พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๔๑

คืนที่ ๑๙๐

เมืองมิลาน

วันพุฒที่ ๒ ตุลาคม ร. ศก ๑๒๖

หญิงน้อย

วันนี้ตื่นเช้าหน่อย นึกว่าจะไปเที่ยวทางบก ด้วยเมื่อวันมาฝนตกไม่ทันเห็นอะไรถนัด แลควรจะต่อเข้าไปข้างในได้อิก กลับได้รับความรำคาญเปนอันมาก ฝนตกไม่มีเวลาหยุด ตกมาเสียแต่เช้าก่อนแล้ว เลยขาดทุนนอนเข้าไปเสียอิกซ้ำ ส่งดุ๊กไปเที่ยวหาของฝาก ได้แพรที่ว่าทอที่ตำบลเซอรนบบิโอนี้ ออกจะไม่แปลก มีผ้าลูกไม้ทำที่นี้เอามาให้ดู ทำด้วยมือดุ๊กได้เห็น แต่มันเลวไปกว่าทำด้วยตีน เลยซื้อไม่ได้ ทำโทรเลขแลกินเข้ากลางวันแล้ว ปรีเฟต์เมืองเซอรนบบิโอมาหา ตัวปรีเฟต์เองบอกว่าถึงเวลาแล้ว เชิญเสด็จ เราก็พากันขึ้นรถโมเตอร์คาร์ไปที่สเตชั่นเมืองโกโม รถไฟยังไม่มาจะหาที่จอดแห่งใดก็ไม่ได้ เลยต้องเดินเคว้งคว้างอยู่น่าสเตชั่น เปนอันต้องถูกดูเสียป่น มีอ้ายคนอะไรสัก ๕ คน ๖ คน คอยเดินตามไม่ว่าเรากระดิกตัวไปข้างไหน จนเข้าใจกันว่าจะเปนโปลิศลับ แต่ทำไมมันมากมายก่ายกองนัก โปลิศลับเมืองอื่นก็เคยมีติดตัวอยู่เสมอ เขาก็แสดงกิริยาให้เราเข้าใจ แลมีคนหนึ่งสองคน นี่มันเปนห้าคนหกคนมากนัก แล้วเข้ามายืนอยู่ใกล้ๆ กิริยาก็ไม่ทำที่จะให้รู้ แลไม่เห็นป้องกันคนดูอย่างไรได้ ถ้าหากว่ามันเปนโปลิศลับจริง ท่ามันเหมือนกลับจะคอยจับว่าเมื่อไรเราจะขโมยมากกว่าป้องกันเราให้พ้นคนอื่น อย่างไรๆ รถก็ไม่มา แต่ถ้าขืนรถมาของก็ไม่ได้ทันขึ้นรถ เพราะมันขนออดๆ หยุดคุยกันเสียเปนพื้น ต่อถึงเวลาที่กำหนดไว้ว่ารถจะออกนั้น จึงได้ขนหีบออกจากห้อง เพราะมันชิน “หมาย[๒๓๒]” กันเสีย เชื่อว่ารถยังไม่มาทั้งที่ขนออดๆ เช่นนั้น การก็เปนจริงอย่างนั้น ของพร้อมแล้วยังต้องคอย รถไม่มา เหม็นเบื่อเหลือสติกำลัง ไปจอดรถคอยผ่านทางรถไฟเมื่อไปโมเตอร์คาร์ยังดีกว่า เขาเอาเงินง้างบานประตูให้เปิดปล่อยเราไปได้ แต่นี่ถึงจะหยอดลงไปก็เปล่า รถมันไม่มา เกินเวลากำหนดไปเปน ๕๕ มินิตรถจึงได้มา รถก็สกปรกโสมมเปื้อนไปทั้งนั้น แต่เปนระยะสั้น กว่าจะได้ออกก็ชั่วโมงเศษ มาตามทางก็ไม่มีอะไรน่าดูแต่สักอย่างหนึ่ง เปนเขาบ้างที่ราบบ้างป่าไม้ฟืนทั้งนั้น ระยะทางก็ ๕๕ มินิตแต่มันคลานเสียก็มาก ๕ โมงเศษจึงถึงเมืองมิลาน ขึ้นรถไปที่ป๊ากใหม่ ป๊ากนี้อยู่ในระหว่างสังเวียนที่สำหรับเล่นฆ่าผู้ฟันคนลเม็งลครอย่างโรมันแต่โบราณด้านหนึ่ง โฮเตลเดอวีลด้านหนึ่ง ประตูไชยด้านหนึ่ง ยังกำลังขุดดินปราบดินปลูกหญ้าปลูกต้นไม้ แต่ถนนแหวะเชื่อมกันให้เปนวงเวียนอ้อมค้อมไปอย่างลักษณป๊าก อ้ายคนขับรถมันนึกว่าเราจะไป “กินลม” พาวนเสียเกือบ ๒ รอบจึงได้สั่งให้กลับ หนทางเราจำได้เสียแล้วแต่เมื่อมาครั้งก่อนไม่แปลกอะไร ไม่มีอะไรจะเล่า นอกจากนับรถรางตั้งแต่โฮเตลเดอวิลมาจนถึงแปเลศโฮเตลหลังสเตชั่นนี้ทางไม่ยาวเท่าไร ได้ผ่านรถรางถึง ๖๑ หลัง พ่วงสองคันก็มี คันเดียวก็มี ทาเหลืองก็มี ทาสีอื่นก็มี บางทีต้องผ่านถึง ๕ รถ ๗ รถ ทั้งไปทั้งมา รถต้องเดินรอๆ ลงที่ไหนก็เหมือนไปตั้งโรงมีโนราที่นั่น มันดูอย่างน่าเกลียด จนไม่อยากไปเที่ยวข้างไหน

เรื่องรถรางมาก จนควรจะเรียกว่าเมืองรถรางนี้ เปนเหตุให้เกิดสืบถามว่าเพราะเหตุใดจึงได้มาก สงไสยว่ามันจะแย่งกัน เพราะรถที่เปนรถหลังเดียวมักจะมีคนเต็มๆ ถ้ารถที่พ่วงติดกัน ๒ หลังบางทีมีรถละคนก็ไปได้ ให้บริพัตรไปสืบเจ้าของโฮเตล ได้ความว่ามันเปนกัมปนีเดียวกันไม่ได้แย่ง เพราะเหตุที่เมืองนี้มีคนจนมาก แลไม่ได้มีกฎหมายบังคับให้เล่าเรียน บิดามารดาจึงให้ลูกเข้าทำงานแต่เด็กๆ มาก คนจนเหล่านี้อยู่นอกเมือง เวลาเช้าจึงเข้ามาทำงาน ค่าจ้างถูก เพราะเหตุฉนั้นจึงทำการช่างต่างๆ ส่งต่างประเทศ มีไปอเมริกาเปนต้นได้มาก ค่าเช่ารถเวลาเช้าตั้งแต่ย่ำรุ่งถึง ๓ โมงเพียง ๕ ซางตีม คนแน่นเต็มทุกวัน พ้นเวลานั้นค่าเช่าขึ้นเปน ๑๐ ซางตีม ตกเย็นเวลาจะกลับลดลงเปน ๕ ซางตีมอิก รถเหล่านี้ต้องไปผ่านน่าวัดใหญ่ทั้งนั้น จึงได้ไปซ้องกันอยู่ที่นั่น แต่เวลาที่พ่อเห็นนั้นไม่เห็นมีคน เห็นจะเปนสิ้นเวลาชาวบ้านนอกออกไปบ้านเสียหมดแล้ว แต่มันยังโลภต่อไปอิก ความจริงพ่อออกไม่เชื่อความที่สืบได้ เว้นแต่จะบอกว่าไม่เชื่ออย่างไรได้ เพราะได้ความจากเจ้าของห้องที่เขาเอง ข้อที่ทำให้ไม่เชื่อนั้น คือเมื่อมาถึงโฮเตลแล้ว เยี่ยมน่าต่างทันที ในประมาณสัก ๑๐ มินิต รถผ่านไป ๑๒ คัน มีคนอย่างมาก ๔ คน แต่รถละคนเสียโดยมาก สองรถติดกันก็รถละคน แล้วยังจอดเปนแพอยู่หลังสเตชั่น ๑๒ หลังไปหา ๑๕ หลังเปนนิจ ครู่หนึ่งก็มาครู่หนึ่งก็มา ดูเหมือนพอคนขึ้นก็เอะอะออกเดิน ช่างแปลกประหลาดเสียจริงๆ ไม่เคยเห็นที่ไหนเหมือน แล้วว่าได้กำไรมากด้วย

เรื่องวัดใหญ่อิกอย่างหนึ่ง ชอบกลจริงๆ เมื่อมาครั้งก่อนก็เห็นมิลานก่อน แล้วจึงไปเห็นคอลอนเฉยๆ เห็นงามทั้งสองวัด คราวนี้ขึ้นมาเห็นมิลานแล้วจึงเห็นคอลอน ก็รู้สึกเหมือนกันกับครั้งก่อนจนกระทั่งวันนี้ พอเข้ามาเห็นคะทีดรัล รู้สึกใจหายเห็นไม่มียอด ฤๅยอดหลิมไป ถ้าจะดูตามอย่างไทย เห็นเปนส่วนกว้างมากกว่าส่วนสูงเหมือนอย่างกับเครื่องยอด คอลอนเปนยอดปราง มิลานเปนยอดมณฑป แต่ยอดมณฑปนั้นหลิมไปกว่าส่วนกว้างของตัววัด ความรู้สึกอันนี้แปลก จริงๆ ไม่ได้นึกจะลองเทียบเคียงดูเลย ความเห็นมันบังเกิดขึ้นมาเองในขณะที่แลเห็น ที่โน่นใช้ศิลาแท่งใหญ่ ที่นี่ใช้แท่งเล็ก ที่นี่ลายกระจุกกระจิกที่โน่นใหญ่ๆ พ่อชอบคอลอนมากกว่า

กินเข้าแล้วให้พระราชวรินทร์ไปคอยดูรถมาเทียบ เพราะเข็ดต้องไปคอยเต็มที แต่ดีหน่อยที่เปนรถออกจากมิลานนี้เอง ไม่ใช่ต้องคอยมาจากที่อื่น เวลา ๔ ทุ่มไปที่รถไฟ

วันนี้เปนวันแรกที่ได้จากบริพัตร เพราะต้องให้ไปช่วยการฝังพระศพแกรนด์ดุ๊กออฟบาเดน อยู่ข้างจะใจหาย เพราะเหตุว่าที่จริงรังสิตอยู่ในเขตรแดนของแกรนด์ดุ๊กออฟบาเดน ควรจะไปช่วย แต่ไม่มียูนิฟอมจึงต้องให้บริพัตรไป ที่แท้ก็ต้องทวนทางกลับขึ้นไปลูเซินเหมือนกัน แต่กำหนดยังช้าอยู่ เขาจึงลงมาส่งพ่อเสียก่อน แล้วจึงจะกลับขึ้นไป จะไม่ไปอยู่คาลสรูห์ เพราะเหตุที่เจ้านายเยอรมันคงไปหมด เห็นจะแน่นมาก จะเลยตรงขึ้นไปมันไฮม แล้วขับรถโมเตอร์คาร์ออกจากมันไฮมไปนอนไฮเดลแบ็กกับรังสิต ระยะทางไฮเดลแบ็กกับคาลสรูห์สองชั่วโมงเท่านั้น จะไปช่วยเอาเวลากำหนดฝังศพ แล้วกลับพร้อมกับรังสิตลงมาทางนี้ กินเวลาที่ต้องอยู่ในรถไฟสามคืน แล้วลงเรือจากเนเปอลข้ามไปพบพ่อที่ซิซิลี เห็นจะเปนราววันที่ ๑๐ เหนื่อยงอมทีเดียว เดินทางในรถไฟกลางคืนเปนการตามเคย รู้สึกอ่อนใจไม่ใคร่จะแขงแรง

คืนที่ ๑๙๑

โฮเตลเอกเซลซัวร์ เมืองโรม

วันพฤหัศบดีที่ ๓ ตุลาคม

ที่จริงที่นอนเล็กไม่ได้เดือดร้อนอะไรเลย เคยกันเสียแล้ว ข้อที่รถไฟกระเทือนกลับเปนการมีคุณทำให้หลับง่ายขึ้น เหมือนเด็กๆ ที่เขาอื่อ ความรำคาญมันเปนด้วยเดินเรวๆ ช้าๆ ฤๅหยุดดังตึงจวนถึงโรมจึงได้ตื่น ภูมิประเทศเปลี่ยนแปลงหมด กลายเปนทุ่งราบริมทเล มีกำแพงก่อด้วยก้อนศิลากันทั้งสองข้างทางรถไฟ เปนที่เลี้ยงวัวเลี้ยงม้าฝูงโตๆ รถไปเลี้ยวเข้าดอนก็แปลว่ามาเมืองโรมทีเดียว ไม่ช้าเท่าใดก็เห็นกำแพงเมือง กำแพงนี้สูงใหญ่ มีหอรบลอยตระหง่านเปนระยะระยะ แต่กำแพงนั้นชำรุดบ้างดีบ้าง รักษาไว้ดูเปนของโบราณ ถ้าเปนเมืองที่เมื่อยังไม่มีอาวุธปืน ก็เปนที่มั่นคงอย่างประเสริฐ เปนเมืองโบราณสองพันปีมาแล้ว ถึงความเจริญที่สุดจนกลับลงถึงความเสื่อมที่สุด แล้วจึงค่อยรื้อตัวขึ้นเปนชั้นใหม่ การที่จะเที่ยวในเมืองโรม จะมีการก่อสร้างซึ่งจะเห็นแปลกกันได้เปนสามชั้น คือชั้นเก่าที่สุดจนจมอยู่ในแผ่นดินเหลือเปนโคกเปนเนิน ต้องขุดดินออกรอบจึงเห็นที่ก่อสร้างเช่นโคโลเซียม คือเปนสังเวียนที่สำหรับเล่นการมหรศพอันคนนั่งได้ถึงแปดหมื่นเปนต้น ทำเปนสี่ชั้น ชั้นต้นจมอยู่ในดินทีเดียว ต้องขุดดินเปนสระใหญ่รอบจึงถึงพื้นของโคโลเซียมนั้น โฟรัมแลอื่นๆ ก็อย่างเดียวกันที่ปลูกบ้านเรือนใหม่ๆ ซ้อนขึ้นไป โดยสันนิฐานเอาว่าเปนเนินเขา จะต้องรื้อเรือนเหล่านั้นเสียก่อนจึงจะขุดได้ ดังนี้ก็มี ของเก่าชั้นที่หนึ่งเช่นนี้เปนที่ร้างทั้งสิ้น รักษาไว้ดูเปนของร้าง ถ้าที่ไหนจวนจะพังลงมา ก็ก่ออิฐขึ้นไปช่วยรับไว้ ฤๅบางทีก็ต้องซ้ำรัดด้วยพืดเหล็ก เอาไว้ดูเปนของโบราณ

ส่วนอย่างกลางนั้น เช่นกับวัดต่างๆ มีเซนต์ปิเตอเปนต้น สร้างขึ้นด้วยอานุภาพแลบารมีของโป๊ป ก็ใหญ่โตเกินกำลังที่จะทำเดี๋ยวนี้ได้ เพราะจะต้องลงทุนเปนอันมาก ฝีมือช่างเล่าก็ถึงที่สุดยอดสิ่งมนุษย่จะพึงทำดีได้ ที่กล่าวเช่นนี้ เพราะเหตุว่าการช่างทั้งปวงที่ทำอยู่ในเวลานี้ นอกจากอาไศรยแรงไอน้ำแลแรงไฟฟ้าเปนต้น ซึ่งเปนวิชาพบใหม่ ยังไม่มีฝีมือใดในการช่างที่ทำดีขึ้นไปกว่าชั้นกลางนั้นได้ ที่ได้เปรียบของเก่าอยู่ก็อย่างเดียวเพียงใช้กำลังไอน้ำแลไฟฟ้าซึ่งได้ค้นพบใหม่ เปนกำลังช่วยแรงให้เลียนของเก่าได้ง่ายขึ้นแลเรวขึ้นกว่าที่คนแต่ก่อนทำได้ เปนเหตุให้การช่างแพร่หลายทำได้มากออกไปแลใหญ่ขึ้น แต่จะว่าดีกว่าของเก่าก็ยังว่าไม่ได้ เพราะใจคนเราที่เห็นว่าสิ่งใดทำด้วยความพยายาม แลความคิดเปนอันมากย่อมเปนที่น่าฟังใจแลน่านับถือ ยิ่งกว่าของที่ทำโดยง่ายโดยเรว เช่นกับสิ่งของที่ทำด้วยมือแลทำด้วยเครื่องจักร ย่อมมีราคาผิดกันเปนอันมาก ความคิดฉลาดแลความรู้ทั้งฝีมือของช่างแต่ก่อน ยิ่งดูยิ่งฟังยิ่งอ่าน ก็ยิ่งน่าพิศวงเปนอันมาก

ส่วนชั้นใหม่นั้นคือที่เกิดขึ้นในประจุบันนี้ คือกำหนดว่าตั้งแต่เมืองโรมได้เปนเมืองหลวงของพระราชากรุงอิตาลีอันรวมกัน ความเปลี่ยนแปลงในการก่อสร้างตึกรามโตใหญ่ทั้งถนนตพานแลอื่นๆ ก็มีขึ้นอิกมาก แต่เราไม่สู้ต้องพิจารณาอันใดนัก เพราะเหมือนๆ กับเมืองอื่นโดยมาก เพราะฉนั้นการเที่ยวเมืองโรมนี้แปลกกว่าที่อื่นมากด้วยเราได้เห็นของโบราณดึกดำบรรพ์ ตั้งอยู่เคียงกันกับของที่พึ่งจะทำแล้วใหม่ๆ การก่อสร้างในอายุชั้นกลางปนอยู่ในหมู่ที่เก่าแก่ข้างหนึ่งใหม่เอี่ยมข้างหนึ่ง จึงเปนที่น่าเที่ยว เพราะได้เห็นการเก่าใหม่ปนกันในพระนครอันเดียว จะเห็นที่อื่นยาก

รถมาถึงล่าไปกว่ากำหนดชั่วโมงหนึ่ง ซึ่งเปนประเพณีใครๆ รู้กันว่ารถอิตาเลียนเปนเช่นนั้นทั่วหน้า มีคำที่เขากล่าวเปนล้อเล่น ว่าคนโดยสานผู้หนึ่งไปถามนายสเตชั่น ว่า “ท่านรู้ฤๅไม่ว่ารถสองโมงเช้าจะมาถึงเมื่อไร” นายสเตชั่นบอกว่า “เห็นจะสัก ๕ โมง” ความที่พูดล้อนี้ไม่ใช่ความเท็จ เปนได้จริงๆ ถ้าจะลดหย่อนก็เพียงเวลาจะไม่เท่าถึงที่ล้อเท่านั้น โฮเตลเอกเซลซัวร์ ที่พ่อมาอยู่นี้เปนสิ่งหนึ่งซึ่งนับในหมวดชั้นที่ ๓ ซึ่งสร้างพึ่งแล้วเสร็จได้ปีเดียวเท่านั้น งามเปนสง่าอ่าโถง ประกอบไปด้วยยอดแลซุ้ม สอาดทั้งภายนอกภายในราวกับวังใหญ่ๆ วังหนึ่ง กวีนมากะเรตตาพระราชมารดาก็มีวังใหม่ใหญ่โตอยู่ถัดจากโฮเตลนี้ คั่นตึกหลังเดียว คนที่นี่ ในเชิงอิตาเลียนด้วยกันแล้วนับว่าดีกว่าที่แห่งอื่นๆ หมด เปนอย่างรู้มีสัมมาคาระวะไม่สู้อุกอาจทะลึ่งทะลั่ง แต่ความเอกไซตซึ่งยังนึกไม่ออกว่าจะเรียกภาษาไทยว่ากะไร มีเหมือนกันตามสันดานอิตาเลียน คือเห็นเข้าแล้วอดทึ่งไม่ได้ เหมือนกับสิงซึ่งกระทบเข้าละสดุ้งไหวไปได้นานๆ

ถ้าจะคิดเทียบหมู่คน คนเดี๋ยวนี้ก็เปนลูกหลานของชาวโรมันแต่รูปพรรณสัณฐานกำลังวังชา ทั้งความคิดแลความพากเพียรหย่อนกว่าชาวโรมัน ซึ่งเราได้รู้ในหนังสือเปนอันมาก ความคิดอันนี้พ่อได้เคยคิคที่ลังกาเหมือนกัน เห็นว่าคนลังกาในทุกวันนี้ เห็นจะผิดกับคนลังกาที่ปรากฎในเรื่องมหาวงษ์มาก ชาวมคธเดี๋ยวนี้เห็นจะผิดกับชาวมคธแต่ก่อนมาก เมื่อถึงความเจริญที่สุดแล้ว จะต้องเสื่อมหักลงไปอย่างแรง เปนอย่างที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า ดิเยเนอเรต จนภาษาที่พูดก็กลายไปเปนภาษาใหม่ เช่นในประเทศนี้เดิมก็พูดภาษาละติน แต่กลายโทรมลงไป จนไม่มีคำอะไรจะเรียก จะเรียกว่าละตินฤๅก็ไม่ถูกกัน จนต้องเรียกว่าภาษาชาวประเทศอิตาลี ก็เหมือนกันกับภาษาบาฬี ฤๅภาษาสังสกฤต ซึ่งเป็นภาษาบริบูรณ์ ต้องเป็นภาษาตายไม่มีใครพูด กลายเปนชุดภาษาของประเทศ ที่เรียกว่ามาคธีเปนต้น รากเง่าก็เป็นภาษาเก่านั้นเอง ภาษาที่จะตายจะเปลี่ยนไปเช่นนี้ก็อาไศรยความเสื่อมเปนที่สุดของประเทศนั้น

เวลาก่อนกินเข้ากลางวัน หาที่ว่าจะไปเที่ยวข้างไหนดี ลองนับตำบลดู ได้เห็นเสียแล้วโดยมาก ไปนึกออกว่าซันต์โยวานี เห็นจะยังไม่ได้เห็น จึงได้มุ่งไปที่นั้นก่อน วัดนี้ถ้าไม่เห็นเซนต์ปิเตอจะเห็นว่าใหญ่สาหัสอยู่ มีรูปพระเยซูแลนักบุญยืนบนพนักน่าจั่วเหมือนกัน ในที่นี้มืที่ฝังศพโป๊ปอยู่ ๔ คน คือมาตังที่ ๕ เลียวที่ ๑๓ อินโนเซนที่ ๓ เคลเมนที่ ๑๒ มีความยินดีที่ได้ไปพบที่ฝังศพโป๊ป เลียวที่ ๑๓ ซึ่งพ่อได้ไปหาเมื่อคราวก่อน ทำเปนรูปศิลาโตกว่าตัวเท่าหนึ่งได้ เดินก้าวยกมืออำนวยพร ทำดีมากเหมือนจริงๆ วัดนี้ที่ชอบใจ เพดานมีขื่อคั่นเปนห้องสี่เหลี่ยม ดาวกลางทำเปนอาร์มของโป๊ปต่างๆ เพราะเหตุที่อาร์มของโป๊ปนั้นรูปนอกคงที่อยู่ แต่ใจกลางของโล่ห์เปลี่ยนไปตามตระกูลของตัวโป๊ป เพราะฉนั้นดาวจึงเข้ากันหมด เปนแต่ไส้ในแปลกกันทุกดวง เปนลายปิดทองล่องสีงามเสียที่สุดที่แล้ว ฝีมือทำเดี๋ยวนี้ไม่ได้อย่างแต่ก่อน แต่เขาก็ตั้งนั่งร้านซ่อมกันอยู่ส่วนหนึ่ง น่าเสาระหว่างโค้ง เปนรูปนักบุญท่าทางเก่งๆ ท่าด้วยศิลายาวแลใหญ่โตทั้งนั้น วัดนี้น่าเสียดายออกจะโทรมๆ เสียแล้ว เพราะเงินที่จะรักษาไม่พอ แต่ข้อที่จะเอาเงินไปรักษาวัดเสียหมด ไม่ใช้การบ้านเมืองนั้นมันก็เหลือกำลังอยู่เอง เพราะเหตุฉนั้นเวลาโป๊ปมีอำนาจเปนใหญ่อยู่เมืองจึงโทรม จำเริญแต่วัด เมื่อมีเจ้าเปนคฤหัสถ์ ก็จำเปนอยู่เองที่บ้านเมืองต้องรุ่งเรือง วัดต้องโทรมบ้าง ออกจากนี้ผ่านโคโลเซียมได้หยุดพาให้ชายอุรุพงษ์เข้าไปดู แล้วไปวัดซันตเปาโล หอถึงเข้าก็เสียใจว่าได้เห็นแล้วแต่ต้องซํ้า วัดนี้ดูภายนอกไม่สู้งาม ออกจะไม่เปนสง่า แต่ข้างในงามมาก มีเสาศิลาทั้งแท่งถึง ๘๒ เสา เปนเสาที่โป๊ปเกณฑ์สัปรุษถวาย เมืองละต้น มีรูปโป๊ปติดตามฅอสองในประธาน แลเฉลียงชั้นในตามลำดับ จับตั้งแต่เซนต์ปิเตอภายหลังพระเยซูมาจนถึงเลียวที่ ๑๓ รวม ๒๖๔ รูป ยังเหลือที่ว่างไว้สักหกเจ็ดช่อง ที่น่าพระใช้ศิลามาลากีส เปนวัดที่อย่างสว่างมากกว่าวัดอื่นๆ เมื่อไปดูวัดนี้แล้วกลับมากินเข้ากลางวัน

ครั้นเวลาบ่าย ไปด้วยรถโมเตอคาร์แคบออกนอกเมือง ไปติโวลีซึ่งตั้งอยู่ใกล้เขาซาไบน เขาซาไบนนี้ยาวเปนวงอ้อมเมืองโรม ระยะทางห่างโรมประมาณ ๔๐ กิโลเมเตอ ๑๐๐๐ เส้น หนทางเต็มที ตั้งแต่ในกำแพงเมืองตอนข้างเหนือแล้ว ตอนข้างเหนือออกร้างๆ เงียบๆ คล้ายๆ เข้าไปในกรุงเก่า บนถนนเปนศิลาตะกุกตะกัก ล้อกะทบเข้าตัวกระโดดลอยๆ พ้นพื้นห้านิ้วหกนิ้ว  นั่งพิงก็ไม่ได้ เอาศอกยันข้างรถก็ไม่ได้ กะทบฝาตึงตัง ต้องนั่งแขงตัวตรง คอยจังหวะให้รถเดาะ ไปชั่วโมงมาชั่วโมง ฟกเหลือสติกำลัง ดูยิ่งกว่าขี่เกวียนเดินตามทางป่า คำที่กรมประจักษ์ว่าโรยด้วยขวากปูด้วยขวานอะไรในเมืองเรา ยังดีกว่านี้ทั้งนั้น ทางที่ออกไปเปนทางไปกลางท้องนา นานๆ ก็พบผนังตึกแลหอกลมก่อด้วยศิลาร้างๆ รายไปตลอด ติโวลีนี้เดิมเปนบ้านผู้มีบันดาศักดิ์ที่มั่งมี ภายหลังเอมเปอเรอเมืองโรมองค์หนึ่งชื่อฮาเดรียนนัสไปสร้างวัง ในร้อยปีที่ ๒ ตั้งแต่พระเยซูเกิด คือประมาณ ๑๗๐๐ ปีมาแล้ว วังนี้เปนลักษณอย่างเวอไซล์ของเมืองฝรั่งเศส เปนที่สนุกสนานปรากฎมาก ชื่อติโวลีนี้จึงได้ยืมไปใช้ในที่สนุก ดังเช่นติโวลีที่เมืองโคเปนเฮเคนที่พ่อไปเที่ยวมีในรายวันเมืองเดนมาร์กนั้น เขาว่าเยอรมนีก็มีแต่เปนคนละอย่างไม่เหมือนกันกับที่นี่เลย มีแต่ชื่อ ที่วังนี้ไม่ได้ตั้งอยู่บนเขา ตั้งอยู่ชานเขาต่อทุ่ง เข้าทางโรงลครที่เปนโคโลเซียมอย่างเดียวกัน แต่เล็ก แล้วเดินขึ้นเนินไปหน่อยหนึ่งเปนสวน วังนั้นมีกำแพงสูงใหญ่ ก่อด้วยอิฐ แต่ประดับด้วยศิลาแผ่นเล็กๆ สองนิ้วสี่เหลี่ยม มีศิลาลายคั่นเปนราตตะคตสามเปลาะ น่าตำหนักมีสนามที่ฝึกหัดทหาร สระเลี้ยงปลา มีสนามม้า มีที่ประชุมนักปราชญ์ โรงทหารรักษาองค์ ผนังพระที่นั่งยังปรากฎอยู่ใหญ่โตมาก ก่อด้วยอิฐประดับด้วยศิลาเช่นว่ามาแล้วทั้งข้างนอกข้างใน พื้นดาดปูนประดับศิลาตัดเปนชิ้นเล็กๆ สลับสีเปนลวดลายต่างๆ ไม่มีผิดกันกับที่กระเบื้องเราทำปูพื้นอยู่เดี๋ยวนี้เลย ช่างจะเล่นน้ำเสียจริงๆ มีที่อาบน้ำโตเท่าพระที่นั่ง ในวังแลที่ประชุมนักปราชญ์ก็เปนสระที่ขังน้ำอาบน้ำไปทั้งนั้น พระที่นั่งเย็นแห่งหนึ่ง คล้ายกับที่สรงที่ลพบุรี ที่ตรงตึกพระเจ้าเหาข้าม แต่เขาตั้งผนังข้างนอกมุงหลังคาคร่อม ไปเดินๆ อยู่ในนั้นช่างให้แลเห็นพวกโรมันทั้งผู้หญิงผู้ชาย เหมือนกับฝัน ดูเพลินดี ออกจากที่วังนี้ขึ้นไปบนเขาที่เรียกคัศเคด ซึ่งเปนที่น้ำตก น้ำตกนี้ออกจะตกดื้อๆ ลงไปในซอกเขาลักษณคล้ายๆ กับเบราตลากาที่เกาะลังกาวี น้ำนี้ที่เอามาใช้ในเมืองโรม ไม่ใช่ฝังท่อ ใช้ก่อโค้งมาจากภูเขา รับลำคลอง ซึ่งไปตามทางก็แลเห็น เขาเรียกว่าเอเควดัก ในเมืองโรมนี้น้ำไหลหลั่งไปทั่วทุกแห่ง เขาทำมาตั้งพันปีเศษแล้ว แม่น้ำไตเบอรที่ผ่านเมืองโรม ห่างจากทเลประมาณสัก ๓๐ กิโลเมเตอ ๓๕๐ เส้น น้ำก็จืด แต่เขาไม่ได้ใช้ เมืองใดที่จะให้เปนศุขแลบริบูรณ์ ไม่มีน้ำมาใช้ยังไม่สำเร็จได้ เรื่องนี้พ่อได้ดูมากกว่าอย่างอื่น[๒๓๓] ขากลับมาค่ำ มาพบความลำบากซึ่งไม่มีความคิดว่าจะเปนได้ถึงเพียงนี้เลย ตามทางได้พบรถแลเกวียนราษฎรเดินผ่านน้อยกว่าที่อื่นจริง แต่ความลำบากยิ่งกว่าที่อื่นหมด เวลามืดพลบลงพ่อก็เตือนว่าทำไมจึงไม่หยุดจุดโคม ได้คำตอบว่าเมืองนี้ไม่มีข้อบังคับว่าให้รถต้องจุดโคม พอเขาบอกเช่นนี้ก็กลับสังเกตเห็นอ้อขึ้นมาทันที บรรดารถที่ผ่านสวนกลางทางไม่มีจุดโคมเลยสักดวงเดียว รถที่บรรทุกหนักๆ ก็ยังเดินอยู่จนกลางคืน คนขับรถโมเตอคาร์ของเราก็ห่ามเต็มที ออกได้ก็ปรื๋อ เวลาลงจากเขาใส่เบร๊กแน่นแล้วเปิดอย่างแรงปรื๋อลงมา นั่งมาในรถหาความศุขบมิได้ ประเดี๋ยวชายอุรุพงษ์ร้องขึ้นมา เอ๊ะเอ๊ะนี่อะไรร้อนไปครึ่งตัวแล้ว ประเดี๋ยวเดียวควันขึ้นกลุ้มไป พ่อไม่ไว้ใจมานานแล้วบอกให้อาลเบอสลั่งให้หยุด เพราะแกนั่งข้างน่า แต่ตาอาลเบอสแกละเมอพูดกับคนขับรถในเวลามีกระจกขวางหน้าอยู่ร่ำไป สอนแล้วว่าให้เปิดน่าต่างข้างข้างออกพูด แต่แกลืมเสมอ ต้องเตือนให้เปิดทุกครั้ง เปิดก็ออกจะไม่ใคร่เปน เวลาเห็นควันกลุ้มขึ้นมา แกหมดสติแกไม่รู้ว่าจะทำอะไร ไปยืนตะโกนทางน่ากระจกนั้น จะให้อ้ายคนข้างน่าได้ยินให้ได้ เรากระชากฉุดเท่าไรก็ไม่พอ ต้องลุกขึ้นโงเงในรถ ในการที่จะลุกขึ้นยืนในเวลารถเดินในถนนเช่นนี้ ต้องระวังซี่โครงให้จงมากไม่รู้ว่าจะกระท้อนเผงขึ้นมาเมื่อไร ถ้ากระท้อนขึ้นมาไม่กระเดนออกข้างนอกก็เดาะลอยแล้วกระแทกลงในรถ ได้เคยยืนขึ้นสวมเสื้อชั้นนอกไม่ถึงยืนตรง ทั้งตัวพ่อแลผู้ช่วยสามด้วยกัน เผงเดียวก็ก้นกระแทกหมดพร้อมกันทั้งสามคน เรียกรถหยุดได้ลงไปตรวจตราดูว่าอะไร ทั้งเจ้าของแลคนที่โฮเตลซ้ำดุ๊กซึ่งมารถหลัง มาเปนออทอริตีอิกคนหนึ่ง ผลแห่งการตรวจนั้น ได้ความว่าร้อนที่เบร๊กลงเบร๊กไว้เปิดแรงนานเข้าก็เกิดร้อนขึ้น ดูความเห็นพอจะฟังได้ ตกลงกลับขึ้นใหม่ แต่ขอห้ามอย่าให้เดินเร็วเหลือเกินเปนอันขาด จนกว่าจะพ้นเขา มันยอมให้ ค่อยยังชั่ว แต่ความไว้ใจมันไม่มีเสียแล้ว ให้รู้สึกร้อนข้างล่างอยู่รํ่าไป ควันมีฤๅไม่มี นี่กลิ่นอะไรเปนแคส กลิ่นอะไรไหม้ๆ บ่นเรื่อยไปเช่นนี้ตลอดหนทาง มองหารถทุกหนทุกแห่ง ถ้าเจอรถม้าเข้าที่ไหนเปนขึ้นรถม้าที่นั่น แต่อ้ายรถแถบนี้จะหาไม่สู้ง่าย มีแต่เกวียนล้อเหล็กเทียมม้าตัวเล็กๆ แต่โดยมากนั้นเทียมฬา ฬาก็ไม่ต้องเท่ากัน ใหญ่ตัวเล็กตัวก็ได้ ตาแก่ขี่ฬาบรรทุกต่าง เปนของที่เห็นเสมอ ฬานั้นมันสูงสักค่าเอวคนขี่แล้วยังเอาต่างโตเท่าตุ่มสามโคกขนาดเล็กห้อยสองข้าง ผลักโย้ๆ ไปไว้ข้างน่าหน่อยหนึ่ง มีห่อผ้าเปนกลุ่ม ย่อมกว่าต่างหน่อยหนึ่ง กับมัดฟืนฤๅอะไรต่ออะไรพอให้เปนคู่กัน ห้อยอิก คนที่ขี่นั้นทำท่าต่างๆ บางทีก็เอาเท้าพาดไปบนต่าง ตีนไปอยู่ที่ตรงริมคอฬา บางคนก็ขี่กลางเหมือนขี่ม้า บางคนก็เอาของไว้ข้างน่า ตัวมาขี่ท้ายฬาเหมือนขี่ท้ายช้าง อ้ายฬานี้ดูใครจะขี่มันอย่างไรได้ทั้งนั้น จะประทุกเท่าไรประทุกลงไป แลดูไกลๆ เหมือนรูปหนังยักษ์ขี่ม้า ฤๅเหมือนม้างิ้ว ถ้าเปนรถเกวียนประทุกของแล้ว ดูเหมือนยกครอบครัวนั่งไปบนนั้นด้วยกันหมดหกคนเจ็ดคนก็นั่งไปได้ ร้องรำทำเพลงเอ็ดอึงไปตามทาง อ้ายสัตว์ที่เทียมก็คือฬานั้นเอง เล็กนิดหนึ่งเช่นนั้น เวลาสวนกันกับรถโมเตอคาร์ห่ามของเราในเวลามืดๆ มันหลีกค่าจมูกใจหายใจคว่ำ เพราะความจริงไม่ได้แลเห็นแต่ไกลไม่มีไฟ ในเวลาเย็นที่มา ไม่พบคนเลยสักคนเดียวในท้องทุ่ง แต่ในเวลากลางคืนนี้ พบคนกลับจากทำงานเดินเปนหมู่บ้าง หยุดนั่งอยู่ข้างทางเปนหมู่บ้าง พอแลเห็นรถเข้าก็ทักคะปฏิสันถารเกรียวกราวเสียงกระชาก ดูรูปพรรณสัณฐานแลแต่งเนื้อแต่งตัว กิริยาที่เลื่อมๆ มันช่างสมร้องอ้ายเสือเอาวาจริงๆ ทุ่มหนึ่งจึงได้กลับมาถึง ฟกเหลือที่จะฟก กินเข้าแล้วนอนเปียกทีเดียว ระบมไปทั้งตัว วันนี้ได้รับเมล์ วันที่ ๑ กันยายน มะรืนนี้ จะส่งหนังสือเมล์ที่นี่ทันแต่รายวันยังน้อยนัก จึงนึกว่าจะกำเอาไปส่งเมื่อเวลาพบ ฝนตกอิก ฟ้าร้องดัง ตกอย่างไทย ถ้าเอาผ้าผูกตามาปล่อยลงให้อยู่ในห้องนี้บอกว่าบางกอกก็ได้ ไม่ร้อนไม่เย็นอะไรกว่ากันเท่าไร

คืนที่ ๑๙๒

วันศุกรที่ ๔ ตุลาคม

เมื่อคืนนี้ฝนตกฟ้าร้องยังรุ่ง เช้าขึ้นก็ไม่สู้แจ่มแต่ไม่ยักหนาว นอนค่อยดีขึ้น วันนี้ถ้าขืนออกไปเที่ยวนอกเมืองเห็นจะยิ่งใหญ่ไปกว่าวานนี้ ที่ถูกมากวันก่อนก็เพราะฝนตกไว้ก่อนกลางคืน เลยไม่ไปไหน เขียนหนังสือแลอยู่เฉยๆ จนกระทั่งกินเข้ากลางวันแล้ว ซินยอติตโตนีเสนาบดีว่าการต่างประเทศมาหา ดูกิริยาเปนคนคล่องแคล่วแจ่มใส ท่วงทีจะหลักแหลมอยู่ พูดภาษาอังกฤษได้ดี พ่อได้ให้เครื่องราชอิศริยาภรณ์มหาวราภรณ์

เวลาบ่ายไปเยี่ยมพระศพ กิงวิกตอร์อิแมนวลที่ ๒ แลกิงอุมเบอต ที่แปนเทียน แปนเทียนนี้เปนที่ก่อสร้างโบราณครั้งโรมันซึ่งต้องขุดแผ่นดินโดยรอบ ตำบลหนึ่งเหมือนกัน เปนรูปกลม ผนังตันรอบ หลังคารวบเข้าไปจนเกือบจะ บรรจบกัน จึงแหวะเปนช่องกลมไว้ข้างบนไม่มีหลังคา ดูเหมือนปล่องของถํ้าในภูเขา เวลาฝนตกก็เปียกอยู่เฉภาะตรงช่องกลาง พื้นที่ริมผนังรอบแห้ง ตรงประตูเข้าไปมีที่บูชา แล้วแบ่งเปนคูหาตามผนังรอบ คูหาตรงทิศด้านข้างขวาฝังศพกิงวิกตอว์อิแมนวล ด้านข้างซ้ายฝังศพกิงอุมเบอต มีเจ้าพนักงานเตรียมสมุดไว้สำหรับให้เซ็นชื่อทั้งสองแห่ง แปนเทียนนี้เปนที่ซึ่งใครๆ จะไปก็ได้ มีคนธรรมดาไปเที่ยวเดินเกะกะอยู่มาก พอออกมาก็ฝนตก ต้องปิดประทุนรถ ตกจริงๆ ไม่ใช่ฝนฝรั่ง เปนฝนไทย เพราะวันนี้เปนวันถือน้ำสารทในบางกอก ออกจากนั้นมาหมายว่าจะดูมอนิวเมนต์กิงวิกตอร์อิแมนวล แต่จะต้องลงจากรถไม่มีร่ม ต้องเลยไปซันต์ปิเตอซึ่งไม่ได้ตั้งใจว่าจะไป เพราะเห็นแก่หลังคาเท่านั้น หาไม่ถ้ากลับมาก็จะต้องมาอยู่โฮเตลเฉยๆ ตั้งใจไว้ว่าพรุ่งนี้จึงจะไปจะได้พาชายอุรุพงษ์ไปด้วย วันนี้ฝากกรมหลวงประจักษ์ ให้พาไปดูวะติกันคือตอนกุฎีที่โป๊ปอยู่ ด้วยพ่อคิดจะไม่ไปเหตุที่เห็นแล้วนั้นอย่างหนึ่ง เหตุที่ประดักประเดิดจะพบโป๊ปฤๅไม่พบนั้นอย่างหนึ่ง ได้ความว่าโป๊ปคนนี้ผิดกันกับเลียวที่ ๑๓ คือไม่สู้จะมีพิธีรีตองถือยศศักดิ์นัก จะสืบข่าวที่ไหนไม่ได้ดีกว่าดอเรลลี ทั้งพ่อทั้งลูก เพราะพ่อเขาเปนขุนนางอยู่ในโป๊ป ดอเรลลีได้พาเมียไปหาว่าง่ายเต็มที พอเข้าไปถึงคุกเข่าอย่างคาทอลิก คือย่อแก๊กลงไปไม่ต้องถึงพื้น โป๊ปก็เรียกให้นั่ง ทักทายปปราไสยอย่างคนๆ ธรรมดา เดี๋ยวนี้ว่าทางไมตรีในระหว่างรัฐบาลกับโป๊ปก็ดีขึ้นกว่าแต่ก่อน ข้าราชการไปมาที่วัดก็ได้ พี่ดอเรลลีคนหนึ่งทำราชการแต่ไปวัดได้ เวลานี้ไม่อยู่ พ่อคิดเห็นว่ามาคราวนี้เปนไปรเวต กับเจ้าแผ่นดินก็ยังไม่ได้พบกัน ถ้าจะไปหาโป๊ป โป๊ปคงต้องการให้มียศ ถ้าไปหาโป๊ปเปนเกียรติยศ ไปหาเจ้าแผ่นดินธรรมดาดูก็ไม่งาม ถ้าจะไปขอหาโป๊ปไปรเวตบางทีก็จะเห็นเปนเลวไป จึงได้คิดจะหลีกเสียไม่ไปหา เวลาพ่อไปซันต์ปิเตออุรุพงษ์เข้าไปอยู่ในวะติกัน ห้องเครื่องต้นเครื่องทรงที่สำคัญๆ ปิดเสียหมดแล้ว เพราะไปเย็น แต่ถึงดังนั้นคาร์ดิแนลผู้หนึ่ง ซึ่งถามไม่ได้ความว่าชื่อไรแน่ ต้อนรับแขงแรง ไปเปิดห้องให้ดูบางห้อง แล้วพาเข้าไปให้ดูข้างตอนที่โป๊ปอยู่ ซึ่งไม่มีคนอื่นได้ไป พาเข้าไปจนถึงห้องแดงที่โป๊ปเคยรับพ่อ ซึ่งโป๊ปอยู่อิกห้องหนึ่งติดกัน ชักชวนจะให้เข้าไปเฝ้าโป๊ป อุรุพงษ์ไม่กล้าเฝ้า เพราะพ่อไม่ได้สั่งไปเฝ้า แลแต่งตัวเปนธรรมดาไปด้วย คาร์ดิแนลนั้นถามว่าพ่อจะไปเยี่ยมโป๊ปฤๅไม่ ตอบว่าไม่ทราบ ลงปลายคาร์ดิแนลนั้นเบลส คือ จับหัวให้พรแทนโป๊ปสำแดงความต้องการจะให้พ่อไปเปนอันมาก

สวนพ่อไปซันต์ปิเตอ ไปเจอกำลังเขาทำเซอวิสคือไหว้พระกันอยู่ ได้ไปยืนดู ก็ไม่มีผิดอะไรกันกับกงเต็ก แต่เสียงแกดีจริงๆ สัปรุษไม่สู้มาก เพราะไม่ใช่วันสลักสำคัญอันใด พ่อไปแต่สามคน กับจรูญแลสิทธิ์ เพราะฉนั้นจึงไม่ใคร่มีใครซึ่งวุ่นวาย แต่พวกเจ้าน่าที่ในวัดนั้นรู้จัก คำนับราบๆ และประคับประคองไปตลอด จะเล่าว่ากะไรถึงซันต์ปิเตอก็เปนซันต์ปิเตอเช่นนั้น ข้อที่ดีที่สุดของซันต์ปิเตอนั้นเปนวัดที่ทั้งสูงทั้งใหญ่ แต่เข้าไปในนั้นไม่รู้สึกว่าใหญ่เท่าใด เพราะมันได้ส่วนกันไปหมด ไม่มีสิ่งไรที่ใหญ่เกินไปฤๅเล็กเกินไป จะเล่าถึงซันต์ปิเตอก็เห็นจะซ้ำกับพระยาศรี แลใครๆ เล่ากันมานักแล้ว เพราะการที่พ่อไปครั้งนี้เปนคราวที่ ๓ ฤๅที่ ๔ ได้ขึ้นยอดคอปุลาคือยอดกลางถึงสองครั้งมาแล้ว เพราะเหตุฉนั้นงดเสียไม่เล่าเห็นจะดี แต่คำจาฤกแผ่นศิลาที่ใครมีชื่อเสียงไปขึ้นบนยอดคอปุลาเขาจาฤกไว้ได้ติดอยู่เรียบร้อยดี จะขึ้นไปอิกเปนเที่ยวที่ ๓ ก็ฝนตกแลเวลาเย็นจึงไม่ขึ้น ย้ายรถมารับที่ปลายทาง ซึ่งสำหรับแห่โป๊ปลงมาในโบสถ์ซึ่งมีสวิตซกาดรักษาอยู่ เวลาฝนตกน้ำฝนตกมาตามท่อดูเหมือนอย่างกับน้ำพุใหญ่ เสียงดังกึกก้อง ความแปลกประหลาดของเมืองโรม แถบริมแม่น้ำตลอดถึงซันต์แอนเยโล ตึกกระจุกกระจิกอะไรเดี๋ยวนี้รื้อหมดเกลี้ยง มีสพานเหล็กข้ามแม่น้ำใหม่ มีตึกใหญ่ๆ สูงตระหง่านไปทั้งนั้น ที่มีร้านขายของกระจุกกระจิกอยู่แต่ตอนน่าซันต์ปิเตอ ไม่ยาวเท่าใด กลับมาโฮเตลฝนก็ตกเรื่อยอยู่เสมอไม่หยุดจนแล้ว

กินเข้าวันนี้ลองกับเข้าอย่างอิตาเลียน แต่ต้องไปหามาจากที่อื่น เพราะโฮเตลนี้ก็เปนโฮเตลเยอรมัน ถ้าจะพยายามกล่าวถึงเรื่องเมืองโรม มันออกจะเกี่ยวกับอดีตนิทาน พ่อรู้สึกตัวว่าทีจะแต่งไม่แล้วกลัวจะไปค้างเสีย จึงขอจบไว้เพียงเท่านี้ที

คืนที่ ๑๙๓

วันเสาร์ที่ ๕ ตุลาคม

วันนี้ฝนตกมาอิกแต่เช้า ตกจริงๆ จนกลางวันจึงได้หยุด เลยไม่ได้ไปข้างไหน จนเวลาบ่ายจึงได้ไปที่สคาลา ซันตา ซึ่งยังไม่เคยเห็น ได้ยินแต่เล่า เมื่อวานซืนนี้ก็ผ่านไป แต่อาลเบอสแกไม่รู้จัก อยู่ใกล้กันกับซันต์โยวานี เปนวัดไม่ใหญ่มีโดม ในนั้นเปนคั่นอัฒจันท์ทุกช่องโค้งทั้ง ๕ ช่อง ช่องกลางว่าเปนกระไดขึ้นปริโตเรียม ซึ่งเปนที่ว่าราชการของปิลาดที่เปนผู้ตัดสินโทษพระเยซู พระเยซูได้ถูกพาขึ้นลงทางนั้นในเวลาที่ไปชำระหลายเที่ยว ถูกเฆี่ยนตีตบต่อยจนโลหิตหยาดย้อยติดอยู่ที่ศิลานั้น เอมเปรสฮะเลนาซึ่งยกขึ้นเปนเซนต์ฮะเลนา ได้จัดการไปรื้อมาจากเมืองยรูซาเลมเมื่อคฤสตศักราช ๓๒๖ ครั้นเมื่อคฤสตศักราช ๑๕๘๙ โป๊ปซิกสตัสที่ ๕ จึงได้จัดการประดิษฐานขึ้นเปนวิหาร แลมีการฉลอง แล้วเรียกว่าที่ศักดิ์สิทธิ์ในที่ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย เปนธรรมเนียมมาแต่โบราณกาล ถ้าจะขึ้นลงต้องคุกเข่าขึ้นไป โป๊ปเซนต์เลียวที่ ๔ แลปาสกัลที่ ๒ จะให้สัปรุษทั้งหลายขึ้นลงให้มาก จึงได้อนุญาตกำหนดไว้ว่าจะโปรดบาปให้ผู้ที่ขึ้นด้วยหัวเข่าเช่นนั้นคั่นละ ๙ ปี เวลาขึ้นนั้นควรจะภาวนา ตามแบบที่วางลงไว้ เขามีแบบภาวนาตั้งแต่คั่นที่ ๑ ไปจนถึงคั่นที่ ๒๘ คำที่ภาวนานั้นยกปางต่างๆ ที่พระเยซูได้สำแดงความเมตตากรุณา แล้วลงท้ายก็ขอให้กรุณาเหมือนๆ กัน เช่นกับคั่นแรกว่า “โอ ข้าแต่พระเยซูเจ้า ความคับแค้นในพระหฤไทยของพระองค์ ซึ่งได้ทรงเสวยอารมณ์นั้น เมื่อต้องพลัดพรากจากมารีผูเปนพระมารดาของพระองค์ แลสานุศิษย์อันเปนที่รักของพระองค์ จงทรงพระกรุณาต่อซาพเจ้า พระมารดาอันศักดิ์สิทธิ์แลอื่นๆ” ดังนี้เปนตัวอย่าง ต่อไปเปลี่ยนแต่เรื่องขึ้นต้นลงท้ายอย่างเดียวกัน คั่นที่ ๒ ก็เปนด้วยเดชะแห่งเลือดพระองค์ตก คั่นที่ ๓ ด้วยเดชะแห่งความเสียพระไทยเมื่อยุดาบอกให้เขาจับ คั่นที่ ๔ เมื่อกระสับกระส่าย ที่เขาพาลากไปกลางถนนเมืองยะรูซาเลม คั่นที่ ๕ เมื่อได้ถ่อมพระองค์ในเวลาชำระแลเวลาถูกตบ คั่นที่ ๖ ด้วยขันตีในเวลาที่เขาล่วงเกินคืนยังรุ่งก่อนเวลาตาย คั่นที่ ๗ ที่ถูกลากขึ้นลงกระไดอันนี้ คั่นที่ ๘ ความอดทนไม่เถียงในเมื่อมีผู้มาเปนพยานเท็จ คั่นที่ ๙ เมื่อถูกแต่งตัวเปนบ้า คั่นที่ ๑๐ เมื่อได้ความอายที่ถูกเปลื้องผ้าแลมัดไว้ในกลางประชุมชน คั่นที่ ๑๑ ที่ต้องเจ็บปวดในการที่เขาทำอันตรายเปนบาดแผลทั่วทั้งกาย คั่นที่ ๑๒ เมื่อใส่มงกุฎทำด้วยหนามหวายตำหัว คั่นที่ ๑๓ เมื่อเขาล้อให้เปนเจ้า คั่นที่ ๑๔ ความรู้สึกในใจ เมื่อเอาออกประจานแลตัดสินว่าโทษควรตาย คั่นที่ ๑๕ เมื่อถูกเปรียบว่าเหมือนกับบารับบาส คั่นที่ ๑๖ ที่ได้ยอมแบกไม้กางเขนเดินทางไปถึงคัลวารี คั่นที่ ๑๗ ความรู้สึกเมื่อได้พบมารีผู้เปนมารดา คั่นที่ ๑๘ ความอ่อนเพลียเมื่อต้องแบกไม้กางเขน คั่นที่ ๑๙ เมื่อต้องดื่มน้ำส้มอันเปรี้ยว คั่นที่ ๒๐ ความอุปายาสที่ต้องถูกฉีกเสื้อจากหลัง คั่นที่ ๒๑ ความยอมเหยียดลงทาบไม้กางเขนแลให้ตอกตะปูโดยดี คั่นที่ ๒๒ ด้วยความอารีอันเปนที่มั่นคงยกโทษเปนอโหสิกับผู้ที่กรึงแล้วสวดอ้อนวอนให้เขา คั่นที่ ๒๓ ด้วยความกว้างขวางได้ให้สวรรค์แก่ขโมย คั่นที่ ๒๔ ความเผาผลาญด้วยกระหาย เมื่อเวลาต้องกรึงอยู่บนไม้กางเขน คั่นที่ ๒๕ ความเสียดแทงซึ่งได้เห็นเขาด่าแช่งแลเขาละทิ้งเสียหมด คั่นที่ ๒๖ ความรักซึ่งพระองค์สำแดงต่อข้าพเจ้าทั้งปวง จึงถอนใจใหญ่ในที่สุด คั่นที่ ๒๗ ความพระไทยอารีกว้างขวาง จึงได้ยอมให้เขาแทงสีข้างด้วยหอก คั่นที่ ๒๘-ด้วยได้ยอมให้พระกายอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ได้วางอยู่บนแขนของมารีแลภายหลังได้ฝังไว้ ลงท้ายนั้นด้วยเดซะแห่งความจริงเหล่านี้ขอให้มีความกรุณาทุกๆ คั่น คนที่ไปขึ้นนั้นเห็นมีแต่ผู้หญิง พอไปถึงก็ควักน้ำมนต์ที่ติดอยู่ข้างฝา กาเปนตีนกาที่หน้าแล้วไปคุกเข่าที่กระได นานๆ ขยับขึ้นไปคั่นหนึ่ง จนกระทั่งไปถึงพื้นบน ซึ่งมีรูปพระเยซูกรึงไม้กางเขน ก็คลานเข่าขึ้นไปบ่นคำอ้อนวอน ซึ่งมีตอนท้ายอิกท่อนหนึ่ง แล้วจึงเดินกลับลงมาทางกระไดอื่นๆ

วิธีหาเงินของวัดเหล่านี้มีหลายอย่าง ผู้ที่ไปขึ้นกระไดนี้ก็ต้องเสียเงิน ยังมีเบ็ดเตล็ด เช่นกับสร้างรูปเขียนฤๅรูปหล่อรูปปั้นอะไรขึ้น โป๊ปออกประกาศว่าถ้าใครได้ไปเห็นครั้งหนึ่ง ยกบาปให้ปีหนึ่งสองปี อะไรตามแต่ยากแลง่าย เช่นกับโป็ปยอนที่ ๒๒ ออกประกาศยกบาปให้แก่ผู้ที่ไปเห็นเวลากำลังเปิดรูปพระเยซูสองปี ที่ไปเห็นภายหลังครั้งละปี ขึ้นพระบาทของเรา ๗ คราว ไม่ตกนรกเปนแต่คำฦๅ นี่ถึงเปนหนังสือประกาศ การมันเปนไปได้ถึงเพียงนี้ จึงได้มีผู้สลัดออกจากอำนาจโป๊ปเปนลัทธิต่างๆ เปนอันมาก ความจริงนั้นผู้ซึ่งอยู่ใกล้นับถือน้อยว่าผู้อยู่ไกล โป๊ปเองไว้ใจพวกเยอรมันที่เปนคาทอลิกมากกว่าพวกชาวเมืองสเปนฤๅชาวเมืองออสเตรีย

ออกจากนี้ได้ไปดูเรือนซึ่งโป๊ปอินโนเซนที่ ๑๐ สร้างขึ้นให้ผู้หญิงที่เปนชู้ของตัวอยู่ ใครๆ ก็รู้ทั่วกันหมด เพราะมีอำนาจมาก อาจจะว่าไรเปนนั่น ใครๆ ก็ไปประจบประแจง แต่เพราะโป๊ปมีอำนาจมากก็ไม่มีใครว่าไรได้ ถึงกับมีลูกก็ได้ ที่ว่านี้เปนโป๊ปชั้นเก่าๆ มิใช่โป๊ปเดี๋ยวนี้ เรือนที่ทำนั้นยังเปนอย่างเก่า อยู่ในถนนเมืองโรมอย่างเก่า ขึ้นกระไดศิลามืดๆ เมืองโรมอย่างเก่าคงจะหมดลงไปทุกที กำลังรื้อที่รุงรังออกสร้างตึกใหม่ สูงตระหง่านไปทั้งนั้น แต่คงจะยังอิกนานกว่าจะหมด ได้ไปที่ทำเครื่องหล่อ ซื้อตุ๊กตาโมเดลบางอย่าง เครื่องศิลาโอเบลิสก แลเครื่องทองอย่างโรมัน เสาโอเบลิสกที่นี่มีมาก น่าพิศวงว่าเอามาอย่างไร เพราะเปนของอิยิปต์ทั้งนั้น เมื่อครั้งอังกฤษจะเอาไปที่ลอนดอนถึงต้องต่อทุ่นเหล็ก เอาโอเบลิสกบรรจุในนั้น แล้วจึงเอาเรือลากมาโดยทางทเล แต่โอเบลิสกที่เมืองโรมนี้เอามาตั้งพันปีแล้ว เขาจะเอามาอย่างไร โอเบลิสกนี้คือเสาศิลาจาฤกแต่ครั้งเมืองอิยิปต็ยังรุ่งเรือง ตั้งแต่ ๔๐๐๐ ปีมาแล้ว เสาคอลัมซึ่งเอมเปอเรอเมืองโรมได้ทำ เดิมตั้งรูปเอมเปอเรอ ภายหลังโป๊ปเปลี่ยนเสีย เอาเซนต์ปอล แลเซนต์ปิเตอขึ้นตั้งแทน พ่อได้ตัวอย่างมาอันหนึ่ง

ออกจากร้านเหล่านี้ไปดูอนุสาวรีย์กิงวิกตอร์อิแมนวลที่ ๒ พึ่งทำที่เขาแคปิโตล เปนรูปเสาเรียง ด้านหลังเปนฉาก ด้านน่าที่จะตั้งรูปกิงวิกตอร์อิแมนวลขี่ม้า แต่ดูงานยังมากเต็มที สิบปีไม่เห็นร่วมเข้าไปได้เท่าไร แล้วขึ้นไปดูแคปิโตล แลมีที่ดูจากหลังแคปิโตล เห็นโฟรัมแลวังกับทั้งโคโลเซียม ที่จริงนั้นถูกรื้อไปทำวัดเสียมาก ซันต์ปิเตอเห็นจะได้ศิลาเหล่านี้โดยมาก รื้อกันเสียจนราบลงไปถึงพื้น

ออกจากนั้นขับรถไปตามบนเขา หยุดดูที่สเตชูคาริบอลลี แล้วจึงเวียนกลับลงมาโฮเตล ขากลับนี้ถูกฝนประปรายมาอีก พอเวลาค่ำฝนก็ตก ฟ้าร้องดังกึกก้อง เวลานี้หาเวลาเที่ยวยาก ฝนตกที่นี่ทนเปิดประทุนไม่ได้ เปียกจริงๆ

อ่าวเมืองเนเปอล (แผ่นข้างซ้าย)

อ่าวเมืองเนเปอล (แผ่นข้างซ้าย)

อ่าวเมืองเนเปอล (แผ่นข้างขวา)

อ่าวเมืองเนเปอล (แผ่นข้างขวา)

คืนที่ ๑๙๔

เมืองเนเปอล

วันอาทิตย์ที่ ๖ ตุลาคม

วันนี้ไม่ได้ไปข้างไหน ตระเตรียมในการแบ่งปันที่จะแยกกัน พ่อจะไปลงเนเปอล มีแต่ดุ๊ก ชายอุรุพงษ์ จรูญ พระยาบุรุษ สิทธิ์ หลวงฤทธิ นายศรี นอกนั้นกลับย้อนขึ้นไปลงเรือซักเซนที่เยนัว จะออกจากท่านั้นวันที่ ๑๕ ดุ๊กอยู่ข้างจะพะว้าพะวังเรื่องเข้าของมาก จะไปลงเรือเยนัวเสียให้ได้ ต้องเหนี่ยวเอามาด้วย กินกลางวันแล้วออกจากโฮเตลไปขึ้นรถเวลาบ่ายโมง ๑ แต่แรกทำรวนเรเปนทีเหมือนจะต้องคอยตามเคย แต่สบใจดีอย่างไรออกได้เรว การเดินรถไฟในเมืองอิตาลียากที่จะสังเกตว่ารถจะออกเมื่อไร มีสัญญาอะไรกันต่างๆ ประเดี๋ยวเป่านกหวีด ประเดี๋ยวฟู่ ประเดี๋ยวก๋องแก๋ง ก๋องแก๋ง ประเดี๋ยวเปิดหวอด อย่างละซํ้า ๒ หนก็มี เวลาได้ฤกษ์ได้พาก็หลุดออกไปเอง ผิดกับที่อื่นทั้งหมด จะนึกเร่งฤๅนึกคเนว่าเมื่อไรไม่ได้ ทางที่มาวันนี้ เมื่อออกจากโรมมาหน่อยหนึ่งแล้ว มาตามหว่างเขา มีเขาสูงทั้งสองข้างเปนเทือกยาว ข้างสันแหลมนั้นติดต่อกันมาตลอด แต่ข้างทเลเว้นว่างบ้าง มีเขาที่เป็นศิลาขาวๆ ต้นไม้ไม่ขึ้น ศิลานั้นเปนก้อนเล็กๆ เกาะกัน รูปเปนกองทรายกองดินอยู่น่าเขาใหญ่บ่อยๆ ทีจะเปนเขาไฟพ่นศิลามาตกไว้แต่ช้านานมาแล้ว พื้นที่เปนทุ่งหญ้าลานนาตลอดไม่มีป่า มีเลี้ยงแกะชุม ต้นไม้ก็เปนต้นผลไม้ ฤๅต้นหม่อน ต้นโอลีฟแลต้นองุ่น ไร่เข้าคล้ายเข้าหางช้างที่ปลูกตามแม่น้ำไนล์ ได้งอกงามในที่เหล่านี้ ตั้งแต่โรมลงมา มีพริกมะเขือลูกใหญ่ๆ มาก มะเขือลูกใหญ่นั้นเปนมะเขือม่วง พริกเปนสีต่างๆ ขาว เขียว เหลือง แดง ครั่ง มีขนาดต่างๆ ยิ่งใหญ่ยิ่งเผ็ดน้อย อาหารชาวเมืองใช้หอมกระเทียมมาก ถ้าจะจ่ายตลาดทำกับเข้าไทยจะทำได้ดีกว่าประเทศอื่นๆ ที่ขาดแท้นั้นคือมะพร้าวต้องมีมาจำหน่ายแต่ที่อื่น คนพลเมืองโดยมากใช้น้ำมันโอลิฟประกอบอาหาร บ้านเรือนมักจะอยู่เปนหมู่เปนหมวดไม่ใคร่กระจัดกระจาย โดยมากตั้งอยู่บนเนินบนเขา กระท่อมในทุ่งในไร่มีน้อยผิดกว่าที่อื่น มีของก่อสร้างโบราณเปนหอกลมๆ ฤๅหอเหลี่ยม ผนังด้านจั่วซึ่งก่อด้วยศิลาเหลือตั้งร้างอยู่รายมาเกือบจะตลอดทาง วัดเก่าๆ ตั้ง ๙๐๐ ปี ๑๐๐๐ ปีมีบ่อยๆ คนตอนข้างเมืองโรมบางกว่าคนตอนทางเนเปอลมาก ในเมืองเนเปอลเองก็มากกว่าเมืองโรมเสียแล้ว เพราะเหตุที่เมืองเนเปอลเปนท่าสำคัญ เมืองโรมไม่ใช่แต่เปนเมืองไม่ใช่ท่า เปนเมืองที่ถูกกดขี่ยับเยินมาเสียหลายทอดหลายคราว ถนนหนทางตึกรามไม่ดีกว่าเมืองเนเปอล เว้นแต่ถ้าจะเที่ยวดูกันแล้ว เมืองโรมมีที่ดูมากกว่าเนเปอล มีชิ้นสำคัญซึ่งเที่ยวหมกซ่อนอยู่ ซึ่งดูแล้วจะให้ก่อเกิดความพิศวงเห็นจะมากกว่าเมืองอื่นๆ หมด อากาศเวลานี้ไม่หนาวเลย กำลังสบาย ฝนตกมาก แต่ไม่ชื้นรศชาตกลิ่นอายเหมือนบ้านเรา มีภาษีที่เย็นกว่า ต้นไม้ยังงามดีบริบูรณ์ ที่ปารีสว่าหนาวลงแล้ว ฝนตกมาก ที่นี่ยังเฉยสบายดี เมื่อขามาเหมือนกับเราไล่จับหนาว มาถึงซันเรโมยังหนาวอยู่ พอค่อยร้อนขึ้นหน่อยหนึ่งตามขึ้นไปบาเดนบาเดน กลับหนาวมากไปใหม่ พอคลายหนาวลงหน่อยวิ่งตามขึ้นไปนอรเว พอนอรเวจะลงมือหนาวจัดวิ่งหนีกลับลงมาฮอมเบิค พอฮอมเบิคลงมือหนาว หนีกลับลงมาปารีส พอปารีสลงมือหนาวหนีลงมาอิตาลี คราวนี้เห็นจะหนีพ้น รถมาถึงเวลาย่ำค่ำเศษ ขุนพิรัชกับอาเซลไมเยอมารับ เรือพม่ายังไม่มาถึง

ขึ้นรถมาตามทาง ถนนใหญ่ ดูช่างครึกครื้นผู้คนพลุกพล่านราวกับว่าเปนส่วนหนึ่งแห่งเมืองปารีส แปลกแต่ที่รถน้อยกว่ากัน ตึกรามก็ใหญ่โต อาการกิริยาคล้ายปารีส แต่โฮเตลที่เรามาอยู่คราวนี้ ย้ายไม่อยู่โฮเตลริมทเลเช่นที่กะไว้ครั้งก่อน เหตุด้วยโฮเตลนั้นอยู่ข้างจะใกล้ตลาดยี่สาร ผู้คนละเล้าละลุมเกาะประตูคอยดูอยู่เปนนิจ คราวนี้ได้เลือกโฮเตลบนเขา แต่ระยะทางช่างไกลเมืองเสียจริงๆ ขึ้นเขาไปแล้วลงเขาเล่า แล้วกลับขึ้น ขึ้นๆ ไปก็ไม่ถึง แลเห็นไฟบนไหล่เขาสว่างอยู่ในที่แห่งหนึ่งซึ่งกั้นด้วยเฟี้ยมกระจก สูงเต็มที พ่อเบื่อว่ามาช้ายังไม่ถึงโฮเตล ไปนึกถึงเคยประชดภูเขาที่เมืองนอรเว ขึ้นไปขึ้นไปจนแลเห็นยอดเขาตระหง่านอยู่ข้างน่า มีเมฆหมอกคลุมเห็นรางๆ ประชดพระยาชลยุทธ ถามว่านี่เราจะขึ้นไปบนยอดเขาโน้นจริงๆ ฤๅ แกก็ไม่เคยขึ้นไม่รู้ด้วยกัน บางทีประชดเช่นนั้น เราจำต้องขึ้นไปถึงยอดเขานั้นจริงๆ เลยหัวเราะกันว่าพูดเล่นกลายเปนต้องขึ้นมาจริงๆ บางทีก็ประชดจนเหลือเกินขึ้นไปไม่ได้ เลยบอกว่ามีความเสียใจที่ไม่ขึ้นไปถึงยอดนั้นยอดนี้ ค่ำวันนี้มาเกิดประชดขึ้นอิก ถามจรูญว่านี่จะต้องขึ้นไปถึงอ้ายไฟที่แลเห็นอยู่บนยอดเขานั้นฤๅ จรูญแกไม่รู้ก็เลยเรี่ยๆ คราวนี้ชายอุรุพงษ์แลเห็นไฟข้างล่างจุดเรียงเปนแถว ร้องเอะอะว่าถึงแล้ว ไม่ใช่ไฟบนโน้น พวกเรายอมกันหมดว่าถูก ร้องว่าเออหมายว่าจะต้องขึ้นไปบนสูง เห็นจะต้องลดเลี้ยวไปช้านานกว่าจะถึงได้ พอถึงที่จุดไฟนั้น เจ้าของโฮเตลออกมารับถึงรถ ลงเดินเข้าไปหมายว่าจะเข้าโฮเตล ที่ไหนกลายเปนปล่องเหมือนทางรถไฟใต้ภูเขา แลออกลิ่วสุดตา ยังนึกว่าอ้ายปล่องนี่เห็นจะเจาะออกไปหาโฮเตล ซึ่งอยู่น่าเขาข้างหนึ่ง เดินๆ ไปจนสุดปล่อง เจอลิฟต์ เขาบอกให้ขึ้นลิฟต์ จึงได้เข้าใจว่า ความจริงนั้นเราก็ขึ้นไปอยู่บนไหล่เขาที่แลเห็นไฟลิบๆ นั้นเอง ลิฟต์นี้ทำเปน ๒ ห้อง ใหญ่มากสรวยมาก ราวกับรถไฟอย่างดี ชายอุรุพงษ์ยอมว่าดีกว่าลิฟต์พระที่นั่งอัมพร ตั้งแต่เห็นลิฟต์มาหนักกว่าหนัก ไม่เคยยอมว่าดีเลย พึ่งจะมายอมลิฟต์นี้ลิฟต์เดียว ขึ้นถึง ๗๕ เมเตอคือ ๓๗ วา ๒ ศอก จึงถึงพื้นโฮเตลซึ่งโผล่ออกไปเปนฝากระจกแลมีรูปเขียน ยังซํ้าเซอะไม่รู้ว่าสิทธิ์แลขุนพิรัชขึ้นมาอย่างไรนึกว่าขึ้นกระไดตาย ที่แท้เขามาในลิฟต์อิกห้องหนึ่ง ใช่แต่เท่านั้นคราวนี้เจ้านายโฮเตลเชิญเสด็จให้เลี้ยวลงอัฒจันท์มาสักสามสี่คั่น แลเห็นปล่องอย่างเช่นข้างล่างนั้นอิก แลลิ่วสุดตา นึกว่าเอ๊ะนี่มันจะขึ้นลิฟต์กันอีกชั้นหนึ่งฤๅอย่างไร ต่อเดินมาเห็นประตูห้องข้างซ้ายมือเรียงเปนแถวมาบอกว่าห้องอะไรต่ออะไร จึงเชื่อใจว่าเห็นจะเปนตัวโฮเตลแล้วเดินชมตลาดเรื่อยมาจนกระทั่งถึงห้อง ในระหว่างทางที่เดินชมตลาดอยู่นั้นมีกรงนก เลี้ยงนกคิริบูนประสม มีอะแควเรียมเลี้ยงปลาเงินปลาทอง เล่นหนุงหนิงเรื่อยมา รูปพรรณสัณฐานภายนอกแลกว้างยาวของโฮเตลเท่าใด ยังไม่ปรากฎจนเวลานี้ ด้วยเปนเวลาค่ำ ขึ้นมาถึงทุ่มเศษแล้ว รู้แต่ภายในว่าปล่องยาวที่แลเห็นนั้น เขาแบ่งในประธานออกเปนเฉลียง ด้านหลังเดินได้ตลอดโฮเตล ตามแบบโฮเตล เช่นในสวิตเซอแลนด์ แต่ไม่ทำเปนเฉลียง ทำเปนโค้งถํ้าเสียเท่านั้น กั้นไว้เปนห้องที่อยู่ ๓ ส่วนของตึก เพราะฉนั้นจึงเปนห้องแคบๆ ยาวๆ ด้านน่าออกไปข้างท่าเรือท่าชาลาโถงกว้างมาก แต่ฝนตกยังไม่ได้ออกไปดู ในห้องแต่งงดงามสบายดี กินเข้าที่มุมอันหนึ่งจะเปนมุมฤๅไม่ใช่ยังไม่รู้แน่ บางทีก็จะเปนที่ย่อโฉมหน้าเปนสโมกิงรูม มีเจ้าพวกดนตรี ๗ คนเข้ามาเล่นซอคู่หนึ่ง กีตา จับปี่ฝรั่ง ๔ คน แมนโดลีน จเข้ฝรั่งคนหนึ่ง ทั้งร้องทั้งดีดสี แลบางทีก็ออกท่าเต้นเล่นตลก การเล่นเช่นนี้เปนธรรมเนียมของเมืองเนเปอล มันเล่นเพราะแลสนุกดี

จุฬาลงกรณ์ ป.ร.



[๒๓๒] คำว่า “หมาย” มาแต่หมายกรมวัง แต่ก่อนมักบอกนัดเวลาพร้อมกันก่อนเวลาจริงหลายๆ ชั่วโมง จงเกิดใช้เปนคำแผลงว่า “หมาย” ในเวลาใครบอกนัดก่อนเวลาจริงนานๆ

[๒๓๓] ตรงนี้ทรงหมายความว่า ทรงปรารภเรื่องจะทำประปาในกรุงเทพฯ มาช้านาน (ได้ลงมือทำในรัชกาลที่ ๕ ตามพระราชประสงค์ แต่มาแล้วสำเร็จได้ใช้ต่อในรัชกาลปัจจุบันนี้)

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ