พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๓๓

พระราชวังที่เสด็จประทับที่เมืองคัสเซล

พระราชวังที่เสด็จประทับที่เมืองคัสเซล

คืนที่ ๑๓๖

พระราชวังชลอซเรสิเดนต์ เมืองเฮสคัสเซล

วันศุกรที่ ๙ สิงหาคม รัตนโกสินทรศก ๑๒๖

หญิงน้อย

เวลาเช้า ๒ โมงเศษออกจากเบอลิน มาแต่บริพัตรแลข้าราชการในจำนวน อุรุพงษ์แลเจ้านายอื่นๆ อยู่เบอลินคืน ๑ แล้วล่วงน่าไปปารีส รถม้าแลรถไฟเปนรถหลวงทั้งสิ้น มีมหาดเล็กประจำตัวให้ใช้ตั้งแต่ออกจากเบอลินไป ระยะทางแถบใกล้ๆ เบอลินดูท้องที่ไม่ใคร่ดี เปนทรายมาก เพราะฉนั้นจึงมีป่าสน แลไร่เข้า ‘ไร’ มาก ต่อนั้นมาแผ่นดินค่อยดีขึ้น มีไร่ปลูกผักมาก จนเมื่อจวนจะเข้าในเขตรแดน เฮสคัสเซล ค่อยมีเขาขึ้นทุกที แต่ไม่ใช่เขาสูง เปนเขาที่ปลูกต้นไม้เต็มบริบูรณ์บนยอด ตอนล่างลงมาเปนไร่นาดูอุดมดี งามขึ้นทุกที เมืองคัสเซลตั้งอยู่ในท้องทุ่ง แต่วังวิลเฮมสเฮอตั้งอยู่บนสันเขา แลเห็นแต่ไกล รถมาเร็วไปต้องมารอๆ อยู่หน่อยหนึ่ง สเตชั่นไม่ได้อยู่ที่เมือง อยู่ในระหว่างกลางย่านของเมืองแลเขา เอมเปอเรอมาคอยรับที่สเตชั่น แต่งยุนิฟอมครึ่งยศ ประดับเครื่องราชอิศริยาภรณ์แต่เฉภาะดวงที่ห้อยสร้อยจักรี แต่ไม่ได้แขวนสายสร้อย ใช้แขวนติดคออย่างตราเยอรมัน ไม่ได้ติดสตา กับเยเนอราล วอลเปลตเตนเบิก ซึ่งเปนผู้มาอยู่ประจำ เยเนอราลผู้นี้ เอมเปอเรอว่าเปนเคอเนลกองที่เอมเปอเรอเปนเมเยออยู่ก่อน แล้วเลื่อนตำแหน่งอยู่ในที่ใกล้ๆ กันเปนชั้นๆ มา จนภายหลังได้เปนอินสเป็กเตอในการแม่นปืนไรเฟอล เปนออทอริตีใหญ่ในเรื่องปืนไรเฟอล มีเสนาบดีว่าการต่างประเทศ ข้าหลวงเทศาภิบาล สมุหราชองครักษ์ ราชองครักษ์ ๒ ผู้บังคับการทหารมณฑล เมื่อได้นำให้รู้จักกันทั้งสองฝ่ายแล้ว เอมเปอเรอได้ส่งพระราชสาส์นอย่างเต็มที่ให้พ่อ ว่าได้ยอมให้บริพัตรอยู่ในบาญชี เรจิเมนต์ เอมเปรส ออกัสตากาดเกรนเดียที่ ๔ ทั้งอนุญาตให้แต่งยุนิฟอมด้วย แล้วได้พาไปขึ้นรถโมเตอร์คาร์ รถที่นั่งหลังนี้ ๗๐ แรงม้า รูปร่างเขื่องมาก ทาขาว มีเก๋งด้านน่า แต่ด้านหลังเปิด มีสิ่งสำคัญซึ่งเปนของเฉภาะรถเอมเปอเรอหลายอย่าง คือกระจกด้านน่า เจาะเสียเปนวงกลมเปิดปิดได้ สำหรับพูดกับคนขับไม่ต้องชโงกทางน่าต่างฤๅใช้หลอดพูด มีอิมปีเรียลสแตนดาด ปักไหมติดเสาน่ารถ มีแตรสามเลา เป่าเฉภาะกำหนดเสียงว่าเปนขบวนเสด็จ มีโคมรถติดน่ายอดเปนมงกุฎ มีตรามงกุฎเขียนท้ายรถ คนขับรถมีอาร์มติดที่แขนแลมีเอโปเล็ตอยู่ข้างจะงามมาก แต่เวลาที่ไปจากสเตชั่นขึ้น ๒ คนแต่กับพ่อ มีราษฎรมาแน่นเต็มไป โห่กันมาก ขึ้นไปตามถนนตรงจนถึงเขา เลี้ยวที่น่าพระที่นั่งไปเข้าด้านหลัง เอมเปรสแลเจ้าหญิงลูกเธอท้าวนางเฒ่าแก่ ๒ คน รับอยู่ในห้อง คุณท้าวคนนี้ เคยอยู่ประจำเอมเปรสมาแต่ครั้งก่อน จำได้ รับราชการมาถึง ๒๖ ปีแล้ว ตั้งแต่แรกแต่งงาน พอนำข้าราชการของเราเฝ้าเอมเปรสแล้ว เอมเปอเรอ เอมเปรส เจ้าหญิงลูกเธอ พ่อ แลบริพัตร ได้พากันเดินออกจากพระที่นั่งไปในสวนแต่ลำพัง จนถึงที่ในหมู่ร่มไม้ซึ่งเปนที่เสวยเช้า ตั้งโต๊ะเลี้ยงน้ำชาในที่นั้น มีมหาดเล็กเฝ้าเครื่องอยู่คนเดียว แต่ไม่ได้ทำอะไร เอมเปรสรินน้ำชา ในการเลี้ยงนั่น เจ้าหญิงลูกเธอเปนผู้เลี้ยงเอง ที่นั้นเงียบสงัด จนมีหนูออกมาเที่ยวเดินยุ่มย่ามเล่นได้ เอมเปรสโปรดหนูนั้น โยนขนมให้กินเสมอ นั่งสนทนากันเล่นด้วยเรื่องต่างๆ มีเรื่องเมืองนอรเวเปนต้น เอมเปอเรอว่าเมื่อเวลาไปเที่ยวอยู่ใกล้ๆ กันที่เมืองนอรเว จะรับพ่อที่ฮาเมอเฟสต์ ที่ทางเลวเต็มที ไม่ถูกพระไทย จึงได้ตั้งพระไทยไว้ว่าจะรับที่เบอลินฤๅที่นี่ เพราะเหตุที่นึกว่าพ่อจะชอบเห็นเมืองนี้ ด้วยบริพัตรได้เคยมาเล่าเรียนวิชาทหารประจำอยู่ในที่นี้ เหมือนกันกับพระองค์ เอมเปอเรอเอง ได้เคยมาอยู่เปนนาน เพราะฉนั้นจึงได้โปรดที่นี้มาก เอมเปอเรอได้พบลัปคนที่พ่อได้ถามเปนคำให้การ เอมเปอเรอก็ได้เอาไปถามเปนคำให้การเหมือนกัน เจ้าคนนั้นซัดถึงพ่อ ว่าเคยชำระมาครั้งหนึ่งแล้ว กลับอวดต่อไปว่าได้ยินพูดภาษาไทยกัน ตัวเข้าใจบางคำ ตีคอเปนมาจากเมืองข้างเหนือของจีนด้วยกัน แต่พวกลัปนี้ได้มาอยู่เมืองนอรเวก่อนพวกนอรวิเยียนได้มา ชั้นเดียวกับพวกฮังเกเรียน เอมเปอเรออยู่ข้างจะออกชมว่าพ่อเที่ยวเก่ง เอมเปอเรอยังไม่เคยเที่ยวกรตลิน ซักไซ้ไล่เลียงว่าขึ้นทางไหนลงทางไหนดี พ่อแนะนำให้ขึ้นทางเมร็อก มาลงวิสเนส ตกลงว่าจะไป รวมทั้งหมดในการสนทนากันเปนที่สนุกสบายดี จนเวลาเกือบชั่วโมง ๑ จึงได้พากันเดินตามถนนในสวน ที่สวนนี่งามเต็มที เพราะวังนี้ตั้งอยู่บนเขาซึ่งปราบลงเปนลานอยู่กึ่งกลางยอดเขากับพื้นดิน หลังพระที่นั่งด้านข้างภูเขานั้น ปลูกต้นไม้ใหญ่ๆ ต่างๆ ตั้งใจจะมิให้ซ้ำกันมาก เปนป่าครึ้ม น่าป่าไม้เปิดเปนลานหญ้ากว้างใหญ่ ตามหญ้านั้นแหวะเปนช่องปลูกไม้สีต่างๆ เฉภาะตรงสูนย์กลางพระที่นั่ง แลขึ้นไปทางบนเขามีน้ำพุขึ้นสูง เปนน่าอัศจรรย์ เอมเปอเรออวดว่าไม่ใคร่มีน้ำพุแห่งใดในยุโรปที่จะสูงกว่านี่ เพราะเหตุที่ไม่ได้ตั้งแกนท่อขึ้นไปสูงแล้วให้ไหลตก ใช้ท่อพอสูงกว่าน้ำในสระนิดเดียวเท่านั้น น้ำพ่นขึ้นไปเหมือนไฟพะเนียงเปนฝอยเลอียด เฉภาะถูกเวลาที่อาทิตย์จะตก ฉายแสงถูกน้ำพุนั้นสว่าง งามน่ารักจริงๆ น้ำพุนี้สูงเห็นจะถึง ๑๕ วา เหนือยอดเขาตรงนั้นขึ้นไป ก่อเปนทางน้ำตกเปนรูปป้อมกลายๆ บนยอดของป้อมนั้นมีรูปตุ๊กตา เฮอรคุลีสหล่อด้วยทองแดงใหญ่ตั้งอยู่ เขาถางต้นไม้ให้เปนทางตรงขึ้นไปตั้งแต่น้ำพุจนถึงป้อมนั้น แลดูจากหลังพระที่นั่งจะงามกว่าเชินบรูนที่เวียนนาอิก สวนนั้นรักษาสอาดอย่างยิ่ง เดินจนรอบ ถึงที่เล่นลอนเตนนิส แลโรงกระจกปลูกต้นไม้ แล้วจึงมาบรรจบมุมพระที่นั่งข้างเหนือซึ่งได้ตั้งขบวนรถโมเตอคาร์ไว้ ข้าราชการทั้งฝ่ายเขาฝ่ายเราได้พร้อมกันอยู่ณที่นั้น

เอมเปรสเสด็จขึ้น เอมเปอเรอกับพ่อขึ้นรถโมเตอคาร์นั่งข้างใน บริพัตรกับเสนาบดีว่าการต่างประเทศนั่งน่า ข้าราชการอื่นๆ ขึ้นรถต่อๆ ไป ขับรถไปตามทางขึ้นเขา ที่บนเขานี้มีโฮเตลซึ่งเปนที่สำหรับคนไม่สบายขึ้นมาอยู่รักษาตัว เพราะฉนั้นจึงมีผู้คนเกรียวกราวโห่ร้องเสมอทั่วไปทุกแห่ง รถขึ้นเขาไปตามทางเวียน อยู่ข้างจะกว้าง แต่รถม้าที่นี่ไม่ตื่นรถโมเตอคาร์เลย เฉยทีเดียว ขึ้นไปจนกระทั่งถึงป้อมที่ทำให้น้ำตก น้ำดูน้อยไปกว่าที่ทำท่าทางไว้จะให้ไหล เพราะมีที่เกิดน้ำพุน้อย ทำให้นึกถึงเมืองนอรเวเสียจริงๆ หยุดลงดู ที่นั้น ใช้ก่อด้วยศิลาซึ่งเอมเปอเรอว่าเปนศิลาเขาไฟ สังเกตดูว่าเขาในเมืองคัสเซลนี้เห็นจะเกิดขึ้นด้วยเขาไฟ หยุดกลับรถในที่นั้น ในเวลากลับรถนั้นยืนดูวิ้วเมืองคัสเซล มีถนนสายใหญ่ ตรงขึ้นมาน่าวัง เพราะเหตุฉนั้นเมื่อยืนอยู่ที่น้ำตกนี้จึงแลเห็นตรงลิ่วจนสุดสายตา บ้านเรือนตึกรามเปนหมู่กลมอยู่สองข้างถนนนั้น มีป่าไม้เปนแขนยื่นออกไปข้างขวายาวเปนป๊ากที่พื้นราบถัดออกไปวงนอกเปนเขาล้อมรอบ แลมีซ้อนออกไปข้างหลังสูงอิกชั้น ๑ เฉภาะเวลาพระอาทิตย์จะตกแสงแดดจับอยู่ที่ตรงหย่อมเมือง ดูงามจริงๆ กลับลงจากเขาตามทางเดิม เวียนพระที่นั่งไปลงถนนกลางสายที่แลเห็นนั้น ตอนข้างใกล้เขามีต้นไม้ใหญ่เปนป๊ากแหวกเปนช่องตรงถนน มีพื้นหญ้าสองข้างดูงามแลเปลี่ยว ถัดไปอิกจึงถึงหมู่บ้านเรือนเปนหย่อมๆ จนถึงประตูเมืองเก่า เข้าในเมืองตึกจึงปลูกติดๆ กันตลอดมีผู้คนแน่นหนา เอมเปอเรอได้ชี้เรือนที่เคยเสด็จอยู่เมื่อเวลาเล่าเรียน แลร้านที่เคยซื้อสมุดเรียน ที่อยู่แลที่เรียนของบริพัตร วังที่พ่อมาอยู่นี้ แลโรงสำหรับไว้ต้นส้มที่เรียกว่าออเรนเจอรีแลเนียเตอ ซึ่งกำลังสร้างอยู่ แต่นั้นต่อไปเข้าในป๊าก ป๊ากนั้นแคบแต่ยาว ปลูกต้นเชสนัตเก่าแก่ลำต้นโตๆ ตลอด ถนนงามจริงๆ มีสระใหญ่ขุดคดเคี้ยว ถ้าน่าร้อนสำหรับตีกรรเชียง น่าหนาวสำหรับวิ่งบนน้ำแข็ง ที่รอบสระนั้นเปนป่าไม้หย่อมแลลานหญ้า เพราะที่ยาวมาก ถึงคนจะเข้าไปเท่าไรๆ ก็เงียบ ในป๊ากนี้เปนที่สำหรับนักเรียนมานั่งอ่านหนังสือในเวลาน่าร้อนได้ ไม่มีความรบกวนอันใด กลับจากป๊ากนั่น ขึ้นไปตามทางเดิม ไปที่วิลเฮมสเฮอ ถ้าจะเทียบช่างเหมือนกับเมืองราชบุรีเสียจริงๆ แลเห็นเข้าก็นึกถึง ขาดแต่แม่น้ำ เมืองนั้นเปรียบเหมือนตั้งอยู่ริมแม่น้ำ มีถนนตัดตรงขึ้นไปถึงเขาแดงจัน ถ้าตั้งวังบนเขาแดงจันแล้ว จะเหมือนกันกับที่นี่ไม่มีผิดเลย แต่ไม่ใช่ตั้งบนยอดเขาแดงจัน ตั้งบนกึ่งเขาแดงจัน หน้าตาหนทางที่ขึ้นไปตอนที่ในเมืองก็มีตึกราม ถัดขึ้นไปเปนท้องทุ่ง แล้วจึงเข้าในหมู่ไม้ จึงถึงภูเขาไม่มีผิดกันเลยละ

เอมเปอเรอพาพ่อไปให้พักที่ห้องเอมเปอเรอเฟรเดอริก ซึ่งได้จัดไว้โดยเรียบร้อยอย่างดี แล้วพาบริพัตรไปห้อง เดินตรวจเที่ยวมองไปทุกหนทุกแห่ง ดูเอาพระไทยใส่มาก เมื่อกลับทุ่ม ๑ แล้ว นัดเวลา ๒ ทุ่มเปนเวลาจะเลี้ยงค่ำ อยู่ข้างจะเล่นหัวหยอกเอินกับบริพัตรมากเปนเจ้าเข้าเจ้าของทีเดียว พ่อได้ทูลว่าจะส่งลูกแดงมาถวายอิก รับแขงแรง ยังซํ้าไปกระซิบบริพัตรให้คิดอ่านเตือนพ่อให้ตกลงส่งเสียเรวๆ จะได้หาครูบาอาจารย์ให้สอน บรรดานักเรียนทหารอยู่ข้างจะโปรดปรานมาก เอาเปนธุระจริงๆ กำชับแล้วกำชับเล่าให้ส่งมาอิก นายรัตน์[๒๐๑]ที่มาเรียนอยู่ที่นี่คนหนึ่ง ก็ถามว่าถ้าพ่อจะให้มาดินเนอจะได้เรียกมา

เวลา ๒ ทุ่มครึ่งไปดินเนอ มีเจ้าเมืองวอเตมเบิกคนหนึ่ง เปนผู้ซึ่งจะได้สืบราชสมบัติเมืองวอเตมเบิก เพราะเจ้าแผ่นดินวอเตมเบิกไม่มีลูก มาเปนนายทหารอยู่ที่นี่ เชิญมาด้วย ได้นั่งข้างเอมเปรสคู่กันกับพ่อ เจ้าคนนี้ยังหนุ่มมาก แต่พูดภาษาอังกฤษเต็มที ดังโฮกฮากปนเยอรมัน ฟังไม่ใคร่เข้าใจ จึงไม่ใคร่จะได้สนทนากัน เลี้ยงวันนี้แต่งครึ่งยศติดเครื่องราชอิศริยาภรณ์ เปนแต่ยกถ้วยดื่ม ไม่ได้สปีช พ่อค่อยเบาโล่ง ดินเนอแล้วเอมเปอเรอพาพ่อออกไปสูบบุหรี่ที่เฉลียงน่าพระที่นั่ง สนทนากันอยู่ในที่นั่นด้วยเรื่องต่างๆ ตอนนี้เปนเรื่องอาราม พ่อได้ขอให้เซนพระนามทั้งสององค์ แล้วเอมเปรสเสด็จขึ้น พากันออกไปสูบบุหรี่ข้างนอกอิก เอมเปอเรอพูดราชการกับเสนาบดีว่าการต่างประเทศแล้วสนทนากับผู้อื่นต่อไป พ่อได้สนทนากับเสนาบดีว่าการต่างประเทศบ้าง เคานต์อิวเลนเบิก ซึ่งเปนผู้ไปทำหนังสือสัญญาครั้งแผ่นดินทูลกระหม่อมยังเปนฮอฟมาชัลคงอยู่เหมือนที่พ่อมาครั้งก่อน พอแลเห็นเข้าก็จำได้ แกเปนคนที่เคยรู้จักพ่อมาตั้งแต่ยังเล็กๆ ทำมือว่าเตี้ยเท่านี้ ทุกคราวที่พบกัน มีความยินดีที่ได้พบอิกครั้งหนึ่ง ได้ให้เซ็นชื่อไว้แล้ว เอมเปอเรออยู่ข้างจะเราะรายทักทายปราไสย แลถามถึงเรื่องการในเมืองไทยต่างๆ เรื่องพลอย เรื่องช้าง แลเรื่องที่ปรินซอาดัลเบิตมาเล่าต่างๆ อยู่ข้างจะโปรดในเรื่องจับช้างมาก อาดัลเบิตอยากจะเห็น จะเข้าไปอิก พ่อว่าถ้าจะเข้าไปขอให้ไปเร็วๆ ถ้าช้าช้างจะต้องไล่ไปเสียไกล จะจับยากขึ้น วังวิลเฮมสเฮอนี้ได้สร้าง ๒๐๐ ปีมาแล้ว เพราะฉนั้นต้นไม้จึงงามเสียจริงๆ ต้นโตๆ ล้วนแต่เชสนัตเปนมากกว่าอย่างอื่น

เวลา ๕ ทุ่มพากันขึ้นรถโมเตอคาร์ เอมเปอเรอมาด้วย ส่งถึงที่วังนี้ เรียกว่าเรสิเดนต์ชลอซซึ่งเปนวังในเมือง มีเรื่องราวเกี่ยวด้วยพงษาวดารเปนอันมาก เครื่องตกแต่งในวังนี้ว่าเปนครั้งเยโรมโบเนอปาร์ตมาอยู่ จนกระทั่งเครื่องถ้วยเสฟร์ยังอยู่บริบูรณ์ ปิกเชอแกละรีที่วังนี้มีเรื่องราวพิศดารมาก ว่าเปนรูปภาพดัชทั้งนั้น ได้สะสมมาแต่โบราณ ครั้นเมื่อนโปเลียนโบเนอปาร์ตมาตีได้ขนเอาไปหมด จนกระทั่งเอมเปอเรอวิลเลียมไปตีเมืองฝรั่งเศสได้จึงได้ขนกลับคืนมา แต่ไม่ได้ครบ เพราะเหตุที่เอมเปอเรอนโปเลียนโกรธกับเอมเปรส โยเซฟีน เอมเปรสโยเซฟีนเอาไปขายให้แก่รูเซีย รูปนั้นจึงไปติดอยู่ที่เฮอรมิตาชในเมืองมอสโก พึ่งจะตามมาได้ภายหลังได้รูปจากฝรั่งเศส ห้องที่พ่ออยู่นั้น ว่าเปนห้องที่เอมเปอเรอนโปเลียนโบเนอปาร์ตเคยมาอยู่ เยโรมโบเนอปาร์ตก็อยู่ที่วังนี้ เอมเปอเรอวิลเลียมที่ ๑ เสด็จมาอยู่ที่เมืองนี้ก็อยู่ห้องที่พ่ออยู่ พระแท่นก็พระแท่นอันนี้ เอมเปอเรอเฟรเดอริกเสด็จมาเมื่อเวลาเอมเปอเรอกำลังเล่าเรียนอยู่ในที่นี้ ก็มาอยู่ห้องนี้ เอมเปรสเฟรเดอริกอยู่ห้องที่บริพัตรอยู่ เอมเปอเรอล้อว่าเตียงเห็นจะไม่สั้นไป (หยอกว่าเตี้ย) เอมเปอเรอเสด็จมาอยู่วังนี้ ก็อยู่ห้องที่พ่ออยู่ ห้องในวังนี้เตี้ยๆ แต่การตกแต่งงามเปนอย่างฝรั่งเศส อยู่ข้างจะมีห้องซุกซิกมาก เอมเปอเรอกลับเวลา ๕ ทุ่มนาน พ่อจะลงไปส่งที่รถก็ห้ามแล้วห้ามเล่า แต่พ่อก็ขืนดันลงไปส่งจนได้ ดูราษฎรมีความนิยมรักใคร่เอมเปอเรอมาก จนกระทั่งเวลาดึกเช่นนั้นแล้วก็ยังมีคนแน่น กระดิกไปทางไหนก็โห่ร้องลั่นไป เอมเปอเรอบ่นสงสารเอมเปอเรอรูเซีย ว่าเสด็จออกไปให้ราษฎรเห็นไม่ได้ แต่เวลาที่มาพบกันดูสบายปรกติเหมือนอย่างแต่ก่อน เปนครั้งแรกที่เอมเปอเรอรูเซียได้ออกจากอาณาเขตรตั้งแต่รบกับยี่ปุ่นแล้ว กิงเอดเวอดจะมาในสามสี่วันนี้ แต่จะไม่ค้าง ดินเนอแล้วจะออกจากเมืองไปมาเรียนบาดซึ่งเปนที่เคยไปรักษาพระองค์อยู่ในที่นั้น พูดกันถึงเรื่องตัดต้นไม้ใหญ่ เอมเปอเรอถึงร้องโอยตัดไม่ได้ รู้สึกเหมือนฆ่าคน อย่างเดียวกับพ่อรู้สึกเรื่องตัดต้นตาล

ที่ในวังทั้ง ๒ แห่งไม่ได้ใช้ไฟฟ้า เพราะไม่ได้เปนที่ประทับอยู่เสมอ ไม่มีกำลังน้ำที่จะใช้ จะตั้งเครื่องจักรก็เปลือง วังมีถึง ๕๖ วังได้เสด็จอยู่ปีหนึ่งประมาณสัก ๖ วังเท่านั้น เอมเปรสบ่นถึงเรื่องเปลืองมาก

เสด็จถึงเมืองบรันสวิก

เสด็จถึงเมืองบรันสวิก

• • • • • • • • •

คืนที่ ๑๓๗

วังบรันซวิก

วันเสาร์ที่ ๑๐ สิงหาคม

เวลาเช้าวันนี้ไปดูรูปเขียนที่ปิกเชอแกละรีตามที่เอมเปอเรอเล่า ห้องตอนกลางๆ เปนรูปภาพดัชงามจริงๆ ทั้งนั้น ออกจะหาสู้ยากๆ สมที่เอมเปอเรอจะหวงแหน กลับจากนั้นเดินดูในวังที่อยู่นั้นเอง ไปจนรอบ ในวังนี้เล่นไม้ลายมาก เสาโตๆ ก็ใช้ไม้เชสนัตขัดเกลี้ยงทาน้ำมัน เก้าอี้ใช้ขุดไม้ทั้งแท่ง งามเหมือนพนักเรือกันยา เวลาเช้าจวนเที่ยงเอมเปอเรอมา วันนี้แต่งพระองค์อย่างฮันเตอ เทาขลิบเขียว บู๊ตเหลืองเหน็บมีด เอารูปมาให้กับสมุดเล่ม ๑ เปนสมุดรวบรวมบรรดาการช่างแลความคิดซึ่งเอมเปอเรอได้คิดเอง ร่างบ้างเขียนบ้าง แก้ตัวอย่างบ้าง ทั้งการที่แล้วไปแล้ว แลการที่ยังทำค้างอยู่ อยู่ข้างจะเปนผู้ช่างคิดมาก เทียเตอที่ชี้ให้ดูพึ่งจะก่อขึ้นมาใหม่ที่นี่ ก็เปนความคิดเอมเปอเรอเหมือนกัน แล้วพาขึ้นรถโมเตอคาร์ ไปส่งที่สเตชั่น รถไฟออกจากคัสเซลเวลาเที่ยง มาตามทางเปนไร่นาบริบูรณ์ มีภูเขาแต่เปนเขาเตี้ยๆ ทั้งนั้น กินเข้ากลางวันกลางทาง มาถึงบรันซวิกเวลาบ่าย ๔ โมง ดุ๊กโยฮันอัลเบร็ต ริเยนต์เมืองนี้ กับข้าราชการผู้ใหญ่แต่งเต็มยศอย่างคาลาทั้งนั้น รับที่สเตชั่น ต่างคนต่างปลื้มในการที่ได้พบกันอิก แลเปนการประหลาด เมื่อมาคราวก่อน ๑๐ ปีมาแล้ว ก็ถูกเวลาพึ่งเปนริเยนต์เมืองชเวริน คราวนี้ก็ถูกเวลาพึ่งเปนริเยนต์เมืองบรันซวิกเปนในเดือนเดียวกัน ระยะเท่ากันกับที่พ่อมาคราวก่อน ขึ้นรถกับดุ๊ก ๒ คนอย่างแห่ มีราษฎร ๒ ข้างถนนโห่ร้องเต็มไปตลอดจนถึงวัง แต่งซุ้มใบไม้แขวนธงหรูอย่างครั้งชะเวริน พอออกจากสเตชั่นประเดี๋ยวหนึ่งฝนก็ตก ดุ๊กวุ่นจะให้สวมเสื้อชั้นนอก ฤๅจะกางประทุน พ่อห้ามเสีย กลัวว่าราษฎรทั้งปวงจะไม่เปนที่พอใจ เพราะเหตุที่มาแต่ทางไกลๆ มาก มีถ่ายรูปนับไม่ถ้วน ตลอดจนซีเนมะโตกราฟ ต่อจวนถึงชลอซ ฝนจึงได้ตกมากลงมา แต่ไม่ทันเปียกทั่วตัว มีข้าราชการฝ่ายวังยืนเรียงแถว ที่จริงแต่งตัวยุนิฟอมงามมาก ตลอดจนมหาดเล็กเด็กชา ดัชเชสลงไปรับหลายคั่นกระได เพราะพ่อได้รู้จักคุ้นเคยกัน ก่อนเวลาไปชะเวริน ผเอินไปเจอกันที่เมืองออสเตนด์เวลาไปเที่ยวพร้อมกันกับแกรนด์ดุ๊กออฟซักไวมา พ่อไม่นึกเลยว่าจะเจ็บมากมายถึงเพียงนี้ จนรูปร่างออกจะแปลกๆ ไป เมื่อออกจากที่ริเยนต์เมืองชะเวรินแล้ว นัดจะไปบางกอก ๒ คราว ครั้งแรกมีข้อเหตุขัดข้อง แต่ครั้งหลังดัชเชสเจ็บ หมอให้ไปอยู่เกาะคะนารีในฤดูหนาวถึง ๒ ปี ว่าไม่มีอะไรเลย มีแต่หินแท้ๆ ห้ามสารพัดทุกอย่างไม่ให้เลี้ยงไม่ให้ยกสิ่งไร ที่สุดจนกระดิกตัวหนักก็ไม่ได้ แต่ชั้นดับไฟก็ถูกห้าม ถึงเดี๋ยวนี้ดูยังไม่สู้สบายปรกติเหมือนแต่แรกที่เคยเห็น[๒๐๒] แต่ดุ๊กอ้วนท้วนสบายดีขึ้นมาก พากันมานั่งกินน้ำชาแลพูดกัน ๔ คน กับทั้งบริพัตร ตลอดจนกระทั่งหาฤๅเรื่องโปรแกรมกัน ต่อ ๕ โมงจึงได้พามาส่งห้องที่อยู่

เมืองบรันซวิกนี้ เปนเมืองต้นแซ่ของพวกเจ้าแผ่นดินอังกฤษวงษ์ปัจจุบันนี้ แต่ตกมาในกิ่งอื่น มีเรื่องราวประดักประเดิดต่างๆ พี่น้องวิวาทกันถึงเอาไฟเผาคาเซอล แต่คาเซอลคือวังนี้ ดุ๊กวิลเลียมเปนผู้สร้างเมื่อ ค.ศ. ๑๘๓๐ ภายหลังถูกไฟไหม้เสียตอนหนึ่ง ต้องทำขึ้นใหม่ในเวลาของดุ๊กวิลเลียมนั้นเอง ดุ๊กนั้นเปนคนไม่มีเมีย การสร้างวังจึงไม่ได้ตระเตรียมสำหรับเปนที่ผู้หญิงอยู่เลย เดินผ่านห้องกันเรื่อยไปทุกแห่ง ดัชเชสอิลิซาเบทบ่นเต็มที่ ครั้นดุ๊กวิลเลียมตายแล้วก็เปนสิ้นเชื้อวงษ์ในกิ่งนี้ สมบัติควรจะตกไปทางกิงออฟฮาโนเวอ ซึ่งยังเหลือดุ๊กออฟคัมเบอลันด์อยู่เดี๋ยวนี้ แต่ดุ๊กออฟคัมเบอลันด์ไม่รับ จะเอาฮาโนเวซึ่งเปนของกิงยอชที่ ๕ พระราชบิดาเธอ อันได้สืบสายมาแต่กิงยอชที่ ๑ ที่ไปเปนเจ้าแผ่นดินอังกฤษซึ่งปรุศเซียแย่งเอาเสียด้วย เปนเรื่องแค้นกันอยู่ ดุ๊กออฟคัมเบอลันด์จึงไปอยู่ตำบลคะมุนเด็นในแดนออสเตรีย เพราะฉนั้นจึงได้เลือกเอาปรินซอัลเบิตเมืองปรัสเซียมาเปนริเยนต์ ครั้นปรินซอัลเบิตตาย ว่างไม่มีริเยนต์จึงเกิดเลือกกันในเร็วๆ นี้ ผู้ที่ถูกเลือกนั้นก็ดุ๊กออฟคัมเบอลันด์อิก เอมเปอเรอเยอรมันไม่ยอม จึงส่งเสริมให้โยฮันอัลเบร็ตเปนผู้ถูกเลือก พึ่งจะได้เข้ารับตำแหน่ง บอกว่าเห็นจะพอไปได้ หยุดพักอยู่จนกระทั่งเวลาทุ่ม ๑ เปนเวลาดินเนอ แต่งเต็มยศ ดุ๊กแลดัชเชสมาที่ห้อง คนที่มาดินเนอโดยมากให้นั่งโต๊ะแล้วเสร็จ เอาไว้นำให้รู้จักแต่เสนาบดี ๒ คน คนหนึ่งเปนอรรคมหาเสนาแลว่าการต่างประเทศ ที่เขามีเสนาบดี ๓ คน แต่ไม่อยู่เสียคนหนึ่ง ตำแหน่งอื่นๆ เปนแต่กรม อรรคมหาเสนาคนนี้ได้รับราชการมาตั้งแต่ดุ๊กวิลเลียม เปนเสนาบดีมา ๒๖ ปีแล้ว เมื่อเวลาว่างริเยนต์ก็เปนผู้รั้งราชการ ว่าเปนคนฉลาดมาก ผู้ที่นั่งโต๊ะวันนี้ ๗๔ คนด้วยกัน ดัชเชสนั่งกลาง พ่อนั่งขวา บริพัตรนั่งซ้าย ดุ๊กริเยนต์นั่งขวาพ่อตรงข้าม กรมวังนั่งน่าพ่อ ไปรม์มินิสเตอนั่งน่าดัชเชส เสนาบดีอิกคนหนึ่งนั่งน่าดุ๊กริเยนต์ พอกินเข้าได้ ๒ ผลัดก็สปีชดื่มแลตอบกัน ดูเครื่องโต๊ะมั่งคั่งกว่าเมืองนอรเว ใช้เครื่องทอง ดินเนอแล้วก็มาสนทนาในห้องประชุม ไม่มีสูบบุหรี่เต็มที่อย่างคาลา จนจวนยาม ๑ จึงได้เลิกเข้ามาสูบบุหรี่กันเสียที ๑ แล้วจึงไปดูลคร ใช้รถสเตตอย่างตู้เต็มที่ พ่อไปกับดุ๊กริเยนต์ บริพัตรไปกับดัชเชส เขาล่วงไปถึงก่อน เราแห่ไปต่อภายหลัง โรงลครโรงนี้เล็กน่าเอ็นดูดี ทำงามมาก แต่งในการรับครั้งนี้ ห้อยเครือไม้มีดอกเปนจังหวะทุกๆ ชั้นจนกระทั่งน่าสเตช เล่นอย่างสั้นเปนสเตตเทียเตอ คนที่ไปดูแต่งเต็มยศทั้งสิ้น มี ๒ ม่าน ม่านหนึ่งตั้งต้นบาเลต์แต่ใช้เพลงช้า ท่าทางเกือบจะเปนรำ ว่าท่อนนี้เปนของปรินซอัลเบิตคิด เชื่อว่าไทยๆ เราดูคงเห็นงาม ไม่ใช่เต้นแหยวๆ ม่านที่ ๒ เล่นเรื่องตุ๊กตากลอย่างที่เคยเห็นแล้ว เปนแต่ตุ๊กตาเปลี่ยนไปต่างๆ เรื่องราวนั้นก็คือมีร้านตุ๊กตา มีคนมาซื้อตุ๊กตา คนนั้นเปนตลกทั้งนั้น ร้านตุ๊กตานั้นตั้งตุ๊กตาแหม่มบนชั้ว ยืนงอมืออย่างตุ๊กตาถ้วย มีตุ๊กตากลตั้งที่พื้นโรง ตามฝาผนังแขวนตุ๊กตาที่โคลงเคลงกระดุกกระดิกต่างๆ ผู้ที่มาซื้อดูตุ๊กตากลทีละตัว ไขให้เต้นโลดต่างๆ ตามลักษณของตุ๊กตา จนหมดตุ๊กตากลแล้ว คนที่มาซื้อต่างคนต่างไป คราวนี้ปิดม่าน ชั้นในดับไฟ ต่างว่าค่ำ เจ้าของมาตรวจตราแล้วก็ปิดร้านกลับไป มีนางที่มีเวทมนต์คนหนึ่งออกมาเรียกให้ตุ๊กตาเต้นรำ ตุ๊กตาที่บนตู้บนชั้วกระโดดลงมาหมด กลายเปนบาเลต์ไปใหม่ ลงปลายถือธงช้างหมดทุกคน ออกมาเดินยันต์ แลจัดท่าต่างๆ หมดเรื่องกันเท่านั้น

ขากลับพ่อกลับกับดัชเชส ฝนตก ที่วังนี้กระไดมันชอบกล ตั้งแต่ไฟไหม้คราวก่อน ดุ๊กวิลเลียมเข็ดไม่ใช้ไม้ ใช้เหล็กแลศิลาทั้งสิ้น กระไดที่ขึ้น เปนกระไดเหล็กโปร่งๆ แลดูสูงมาก เพราะขึ้นมาแลเห็นพื้นข้างล่าง ดัชเชสบ่นอู้ทีเดียว เพราะใส่เสื้อยาว หางยาวมาก ขึ้นลำบากเต็มที เรื่องที่ไฟไหม้นั้นก็ชอบกล ไปรม์มินิสเตอเดี๋ยวนี้เปนผู้ได้ทันเห็นไฟไหม้คราวนั้น แต่ยังเปนเด็ก เวลานั้นกำลังมีเต้นรำ ดุ๊กวิลเลียมเปนคนไม่ชอบให้ใครเข้าห้อง เวลาไม่อยู่แล้วปิดประตูแน่น มหาดเล็กก็เข้าไม่ได้ เวลานั้นกำลังเต้นรำ ว่าเปิดน่าต่างไว้มีไฟปลิวมาแต่ข้างนอก ฤๅบุหรี่ที่สูบตกอยู่อย่างไร ติดกรุ่นมาในห้องนอนดุ๊กซึ่งเปนห้องนอนพ่อเดี๋ยวนี้ ไม่มีใครรู้ เพราะไปอยู่ที่เต้นรำหมด จนไฟลุกโพลงคนข้างนอกเห็น พากันเข้ามาจึงรู้ว่าไฟไหม้ กว่าดุ๊กเองจะทราบมาถึง จะเก็บอะไรไม่ทันหมด ได้แต่หมวกใบเดียวเท่านั้น เข้าของเก่าแก่สำหรับตระกูลเสียไปในไฟเปนอันมาก จึงได้สร้างใหม่ คราวนี้เลยเกลียดไม้ ดุ๊กคนนี้ชอบลายสก๊อตอย่างยิ่ง ในห้องนอนแลต่อห้องนอนกระดาษปิดฝาใช้สายสก๊อต จนกระทั่งผ้าหุ้มเก้าอี้ ที่นอนผ้าห่มนอนเปนลายสก๊อตเขียวทั้งสิ้น ดูก็แปลกอยู่ แต่เรื่องไฟใช้น้อยเต็มที ถ้าอยู่ปรกติห้องหนึ่งก็ดวงหนึ่งฤๅสองดวง มืดๆ ทั้งนั้น จนกระทั่งที่เลี้ยงโต๊ะ ฤๅที่รับแขกก็ไม่จุดไฟมาก ใช้แก๊สแต่ห้องเลี้ยงใหญ่ นอกนั้นใช้เทียน แต่เทียนก็ไม่ใคร่จะจุด ใช้โคมน้ำมันปิโตเลียม อย่างไขลูกประแจ มืดกว่าโคมลานเสียอิก เรื่องไฟกับฝรั่งเห็นจะเปนพวกชาววัง ดูช่างเข็ดหลาบกันเสียจริงๆ สุดแต่ออกจากห้องไหนไปแล้วห้องนั้นเปนดับไฟเสีย ไม่ได้จุดไฟทิ้งไว้เลย ถ้า ๒ ยามล่วงไปแล้วดับหมดไม่มีเหลือ เว้นไว้แต่ถ้าเราทำงานค้าง ก็จุดอยู่ดวงเดียวแต่ที่เราทำงานเท่านั้น เลิกกันเวลาจวน ๕ ทุ่ม ดูก็เหนื่อยอยู่ เพราะยืนมาก ได้ส่งโปสต์ก๊าดที่มหาดเล็กเขาเอามาให้ มีรูปเวลาขึ้นรถ แลโปรแกรมการรับรองมาด้วย ยังมีซิเนมะโตกราฟ ดุ๊กริเยนต์รับว่าจะหาให้ คงจะได้เห็นเมื่อเวลากลับเข้าไปบางกอก

ลืมพูดถึงเรื่องที่ได้ถามเอมเปอเรอวันนี้ ด้วยรูปเขียนอย่างใหม่ เห็นอย่างไร กริ้วใหญ่ ว่ามันเปนบ้า ที่แท้มันเขียนไม่เปน ครั้นมันจะเขียนมาตามฝีมือมัน ไม่มีใครเขาจะดูจะทัก แกล้งเขียนให้ระยำเช่นนั้น พอให้เขาได้ทัก แล้วมันก็ไปโยนทิ้งเสีย ขอให้พ่ออุ่นใจเถอะ มันไม่ไปได้กี่ปีดอก

• • • • • • • • •

คืนที่ ๑๓๘

วังบรันซวิก

วันอาทิตย์ที่ ๑๑ สิงหาคม

เวลาเช้า ๔ โมงครึ่งไปขึ้นรถไฟที่สเตชั่น คนดูเต็มแน่นตลอดหนทาง โห่ร้องเหมือนเมื่อวันมาถึง แต่งฟร๊อกโก๊ตทหาร เพราะเหตุที่ดุ๊กริเยนต์ยังไม่ได้ไปที่ฮาร์ซบูร์ก เปนการรับรองรวมกันทั้ง ๒ อย่าง อันที่จริงดุ๊กริเยนต์จัดการรับพ่อคราวนี้คงจะได้ความลำบากมาก เพราะพึ่งมาได้ ๑๕ วันเท่านั้น สารพัดอะไรๆ วิ่งเที่ยวไล่ตรวจตราดูแลเองหมดตั้งแต่เช้าจนดึก รถไฟไปทางประมาณสักชั่วโมง ๑ จึงถึงสเตชั่นฮาร์ซบูร์ก เมืองนี้ตั้งอยู่ที่เชิงเขาฮาร์ซ เขาฮาร์ซนี้เปนสูนย์กลางของประเทศเยอรมนี มีแร่เงินแร่เหล็ก มีคนไปมาเที่ยวในฤดูร้อน เพราะมีที่อาบน้ำ เมืองก็โตอยู่ พอขึ้นไปจากสเตชั่น ไปที่ที่ประชุมเมือง แมร์มาสปีชก่อน ปราไสยดุ๊กแลพ่อด้วยกัน พ่อขอให้ดุ๊กตอบแทน พวกหัวน่าของชาวเมืองยืนเรียงแถวฟากข้างซ้าย พวกผู้หญิงสาวยืนแถวฟากข้างขวา เมื่อดุ๊กตอบเสร็จแล้ว ผู้หญิงนำช่อดอกไม้มาให้ดัชเชส ว่าคำกลอนเปนแอดเดรส ภาษาเยอรมัน แล้ว “ถ่ายรูป” คือทักทายทั่วกัน แล้วไปขึ้นรถเทียม ๔ ม้า พ่อกับดุ๊กไปรถน่า ดัชเชสกับบริพัตรไปรถหลัง ตามหนทางตกแต่งด้วยธงทั้งเล็กทั้งใหญ่แลใบไม้ ธงมี ๓ อย่าง คือธงเยอรมัน ๓ สีอย่าง ๑ ธงฮาร์ซเบิกเหลืองกับน้ำเงินอย่าง ๑ ธงช้างอย่าง ๑ สลับกันไปทั้งนั้น มีคนยืนราย ๒ ข้างทางเปนจำพวกต่างๆ คือหญิงชายชาวเมือง ล้วนแต่มีเครื่องหมายติดเสื้อเปนผู้มารับรองเปนอันมาก ผู้หญิงสาวแต่งสพายแพรสีน้ำเงินกับเหลือง สวมมาไลยดอกไวโอเลต เด็กๆ ทั้งกองถือธงช้างเล็กๆ แกว่งสลอน เด็กโรงเรียนต่างๆ ยืนเปนหมู่ๆ นักเรียนชั้นหนุ่มเปนพวกๆ กองดับเพลิงทั้งของรัฐบาลแลทั้งเชลยศักดิ์ แต่งตัวหรู พวกทำแร่ต่างๆ แต่งตัวเปนเครื่องแฟนซี แลอื่นๆ เปนอันมากเหลือที่จะพรรณา เปนอันมีคนรายตลอดหนทาง โห่ร้องโบกผ้าแกว่งมือไม่ได้ขาดสาย หนทางค่อยๆขึ้นไปบนเขา ถนนแลบ้านเรือนสอาดน่าอยู่ ควรจะเปนที่เที่ยวแลอยู่ได้อย่างที่อาบน้ำต่างๆ มีโฮเตลใหญ่ตั้งขึ้นใหม่ คนมาอยู่มาก เปนที่แฟชันะเบอล ต้นไม้งามเหลือเกิน ตลอดขึ้นไปจนชายเนินแห่งหนึ่งจึงลงจากรถ ดูม้าฝูง ที่นี่เปนที่เลี้ยงม้าฝูงของรัฐบาล ตั้งมา ๒๐๐ ปีแล้ว แต่มาจัดการแขงแรงมากเมื่อดุ๊กออฟบรันซวิกคนที่สุด แต่รั้วที่กั้นคอกม้าเปนคอกๆ ยาวถึง ๖๐๐๐ เมเตอ ที่นั้นเปนที่ท้องทุ่ง แต่เปนเนินสูงๆ ต่ำๆ ต้อนม้ามาดูเปนฝูงๆ ที่ซึ่งเราไปดูนั้นเปนที่ที่ดุ๊กคิดจะสร้างวัง แต่พอสร้างขึ้นก็เกิดเรโวลุชัน เลยงดเอาศิลาไปใช้การอื่น เหลือศิลาอยู่ก้อนเดียว ดุ๊กคนเก่ามีวังแลป๊ากสวนหลายแห่ง แต่เปนสมบัติของตัวเอง ยกให้เปนมรฎกกิงออฟแซ๊กซนีเสียก็หลายแห่ง ให้ดุ๊กออฟคัมเบอลันด์เสียก็มาก จึงเหลืออยู่แต่วังที่บรันซวิกแห่งหนึ่ง กับคาเซอลที่ฮาร์ซเบิก ซึ่งจะไปกันวันนี้ บนยอดเขาสูงอันหนึ่งมีป้อมแลคาเซอลเปนของเอมเปอเรอเฟรเดอริกคนก่อนได้สร้างขึ้นไว้แต่โบราณ ทางที่ขึ้นไปบนเขาราบๆ ไม่ชัน จนกระทั่งถึงคาเซอล คาเซอลนี้รูปร่างเปนตึกไม่ใช่เปนป้อมแต่ก่อด้วยศิลา เปนที่อยู่ของเจ้ากรมม้า แต่งต้นไม้งามจริงๆ ฝาผนังมีไม้เลื้อยขึ้นรอบ ตามเชิงผนังปลูกไม้สี มีลำธารผ่านมาใกล้สนามหญ้า เลี้ยงปลาเตราต์ มีป่าทุ่งหญ้าน่าสบาย เลี้ยงกลางวันในชั้นต่ำของคาเซอลซึ่งเปนห้องใหญ่ปิดมืดหมด ใช้จุดไฟฟ้า ตรงผนังกลางติดโล่ห์ช้าง ๓ เศียร รายไฟน้ำเงินแลแดงทำเปนสแตนดาด ผนังประดับด้วยใบสนเปนผนังป้อมแลลูกป้อม เพดานห้อยย้อยไปด้วยระย้าแลเฟื่องทำด้วยใบสน กลิ่นฟุ้งไปทั้งห้อง ใบสนนั้นมีกลิ่นแรงมาก เขาถือกันว่าเปนเครื่องทำให้หายใจสบาย เหมือนกันกับที่คนเปนโรคในจมูก ใช้สูดน้ำต้มใบสน ครอบครัวของผู้บัญชาการกรมม้านี้ใหญ่โตมาก โต๊ะจัดด้วยถ้วยรางวัลแข่งม้า เมื่อเลี้ยงกันเสร็จแล้ว ได้จูงม้าที่เปนพ่อม้า แลลูกกับทั้งนางม้ามาให้ดู พรรณพ่อม้าคงจะต้องใช้ม้าอังกฤษอยู่นั่นเอง เพราะในเยอรมันเหนือนี่มีเวลาซัมเมอน้อย การเลี้ยงม้าสู้อิงแลนด์ฤๅฮังการีไม่ได้ ราคาก็ไม่แพงเหมือนอิงค์แลนด์ ที่เลี้ยงม้านี้ดูสันทัดเกี่ยวข้องกับดุ๊กออฟเวสตมินสเตอมาก พ่อม้าหลายตัวมาจากดุ๊กออฟเวสตมินสเตอได้ลูกดีๆ หลาย ขายได้ราคาแพงๆ อย่างแพงที่สุดลูกม้าขวบเดียว ราคา ๒๕๐๐๐ มาร์ก เปนเงิน ๑๗๕๐๐ บาท ที่ขายภายใน ๓๐ ปี ได้เงิน ๒๐๐๐๐๐๐ มาร์ก เปนเงิน ๑๔๐๐๐๐๐ บาท ม้าเหล่านี้ไปแข่งชะนะได้เงินราว ๔๐๐๐๐๐๐ มาร์ก เปน ๒๘๐๐๐๐๐ บาท นี่ว่าในระหว่าง ๓๐ ปี ยังน้อยกว่าม้าอิงค์แลนด์อยู่เปนอันมาก ต่อนี้ไปจะกลับบรันซวิกด้วยรถโมเตอร์คาร์ พ่อลืมเล่าถึงตอนกลางทาง ที่นี่เขามีคัวรเฮาส์ ซึ่งเปนที่ประชุมเล่น มีคนประชุมกันที่คัวรเฮาส์คอยรับเปนอันมาก เขาเลือกผู้หญิงสาวคนหนึ่งซึ่งพูดอังกฤษคล่อง ให้เปนผู้นำดอกไม้มาให้พ่อ มาพูดเปนภาษาอังกฤษรู้สึกค่อยโล่งใจ เพราะพูดตอบเขาได้ ในที่นั้นน่าสนุก มีที่เล่นในใต้ร่มไม้ มีร้านขายของ เด็กกำลังเล่นชิงช้าแลการเล่นต่างๆ ครึกครื้น

ทางตั้งแต่คาเซอลมาโดยโมเตอร์คาร์ เปนทางขึ้นเขาจนกระทั่งกลับลงเขา ผ่านมาในป่าสน แต่ในป่านี้ถนนใหญ่ มีต้นไม้รายชั้น ๑ ดีกว่าชวาสวัล คือป่าดำเมืองบาเดนบาเดน แต่พ่อไม่ได้เอากล้องถ่ายรูปมาออกเสียดายเต็มที มีที่งามซึ่งควรจะถ่ายรูปหลายแห่ง เมื่อใกล้จะถึงเชิงเขามีน้ำตก มีเรสเตอรองต์ตั้งในที่นั้น มีคนไปนั่งเล่นกันเปนกอง ถ้าหากว่าไม่ได้ไปนอรเว จะเห็นงามฤๅตื่นเต้นบ้าง แต่ไปนอรเวมาเสียแล้วเห็นไม่ถึงกับจะเรียกว่าน้ำพุ ในลำธารนี้เขาก็ใช้สายน้ำเหมือนกัน ตลอดลงไปจนถึงที่ถลุงแร่ มีเชือกน้ำซึ่งต่อด้วยกระดานลงไป จนกระทั่งถึงที่ล้างแร่ มันกลับไปเหมือนเมืองภูเก็จ โรงที่ถลุงแร่นั้นอยู่ต่อทุ่ง ตั้งแต่นั่นไปก็เปนทางผ่านท้องทุ่งตรงๆ โดยมาก จะโอนก็เมื่อถึงหมู่บ้าน โอนเข้าหาหมู่บ้านฤๅหลีกเรือน สองข้างทางปลูกไม้ผล มีคนรับผูกเปนตอนๆ ระยะทางอยู่ข้างจะไกลมาก เพราะฉนั้นพอตกท้องทุ่งแล้วจึงต้องเปิดเรวเต็มที่ ลมจัดเต็มที หมวกแก๊บปล่อยสายรัดคางแล้วยังหลุดลอยอยู่บนหัวได้ ผ่านบ้านหลายตำบล แต่เปนของปรูเซียบ้าง ของบรันซวิกบ้าง ประเดี๋ยวเข้าในแดนปรูเซีย ประเดี๋ยวเข้าในแดนบรันซวิก ทั้งป่าไม้ ทั้งท้องทุ่ง ทั้งหมู่บ้าน กำหนดแดนในที่เหล่านี้มักจะเปนท้องร่อง เขาเรียกว่าแม่น้ำ แต่เท่าท้องร่องใหญ่ๆ การที่เขตรแดนขนาบคาบเกี่ยวกันมากเช่นนี้เพราะเหตุที่แจกกันเปนมรฎก ส่วนที่ได้ไปกับดุ๊กออฟคัมเบอลันด์ รวมเปนเขตรแดนฮาโนเวอ กลายเปนของปรัสเซียหมด ที่คงเหลืออยู่กับบรันซวิกจึงได้คงเปนบรันซวิก แต่กระนั้นดุ๊กออฟคัมเบอลันด์ แลกิงออฟซักซนีก็ยังเปนเจ้าของที่ดินอยู่ในเมืองบรันซวิกเปนหลายแห่ง ในที่สุดถึงเมืองวอลเฟนบึตเตลเปนเมืองที่เมื่อเวลาเสียบรันซวิกแก่ฝรั่งเศส เชื้อวงษบรันซวิกมาตั้งอยู่ณที่นั้น ในระหว่างเมืองนี้กับบรันซวิกมีรถรางเดินตลอดถึงกัน ที่จริงก็เกือบจะติดกันเปนเมืองเดียว แต่มีป่าสนใหญ่อย่างงามคั่นอยู่ในระหว่างกลาง กับมีท้องทุ่งหน่อยหนึ่ง ในท้องทุ่งเหล่านี้ปลูกโอ๊ตแลอัสปะระกัส แต่โดยมากนั้นผักบิ๊ดที่สำหรับทำน้ำตาล มีโรงทำน้ำตาลกว่า ๒๐ โรง คนในเมืองบรันซวิกทั้งหมดมีครึ่งล้าน แต่ในเมืองบรันซวิกเมืองเดียวแสนสี่หมื่นคน วันนี้เคราะห์ดีไม่มีฝน แดดออกแต่ไม่ร้อน ออกจะหนาวๆ กลับมาถึงเวลาย่ำค่ำ ๑๐ นาที ที่วังนี้มีเสาธง ๓ เสาบนหลังคา เสาหนึ่งชักธงประจำเมือง เสาหนึ่งชักธงสำหรับดุ๊กริเยนต์ ดุ๊กริเยนต์ไม่ได้ใช้ธงตำแหน่งดุ๊กเมืองนี้ ใช้ธงกริฟฟิลยี่ห้อชะเวริน ชักธงสแตนดาดของเราอยู่กลาง ขากลับมาคนก็แน่นเหมือนอย่างเมื่อขาไป พอถึงก็มานั่งกินน้ำชากัน

พูดกันเพลินไป เขามาบอกว่ารถพร้อมแล้วต้องตลีตลานมาแต่งตัว กลับเปนครึ่งยศติดตรา ขึ้นรถตู้อย่างสเตตไปที่เทียเตอ แต่ดัชเชสกลับตัวไม่ทัน เพราะเผลอไปไม่ได้แต่งตัว เลยต้องไปภายหลัง ในเทียเตอแต่งเหมือนอย่างกับที่มีลครเมื่อคืนนี้ เว้นไว้แต่บนสเตชมีคนยืนเต็มแน่นตลอดไป ๖๐๐ คน ร้องเพลงต่างๆ พร้อมกันทั้งหมด ในเมืองเยอรมนี เขามีเปนโซไซเอตีสำหรับร้องเพลงทั่วทุกเมือง คน ๖๐๐ คนนี้ เปนคนในโซไซเอตีต่างๆ แปดโซไซเอตีด้วยกัน ความมุ่งหมายที่มีประชุมพร้อมกันเช่นนี้เปนการกุศล เงินเก็บได้มากน้อยเท่าใดให้แก่คนพิการ การที่จะซักซ้อมดูไม่ใช่ของง่ายเลย เขาปันเปนพวกๆ เทียบตามเสียงแตรเสียงซอ พวกที่เสียงแหลมๆ เปนแตรเล็กซอเล็กแลขลุ่ย พวกที่เสียงอ้าวๆ เปนแตรใหญ่แลซอใหญ่ ร้องขัดจังหวะฤๅประสมเสียง เปนออเคสตรา แรกทำสรรเสริญบารมี แล้วร้องเข้าพิณพาทย์ ในระหว่างกลางๆ ร้องเปล่าๆ พรักพร้อมเพราะดีมาก เมื่อลงปลายจึงร้องเข้าพิณพาทย์ การร้องเช่นนี้มีเมืองสวิเดนอิกตำบล ๑ แต่ที่นั่นใช้สตูเดนต์ คือพวกนักเรียนผู้ใหญ่ๆ มาก แต่ที่นี่ไม่เลือกว่าคนชนิดไร จนกระทั่งคนทำงานก็เข้าได้ เมื่อเสร็จการร้องแล้ว ต้องเอาหัวน่าโซไซเอตีเหล่านั้นขึ้นมา “ถ่ายรูป” ปราไสยกันทีละคน ได้กลับกันเวลา ๒ ทุ่ม ๑๕ มินิต รีบตลีตลานเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวอิวนิงเดรสติดตราไปดินเนอ

ดินเนอวันนี้เปนอย่างโต๊ะย่อม ใช้เครื่องเงิน ผ้าที่ปูโต๊ะเปนผ้าที่ได้ทอ ๒๐๐ ปีมาแล้ว มีรูปดุ๊กออฟบรันซวิกอยู่ในนั้น ต้องจัดดอกไม้หลบเว้นรูป ที่กลางมีรูปช้างเผือกใหญ่หล่อด้วยเงิน ซึ่งพ่อไม่ได้รู้สึกเลยว่าเขาทำไว้เตรียมจะให้ รูปนี้ถ่ายจากรูปปั้น ที่กรมสมเด็จประธาน แกกริ้วรูปช้างที่ฝรั่งทำเหมือนอย่างกับเรากริ้ว จึงได้เอารูปปั้นนั้นไปทำตัวอย่าง ให้ทำให้เหมือน ตั้งใจจะเอาไปให้ที่บางกอก แต่ครั้นเมื่อไม่ได้ไปบางกอกแล้ว รู้ว่าพ่อจะมาคราวนี้ จึงได้ทำฐานแลจาฤกภาษาไทย ขอให้พระยาศรีธรรมสาส์นช่วยเรียงให้

ตามโปรแกรมว่าเลี้ยงแล้วจะฟังร้อง ปิดประตูห้องที่จะร้องไว้ออกแน่น ครั้นดินเนอเสร็จแล้วเปิดเข้ามากลายเปนหีบเสียงเท่านั้น ปิดไม่ให้รู้ด้วยว่าจะมีอะไร ฟังกันอยู่หลายเพลงจึงได้เลิก เพราะพรุ่งนี้จะต้องตื่นเช้า

พอเลิกแล้วพ่อพบหมอ อยู่ข้างจะวิตกวิจารณ์มาก กลัวพ่อจะเหนื่อยอ่อน แต่ครั้นตรวจชีพจรดูเห็นว่าไม่เปนอะไร ความที่เอาใจใส่ของดุ๊กริเยนต์นั้นพบหมอทุกเวลา เอาโปรแกรมออกหาฤๅ ยอมให้หมอทักท้วงห้ามปราม จนกระทั่งที่ซึ่งจะไปก็หาหมอไปดูเสียก่อนทุกแห่ง ให้ตัดสินว่ากระไดนี้จะควรขึ้นได้ฤๅไม่ได้เปนต้น หมอปลื้มเต็มที ชมแล้วชมเล่า แกช่างหยอดดุ๊กเสียจริงๆ

• • • • • • • • •

คืนที่ ๑๓๙

วังบรันซวิก

วันจันทร์ที่ ๑๒ สิงหาคม

วันนี้ต้องตื่นแต่เช้าออกจะง่วงๆ เวลา ๒ โมงเศษแต่งตัวครึ่งยศติดตรา ขึ้นรถไปกับดัชเชสดูทหารซ้อมรบที่สนามโกรเซอเอกเซอเซียรปลาตช์ ดุ๊กขึ้นม้าบังคับทหาร การที่รบวันนี้แบ่ง ๒ พวก พวก ๑ เปนกองป้องกัน ซึ่งล่วงน่าไปตั้งขัดทางของกองใหญ่ซึ่งเดินจากฮาโนเวอมาผ่านเมืองบรันซวิก ส่วนอิกฝ่ายหนึ่งประมาณว่ากองใหญ่อยู่ฮาร์ซเบิกแต่งกองโจรมาตีตัดกองทัพใหญ่ที่นอกบรันซวิก กองป้องกันที่บรันซวิกมีจำนวนทหารราบ ๒ กองพัน (๘๐๐ คน) ทหารม้า ๔ กองร้อย (๔๘๐ คน) กับทหารปืนใหญ่ ๑ กองร้อย (๑๒๐ คน) กองโจรที่มาตีมีจำนวนทหารราบ ๑ กองพัน (๔๐๐ คน) ทหารม้า ๑ กองร้อย (๑๒๐ คน) ทหารปืนใหญ่ ๑ กองร้อย (๑๒๐ คน) กองตีเดินก่อน พอยิงกันหน่อยทหารม้าข้างฝ่ายป้องกัน ถลำเข้าไปเสียที แต่ทหารเดินเท้าเดินอ้อมวกเข้าข้างดี กองตีได้เตรียมไว้สำหรับให้แพ้แล้ว เพราะเหตุที่ทิ้งกองใหญ่มาไกล พอกองป้องกันตีโอบเข้าไปได้ก็ถอย กินเวลา ๒ ชั่วโมงเศษ แต่อากาศดีแดดจัด มีลมเรื่อยๆ ไม่ร้อนไม่หนาว กลับจากนั้นมาที่ราทเฮาส์ ฤๅเรียกภาษาอังกฤษว่าเตานฮอล ซึ่งเปนที่แมร์มิวนิลิเปอลประชุม ตึกนี้ทำพึ่งแล้วใหม่ไม่ช้านัก แต่ทำให้เปนอย่างเก่าครึ มีรูปแบบของที่นั้นส่งมาด้วย ขอให้เก็บไว้ให้ เวลาเที่ยงกลับพักหน่อยหนึ่งแล้วเลี้ยงกลางวันที่ในคาเซอลนี้ กินกลางวันแล้วออกง่วงอ่อนใจหลับได้นิดหนึ่ง ถูกปลุกก่อนกำหนดที่สั่งให้ปลุกไป ๒๐ มินิตขาดทุนไปหน่อยหนึ่ง

เวลาบ่าย ๔ โมงแต่งเสื้อยุนิฟอมไม่ได้ติดตรา ไปดูกองดับเพลิงสนามกลางเมือง กองดับเพลิงมีหลายพวก คือเปนพวกกองดับเพลิงแท้ที่ได้เงินเดอนพวกหนึ่ง เปนพวกวอลันเตียพวกหนึ่ง เปนพวกของกรมเมืองพวกหนึ่ง พอไปถึงกองดับเพลิงเหล่านั้นขับรถสูบผ่านข้างฝ่ายเรือนเหล่านั้นก็จุดดอกไม้ให้เปนควันแลแสงไฟ ออกเหมือนอย่างไฟไหม้มีเผียะผะด้วย รถดับเพลิงรีบมา พอตั้งกระไดพาดแลสูบน้ำประเดี๋ยวเดียว กองดับเพลิงได้สัญญาไฟไหม้จริงๆ ออกจะไม่ใคร่เชื่อกัน เพราะคราวก่อนทดลองสัญญา เชื่อเอาว่าไฟไหม้จริงๆ เลยตกใจยุ่งกันว่าไฟไหม้เปล่าๆ แต่คราวนี้โทรศัพท์ไปถามได้ความว่าไฟไหม้แฟกตอรีแห่งหนึ่ง แลเห็นควันพลุ่ง จึงต้องเลิกเลยไปดับไฟจริงๆ กลับมากินน้ำชาที่คาเซอลเสียตอนหนึ่ง ได้ส่งแผนที่ดับเพลิงมาด้วย เวลาบ่าย ๕ โมงไปที่สนามอิกแห่งหนึ่ง ซึ่งเปนที่เขาสำหรับเอกเซอไซส์ ที่นี่ประชุมพวกคลับที่เล่นยิมนาสติกหลายคลับด้วยกัน อย่างเช่นเมืองเราเรียกกันว่ากรีฑาสโมสร แต่ไม่มีทหารในนั้นเลย แลไม่ได้กำหนดชั้นคนว่าเปนชั้นไหนพวกไหน รวมกันได้หมด เปนจำนวนคน ๕๐๐ ยืนรายจังหวะพอเต็มสนาม เขาปลูกพลับพลาไว้ที่ท้ายสนามข้างหนึ่ง พลับพลาอย่างฝรั่งนี้ เปนอย่างที่เรียกกันว่าสแตนด์ เปนรูป ๔ เหลี่ยมสูง มีกระไดขึ้นในตัว พื้นยกเปนคั่นกระไดขึ้นไปข้างหลังแต่งด้วยเชือกแลใบไม้ธง เชือกธรรมดาเรานี่เอง แต่โรยบรอนซ์เสียก็เข้าทีอยู่ ปักเสาธงเปนธงชายบ้างธงประฎากบ้างสลับกัน ๓ อย่าง คือ ๓ สี เยอรมัน เหลืองกับน้ำเงิน บรันซวิก ขาวกับแดงสำหรับเมืองไทย แล้วผูกเฟื่องใบสนโยงจากเสาธงนั้นถึงกันรอบ ตั้งต้นถือเหล็กฟากดัดตัวเข้าพิณพาทย์พร้อมกันทั้ง ๕๐๐ ดูงามดีมาก มีเกยคนถือธงบอกบท แลมีตัวผู้นำ ๒ ฟากยืนบนยกพื้น เสร็จแล้วตั้งเครื่องยิมนาสติกต่างๆ รายเปนหย่อมๆ เต็มทั้งสนาม ต่างกองต่างเล่นพร้อมกันหมด ครั้นแล้วหยุดพัก คราวนี้มีเด็กผู้หญิง ๔๐ คนถือไม้กลม ๒ มือเข้าเปนยันต์รำดัดตัวรับพิณพาทย์ ต่อนั้นไปจึงมีการแข่ง ๓ ขาโดดข้ามเชือก วิ่งแข่งอย่างกระโดด แต่วิ่งแข่งอย่างกระโดดนี้เขาใช้รั้วกับม้าสลับกันเปน ๔ สาย มีผ้าเช็ดหน้าสีต่างกัน ๔ ผืน คนที่จะออกวิ่งถือผ้าเช็ดหน้าสีของตัว วิ่งกระโดดข้ามจนตลอดแล้ววิ่งกลับส่งผ้าให้ในพวกเดียวกันวิ่งต่อกันไปจนครบตัว กองใดถึงหมดก่อนกองนั้นชะนะ เล่นเช่นนี้ยังไม่เคยเห็น ต่อนั้นไปก็ดึงเชือก แต่ใช้ยืนดึงไม่ทนเท่าไร ประเดี๋ยวก็แพ้ชะนะกัน ในที่สุดดุ๊กริเยนต์ให้รางวัลธงประดับห้อยทำด้วยกำมหยี่ปักไหม ข้างหนึ่งเปนไลออน ข้างหนึ่งเปนไม้กางเขนงามมาก เวลาทุ่ม ๑ พอแดดลบจึงได้เลิก เวลาทุ่มครึ่งวันนี้เลี้ยงดินเนอ แต่งครึ่งยศติดตราอิก ใช้โต๊ะอย่างกว้างที่ไม่เคยเห็นกว้างเท่านี้ เพราะเครื่องตั้งกลางโต๊ะใหญ่เหลือเกิน แต่ประดับดอกกุหลาบทั้งโต๊ะงามมาก มีแขกบรรดาที่ได้เกี่ยวข้องในการรับรองเหล่านี้เพิ่มขึ้นอิก มีผู้หญิงด้วย ครั้นเวลาเลี้ยงกันแล้วขึ้นรถไปที่วัดที่เขาเรียกกันว่าโดม อยู่ต่อกันกับวังโบราณ เรียกชื่อว่าบูรกดังกะวารโรเด ถ้าเล่าเรื่องเสียสักหน่อยก่อนเห็นจะดี วัดแลวังนี้เปนของเฮนรีธีไลออน ๗๕๐ ปีมาแล้วเปนผู้สร้าง เฮนรีธีไลออนผู้นี้เปนเจ้าที่เข้มแขง แผ่อาณาเขตรกว้างขวาง รวมเมืองฮาโนเวอ เมืองบะวาเรีย เมืองซักโซนีอยู่ในบรันซวิกทั้งสิ้น เขตรแดนข้างเหนือตกถึงทเลเหนือ ข้างตวันตกจดแดนวิลันดา ประมาณสักครึ่งหนึ่งของประเทศเยอรมนีในเวลานี้ เฮนรีธีไลออนนี้ได้ไปในการกรูเสดรบแขกด้วยเรื่องสาสนา มีเปนนิทานว่า เมื่อไปคราวนั้นพบงูอย่างที่เรียกว่า แดรกอนรัดไลออนตัวหนึ่ง เฮนรีฆ่างูตัวนั้นตาย ช่วยไลออนรอด ไลออนนั้นจึงได้มีใจรักใคร่เฮนรี ไปไหนไลออนนั้นก็ตามเหมือนสุนักข์ ครั้นเมื่อเวลากลับมาเมืองบรันซวิก ไลออนนั้นก็ตามมาด้วย อยู่จนเฮนรีตายไลออนนั้นจึงได้ตาย ที่วังนี้แต่ก่อนเปนป้อมมีกำแพงรอบแต่ชำรุดปรักหักพัง ยังคงเหลืออยู่แต่บางส่วน ซึ่งต่อเนื่องกันกับวัดสำหรับวัง วัดนั้นเปนฝีมืออย่างโรมันเอมไปร์ มีฉนวนเดินจากวังไปที่วัด ในหว่างวัดแลวังนั้นมีสนาม เฮนรีได้สร้างมอนิวเมนต์ไว้ ฐานเปนศิลาข้างบนเปนไลออนยืนหยัด หล่อด้วยทองแดง เปนฝีมือช่างหล่ออย่างเก่าที่สุดในประเทศเยอรมนี ในเวลานั้นมีเอมเปอเรอเยอรมนี แต่ไม่ใช่เอมเปอเรออย่างทุกวันนี้ เอมเปอเรอในครั้งนั้นเขาไม่มีเมืองอยู่ เที่ยวไปอยู่ที่โน่นบ้างที่นี่บ้าง อย่างลักษณที่เรียกว่าจักรพรรดิตามมหาภารตะ ไม่ใช่จักรพรรดิอย่างที่มาในพุทธสาสนา ในเวลาเฮนรีมีอำนาจมากนั้น เอมเปอเรอชื่อเฟรเดอริกธีเกรด ได้เปนใหญ่ เคยเปนคนชอบกันกับเฮนรีมาแต่เด็ก เอมเปอเรอรับสั่งให้เฮนรีอยู่ช่วยการศึกรบกับอิตาลี เฮนรีไม่ยอมอยู่กลับมาเสีย เอมเปอเรอกริ้วจึงได้เนียรเทศเฮนรีเสียจากเมือง ไปอยู่เดนมาร์กกับพ่อตา ภายหลังอนุญาตให้กลับ แต่แบ่งเมืองบาวาเรีย ฮาโนเวอ ซักโซนีออกเสีย คงให้ไว้แต่ปรินซิปัลิตีของบรันซวิกนี้เมืองเดียว เมืองเม็กเคลนเบิกที่เปนต้นแซ่ของดุ๊กริเยนต์เดี๋ยวนี้ ก็อยู่ในอำนาจของเฮนรีธีไลออน เพราะไปตีได้ พวกเม็กเคลนเบิกยังเกลียดชังเฮนรีธีไลออนอยู่ เฮนรีธีไลออนเลยตกต่ำอยู่เช่นนั้นจนถึงเวลาตาย เมื่อตายแล้วจึงได้เอาศพฝังไว้ในโบสถ์นี้ หลังที่ฝังศพมีรูปเฮนรีธีไลออน ถือรูปโบสถ์นอนเคียงกันกับเมีย ข้างท้ายโบสถ์ยกพื้นสูง ในใต้พื้นสูงนั้นเปนที่ฝังศพ มีเอมเปอเรอ ๒ คน คือเอมเปอเรออตโตคน ๑ แล้วบรรดาดุ๊กออฟบรันซวิกที่สืบแซ่กันต่อมาก็ฝังศพในวัดนั้นทั้งสิ้น จนตลอดถึงดุ๊กวิลเลียมซึ่งเปนที่สุดตระกูล มีต้นไม้ต้นหนึ่งซึ่งเฮนรีธีไลออนได้ปลูกไว้อยู่มา ๗๐๐ ปี จนกระทั่งถึงดุ๊กวิลเลียม พอดุ๊กวิลเลียมตายแล้วต้นไม้นั้นก็ล้ม ต้นไม้ตายพร้อมกันกับแซ่ที่ขาดสูญ ฝรั่งฟังอยู่ข้างจะจับใจกันมาก ได้เอาไม้จากต้นไม้นั้นมาทำเปนมอนิวเมนต์จำลอง ตั้งไว้ในคาเซอลนี้ มอนิวเมนต์เดิมนั้นได้ชำรุดซุดโซมไปมาก ภายหลังจึงได้ซ่อม เมื่อล่วงมาได้ ๕๐๐ ปี คิดตั้งแต่เวลาซ่อมมาจนกระทั่งถึงเวลาปัจจุบันนี้ได้ ๒๐๐ ปีเศษ ดุ๊กผู้ที่ซ่อมนั้นได้ทำคำจาฤกติดไว้ที่เท้าน่าของไลออนปรากฎอยู่จนทุกวันนี้ ชาวเมืองนี้ออกจะนับถือกันคล้ายๆ พระ เมื่อคราวเยโรมโบนะปาร์ตมาได้เมืองนี้ รู้คำที่ฦๅกันสืบๆ มาว่า พวกข้าราชการแต่ก่อนได้เล่นโยนเงินเข้าในปากไลออน ในท้องไลออนนั้นมีเงินเต็มทั้งสิ้น แรกถึงก็ให้เปิดท้องไลออนดู ไม่พบเงิน พบแต่ก้อนศิลาบ้างอยู่ในนั้น คิดจะเอาไปปารีส พวกราษฎรพากันร้อง ว่าในเวลานี้เขาทั้งปวงยินยอมสงบเรียบร้อย ถ้าขืนเอาไลออนตัวนี้ไปจะลุกเปนขบถขึ้นทั้งเมือง จึงได้งดไม่ได้เอาไป คงอยู่เมืองนี้จนทุกวันนี้ กิงเยโรมคนนี้มีชื่อเกี่ยวข้องทั้งที่นี่แลที่คัสเซลเปนคนชอบสนุกมาก เชื่อว่าเหล้าบอรโดคือแกลแรตทำให้เนื้อหนังนุ่มนวนงามบริบูรณ์ดี ถึงกับเอาเหล้าบอรโดนั้นอาบแลเล่นอะไรต่างๆ หลายอย่าง นี่เปนของเอมเปอเรอเยอรมันเล่าให้พ่อฟัง ดุ๊กริเยนต์เล่าต่อไปว่าแกลแรตที่อาบแล้วนั้นยังกรอกขวดขายต่อไปอิกด้วย

ในโบสถ์นี้เขียนลายสีอย่างสดๆ ซ่อมใหม่บริบูรณ์ดี ปรินซอัลเบิต น้องเอมเปอเรอวิลเลียมที่มาเปนริเยนต์ก่อนริเยนต์คนนี้นั้น ได้ปฏิสังขรณ์สิ่งซึ่งเปนของโบราณแปลกประหลาดที่นี่ คือราวเทียนที่ทำแต่ครั้งเฮนรีธีไลออน เปนเสาสูงประมาณสัก ๑๐ ศอกแยกเปนจงกลเรียงกันติดเทียน ๗ เล่ม

ที่วังนั้นเปนเรือนแฝด ที่ต่อหลังคาแฝดรับด้วยเสาศิลาเขียนลายสีน้ำทั่วไปทั้งหลัง บัวปลายเสาเปลี่ยนไม่เหมือนกันสักต้นเดียว ใต้โค้งก็เขียนลาย แปลกกันหมด มีลายไทยๆ หลายอย่าง ประหลาดที่มีรูปไล่เนื้อ รูปม้าที่เขียนเหมือนรูปม้าที่เขียนกันในเมืองไทย ไม่ใช่รูปม้าเทศ เหมือนอย่างม้าในรูปมารวิไชยผนังด้านน่าวัดพระแก้ว จนเขาสงไสยกันว่า ฤๅม้าแต่ก่อนรูปจะเปนเช่นนั้น จะพึ่งมากลายๆ ไปต่อภายหลัง

ในห้องนี้ค่ำวันนี้ได้มีคอนเสิต พวกกองมโหรีหลวงตั้งแต่ครูบาอาจารย์ลงไปทั้งหมด ๕๖ คนเล่นออเคสตรา มีคนที่รับเชิญมาประชุมมาก ครั้นเสร็จการเล่นแล้วได้ไปเลี้ยงน้ำชา ในห้องซึ่งว่าเปนที่ประทับของเฮนรีธีไลออน ที่กลางโต๊ะมีรูปจำลองของมอนิวเมนต์ที่เฮนรีธีไลออนสร้าง ทำด้วยเงิน มีที่จัดดอกไม้ ๔ ด้าน ดุ๊กริเยนต์ให้ทำไว้ให้พ่อเปนส่วนของเมืองบรันซวิก ส่วนช้างที่ให้ไว้ก่อนนั้นเปนของส่วนตัว ดุ๊กริเยนต์รับรองครั้งนี้ดีเหลือเกิน จนพ่อไม่รู้ที่จะขอบใจอย่างไรพอ ดัชเชสนั้นเห็นจะเหนื่อยเต็มที ไปไหนก็ไปด้วยวันยังค่ำๆ กลับมาเวลาก่อนดินเนอก็มีเพียงครึ่งชั่วโมง ไหนจะดูจัดโต๊ะกินเข้า ไหนจะแต่งตัว วันนี้เต็มทนเข้าอย่างไรออกจะรับๆ ว่าเหนื่อยนิดๆ บ่นแต่ว่าวันหมดเร็วอาไลยอาวรณ์ทั้ง ๒ คน กลับมาเวลา ๕ ทุ่ม รูปวัดแลวังนี้นายช่างผู้ที่ซ่อมแซมได้ให้เล่ม ๑ ได้รับโทรเลขของปรินซอดัลเบิต ๒ ฉบับ บอกเสียใจที่จะกลับมาพบพ่อไม่ทัน

• • • • • • • • •

คืนที่ ๑๔๐

โฮเตลดุนอร์ต เมืองโกลอน

วันอังคารที่ ๑๓ สิงหาคม

เมื่อเช้านี้แต่งครึ่งยศติดตรา ลงไปพร้อมกับดุ๊กแลดัชเชสเดินตามหนทางซึ่งปลูกต้นไม้ ๒ แถว ว่าเปนทางสำหรับดุ๊กออฟบรันซวิกเดินเล่น แต่อยู่ใกล้กำแพง เรือนนอกกำแพงสูง แลเข้ามาเห็น ที่จริงถ้าเราอยู่ก็ไม่สบาย จะต้องอยู่แต่ในเรือน สุดแต่ออกนอกเรือนคนก็เห็น ดุ๊กได้บ่นเหมือนกัน ที่สุดของถนนที่ปลูกต้นไม้นั้นเปนเรือนแก้ว น่าเรือนแก้วนั้นเขาเตรียมให้ปลูกต้นไม้ เรื่องปลูกต้นไม้นี้พึ่งนึกขึ้นใหม่ ไม่ได้อยู่ในโปรแกรม เพราะพูดกันด้วยเรื่องเจ้าฝรั่งเข้าไปเมืองไทย ได้ปลูกต้นไม้ ดุ๊กเองอยากปลูกเต็มที บ่นว่าเสียทีไม่ได้ปลูก ถ้าปลูกไว้ปานนี้ก็จะโตมากกว่าเพื่อน คิดจะเข้าไปปลูกให้จงได้ แต่อยากปลูกต้นมะฮอกะนี ต้นไม้ที่จัดให้พ่อปลูกนี้ใช้ต้นลินดา ซึ่งเปนต้นไม้อย่างเดียวกันกับเฮนรีธีไลออนได้ปลูกแลอยู่ได้ถึง ๗๐๐ ปีนั้น ต้นไม้เช่นนี้ปลูกถนนเมืองเบอลิน ลำต้นตรงใบมน ต้นที่เอามาให้ปลูกนี้สูงประมาณสัก ๖ ศอกแล้ว ลำต้นอ้วนแต่ชอบกล เขาตัดรากทั้งใหญ่ทั้งเล็ก เหลืออยู่นิดหน่อย ไม่มีตุ้มดินห่อรากเลย ครั้นถามเข้าได้ความว่าเขาชำไว้ก่อน แลย้ายที่ครั้ง ๑ แล้ว เชื่อว่าจะเปนได้ ยังไม่รู้จักวิธีทำพิธีรีตองอะไร เอาต้นไม้นั้นมาส่งให้พ่อ จับตั้งลงไว้เหมือนไม้ปัก แล้วก็เอาดินถมเท่านั้น คำที่จะจาฤกป้ายศิลาปักไว้ขอให้พ่อเขียนเปนภาษาไทย แลแปลเปนภาษาเยอรมันจะสลัก กำลังตื่นหนังสือไทยมาก จนชั้นบาญชีกับเข้าก็ตีหนังสือไทย ให้ไปตีพิมพ์ที่ไลปซีก ผเอินมาไม่ทัน ๒ วัน พึ่งได้มาเมื่อคืนนี้ ความที่คิดถ้วนถี่รอบคอบถึงเพียงนี้ ขนมที่เลี้ยงโต๊ะนั้นไม่ใช้รูปถ่ายเก่าๆ ปิด ไปเที่ยวในวันนั้นแห่งใดๆ เอารูปนั้นมาปิดในขนมเวลาค่ำทั้งสิ้น พ่อได้ส่งขนมเหล่านั้น ซึ่งเอาไว้เวลาละห่อ ๒ ห่อ กับเมนูเข้ามาให้ดูด้วย ลาดัชเชสที่น่าวัง แล้วขึ้นรถกับดุ๊กมาที่สเตชั่น มีผู้มาส่งเปนอันมาก มีความอาไลยอาวรณ์กันกับดุ๊กแลดัชเชสอย่างยิ่ง เพราะเหตุที่มาอยู่รู้สึกสบายจริงๆ วันล่วงเข้าไปเรวเหลือเกิน ประเดี๋ยวเดียวก็ครบ ๓ คืนแล้ว ออกจากสเตชั่นบรันซวิกเวลาเช้า ๕ โมง มาหยุดเอะอะเรื่องรถอยู่ที่เมืองฮาโนเวอ เมืองฮาโนเวอนี้โตมาก แต่เขากล่าวกันว่าดุ ถ้านักเรียนมาอยู่แล้วมักจะเสียคน เหตุด้วยการสนุก ฤๅที่สนุกมีบริบูรณ์เหมือนเมืองเบอลิน แต่ระยะทางมันใกล้ๆ กว่าเบอลิน จึงชักให้เพลินมาก พื้นแผ่นดินเหมือนเมืองบรันซวิกนั้นเอง ต่อมาถึงเมืองที่แต่ก่อนเรียกว่าเวสเฟเลีย เปนเมืองเอกราชเมืองหนึ่งซึ่งตกเปนของปรูเซียแล้ว ภูมฐานบ้านเมืองจึงได้แปลก มีภูเขาเทือกยาว ที่สุดของเทือกเขาที่ยื่นลงไปในท้องทุ่งมีมอนิวเมนต์ เอมเปอเรอวิลเลียมที่ ๑ ตั้งเด่นแลเห็นแต่ไกล การเพาะปลูกยิ่งตกลงมาข้างใต้ยิ่งบริบูรณ์มากขึ้น เพราะเหตุที่ข้างเหนือเดิมจมอยู่ในทเล อย่างเช่นเมืองบรันซวิก เขาทำป๊ากขึ้นใหม่เมื่อประมาณสัก ๒๐ ปีมานี้ ขุดดินเปนลำรางที่ในป๊าก ยังพบต้นไม้ที่จมอยู่ในใต้ดิน แลพบเปนสระเก่า ที่เหล่านั้นเปนที่ลุ่มทั้งสิ้น จนกระทั่งวังที่สร้างก็ตีเข็มอย่างเมืองเรา เรื่องป๊ากนี้ได้ลืมเสียไม่ได้เล่าถึงเลย เหตุด้วยมีงานนัวเต็มที แต่ก่อนมาในเมืองบรันซวิกไม่มีป๊าก ไม่มีหนองฤๅทเลสาบอันใด มิวนิสิเปอลจึงได้คิดทำป๊ากขึ้น ป๊ากที่ตอนต่อกับเมืองซึ่งได้ทำ ๒๐ ปีแล้วนั้น ต้นไม้ขนาดสักเท่าต้นไม้ที่สวนดุสิต แต่ส่วนใหม่ที่ทำต่อออกไปข้างนอกสองปีมาแล้วยังโหรงเหรงเต็มที แลเห็นเข้าช่างนึกถึงสวนดุสิตของเราเมื่อแรกทำจริงๆ เดี๋ยวนี้เอาต้นฟืนเข้าช่วยประคองต้นไม้ไว้ แต่อย่างไรๆ ต้นไม้ของเราคงโตเร็วกว่าครึ่งหนึ่ง ตอนข้างใต้นี้เรื่องต้นสนเบาบางลง เปนไร่แลนาเต็มไปทั้งนั้น นาที่เกี่ยวเข้าเสร็จแล้วลงมือไถใหม่อิกก็มาก ในระหว่างฤดูสปริงแลซัมเมอนี้ เปนเวลาที่ทำงานไม่ได้หยุด ไปว่างเอาน่าหนาว เข้าที่เกี่ยวเขาเกี่ยวไม่ไว้ตอซังสูง เหลือพ้นดินสัก ๒ นิ้วเท่านั้น เหตุด้วยต้องการฟาง เวลาผึ่งเข้าแห้งแล้วตัดแต่รวงเข้าเหลือฟางตั้งลอมเล็กๆ รายไว้ในท้องนา สำหรับใช้คลุมพืชพรรณต่างๆ กันสโน เช่นมันแลตอองุ่นใช้คลุมด้วยฟางทั้งนั้น น้ำตาลที่ทำกันนั้นใช้บีตสีแดงอย่างเช่นเราเคยต้มกินนั้นเอง มีดีเปนแห่งๆ ตอนแถบข้างเหนือบีตแลอัสเประกัสดี องุ่นไม่มีเลยปลูกไม่ดี เพราะหนาวมากนัก ที่เขตรเวสเฟเลียนี้แปลกกับที่อื่นๆ บ้านเรือนคนไม่เข้าเปนหมู่ใหญ่ๆ อยู่รายห่างๆ กัน เขาว่ามักจะวิวาทกันมาก ไม่ใคร่ชอบกัน ถัดออกมาอิกที่สำคัญ คือบีลเฟลเด แลบารเม็นเปนคนละเมือง แต่ต่างใหญ่ขึ้นด้วยกัน จนเดี๋ยวนี้เกือบจะจดกัน เมืองทั้ง ๒ นี้ที่โดยรอบคอบเปนบ่อแร่ การทำแร่ใหญ่โตมาก แต่ไม่ได้หยุดดูแห่งใด มีประหลาดอย่างหนึ่งคือ รถรางไม่ได้เดินไปบนราง กลับห้อยไปกับราง ซึ่งมีแห่งเดียวในประเทศยุโรป เปนของประหลาดอยู่ เพราะรถรางนั้นจะต้องผ่านไปในเมืองทั้ง ๒ เปนระยะทางสัก ๑๐ กิโลเมเตอ แต่มีตึกเต็มไปหมด ถ้าจะซื้อที่แผ่นดินจะเปนราคาแพงอย่างยิ่ง มีคลองออกจะโซมๆ วกวนไปตามหมู่บ้าน จะเอาที่คลองนั้นก็ไม่ได้ เพราะเปนคลองที่ใช้ เขาจึงคิดอย่างใหม่ ทำเสาเหล็กยัน ๒ ฟากคลอง ปลายเสากรอมเข้าไปหาสพานข้างบน ในการที่จะติดล้อรถนั้นเอาล้อขึ้นไปกลับติดเสียบนหลังคารถ เวลาจะเดินก็เดินลอยโตงเตงไปในเปล สเตชั่นก็แขวนโตงเตงไว้เช่นนั้นเหมือนกัน ดูประหลาดเต็มที ได้เห็นเวลากำลังรถแล่น เขาว่าที่อเมริกามีมาก แต่ในยุโรปนี้ไม่มีแห่งอื่น กินกลางวันกลางทาง มาถึงเมืองโกลอนเวลาบ่าย ๕ โมงเศษ กินน้ำชามาแล้ว เมื่อขึ้นรถม้าแล้วจึงเลยไปเที่ยวทีเดียว เมืองนี้เปนเมืองใหญ่ที่ฝั่งแม่น้ำไรน์เมืองหนึ่ง มีจำนวนพลเมืองอยู่ในสามแสนเศษไปหาสี่แสน งามกว่าเมืองกีลมาก ที่เปนยอดของความงามทีเดียวนั้น คือวัดที่เรียกว่า โกลอน คะทีดรัล จะหาวัดในอิตาลีสู้กลัวจะสู้ไม่ใคร่จะได้ หน้าตาช่างเปนวัด ดูศักดิ์สิทธิเสียจริงๆ โตใหญ่เหลือประมาณ แต่ไม่เห็นว่าสิ่งไรโตเกินไปฤๅเล็กเกินไปแต่สักอย่างเดียว ทรวดทรงสัณฐานพอได้ประมาณเข้ากันพอดีหมด งามราวกับว่าแกะด้วยงา เสียดายแต่บ้านเรอนกระชั้นเต็มที ถ้าไม่ขึ้นถ่ายรูปบนหลังคา หาที่ถ่ายรูปไม่ได้ นับว่าเปนหลักเมืองอย่างสำคัญ เปนของที่ผู้ซึ่งคิดทำต้องรู้สึก ว่าตัวจะไม่ได้อยู่แลเห็นเวลาวัดนี้แล้วเปนอันขาด ใจเขาเด็ดจริงๆ ที่ทำกลั้นความอยากดูสำเร็จได้

ตึกอื่นๆ ที่สำคัญมีอิกหลายแห่ง เปนตึกศิลาใหญ่ๆ มีสพานข้ามแม่น้ำ มีเสาใหญ่ ๔ ต้น แลเห็นตระหง่านแต่ไกล ที่ริมน้ำถนนกว้างใหญ่ เปนที่น่าเที่ยวเล่นเปนที่สุด ตอนข้างเมืองใหม่มีตึกอย่างใหม่เกิดขึ้นมาก ตึกอย่างใหม่นี้เอมเปอเรอกริ้วเหมือนกัน ตามอย่างที่เอมเปอเรอแก้ไขฤๅคิดขึ้นเปนคิดอย่างเก่าทั้งนั้น ฟังพูดๆ ดูถูกใจจนคิดถึงกรมหลวงนริศร์

เมืองนี้เปนเมืองปรากฎชื่อเสียงด้วยเรื่องน้ำหอมอิกอย่างหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า โอเดอโกลอน แต่เขามักจะนินทาฤๅหัวเราะเยาะกันอยู่ว่า คนมักจะเข้าใจว่าน้ำอบซื้อที่อื่นไม่หอมเหมือนซื้อจากที่ร้านเมืองนี้ แต่ความจริงนั้นเมืองฝรั่งเศสมักจะส่งน้ำเช่นนั้นมาขายที่เมืองนี้ แต่ถึงเช่นนั้นก็ดี มาถึงเข้าแล้วอดซื้อไม่ได้ เพราะอะไรจะมาเปนสเปเชียลิตีของเมืองนี้ยิ่งกว่าน้ำอบนั้นไม่เหมาะเหมือน จึงได้ตรงไปซื้อน้ำอบสำหรับฝากไปบางกอก

โฮเตลนี้ ที่จริงก็ไม่เลวอะไร เปนอย่างดีของเมืองนี้ แต่ช่างกะไรเลยน่าโฮเตลมีถนนขึ้นกันเปนคั่นกระไดไปถึง ๓ ชั้น เปน ๓ สายเรียงกัน มีทั้งทางรถม้า, รถราง, รถไฟ อึงหนวกหูอย่างยิ่ง บางทีบอกให้เขียนหนังสือถึงไม่ได้ยิน ถ้าจะว่าด้วยถานอึงกันแล้ว นอนในรถไฟเห็นจะเงียบกว่ามานอนที่โฮเตลเมืองโกลอนนี้ เว้นไว้แต่รถไฟแคบ โฮเตลกว้าง ผิดกันอยู่แต่เท่านั้น จะนอนหลับฤๅไม่หลับออกน่าสงไสยทีเดียว เพราะอยู่คืนเดียว แต่ถ้าหลายคืนไปแล้วถึงอึงเท่าอึงอย่างไรก็หายอึง เคยไปเอง ความร้ายกาจของโฮเตลโดยมาก ไม่มีอะไรยิ่งกว่าเลี้ยงช้าเต็มทีนั่งเสียจนหลังแขง ดุ๊กเปนผู้อยู่โฮเตลมากกว่าเพื่อน บ่นว่าเสียเวลาค่ากินเข้าถึงวันละ ๖ ชั่วโมง จะไปที่ไหนพ่อได้จัดการเร่งทุกแห่ง แต่บางทีก็สำเร็จบางทีก็ไม่สำเร็จ ที่ไม่สำเร็จมักจะเปนเรื่องมีคนใช้น้อย แต่เหมือนอย่างโฮเตลนี้คนใช้ก็ไม่น้อย แต่มันช้าเอง ไม่ใช่ช้าถึงดี ถ้าถึงดีแล้วสูบซิกาเร็ตตัวหนึ่งได้ในระหว่างกับเข้ามาสิ่งหนึ่งๆ

• • • • • • • • •

คืนที่ ๑๔๑

เมืองปารีส

วันพุฒที่ ๑๔ สิงหาคม

เมื่อคืนนี้ข้อที่ปรารภว่าจะหนวกหูจนนอนไม่หลับ ครั้นเวลาล่วง ๗ ทุ่มแล้วค่อยสงบลง ปิดน่าต่างเสียพอทนได้ กินเช้าแล้วไปดูคะทีดรัล ไปดูทำเชิงเทียนที่จะถวายพระแล้วกลับมาโฮเตล กินเข้ากลางวัน พอแล้วสำเร็จเขาก็เร่งว่ารถไฟจะออก ต้องไปขึ้นรถไฟ ที่จริงต้องไปคอยหน่อยหนึ่งรถจึงได้ออก ทางที่มาวันนี้เวลาบ่าย ๕ โมงถึงพรมแดนระหว่างเยอรมันกับเบลเยียมมีภูเขา ต้องลอดปล่องหลายหน เหตุที่ผ่านด่านภาษีบ่อยๆ คือด่านภาษีเยอรมันกับเบลเยียมตั้งห่างกัน ต้องหยุดตรวจทั้งสองแห่ง ยังด่านภาษีเบลเยียมต่อกันกับฝรั่งเศส ต้องหยุดตรวจทั้งสองแห่ง ถึงเขาไม่ได้ตรวจเราก็จริง แต่คนอื่นมาด้วยในรถเราเขาตรวจจนทั่ว เราก็ต้องพลอยค้างอยู่นั่นด้วย ประดักประเดิดรำคาญใจไม่ใช่น้อยแห่งละนานๆ รถไฟจึงได้ช้า วันนี้ทั้งในแดนเบลเยียมแลในแดนฝรั่งเศสผ่านบ่อแร่ถ่านศิลาตลอดทาง การที่ทำดูใหญ่โตมากนักออกอยากเห็น เมืองเบลเยียมบริบูรณ์เสียจริงๆ บริบูรณ์ทั้งบนพื้นแผ่นดินแลใต้แผ่นดิน การเพาะปลูกบนดินงามเต็มไปทุกหนทุกแห่ง บ้านเรือนคนก็แน่นหนาไม่ใคร่จะมีระยะย่านห่าง ส่วนใต้ดินก็ล้วนแต่ถ่านศิลาทั้งนั้น นับว่าเปนเมืองอย่างมั่งมีที่สุด รถกินเข้าใช้รถฝรั่งเศส ทางเดินไม่ตรงกันกับรถเยอรมัน จึงต้องลงจากรถไปกินเข้ารถหนึ่งต่างหาก นั่งนานจนขี้เกียจ ร้อนเต็มที ต้องเปิดน่าต่างหมด กำหนดว่าจะถึงปารีสเวลา ๔ ทุ่ม ๔๕ เปน ๕ ทุ่ม ๑๕ จึงได้ถึงสเตชั่น ทางมาแต่แซงคองตังนี้ พ่อเคยได้ความเหน็ดเหนื่อย เบื่อใจแต่คราวก่อนจึงได้จำทางได้ ที่สเตชั่นมีผู้แทนเปรสิเดนต์คนหนึ่ง ฟอเรนออฟฟิศคนหนึ่ง โปรโตคอลคนหนึ่ง รับ มีเอียดเล็ก, แดง, ติ๋ว, อุรุพงษ์, ดุ๊ก, กรมสมมต, แลจรูญ กับข้าราชการอื่นๆ มาลิเคชั่นทันที

เรื่องรูปที่พ่อถ่ายเกิดกาหลกันด้วยเปลี่ยนตัวเจ้าพนักงานออกจะจับไม่ติดยุ่งเหยิง มอบให้เยนตราไปพิมพ์ได้มาสองสามอย่าง แต่ก็ไม่ครบจำนวน ได้ส่งเข้ามาให้ดูบ้าง เมื่อได้หมดจึงจะส่งสำหรับเข้าสมุด

จุฬาลงกรณ์ ป.ร.



[๒๐๑] นายรัตน์ อาวุธ (เดี๋ยวนี้เปนนายพลตรี พระยาอินทรวิชิต)

[๒๐๒] เมื่อกลับมาถึงบางกอกหน่อยหนึ่ง ก็ได้ข่าวสิ้นชีพน่าเสียดายมาก

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ