสาลี่แต่อ่อนเคี้ยวไม่ดังก๊าวๆ ไม่ต้องจิ้มน้ำตาลให้หวาน รูปมันออกเปนภูๆ คล้ายแอบเปอล ไม่เปนชมพู่เหมือนสาลี่ ลูกเชอรีก็สำเร็จ ได้กินหวานแล้ว สีแดงเปนสีครั่งเหมือนอย่างที่เป่าด้วยแก้ว สีมันแก่กว่าที่แช่น้ำตาล ลูกสตรอเบอรีอย่างใหญ่โตกว่าลูกมะปริง เห็นจะเท่ามะปรางสามัญ ไม่ใช่ท่าอิฐ แต่ปลายหลิมตามรูปของมัน พ่อไม่รู้สึกว่ามันเหมือนแตงหนู ชอบกินอร่อย แต่บางคนรังเกียจ มีส้มแปลกมาอิกอย่างหนึ่งวันนี้ผิวเหลืองแสด รูปรีเหมือนส้มเทพรศ แต่ใหญ่เท่าส้มโอใบเล็ก เปลือกหนาแต่ไม่เท่าส้มโอ มีเปรี้ยวหน่อยๆ หวานชืดๆ ต้องกินกับน้ำตาล ออกจะกินได้บุญ เพราะมาแต่เมืองศักดิ์สิทธิ์ยรุซาเลม กลับมาถึง ๔ ทุ่ม

ถามกำหนดเมล์ไม่ได้แน่ เพราะสืบเปนอย่างอ่อนๆ พ่อเห็นว่าจะรอให้รู้แน่บางทีหนังสือนี้จะพลาดเวลา ป่วยการ จึงส่งเสียตอนหนึ่ง เมื่อไม่พลาดมันก็คงไปพร้อมกันเมล์เดียว

ความสนุกสนานอะไรมันไม่พอที่จะหักล้างความลำบาก ด้วยการที่ไม่บริบูรณ์ความเอื้อเฟื้อของคนที่รับใช้สอย ชวนจะให้เกิดความขุ่นเคืองอันหมอห้ามว่าเปนการแสลง ได้พยายามที่จะละหลีกโดยที่สุด แต่ยิ่งหลีกยิ่งเลวลง เหลือกำลัง ถ้าไม่เช่นนี้จะมีความสบายดี นี่กลับชวนให้คิดถึงบ้าน ต้องไล่อยู่เสมอ หาเวลาลืมมิได้ ที่เปนสำคัญนั้นเวลานอน เวลานี้ดึกแล้วขอลาไปนอนที ขอฝากความรฦกถึงผู้ที่รักใคร่ทุกคน

จุฬาลงกรณ์ ป. ร.



[๑๐๔] สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าอัษฎางคเดชาวุธ กรมขุนนครราชสิมา

[๑๐๕] สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรมขุนสงขลานครินทร

[๑๐๖] สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก กรมขุนเพ็ชรบูรณอินทราชัย

[๑๐๗] สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดช กรมขุนสุโขทัยธรรมราชา

[๑๐๘] พระยาวิสูตรโกษา ฟัก สาณะเสน อรรคราชทูตที่กรุงลอนดอน

[๑๐๙] พระวิภาคภูวดล ชาติไอรริช ชื่อแมคคาที เคยเปนเจ้ากรมแผนที่

[๑๑๐] เจ้าหมื่นเสมอใจราช อ้น นรพัลลภ (เดี๋ยวนี้เปนพระยานิพัทธราชกิจ)

[๑๑๑] จัน เปนคำแผลงหมายความว่ากระได

[๑๑๒] คำว่าเจ้าสามกรม ใช้กันมาแต่ครั้งกรุงเก่า ในที่นี้ทรงหมายว่ากรมหลวงประจักษฯ กรมขุนสรรพสาตรฯ กรมขุนสมมตฯ

[๑๑๓] คือที่ตั้งจักรลมสำหรับสูบน้ำ กรมหลวงนเรศร์ให้ทำขึ้นแต่ใช้ไม่ได้ จึงเรียกว่ามอนิเมนต์

[๑๑๔] ทุ่มเหวหรือทุ่มเปนคำแผลง หมายความว่ายอ

[๑๑๕] คำว่า ต้น เปนคำแผลงหมายความว่า อยู่ข้างเลว

[๑๑๖] พระณรงควิชิต จอน บุตรสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ แต่งไว้ในจดหมายเหตุราชทูตไทยไปเมืองฝรั่งเศส เมื่อรัชกาลที่ ๔

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ