- คำนำ
- คำอธิบาย โคลงนิราศเจ้าฟ้าอภัย
- โคลงนิราศเจ้าฟ้าอภัย
- คำอธิบาย บุณโณวาทคำฉันท์
- บุณโณวาทคำฉันท์
- บันทึกสอบเทียบ บุณโณวาทคำฉันท์ฉบับพิเศษ กับ ฉบับสมุดไทย ๑๐ ฉบับและฉบับพิเศษ
- คำอธิบาย โคลงนิราศพระพุทธบาท
- โคลงนิราศพระพุทธบาท
- คำอธิบาย กาพย์ห่อโคลงนิราศธารโศก
- กาพย์ห่อโคลงนิราศธารโศก
- คำอธิบายกาพย์ห่อโคลงประพาสธารทองแดง
- กาพย์ห่อโคลงประพาสธารทองแดง
- คำอธิบาย นิราศพระบาทของสุนทรภู่
- นิราศพระบาท
- คำอธิบาย โคลงนิราศวัดรวก
- โคลงนิราศวัดรวก
- คำอธิบาย นิราศพระบาท สำนวนนายจัด
- นิราศพระบาท สำนวนนายจัด
- คำอธิบาย โคลงลิลิตดั้นตำนานพระพุทธบาท
- โคลงลิลิตดั้นตำนานพระพุทธบาท
- บรรณานุกรม
นิราศพระบาท สำนวนนายจัด
๏ โอ้มีกรรมจำไกลกลอยสมร | |
ดังดวงจิตปลิดจากอุทร | ให้อาวรณ์ห่วงหาถึงดวงใจ |
ด้วยพระจอมอิศราอาณาจักร | แรมตำหนักแท่นทองอันผ่องใส |
เสด็จด้นชลมาศ[๑]ประพาสไคล | ด้วยพระทัยทรงเดชเจตนา |
จะอภิวาทรอยบาทบทเรศ | พระปิ่นเกศมงกุฎสุดทิศา |
ได้ทราบข่าวผ่าวทรวงถึงดวงตา | อนิจจาครั้งนี้พี่จำไกล |
พอทราบเหตุจะไปแจ้งแสดงน้อง | ไม่สบช่องโอ้กรรมจะทำไฉน |
พี่คอยท่าหาเจ้าเป็นเท่าไร | แรกอุทัยจำรัสจนอัสดง |
จะสั่งใครให้ไปแจ้งแถลงถ้อย | ว่ามาคอยนิ่มเนื้อนวลระหง |
ก็เกรงภัยกลัวผิดถึงบิตุรงค์ | ท่านจะลงโทษทำให้ชํ้านวล |
ครั้นยํ่าคํ่าจำใจครรไลลับ | ทวีทับทุกข์ใจอาลัยหวน |
ลงนาวาอาวรณ์สะท้อนครวญ | เวลาจวนยาตรานาวาจร |
นิราศร้างลงเรือเหลือระลึก | ยิ่งสำนึกคะนึงถึงสมร |
ข้ามบากจากเขตพระนคร | มาถึงโรงอากรต้มสุรา |
เห็นเพลิงพลุ่งรุ่งแรงแสงสว่าง | จีนลูกจ้างโพงชลล้นรางฉ่า |
โอ้อกเอยมีกรรมน้ำสุรา | เคยเสพมาก่อนเก่าได้เมามาย |
ถึงบ้านปูนพูนก่อเป็นเตาเผา | น่าร้อนเร่าเพลิงโรจน์ดูโชติฉาย |
โอ้ศิลาแข็งลํ้ายังทำลาย[๒] | นี่หรือกายปุถุชนจะทนมี |
ถึงบางจากชื่อบางระคางแค้น | ยิ่งสุดแสนโศกเศร้าถึงโฉมศรี |
ฤดีดิ้นดังจะสิ้นสุดชีวี | ประเดี๋ยวนี้จากกันไม่ทันรอ |
จากสมรแล้วมาย้อนได้ยินบาง | นี่ใครช่างให้ชื่ออย่างนี้หนอ |
จากคนทนลำบากปะจากกอ | เหมือนแกล้งล่อให้ระกำช้ำหนักไป |
ถึงบางพลูตรู่คราฟ้าสว่าง | อรุณรางเรื่อรัศมีไข |
พอถึงแถวแนวสวนรัญจวนใจ | แลเห็นใบพลูเหลืองเคืองนัยน์ตา |
นิจจาเอ๋ยเคยเห็นเช่นแม่จีบ | ที่เร็วรีบพักตร์แปรไม่แลหา |
จนลับพลูสู้ขืนกลืนน้ำตา | ในอุราเพียงจะแยกระยำพัง |
ถึงบางพลัดวัดสร้างไว้ห่างท่า | ริมชลามะพร้าวสาวสะพรั่ง |
ทรงผลต้นตํ่าอยู่ลำพัง | ทะลายตั้งเต็มคออรชร |
งามภูมิวิหารเป็นลานลาด | แสนสะอาดสมสงฆ์สโมสร |
แค้นแต่ด้วยนามบางช่างแง่งอน | เหมือนแกล้งย้อนเย้ยให้ใจรำคาญ |
แสนวิตกอกช้ำดังปล้ำเขา | บ้างมาเซ้าซี้ซ้ำกระหน่ำสาร |
ให้นึกแค้นคลองบางช่างประจาน | เพียงจะลาญชีพพรากเพราะจากอนงค์ |
ถึงสามเสนปางสารบูราณเล่า | เป็นเรื่องเก่าแจ้งความตามประสงค์ |
ยังมีพุทธรูปทองฉลององค์ | ท่านลอยลงตามกระแสแม่น้ำมา |
ทราบถึงจอมจักรพงษ์ดำรงกรุง | พระทัยมุ่งจะบำรุงศาสนา |
ก็เกณฑ์คนสามแสนออกแน่นมา | ฉุดพุทธาจะให้พ้นชลธี |
เข้าปลํ้าฉุดดินทรุดไม่หวาดไหว | จนพวกไพร่หน้าเฝื่อนไม่เคลื่อนที่ |
พระก็จมอยู่ในห้องท้องนัทธี | ปฐพีก็เป็นร่องคลองวาริน |
ขนานไว้ในนามเรียกสามแสน | กลับมาแปลนเปลี่ยนความสามเสนสิ้น |
โอ้ไฉนไยฉะนี้หนอแผ่นดิน | จึ่งราคินสองคำซ้ำแปลงไป |
กระนี้เจียวไมตรีจึงวิบัติ | ไม่คงสัจสุจริตผิดนิสัย |
พอพ้นคลองหมองเมินสะเทิ้นใจ | ต่อเลยไปจึ่งค่อยคลายวายอาวรณ์ |
บางซื่อชื่อบางช่างแสนชื่น | ฤทัยตื้นเต็มรักสมัครสมร |
ขอเดชะทรงฌานประทานพร | ให้งามงอนคงซื่อเหมือนชื่อบาง |
ถึงบางซ่อนซ่อนรักมาหนักทรวง | เป็นห่วงหวงอาลัยไม่เสื่อมสร่าง |
ฝากสารสั่งสนองกับคลองบาง | ถ้าน้องนางมาตามช่วยห้ามไว้ |
เอ็นดูด้วยช่วยห้ามแม่งามชื่น | ให้คงคืนสู่ห้องที่ผ่องใส |
สิ้นธุระจะมาอย่าตามไป | ที่สั่งไว้บ้าน... (ไม่ชัดเจน)... อย่าลืมคำ |
ถึงวัดเขียนอาวาสตลาดแก้ว | ไกลมาแล้วใจเรียมเทียมขาดคว่ำ |
โศกสลักปักทรวงแสนระกำ | ยิ่งเนืองน้ำเนตรไหลลงคลอคลอ |
พลางชมรุกขาพฤกษาสวน | เป็นเหล่าล้วนเขาช่างปลูกลูกดกหนอ |
ระกำแกมกอสละระกะกอ | ไม้ต้นผลช่อละอองาม |
สารภีคลี่คลายรำพายรส | เป็นกำหนดฤดูดอกออกเดือนสาม |
มะปรางเอ๋ยน่าเชยช่างสุกทราม | เหลืองอร่ามงามยิ่งเสียจริงจัง |
พฤกษาสวนในขนัดกำดัดชม | ดูรื่นร่มชื่นต้นด้วยชลขัง |
จนทรงผลดกเฝือเหลือกำลัง | เจ้าของตั้งปรนนิบัติอยู่อัตรา |
พฤกษาไม้อาศัยวารีรส | จึงสวยสดไม่เศร้าเฉาสาขา |
แต่อกเรียมร้อนระบมกรมอุรา | ถึงจะอาศัยชลก็ข้นเคือง |
ครั้นถึงหน้าอาวาสตลาดขวัญ | วารีลั่นไหลกลับขยับเยื้อง |
กระแสชลเชี่ยวถั่งมาข้างเมือง | จึงสั่งเรื่องเรียมช้ำฝากน้ำมา |
ช่วยบอกหล่อนว่าเราจรไปไกลแล้ว | จงผ่องแผ้วจากทุกข์เป็นสุขา |
อย่าโศกนักพักตร์น้องจะหมองรา | ให้รอท่าครองนวลสงวนคอย |
พลางพินิจแม่ค้าชะว่าแซ่ | ที่นั่งแพขายของเครื่องใช้สอย |
ประจงจัดผัดพักตร์เป็นนวลลอย | ดูแน่งน้อยเริ่มรุ่นดรุณี |
นุ่มห่มสมจริตไม่ผิดเพศ | ถึงเป็นจันตประเทศไม่ทิ้งสี |
ประสาสวนสมทรงไม่เสียที | ล้วนดีดีรูปร่างอย่างนางใน |
ถึงบ้านบางธรณีทวีโศก | โอ้วิโยคกรรมสร้างแต่ปางไหน |
จึงเกิดเข็ญเป็นวิบัติกำจัดไกล | มาซ้ำได้ทุกข์ท้อกว่าธรณี |
พสุธาหนาแน่นสองแสนโยชน์ | ........(ต้นฉบับไม่ชัด).... |
เป็นทุกข์รักหนักเหลือกว่าปฐพี | ธรณีก็ไม่หนักสักเพียงไร |
ถึงปากเกร็ดแยกคลองเป็นสองทาง | ยิ่งระคางแคลงจิตคิดสงสัย |
ต่อเห็นด่านที่เขาตั้งระวังภัย | เห็นจะไปทางนั้นเสียมั่นคง |
ด้วยนาวาขึ้นล่องเขาร้องเรียก | เสียงออกเพรียกค้นของต้องประสงค์ |
แต่เรือเรียมเขาไม่เรียกให้รอลง | นิ่งให้ตรงเลยไปให้นึกชัง |
สุรีย์ฉายบ่ายรถบทจร | ลงรอนรอนลับไม้จะใกล้สั่ง |
ถึงบางพูดในอุราพะว้าพะวัง | จึงซ้ำสั่งภูติผีที่คะนอง |
๏ เอ็นดูด้วยช่วยรักษาสุดามิตร | ถ้าใครคิดร่วมภิรมย์ประสมสอง |
จงประหารให้ละเอียดเป็นละออง | เอ็นดูน้องข้าด้วยช่วยระวัง |
ถึงบ้านใหม่ใกล้สิ้นสนธเยศ | เข้าแรมรานาเวศดังใจหวัง |
เวลาเย็นเณรมอญข้อนระฆัง | อาศัยฝั่งยั้งเสพโภชนา |
เพื่อนชายพร้อมกันบรรดาไป | เขาผ่องใสบันเทิงทุกถ้วนหน้า |
ครั้นเขาเตือนเอื้อนอรรถวัจนา | ให้เชษฐารับประทานอาหารพลัน |
เห็นสำรับเขาประทับไว้กับข้าง | อกพี่พ่างเพียงศรตรึงกระสัน |
โศกสลักปักอกวิตกครัน | อตส่าห์กลั้นขืนข่มก้มพักตร์กิน |
เคี้ยวข้าวค้างแค้นระคายคอ | ซังตายกลืนขื่นศอสุดถวิล |
ดังเคี้ยวขวากไม่ได้อยากที่จะกิน | อุรารินแทบจะขาดชีวาตม์วาง |
พวกเพื่อนชายทั้งสิ้นเขากินอิ่ม | เขาชวนกันแย้มยิ้มทีถากถาง |
ได้ยินคำช้ำจิตดังกริชกราง | ให้ระคางเคืองเพื่อนเลื่อนเรือไป |
ถึงบางหลวงทรวงเจ็บดังเหน็บศร | อนาทรเหลือทนพ้นวิสัย |
แต่ราชกิจติดตนต้องจนใจ | จึ่งแรมไร้ร้างห้องมาหมองทรวง |
อยู่หลัดหลัดพลัดมานิจจาเอ๋ย | นิราศเชยเพราะราชกิจหลวง |
โอ้ป่านนี้ขนิษฐาสุดาดวง | จะเปล่าทรวงเยียบเย็นไม่เว้นวาง |
ถึงประทุมธานีนัคเรศ | ทางประเทศชลแถวแนวกว้างขวาง |
ให้เสียวจิตคิดหวาดอนาถทาง | ไฉนข้างฝั่งหนึ่งจึงว่างเรือน |
ทำไมมอญจึงมาเบียดเสียดกันอยู่ | ตั้งเป็นหมู่ฟากเดียวเที่ยวเดินเกลื่อน |
ประหลาดใจนี่จะมาปลูกเรือน | ให้ผิดเพื่อนเวทนาดูฝาบาน |
พระพายกล้าเวลาเย็นเป็นระลอก | นาวากลอกกลิ้งพัดฉะฉาดฉาน |
สะท้านทรวงดังจะร่วงทำลายลาญ | ทางกันดารหวาดหวามให้คร้ามกลัว |
โอ้พระจันทร์ก็เป็นวันฤดูแรม | พึ่งเยี่ยมแย้มขึ้นมาฟ้าสลัว |
พิรุณโปรยโรยเม็ดเป็นหมอกมัว | ยะเยือกทั่วกายาโลมาเกรียว |
ถึงบ้านงิ้วท้ายย่านบ้านกระบือ | ลมกระพือพัดผันกระสันเสียว |
นีกขยับจะใคร่กลับมาเสียเจียว | พอลับเลี้ยวลมพัดวิบัติกลาย |
พระจันทร์แจ้งแสงสดดูหมดเมฆ | ลอยวิเวกเปล่งรัศมีฉาย |
แล้วเร่งเตือนเพื่อนกันให้หมั่นพาย | พระจันทร์บ่ายแสงอ่อนรอนรอนลง |
ถึงราชครามนามเรียกสำเหนียกชื่อ | พี่ยิ่งรื้อร้อนใจดังไฟส่ง |
เห็นเกาะใหญ่กว้างขวางหนทางตรง | วารีลงแยกร่องเป็นสองแคว |
๏ อนิจจาวารีไม่มีจิต | ยังรู้คิดยักล่องเป็นสองแฉว[๓] |
นี่หรือรักจะไม่รวนกลับปรวนแปร | แต่กระแสเจียวยังลงไม่ตรงไป |
เห็นไผ่ป่าราขวางอยู่กลางน้ำ | นี่มีกรรมหรือจะบ่ายไปข้างไหน |
หนามก็รกรุงรังช่างเหลือใจ | ถ้าเกี่ยวได้เลือดทรามด้วยหนามคม |
จะย่อยยับอย่างไรก็ไม่ว่า | ถ้าแม้นมาด้วยน้องเป็นสองสม |
ถึงจะยับกายาไม่ปรารมภ์ | ถ้าได้ชมคงคลายวายช้ำใจ |
ถึงท้ายย่านบ้านข้างบางไทรข้าม | เขานั่งยามเพลิงแจ้งดูแสงใส |
ดึกสักสามยามเศษสังเภตใจ | เข้าอาศัยแนวฝั่งแล้วยั้งนอน |
บ้างล้มลงก็หลับระงับเสียง | ตะแคงเอียงกลิ้งไปเหมือนไม้ขอน |
แต่อกเรียมนี้เกรียมเหมือนไฟฟอน | ทอดสะท้อนทรวงเศร้าให้เปล่าใจ |
นิจจาเอ๋ยเคยนอนในเรือนร่ม | มาต้องลมต้องน้ำค้างที่พร่างไหล |
น้ำค้างเย็นพี่ยิ่งเข็ญค่อนอาลัย | ถึงสายใจร่วมจิตพนิดา |
ไม่หลับใหลใกล้รุ่งขึ้นมาแล้ว | ดุเหว่าแว่วส่งเสียงสำเนียงจ้า |
ไก่แก้วแว่วเสียงขันกระชั้นมา | สกุณาตื่นร้องคะนองบิน |
ออกจากพฤกษามาเป็นหมู่ | บ้างจับคู่เที่ยวไปในไพรสิณฑ์ |
แสวงหาผลไม้พอได้กิน | รู้จักถิ่นบินเที่ยวเลี้ยวลดไป |
สุริยงทรงรถเรือนมณี | มาตุลีขับเยี่ยมขึ้นเหลี่ยมไศล |
จำรัสส่องห้องหิมวาลัย | ก็ชวนให้พวกเพื่อนเลื่อนเรือจร |
ออกจากฝั่งตั้งใจไปไม่หยุด | ก็เลยรุดรีบร้นพ้นขนอน |
พอสายแสงสุริยาทิพากร | เรือก็จรเลยย่านบ้านบางไทร |
ถึงเกาะเกิดเกิดเกาะขึ้นกลางชล | นี่ใครขนขุดสร้างแต่ปางไหน |
จะว่าเทพนิมิตก็ผิดไป | ด้วยสิ่งใดไม่เห็นเป็นของดี |
แต่คำเก่าเล่าว่าอารักษ์สิง | เห็นแววจริงจะเป็นเจ้าอยู่เฝ้าที่ |
จึงอยู่ยงคงได้ในวารี | แต่เกิดมีพร้อมกับสำหรับดิน |
ถึงบ้านแป้งแสงทินกรร้อน | ยิ่งอาวรณ์ดิ้นโดยโหยถวิล |
คะนึงถึงแป้งหอมจอมยุพิน | นิจจาสิ้นกลิ่นแล้วแคล้วจากมา |
อุรากลับแห้งหายวายหอมหวน | มาหมองนวลด้วยเหงื่อเจือมังสา |
น่าน้อยใจไม่พบกันวันไปลา | มาทนทาเหงื่อไคลใช้ต่างจันทน์ |
โอ้บ้านแป้งเสียแรงเขาตั้งชื่อ | เปล่านี่หรือเรียกเล่นพอเห็นขัน |
อายหน้าว่าแป้งแกล้งเย้ยกัน | พี่เลยหันพักตร์กลับให้ลับตา |
ถึงเกาะพระที่ระยะตลาดเกรียบ | วารีเรียบอิ่มเอ่อเสมอท่า |
หลังเกาะมีสถานศาลเทพา | อยู่รักษาสำหรับกับชลธี |
จึ่งรอนาวาลงตรงหน้าศาล | สาธุการอารักษ์อันศักดิ์ศรี |
ตามบูราณนานนับประเวณี | จุดอัคคีบูชาสถาวร |
ขอเดชะเทวฤทธิ์สถิตศาล | จงบันดาลให้เห็นเป็นสังหรณ์ |
ช่วยนำตัวเสน่หานี้พาจร | ไม่แจ้งร้อนเรื่องความตามสั่งไป |
ห้ามสมรอย่าให้ร้อนอุรานัก | วรพักตร์จะหมองกระมลไหม้ |
เทวฤทธิ์โปรดมิตรจิตใจ | ช่วยบอกให้นิ่มน้องของฉันฟัง |
พอสิ้นความข้ามบากออกจากเกาะ | คอยเลียบเลาะเลยไปดังใจหวัง |
ทินกรร้อนรนพ้นกำลัง | พอกระทั่งถึงเหล่าสำเภาจม |
โอ้วิบากหลากจิตผิดหนักหนา | เมื่อเภตราใหม่ใหม่ไยจึงล่ม |
ก็ใช่ว่าฝ่าฝืนต้องคลื่นลม | ไฉนจมลงได้ไม่ควรเป็น |
อนิจจาเภตรามาอับปาง | ก็เหมือนอย่างอกพี่ที่แสนเข็ญ |
มาจรจากนิ่มนวลไม่ควรเป็น | เว้นแต่ไม่ระยำอย่างสำเภา |
ครั้นเลยไปไกลโบสถ์วัดโปรดสัตว์ | อตส่าห์ตัดใจเสียซึ่งโศกเศร้า |
ที่วิโยคโศกศัลย์ค่อยบรรเทา | จึ่งน้อมเกล้าอภิวันท์กลั้นน้ำตา |
ขอเดชจอมทวีปประทีปโลกย์ | ที่ดับโศกเวไนยไว้หนักหนา |
ได้โปรดสัตว์ขัดค่อนแต่ก่อนมา | พระกรุณาโปรดด้วยช่วยกันภัย |
ขอให้สองแรมสวาทที่ขาดชื่น | นี้คงคืนร่วมห้องจงผ่องใส |
นมัสการเสร็จแล้วแคล้วเลยไป | ในหทัยหวนหาพะว้าพะวัง |
ถึงหน้าวัดพยัคฆ์ร้ายว่ายข้ามน้ำ | กระแสคำเล่าอ้างแต่ปางหลัง |
เสียดายหมอพยัคฆาถ้าว่ายัง | จะขอตั้งอธิษฐานให้ทานกาย |
จะสู้สละละล่วงดวงชีวิต | ให้ดับจิตเกิดใหม่ดังใจหมาย |
จะอยูไยให้ยากลำบากกาย | ถึงแม้วายชีพลงคงผลมี |
ถึงน้ำวนชลป่วนจวนวัดเชิง | ดังพิษเพลิงผลาญเผาพองฉวี |
กระลึงแลเห็นกระแสชลธี | มาเกิดมีวนวังน่าคลั่งใจ |
ถ้าจิตคนถึงจะวนก็ตามที | นี่วารีหรือมาวนพ้นวิสัย |
ช่างเหมือนเราร้างรักมาแรมไกล | ด้วยว่าใจนั้นระคนกลับวนคืน |
ครั้นเหลียวแหลมเห็นลาวเผากระเบื้อง | เห็นอัคคีสีเรืองไม่มีชื่น |
เพลิงสวาทบาดจิตดังพิษปืน | ซ้ำมาฝืนร้อนไฟใจรัญจวน |
ถึงเศียรรอจอดเรือตะวันเที่ยง | ได้ยินเสียงแม่ค้าพากันสรวล |
ลงเรือเร่ร้องขายเที่ยวพายทวน | ครั้นพบพักตร์ชักชวนพูดจากัน |
บ้างใช้หน้าว่าถากบุ้ยปากเยื้อน | ดูเหมือนเคยได้เห็นเล่นเรื่องขัน |
แล้วกลับย้อนเจรจาใส่หน้ากัน | ทำเชิงชั้นเหมือนจะรู้อยู่ในใจ |
โอ้แสนเวทนาพาราร้าง | ช่างกว้างขวางคนผู้อยู่เป็นไหน |
มาเสียเมืองด้วยพม่าช่างกระไร[๔] | พลไพร่แน่นหนาไม่น่าเป็น |
เสียดายหนอเวียงวังครั้งเป็นสุข | จะสนุกหนักหนาน่าเที่ยวเล่น |
พิศดูวัดวาน้ำตากระเด็น | ได้มาเห็นแต่เมื่อพังแล้วยังงาม |
พม่าเอ๋ยช่างกระไรใจมหิต | ช่างไม่คิดบาปกรรมทำหยาบหยาม |
จะตกนรกหมกไหม้ไฟลวนลาม | บาปจะตามผลาญเผาไปเนานาน |
.................................... | .................................... |
.........(หายไป)........ | ราชฐานราบรื่นเป็นพื้นดิน |
รกชัฏโอ้วิบัติกลับเป็นป่า | เกิดพฤกษาสูงใหญ่เหมือนไพรสิณฑ์ |
นิเวศเลื่อนเป็นเรือนพยัคฆิน | เชิงวารินเกิดอ้อแกมกอพง |
เมื่อกรุงยังบริพูรณ์พูนสวัสดิ์ | สารพัดที่จะพึงพิศวง |
ดังชะลอดุสิตนิมิตลง | ถวายองค์จักรพรรดิกษัตริย์ครอง |
ถึงคราวยับลับหายละลายสิ้น | ปฐพินพื้นสุธาก็ราหมอง[๕] |
ในแถวท้องชลสายล้วนทรายกอง | ในที่ท้องชลมาศเป็นหาดมูน |
๏ โอ้ตั้งแต่นี้ไม่มีแล้ว | ที่พรายแพรวพรรณรายจะหายสูญ |
เห็นเมืองร้างพี่ยิ่งหมางทรวงอาดูร | ยิ่งเพิ่มพูนทุกข์ถมระทมทรวง |
นัคเรศไร้เกศกษัตริย์แล้ว | ถึงผ่องแผ้วเพียงสวรรคก็พลันร่วง |
เหมือนพี่จากดวงยิหวาสุดาดวง | พี่เลยล่วงลับหายเสียดายงาม |
พอบ่ายแสงทินกรลงอ่อนคล้อย | ก็เลื่อนถอยนาวาจากท่าข้าม |
พี่เหลียวหลังตั้งแลชะแง้งาม | พอลับตาเลยตามแม่น้ำไป |
ถึงท่าเกวียนเตียนราบดังปราบที่ | เกวียนจะมีมั่นคงไม่สงสัย |
จะสู้เสียเงินตราไม่อาลัย | จะจ้างให้เข็นแค้นที่แน่นทรวง |
บนตลิ่งแลดูเกวียนก็เตียนตา | ซ้ำอุราเพียงหนึ่งตกภูเขาหลวง |
เกวียนไม่มีดอกนี้หรือเขาชื่อลวง | ยิ่งหนักหน่วงโศกแน่นแสนทวี |
ถึงบ่อโพงรำพึงคะนึงแหนง | แล้วจะแกล้งล่อเล่นเช่นเมื่อกี้ |
นี่โพงทุกข์หรือว่าโพงชลธี | ถ้าบ้านมีจะถามเนื้อความดู |
ถ้าโพงทุกข์เสียได้ดังใจหวัง | จะรอรั้งโพงพักอยู่สักครู่ |
เข้าแอบยั้งฝั่งกระแสแล้วแลดู | ไม่เห็นผู้คนขาดอนาถตา |
พี่ยิ่งแสนเจ็บใจดังไฟลาม | จะไถ่ถามขัดคนจนหนักหนา |
ช่างอาภัพคับแค้นแสนประดา | อนิจจาจนใจเสียจริงจริง |
นี่มิสิ้นวาสนาข้าแล้วหรือ | จึ่งมารื้อเรื่องไร้ไปทุกสิ่ง |
จะถามความเขาดูพอรู้จริง | ควรหรือนิ่งเสียได้ไม่เมตตา |
มาถึงย่านบ้านชื่อบางระกำ | ยิ่งชอกช้ำคิดถึงขนิษฐา |
แสนระกำปลํ้ารักหนักอุรา | ยิ่งซ้ำมายลย่านว่ารำคาญครัน |
พินิจแถวแนวท่าชลาสินธุ์ | ประเทศถิ่นยืดเยื้อเหลือกระสัน |
เขาเรียกบ้านบางระกำหนำใจกัน | เป็นครึ่งวันไม่ล่วงไปได้เลย |
ระกำทรวงจากดวงยิหวาสวรรค์ | ก็สุดกลั้นความวิตกแล้วอกเอ๋ย |
ระกำย่านยังย้ำด้วยคำเปรย | จนไม่เงยพักตร์ดูสู้ระกำ |
ถึงแม่ลาเหลียวหน้าน้อมประสาน | หวังสมานนงรามลางามขำ |
พลางก็เอื้อนอรรถวอนชะอ้อนคำ | สนองน้ำพจนารถสวาทลา |
แล้วเงี่ยโสตคอยสดับรับคดี | ยุพาพี่จะผ่อนสุนทรหา |
พี่ลาแล้วแววใจไยไม่ลา | ให้รอท่าคอยรสพจมาน |
หรือแม่ลาพี่เฉยน้องเลยกลับ | จึงไม่รับสุนทรที่อ่อนหวาน |
ครั้นพินิจผิดใจในอาการ | มีนามบ้านแล้วหรือชื่อแม่ลา |
เห็นจะจริงเสียแน่เป็นแท้แล้ว | คิดถึงแก้วกลอยจิตขนิษฐา |
ที่สำคัญใจแน่ว่าแม่ลา | อนิจจาเปล่าจริงยิ่งเศร้าใจ |
พระสุริยันเย็นพยับลับทวีป | เธอเร็วรีบลดเลี้ยวเหลี่ยมไศล |
ฟ้าอรุ่มคลุ้มมืดนภาลัย | ก็เลยไปพ้นย่านบ้านพระนอน |
พระจันทร์แจ่มแย้มเมฆวิเวกดวง | ดูโชติช่วงจำรัสประภัสสร |
ดารารายพรายแสงแจ้งอัมพร | ออกแทรกซ้อนแซมซับสลับดวง |
น้ำค้างหยดรดช่อบุปผชาติ | พระพายผาดหอมมาแต่ป่าหลวง |
เหมือนแป้งสดบดปรุงบำรุงทรวง | แต่แรมล่วงลับหายมาหลายวัน |
ช่างสูญสิ้นกลิ่นหายวายถนอม | มาหวนหอมดอกไม้ในไพรสัณฑ์ |
อกเอ๋ยตั้งแต่นี้สักกี่วัน | จะพบขวัญนัยนาสุดานาง |
ครั้นนาวาถึงหน้าตะเคียนด้วน | ยิ่งรัญจวนถึงน้องแล้วหมองหมาง |
คิดถึงรักหักหวนด่วนเด็ดกลาง | ช่างสมอย่างชื่อบ้านขนานนาม |
ถึงบางม่วงทรวงเศร้าเฉาฉงน | ไม่ยลคนเลยหนอจะขอถาม |
นี่งามขำอัมพาพี่มาตาม | หรือว่าความเรียกกันเช่นนั้นมา |
ถึงโพเอนโพผลัดสะบัดชุ่ม | เขียวชะอุ่มสดทรามงามหนักหนา |
มหาโพธินี้เป็นที่วัฒนา | คือมหาบัลลังก์พุทธังกูร |
พระอวยโปรดไว้ในพื้นภพ | ให้อยู่ครบศาสนาห้าพันสูญ |
พลางก็น้อมอภิวาทบาทมูล | ขอให้พูนสวัสดิ์สุขทุกวันไป |
ถึงบ้านท่าคชสารขนานชื่อ | พี่ยิ่งรื้อร้อนจิตคิดสงสัย |
แล้วพญาคชสารออกผ่านไพร | เลยครรไลลงมาท่าเล่นวารี |
เห็นนาวาเราไปจะไล่แทง | เข้ายื้อแย่งเรือพังกระมังนี่ |
หรือสำเหนียกเรียกนามกันตามมี | ก็ดูทีจะอย่างนั้นดอกมั่นคง |
พอคลาดท่านาวาเลี้ยวแหลมลับ | ยิ่งกลุ้มกลับร้อนจิตพิศวง |
บ้านนี้งามทรามสงวนนวลอนงค์ | น้องจะปลงใจตั้งฟังข่าวครวญ |
ไม่เห็นพี่ไหนจะมีที่สิ่งสุข | จะแสนทุกข์แสนชํ้าระกำหวน |
ด้วยยามค่ำเคยลอบไปปลอบนวล | ได้ชื่นชวนพจมานสำราญใจ |
ถึงบ้านขวางทางเลี้ยวตลิ่งลับ | เหมือนเขากลับนาวาลงมาใหม่ |
ดูกระแสเห็นสิ้นถิ่นทางไป | พี่ดีใจว่าเลยมาเชยนาง |
พอสิ้นแหลมแลเห็นชลมาศ | ใจจะขาดนึกแค้นยิ่งแสนหมาง |
คิดว่าทางมาขวางบาง | ให้ระคางเคืองอุราไม่น่าไป |
ถึงเรือหยุดนั่นสำคัญพัก | ขึ้นสำนักศาลาที่อาศัย |
เขาจุกช่องตีฆ้องกองฟืนไฟ | ระวังภัยรักษาฝ่าธุลี |
เสียงเซ็งแซ่แลสล้างข้างที่นั่ง | ออกคับคั่งผูกแหล่งตำแหน่งที่ |
ฝูงกำนัลกัลยาพวกนารี | บ้างพาทีเสสรวลสำรวลกัน |
ที่จัดหวีกระจกไว้ใส่ปิ่นโต | สำอางโอ่เครื่องแป้งแต่งจัดสรร |
น้ำอบฟุ้งปรุงเจือน้ำมันจันทน์ | ของสำคัญใส่ขวดพวงไม่ลืมเลย |
เหล่าพวกมหาดชาฝ่าละออง | บ้างเยี่ยมมองชายตาทำหน้าเฉย |
ที่พบคู่เคยรักก็ทักเปรย | พอชื่นเชยล่อใจให้สำราญ |
เพื่อนเขาชื่นพี่นี้ชํ้าระกำทุกข์ | เขาเป็นสุขพี่นี้ร้อนดังศรผลาญ |
เขายินดีคลี่คลายสบายบาน | พี่ร้อนรานในอารมณ์ระทมใจ |
คะนึงถึงขนิษฐาแม้นมาด้วย | จะรื่นรวยชื่นแช่มค่อยแจ่มใส |
เป็นเพื่อนสองพักตร์บ้างยังชั่วใจ | นี่เหลียวไปก็ไม่พบประสบตา |
พินิจพักตร์นารีที่รองบาท | ก็ผ่องผาดงามขำล้ำเลขา |
เป็นรองน้องสองเอาหนึ่งไมกึ่งตา | โฉมอำภาพี่ผิดชนิดกัน |
เลยไม่ดูสู้ข่มอารมณ์ขึง | คะนึงถึงดวงสมรค่อนกระสัน |
ดังใครผ่าทรวงแผ่ลงแดยัน | ก็สู้กลั้นกลืนรักหนักอุรา ฯ[๖] |
....(ฉบับลบเลือน)......... | ......(ฉบับลบเลือน)....... |
.................................... | .................................... |
.................................... | .................................... |
.........พี่บี้ทุกขํยาก | พี่หนีจากไปจากแม่น้อง... |
๏ พอล่วงเข้ายามสองยํ่าฆ้องชัย | เขาเร่งไฟคึกคักขึ้นหนักหนา |
สารวัตรเที่ยวตรวจทุกหมวดมา | ให้เร่งผูกไอยราที่นั่งทรง |
สัปคับแพรวพรายลายจำหลัก | เม็ดพนักเชิดชูดูระหง |
วิไลล้วนเลิศอย่างช่างบรรจง | จำหลักลงลายทองผ่องสุวรรณ[๗] |
กูบดาดสีแดงแย่งครุฑอัด | กุมสุกรีทีสะบัดจะผัดผัน |
วิสูตรทองป้องปิดสุริยัน | มีเชิงชั้นพื้นแย่งแต่งสำอาง |
พระยี่ภู่ปูลาดสะอาดดี | สุจหนี่จีนปักหักทองขวาง |
พระแสงทรงคันสั้นทอดคันวาง | ไว้เคียงข้างคู่กับสำหรับองค์ |
เครื่องประดับสำหรับกุญชรชาติ | จงกลมาศสวมพู่ดูระหง |
ปักโขมดข่ายทองกรองบรรจง | เยียรยงยงผ่องผาดสะอาดตา |
ภายท้ายสายรัตคนคาด | สักหลาดหุ้มแดงแสงสุกจ้า |
สุวรรณวลัยใส่สวมงา | ชะนักตราตรึงซ้ำประจำคอ |
ฝ่ายพญาคชสารร่านเริงมัน | ขยับหันชันหูจะสู้หมอ |
สะอึกออกจากที่ไม่รีรอ | เขาเงื้อของ้างกลับประทับเกย |
ฝ่ายประเทียบผูกเสร็จสำเร็จการ | พนักงานชาวในไม่ช้าเฉย |
หัวร่อรี่ดีใจกระไรเลย | ด้วยไม่เคยอยากขี่เมื่อคราวรวย |
บรรทุกขนใส่ไปเครื่องใช้สอย | ที่นอนน้อยหมอบข้างสำอางสวย |
บ้างเดินส่ายกรายกรอ่อนระทวย | เข้ามาช่วยส่งของร้องสำทับ |
ในปิ่นโตโถเฟืองล้วนเครื่องแป้ง | ช่วยจัดแจงนายจ๋าค่อยค่อยจับ |
บ้างวิ่งผลุนรุนหลังออกคั่งคับ | กระทบปับกระจกตกจากมือ |
เหล่าพวกชายมหาดชาฮาออกอึง | เจ้าของตึงหน้าตื่นยืนตัวทื่อ |
ทอดสะท้อนถอนใจดังไฟฮือ | สิ้นที่ซื้อเศร้าจิตคิดเสียดาย |
บ้างหันหน้าปรึกษากันเราวันนี้ | จะถึงที่ช้าครันตะวันสาย |
เห็นแสบท้องแทบล้มลมจับตาย | นัยน์ตาลายแม่นแท้แน่แล้วเรา |
ลางนายว่าอย่างนั้นฉันไม่ทุกข์ | จะเป็นสุขด้วยกล้วยกับข้าวเม่า |
ได้แก้หิวกลางทางพอบางเบา | ถึงอยากเข้าก็พอรองท้องสบาย |
เสร็จประเทียบเรียบร้อยคอยเพลา | พระสุริยาแจ่มจัดจรัสฉาย |
พวกช้างดั้งเขาก็ตั้งตาริ้วราย | จะค่อยบ่ายกุญชรออกจรนำ |
ดูผ่องผาดแต่ละนางขี่ช้างกูบ | สำอางรูปงามสมดูคมขำ |
นั่งเป็นคู่ดูเยาะห่มเพลาะดำ | พึ่งแรกร่ำหอมหวนล้วนผู้ดี |
แต่ช้างเรียมสารวัตรเขาจัดมา | ให้ออกหน้านำแนวแถววิถี |
พอจัดเสร็จเสด็จจรลี | ขึ้นสู่ที่เกยชัยทรงไอยรา |
แล้วเขาบอกว่าออกช้างที่นั่ง | กระบวนตั้งโห่ลั่นสนั่นป่า |
ปี่พาทย์ระนาดฆ้องก้องโกลา | ขนัดหน้าล่วงนำดำเนินไป |
พอล่วงทางช้างถึงบางโขมด | ยังเสียวโสตเศร้าจิตคิดสงสัย |
หวาดคะนึงลิงโลดโขมดไพร | สยองใจไหวสิ้นทั้งอินทรีย์ |
อุระหวั่นสั่นรัวกลัวโขมด | มันเหี้ยมโหดหินชาติประหลาดผี |
ทำหลอกคนปนปลอมแสงอัคคี | ถ้าราตรีแล้วหลอนให้จรตาม |
ครั้นเลยไปใกล้ถึงแถวศาลา | เห็นชาวป่านั่งรายขายเข้าหลาม |
ช่างพีดำลํ่าเนื้อดูเหลืองาม | จะพร้องความก็ไม่น่าจะพาที |
ลำบากตาดูหน้าไม่ถนัด | ก็รีบรัดตะเบ็งเร่งหัตถี |
ข้ามพ้นตะพานช้างเขาสร้างมี | พินิจที่แถวถนนฉงนใจ |
ตะพานช้างนี่เหมือนอย่างในนิเวศ | แต่ขาดเนตรบ้านอนงค์อยู่ตรงไหน |
ตึกหายกลายเป็นเป็นราวไพร | อนาถในอกแน่นแสนอาวรณ์ |
ถึงบ่อโศกวิโยคคะนึงหลัง | ยิ่งเตือนตั้งทุกข์ทอดสะท้อนถอน |
เห็นบ่อชลคนสร้างไว้กลางดอน | ชโลธรขังใสให้รำคาญ |
น่าวิบากหลากแท้กระแสสินธุ์ | ช่างดั้นดินมาอย่างไรในไพรสาณฑ์ |
ก็ใช่แถววารีนทีธาร | มาบันดาลเกิดชลขึ้นบนดอน |
เหมือนบ่อเนตรเรียมนองทั้งสองข้าง | ไม่เว้นว่างวายไหลอาลัยสมร |
ตั้งแต่วันเรียมคลาดนิราศจร | ไม่หยุดหย่อนชลหยาดขาดน้ำตา |
ถึงศาลาสามเณรอนาถนึก | หวนระลึกคำเก่าท่านเล่าว่า |
เจ้าเณรนอนอาศัยในศาลา | พยัคฆาคาบได้เอาไปกิน |
สามเณรเวรวิบากกรรม | แต่ปางก่อนได้ทำไม่สร่างสิ้น |
เหมือนตัวเราแรมร้างห่างยุพิน | เพราะมลทินเวรหลังนั้นยังมี |
จึ่งเผอิญเป็นไปให้วิบัติ | ใช่จะตัดเยื่อใยอาลัยหนี |
จะแค้นเคืองเรื่องไรก็ไม่มี | นี่ควรที่หรือมาจรจนร้อนทรวง |
ถึงถิ่นแถวหนองคนทีทวีเทวษ | ผิดสังเกตด้วยว่าหนองนั้นใหญ่หลวง |
เป็นที่สำนักพักยั้งคนทั้งปวง | ไฉนห้วงจึงมาขาดนิราศชล |
เหมือนอกพี่ที่แล้งแห้งสวาท | มาค้างขาดแรมร้างกลางไพรสณฑ์ |
หนองก็ขาดวารีไม่มีชล | อุระคนพลอยขาดอนาถนอน |
ถึงเขาตกอกเต้นแลเห็นศาล | ที่สถานเทวฤทธิ์อดิศร |
จึ่งน้อมนอบยอบกายถวายพร | เทพรอนเรืองศักดิ์รักษาไพร |
อันทรงอิศรพร้อมเป็นจอมเจ้า | อยู่แฝงเฝ้าบรรจถรณ์[๘]ก้อนไศล |
ขจรนามขามเดชทั้งเขตไพร | อารักษ์ใดไม่เยี่ยมเทียมสองมี |
ทิพโสตคอยสดับตรับฟังเหตุ | ทิพเนตรเล็งห้องท้องวิถี |
จงแผ่เผื่อพระทัยเป็นไมตรี | ให้ไปดีแคล้วคลาดนิราศภัย |
เมื่อกลับจากวันทนาฝ่าพระบาท | จะประสาทอวยผลกุศลให้ |
เทพจงอยู่สุขาขอลาไป | เลยครรไลบากช้างเข้าทางจร |
สลดใจไปในพนาเวศ | ก็ล่วงเขตพ้นแนวแถวสิงขร |
ไม่เว้นว่างสร่างเทวษซึ่งอาวรณ์ | ทอดสะท้อนพลางเหลียวเสียวหทัย |
ถึงสระยอยิ่งระกำชํ้าอุระ | ทุกข์ปะทะมัวหมองไม่ผ่องใส |
เห็นพฤกษาในอรัญกระสันใจ | พรรณไม้มีดอกออกอรชร |
กระถินเทศเกดแก้วแกมกาหลง | ประดู่ทรงเรณูชูสลอน |
พระพายชายพัดมารอนรอน | หอมขจรกลิ่นกลบกระหลบไพร |
คะนึงถึงขนิษฐาแม้นมาพบ | จะวอนรบให้เชษฐาเก็บมาให้ |
จะแสนสุขเกษมศานต์สำราญใจ | ที่ในไพรทางเปลี่ยวเหลียวเห็นกัน |
นี่สุดใจเหลือจนทนเทวษ | สงสารเชษฐ์ขาดยลวิมลขวัญ |
โอ้ตั้งแต่ทิวานิรากัน | ไม่วายวันเว้นไห้อาลัยตรอม |
ครั้นถึงถิ่นท้ายพิกุลระกำโหย | พระพายโรยรสพิกุลจรูญหอม |
รินรินเสาวคนธ์ปนพยอม | ช่างดกค้อมหอมรื่นชื่นชูใจ |
ต้นตํ่าตํ่าน่าชมร่มสนิท | จนเอื้อมปลิดทัดเล่นก็เห็นได้ |
ครั้งต้องแสงสุริยนหล่นเกลื่อนไป | ที่บังใบสดชุ่มเป็นพุ่มพวง |
ภุมราเวียนลงประสงค์เค้า | เข้าคลึงเคล้าเชยกลิ่นแล้วบินหวง |
บ้างเที่ยวชอนว่อนวู่จู่ทะลวง | เข้าชิงช่วงมาลัยไล่รานกัน |
แมลงภู่ยังรู้หวงเกสร | เข้าตีต้อนเพื่อนกันด้วยโมหัน |
นี่หรือคนจะไม่หึงหวงกัน | โอ้คิดแล้วยิ่งกระสันสงสารกาย |
พอถึงสระสามเส้นเห็นพลับพลา | ที่พวกข้าบาทบงสุ์บรรจงถวาย |
เป็นหลั่นหลั่นหลายหลังตั้งเรียงราย | ข้างแถวฝ่ายทางกำนัลเป็นหลั่นมา |
วิสูตรกั้นคั่นที่เสด็จออก | ข้างรอบนอกระเนียดบังตั้งแน่นหนา |
ทิมเฝ้ายามนั่งตั้งนาฬิกา | ในพลับพลาจัดเสร็จสำเร็จการ |
พอยํ่าเที่ยงช้างถึงประทับเกย | เสด็จเลยลงจากคชสาร |
เข้าสู่ที่สระสรงชลธาร | พนักงานพร้อมพรั่งนั่งเรียงราย |
งามทรงนงเยาว์ชาวดุสิต | เข้าหมอบชิดแช่มช้อยคอยถวาย |
พระสุคนธ์หอมกระลบอบอาย | สรงเสร็จเสด็จกรายเข้าห้องใน |
พระสุริยาบดบ่ายชายแสงอ่อน | เสด็จจรจากห้องอันผ่องใส |
พระจอมอิศราหวังตั้งพระหัย | เสด็จไปอภิวาทบาทบงสุ์ |
พระพี่เลี้ยงเคียงคู่ดูสง่า | ตำรวจหน้านำแห่แลระหง |
มหาดเล็กตามฉลองละอององค์ | วิไลทรงบริสุทธิ์บุตรขุนนาง |
ครั้นถึงที่สถานลานอาวาส | ก็หมอบกลาดเฝ้าอยู่ดูสล้าง |
ฝ่ายพระจอมจักรพงษ์องค์สำอาง | เสด็จย่างขึ้นคำรพอภิปราย |
ทรงจุดประทีปที่เครื่องตั้ง | ประทับยั้งปรนนิบัติพัดถวาย |
พระทรงปิดแผ่นสุวรรณอันแพรวพราย | แล้วประปรายพระสุคันธ์อันบรรจง |
ถวายนมัสการเสร็จเสด็จกลับ | แรมประทับพลับพลาในป่าระหง |
พร้อมด้วยมิ่งหม่อมจอมอนงค์ | บำเรอองค์ตามแห่งตำแหน่งมี |
พวกชายฝ่ายรองมูลิกา | เกณฑ์กันมานั่งยามอยู่ตามที่ |
ตั้งนายหมวดตรวจฆ้องกองอัคคี | ในราตรีให้ระวังทั้งไพร่นาย |
ดูสำอางนางในใจเป็นสุข | แสนสนุกนัดกันสำคัญหมาย |
คำพูดทีแฝงแอบบอกแยบคาย | ให้พวกชายเคยคู่รู้ที่กัน |
พรุ่งนี้รุ่งสุริยาเวลาสาย | นายขานายเชิญไปเล่นไพรสัณฑ์ |
ไปลดเลี้ยวเที่ยวเก็บมะลิวัลย์ | ที่ขอบคันชลาสินธุ์หินดาษมี |
บ้างแฝงหน้าตามองตามช่องระเนียด | ทำเดินเบียดแล้วสะกิดบิดหน้าหนี |
บ้างก็ลักชักผ้าห่มชมของดี | บ้างบีบบี้หยอกยั่วกันพัวพัน |
ระริกรื่นชื่นเริงเชิงกระบวน | ต่างยียวนปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ |
แต่อุระเรียมไซร้ดังไฟกัลป์ | เมื่อสายัณห์จวนยํ่าจะค่ำลง |
วิเวกเสียงสำเนียงเรไรร้อง | ในแถวท้องป่าใหญ่ไพรระหง |
จักจั่นเรื่อยรํ่าประจำดง | ลองไนส่งเสียงร้องสยองใจ |
เจื้อยแจ้วจักรจั่นสนั่นจ้า | ในอุราเรียมเย็นดังเป็นไข้ |
ม่อยม่อยผ็อยจะหลับกลับเตือนใจ | เทวษไห้หวาดหวั่นถึงขวัญตา |
เห็นแสงเพลิงเริงรองพวกกองแล | ฆ้องกระแตเตือนตีถี่นักหนา |
ตระเวนวนค้นรอบขอบพลับพลา | ให้ตรวจตรากันนั่งระวังภัย |
อนาถอกเมื่อตกเข้ายามดึก | ฟังพิลึกนกร้องก้องเสียงใส |
สกุณเฝ้าเคล้ารังระวังไพร | สลดใจโหยหาสุดาดวง |
แต่ไพรศรียังมีนกระวัง | พี่นี้รั้งแรมพรากจากห้องหวง |
ไม่อยู่เฝ้าเคล้านั่งระวังดวง | อำภาพวงของพี่พี่จากมา |
ป่านนี้น้องจะคอยเศร้าสร้อยพักตร์ | ที่รู้จักเขาล่องลงคงถามหา |
ถ้าทราบแท้แน่ใจในกิจจา | ว่าเชษฐายังไม่กลับจะคับใจ |
แต่แสนเศร้ามาจนเข้าถึงยามสอง | ไม่วายตรองถึงมิตรพิสมัย |
พอพระพายรำเพยเลยหลับไป | จนเกือบใกล้แสงทองส่องนภางค์ |
แจ่มจรัสด้วยสหัสรังสี | เยี่ยมวิถีเด่นแดงดังแสงฝาง |
จึ่งจัดประทีปธูปบุปผาพลาง | ออกเยื้องย่างจากที่ลีลาไป |
ถึงมรฑปคำรพพระพุทธบาท | อภิวาทฝ่าละอองด้วยผ่องใส |
เข้าน้อมตนปรนนิบัติพัดวีไป | สำเร็จใจประสงค์จำนงมา |
ศิโรราบกราบลาฝ่าพระบาท | แล้วลีลาศกลับพลันด้วยหรรษา |
พอถีงที่อาศัยในพลับพลา | เห็นแน่นหนาเพื่อนนั่งสะพรั่งไป |
เขาหุงต้มเสร็จสรรพรับประทาน | อิ่มสำราญชื่นแช่มค่อยแจ่มใส |
เพื่อนเขารบคร่ำครวญเฝ้ากวนใจ | ชวนพี่ไปเที่ยวถ้ำน่ารำคาญ |
ให้คิดแค้นเคืองใจอยู่ในอก | แสนวิตกทรวงร้อนดังศรผลาญ |
อตส่าห์แข็งใจฝืนหน้าชื่นบาน | กลัวเพื่อนเขาจะพานว่าไยไพ |
หักอารมณ์ข่มทุกข์ลุกจากที่ | ไม่คลายคลี่ใจจำทำปราศรัย |
ขึ้นบนเขาโพธิ์ลังกาพากันไป | แวะเข้าไหว้พุทธาแล้วลาจร |
ไปถีงที่ว่างเปล่าเรียกเขาขาด | เห็นคนกลาดเกลื่อนกล่นบนสิงขร |
ล้วนนางในพลับพลาพากันจร | บ้างหยุดร้อนนั่งเล่นเย็นสบาย |
ที่เคยคอพอพบประสบพักตร์ | ก็ถามทักปราศรัยดังใจหมาย |
บ้างชม้อยแค้นเคืองด้วยแยบคาย | บ้างชม้ายชม้อยม้วนทำรวนรี |
พี่เลยลงจากเขาลำเนาผา | เข้าลัดป่าเที่ยวไปในไพรศรี |
พิศไม้ในแถวแนวคีรี | บ้างก็มีผลดกตกเกลื่อนไป |
ตุมกาดกจริงจนกิ่งค้อม | กาก็ล้อมกันลงส่งเสียงใส |
ชิงผลสุกงอมตอมอึงไป | บ้างเลียบไล่เพื่อนเลี้ยวโฉบเฉี่ยวกัน |
ผลหว้าดกจริงจนกิ่งพลิก | ดุเหว่าจิกจับกินแล้วบินผัน |
เข้าเคล้าเรียงเคียงคู่พัลวัน | แล้วพากันจากจรบินร่อนไป |
ฝูงแก้วปนกาลิงจับกิ่งเกด | แล้วพูดเพศประสาป่าน่าพิศมัย |
เสียงสาวรักสาวกอดพลอดจับใจ | ชายไม่รักสาวก็ไม่นิยมยิน |
ฝูงกระทาจับกระทุ่มร้องปักท่า | สำเนียงแจ้วเสียงจ้าในไพรสิณฑ์ |
แล้วกลับลงเล่นแหล่งคุ้ยแปลงดิน | เที่ยวไล่กินตั๊กแตนแล่นชิงกัน |
พญาลอล่อไล่ไก่ฟ้าหนี | เข้าต้อนตีหวงไข่ใจโมหัน |
ที่ตัวแพ้วิ่งไปในไพรวัน | เข้าดัดดั้นซ่อนกายหายตัวไป |
มยุราพาฝูงนางยูงย่าง | แล้วแผ่หางรำร่าอยู่หน้าไศล |
เห็นนกเคียงคู่สังวาสไม่คลาดไกล | เทวษไห้ถึงสุดาน้ำตาริน |
เห็นปักษามีคู่สู่สมสอง | คิดถึงน้องยิ่งทวีฤทัยถวิล |
พี่ไม่ได้อยู่แนบแอบยุพิน | ร้างสวาทขาดวิ่นมาเปลี่ยวใจ |
พอถ้ำกินนรร้อนแดดนัก | เข้านั่งพักหน้าผาหยุดอาศัย |
พฤกษาร่มลมชายสบายใจ | แลลงไปท้องถ้ำน่าสำราญ |
เป็นหุบห้องหลายแห่งดังแกล้งบัง | เหมือนเพียงตั้งแผ่นโตรโหฐาน |
ยิ่งพินิจคิดไปในอาการ | เหมือนนิทานเล่าไว้ไม่แปลกกัน |
จะเป็นที่กินราห้าอนงค์ | วิไลทรงดังสุรางค์นางสวรรค์ |
ที่พาพระลักษณวงษ์ผู้ทรงธรรม์ | แรมอรัญสู่สมภิรมยา |
เห็นจะเป็นถ้ำนี้ไม่มีผิด | จึงมิดชิดที่อยู่ในคูหา |
เหตุไฉนจึ่งยุพินกินรา | จึ่งจากป่าละที่หนีถ้ำไป |
ถ้ายังอยู่จะได้ดูโฉมกินนร | จะงามงอนผ่องพักตร์สักเพียงไหน |
กับกินราหน้าวังจะอย่างไร | หรือพอไล่เลี่ยหล่อนกินนรเทียม |
ยิ่งเห็นถ้ำก็ยิ่งช้ำอุระรึง | คะนึงถึงนงรามงามเสงี่ยม |
ถ้ามาตรแม้นขนิษฐามาด้วยเรียม | จะต้องเกรียมกรมใจที่ไหนมี |
ก็เลยถ้ำกินนรสัญจรไป | ข้ามไศลเนินแนวแถววิถี |
รวยระรื่นชื่นช่อสุมาลี | สารภีหอมหวนทวนลมมา |
ดอกบุนนาคหอมหอมหลากขยายรส | เรณูสดหอมกระหลบกลบนาสา |
มะลิวัลย์พันกิ่งจันคณา | แย้มผกายื่นก้านบานกระจาย |
ลำดวนล้วนดอกออกดาษต้น | สุริยนส่องกลีบรีบขยาย |
สลัดพวงร่วงตกลงเรี่ยราย | พระพายชายกลิ่นชวยรวยรินมา |
เล็บมือนางกางกลีบกลมเหมือนเล็บ | น่าใคร่เก็บน่ารักเสียหนักหนา |
เหมือนเล็บหม่อมย้อมแดงแสงจับตา | เมื่อกรายมาดูสนิทไม่ผิดเลย |
นางแย้มแย้มช่ออรชร | เหมือนงามงอนแย้มช่องหน้าต่างเผย |
แล้วเยี่ยมหน้าหน้านวลควรจะเชย | พี่นี้เคยได้เห็นเว้นมานาน |
ถึงถ้ำวิมานจักรีฉวีร้อน | ทินกรกล้าจัดจรัสฉาน |
ระทวยกายหิวกระหายชลธาร | ไม่สำราญอ่อนจิตระอิดใจ |
เขาชวนกันเดินตรงลงในถ้ำ | ถึงแปลงน้ำพุมีที่อาศัย |
ได้รับประทานวารีคลี่คลายใจ | ค่อยผ่องใสสร่างร้อนอ่อนอุรา |
แล้วหยุดยั้งนั่งพิศพินิจถ้ำ | วิไลลํ้าแสนสนุกเป็นสุขขา |
ดูราบรื่นเวิ้งว้างสำอางตา | ทางท่าคันขอบดูชอบกล |
บ้างงอกเงื้อมเหลื่อมก้อนซ้อนสลับ | วารีซับหยดย้อยดังฝอยฝน |
บ้างเคลือบคล้ายเหมือนลายระบายปน | ที่มัวหม่นแกมม่วงมีหลายพรรณ |
ที่ลางแห่งแสงลายเป็นสายรุ้ง | เหมือนช่างมุ่งประสานเล่นเห็นขันขัน |
บ้างก็แยกแตกกลางออกห่างกัน | ในหว่างนั้นงอกหน่อเป็นตอแกม |
ที่ลางแห่งข่อชูดูเหมือนขวาก | เดินลำบากเหลือใจปลายแหลมแหลม |
ที่ลางแห่งก็เป็นแห่งเหมือนแกล้งแซม | บ้างก็แย้มเหลื่อมลดเป็นหลั่นไป |
พอบ่ายแสงสุริยาพากันกลับ | ครรไลลับลดเลี้ยวข้ามไศล |
ข้ามเขาสุนัขาระอาใจ | พอลงได้เดินเลี่ยงเฉียงชายมา |
เขาชวนกันไปไหว้พระไสยาสน์ | ที่จอมราชสร้างไว้ในคูหา |
ใจพี่จะโดดดิ้นสิ้นศรัทธา | กลัวเขาว่าสู้แข็งใจไปด้วยกัน |
ครั้นถึงพระปฏิมาไสยาอาสน์ | ดูผ่องผาดงามพุทธรังสรรค์ |
อร่ามเรืองรัศมีสีสุวรรณ | น้ำจิตนั้นโสมนัสด้วยศรัทธา |
แล้วน้อมกายถวายอภิวาท | ที่เบื้องบาทฝ่าละอองสองซ้ายขวา |
พลางปัดเป่าเถ้าธุลีที่พุทธา | ในอุราหวั่นหวั่นกระสันครวญ |
นิจจาเอ๋ยเลยล่วงดวงยิหวา | สุมณฑาทิพย์ผดุงบำรุงสงวน |
บุญน้อยไม้ได้ร่วมเนื้อน่วมนวล | พี่หมายชวนมาพร้อมน้อมวันทา |
พิศดูถ้ำรำพึงคะนึงคิด | จะเหมือนกับวิสิศมาหรา |
ที่มะดีหวีพาศรีบุษบา | กับกัลยาพี่เลี้ยงไปเสี่ยงเทียน |
ถ้าโฉมเอี่ยมเทียมแทบชิวาพี่ | ที่ปลั่งศรีทรงสำอางเหมือนนางเขียน |
แม้นมาได้จะให้น้องลองเสี่ยงเทียน | ให้ทราบเสี้ยนแสบเหน็บที่เจ็บใจ |
จะสมเหมือนหรือจะเคลื่อนคลาสวาสดิ์ | จะสมมาดของนางที่ข้างไหน |
จะคู่เคียงเพียงพี่หรือมีใคร | มาจงใจรักน้องประคองชม |
ถึงตัวไกลใจดิ้นถวิลหวัง | แต่แรกตั้งจากกันวันประถม |
นึกเกรงภัยริษยาคิดปรารมภ์ | จะลักชมเชยนวลให้นวลมอม |
ถ้ามาตรแม้นใจอนงค์ยังคงสัจ | ไม่คิดตัดไมตรีอารีถนอม |
ถึงมีฤทธิ์จะมาคิดเข้าแปลงปลอม | ไม่ขอยอมน้องให้ได้ไปชม |
คงได้เล่นเหมือนหนึ่งเช่นเรื่องอิเหนา | ที่ตรงเจ้าวนิดาจะมาสม |
จะขอสู่กว่าจะสิ้นบิ่นจมคม | ชีวิตจมแผ่นดินจึงสิ้นกัน |
ขอเดชะพุทธพงศ์ทรงสิกขา | ปฏิมาปิ่นปักหลักสวรรค์ |
พระคุณลํ้าภพไตรในสามัญ | โปรดช่วยกันอันตรายให้หายภัย |
ถึงมาตรแม้นแสนชายจะหมายชิง | สมรมิ่งอำภาอย่าให้ไหว |
ให้พ่ายแพ้ผลสัจกำจัดไกล | เหมือน....(คำไม่ชัดเจน)... ปัฐพีกับวิมาน |
แล้วอำลาพากันออกสัญจร | ข้ามสิงขรเขาขาดแวะเข้าศาล |
สวดเมตตันแผ่เมตตาไม่ช้านาน | ยกหัตถ์ลาเลยไปธารชำระกาย |
พอถึงท่าธารเกษมสำราญจิต | พฤกษาชิดบังแสงพระสุริย์ฉาย |
ภาณุมาศผาดส่องไม่ต้องกาย | แสนสบายเย็บฉํ่าริมลำธาร |
บ้างหยุดนั่งริมฝั่งกระแสสินธุ์ | ดูวารินไหลนองห้องละหาน |
บ้างก็พุดุดันขึ้นจากดาน | ดูเชี่ยวพล่านเดือดพลุ่งฟุ้งเป็นฟอง |
ที่เป็นชั้นคันคดเหมือนทดไว้ | วารีไหลล้นหลามออกตามช่อง |
กระทบเพิงผาพังหลั่งลงคลอง | ที่เปนห้องห้วงใสก็ไหลริน |
พวกนางในดีใจลงอาบชล | บ้างเที่ยวค้นชะง่อนเก็บก้อนหิน |
มาประกอบก่อเล่นเป็นศิขริน | ลางยุพินใจผิดชนิดกัน |
เก็บเอาใบพฤกษามากลัดเข้า | ต่างสำเภาลอยเล่นเห็นว่าขัน |
ที่ไหนน้ำไหลแรงไปแข่งกัน | ชวนพนันขันต่อหัวร่อเกรียว |
บ้างนั่งเป็นคู่คู่แล้วถูหลัง | มือกระทั่งเข้าที่นั่นหันหน้าเหลียว |
ร้องว่าแกล้งจู้จี้กระนี้เจียว | แล้วกลับเลี้ยวไล่ฉุดยุดยื้อกัน |
เซาเล่นธารสำราญระริกรื่น | ดูแช่มชื่นยียวนแล้วสรวลสันต์ |
บ้างฉวยผ้าคว้าผิดพัลวัน | ทำเชิงชั้นล่อเล่นให้เห็นงอน |
แล้วนั่งลงฝั่งชลาทาขมิ้น | ที่มลทินมีอยู่สู้ถนอม |
งามจริตกรีดกรายคล้ายละคร | เหมือนกินรประตูดินบินมาลง |
สำอางพักตร์ลักขณาน่าชวนชื่น | ถ้าคนอื่นก็ติดจะคิดหลง |
แต่จิตพี่นี้ไม่มีจิตจำนง | ไม่หมายปลงใจรักสักเม็ดงา |
ถึงงามหยาดบาดตามาสักแสน | จะขืนแค่นขอสวาทไม่ปรารถนา |
แต่ดูอยู่เป็นไรไม่ปลายตา | กลับจะพาให้ระกำช้ำใจคืน |
พอตกบ่ายพระพายก็ชายโบก | เกสรโศกหอมฉํ่าซ้ำสะอื้น |
เป็นสองโศกสองช้ำสุดกลํ้ากลืน | แล้วรื้อคืนโศกรักหนักอุรา |
โศกต้นหล่นช่อต่อลมพัด | จึ่งสลัดพวงพรากจากสาขา |
โศกสวาทนี้มาขาดจากกายา | อนิจจาโศกสองนี้ต้องกัน |
การะเกดเสาวคนธ์ปนมะลิ | กรรมแล้วซิหวนให้ใจกระสัน |
เหมือนแป้งสดบดเจือเชื้ออำพัน | ที่ดวงจันทร์แจ่งหน้าทาปรางทอง |
อาทิตย์ล่วงเวหนสนธเยศ | ลงลับเขตบรรพตาท้องฟ้าหมอง |
สิ้นรัศมีแพรวพรายหายแสงทอง | วิหคล่องลมกลับมาจับคอน |
ก็กลับมาจากท่าธารเกษม | เขาปรีดิ์เปรมแต่ตัวพี่สะท้อนถอน |
ถึงที่หยุดทรุดลงกับที่นอน | ประเทืองกรก่ายพักตร์หนักอุรา |
เหล่าพวกเพื่อนเข้ามาล้อมอยู่พร้อมพรั่ง | คอยรับสั่งจะดำรัสตรัสให้หา |
พอทราบว่าจอมนรินทร์ปิ่นนรา | จะล่วงลากลับยังบัลลังก์ทอง |
เขาสั่งจะเสด็จพรุ่งนี้แน่ | พูดกันแซ่รีบรัดจัดเข้าของ |
พวกช้างพระที่นั่งหลังคาทอง | ผูกสำรองไว้สำหรับตำแหน่งเคย |
พอล่วงเข้าราตรีตีสิบเอ็ด | เขาเตรียมเสร็จทั่วหน้าไม่ช้าเฉย |
ต่างระรื่นชื่นเริงเชิงเสบย | แต่พี่เลยขึ้นไปไหว้พุทธา |
ถึงที่ประดิษฐานลานอาวาส | พระพุทธบาทโลกเชษฐเกตุทิศา |
ประทักษิณบรรจบครบสามครา | เข้ามหามรฑปคำรพกาย |
อภิวันท์บัญจางคประดิษฐ์ | สำรวมจิตจำนงปลงถวาย |
ประทีปพวงบุปผามาลาราย | สองเนตรฟายชลคล่ำอำลามา |
เหลียวหลังรั้งรอดูมรฑป | เจริญภพแสงแก้วแววเวหา |
ดังพิมานอมรเมศมัฆวา | เธอแหวกฟ้าเสียให้ว่างแล้ววางลง |
สรวมถวายลายลักษณ์วรบาท | ดูโอภาศเพลินจิตให้พิศวง |
เฉลิมภพขมพูดูเยียรยง | หากบรรจงสร้างไว้ให้วัฒนา |
จะตั้งหน้าลากลับลับไปแล้ว | ประทีปแก้วส่องสัตว์ให้สุขขา |
ไม่เห็นพระองค์เห็บแต่รอยพระบาทา | จะได้มาบังคมอีกนมนาน |
จะอาดูรถึงพระทูลกระหม่อมโลก | จะสู้โศกแสนเศร้าเฝ้าสงสาร |
ด้วยอาลัยในบาทพระทรงญาณ | แม้นถึงบ้านเสียเมื่อไหร่ใจจะคลาย |
เดินเดินแล้วก็หยุดสุดสะท้อน | ไมใคร่จรจากพ้นจนแสงสาย |
จนพระหน่อสุรีวงศ์พงศ์นารายณ์ | ขึ้นทรงพระที่นั่งพลายดูโสภา |
ขึ้นขี่ช้างตามทางเสด็จจร | ทรวงสะท้อนโศกเสียวเหลียวหลังหา |
เห็นลิบลิบแลไกลพระบาทา | ดังอุราจะพังลงทั้งเป็น |
โอ้ระฆังเคยดังไม่รู้ขาด | เหลืออนาถเสียงสูญยิ่งพูนเข็ญ |
ยิ่งฟังก็ยิ่งเงียบยะเยียบเย็น | ยิ่งเขมนก็ยิ่งเหมือนเตือนให้ไกล |
ถึงเขาตกยกมือข้างเบื้องขวา | คำนับลาเทพเจ้าเฝ้าไศล |
แผ่ผลอนุญาตประสาทไป | เทพไทที่รักษาป่าลำเนา |
มารับส่วนกุศลข้าบนแบ่ง | สิ้นทุกแห่งที่อยู่จอมภูเขา |
ทั้งนางเทพอนงค์ทรงลำเภา | อย่ามีเศร้าเสวยสุขทุกวิมาน |
จะขอลาเทพจรไปก่อนแล้ว | จงผ่องแผ้วพ้นทุกข์สนุกสนาน |
ข่วยอวยชัยให้ข้าไปสำราญ | อย่าให้พานภัยยันอันตราย |
ก็เลยแถวแนวป่าพนาเวศ | สุริเยศร้อนแรงส่องแสงฉาย |
พอล่วงดงตรงมาถึงป่าราย | ตะวันบ่ายถึงท่านาวาพลัน |
กำลังร้อนรีบรัดลงวารี | พวกสตรีปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ |
บ้างกรีดกราดวาดว่ายตะกายกัน | ฝูงกำนัลน้อยน้อยลงลอยคอ |
สำราญรื่นชื่นชวนกันเล่นชล | ที่ลางคนแยบคายเอาทรายก่อ |
พินิจดูนางในวิไลลออ | บ้างว่ายล้อเล่นปิดตาในวารี |
สงสารแต่อกเรียมต้องเกรียมกรม | เกณฑ์ระดมให้ลงล้วนพวกสาวศรี |
บรรดาชายนายบ่าวเขายินดี | ที่ลางคนคอมีก็ใช้ตา |
แต่ตัวพี่นี้ไม่มีสบายชื่น | ซังตายขืนลงน้ำกระนั้นหนา |
พอบ่ายเย็นสุริยนสนธยา | ทุกถ้วนหน้าผาสุกสุดสบาย |
ที่แสนชื่นด้วยจะคืนกลับยังบ้าน | ครั้งได้ยินบรรหารให้บาดหมาย |
ทุกถ้วนหน้าแต่บรรดาพวกมูลนาย | จะไปไหว้พระฉายให้เตรียมเรือ |
พอได้ยินสิ้นสติฉิฉะเคราะห์ | ช่างจงเจาะมิได้สิ้นประหลาดเหลือ |
พอพระจันทร์ลอยเลื่อนให้เคลื่อนเรือ | ที่อยู่เหนือน้ำให้ออกหน้าไป |
เสียงกราวเกรียวบัดเดี่ยวถึงโคกมะนาว | บ้างขานเย่อวรับยาวสนั่นไหว |
บ้างก็ร้องดอกสร้อยละห้อยใจ | ลำของใครใครร้องไม่ต้องกัน |
สมิงทองร้องรับเรื่องอิเหนา | เมื่อระเด่นเสด็จเข้าสะตาหมัน |
ที่ลำทรงส่งบอกปัจจุบัน | ให้เหล่าพวกกิดาหยันนั้นคอยร้อง |
ทั้งโทนทับกรับฉิ่งรำมะนา | ทั้งคนทวนถ้วนหน้ามีถึงสอง |
แต่ตัวพี่นี้สำหรับคอยรับรอง | พระองค์ข้องคิดขัดแล้วจัดเรียง |
พอเรือหน้าปะหาดด้วยน้ำแห้ง | บ้างเสียดแซงซ้อนแทรกออกแซ่เสียง |
ที่คนเคยคอคุ้นเข้ามาเคียง | เอามือเลี่ยงลอดคว้าหาของดี |
นางเจ้าของร้องว้ายตะกายคว้า | พอพบหน้าทำอางขนางหนี |
บ้างหลอนหลอกหยอกหยิกกันซิกซี้ | ทุกนารีเริงรื่นชื่นสำราญ |
ถึงท่างามงามท่าน่าสนุก | เห็นไฟลุกดวงแดงอยู่ในด่าน |
เจ้าภาษีตีฆ้องร้องทัดทาน | เรือราชการหรือบรรทุกสิ่งอันใด |
แวะเถิดคะจะค้นของสำคัญ | อย่าดึงดันถือดีไปไม่ได้ |
จะต้องให้ถึงจับตามแต่ใจ | ถ้าดื้อไปจะได้วุ่นกันเดี๋ยวนี้ |
ไม่รู้หรือมีตรามาอายัด | ผู้ร้ายซัดคนสำคัญพากันหนี |
หนุ่มคะนองร้องล่อขอไปที | ธุระมีอยู่ข้างหน้าจะช้านัก |
แต่ดึงดันเถียงกันออกมี่อาว | แล้วขานยาวหมายจะให้รู้จัก |
พวกชาวด่านมัวนอนจึ่งคึกคัก | ไม่รู้จักว่ากระไรตกใจกลัว |
ผู้แต่งนี้ชื่อจัดพึ่งหัดคิด | ผู้อ่านไม่ขอบจิตอย่ายิ้มหัว |
ทั้งถ้อยคำข้องขัดไม่ชัดตัว | ถึงดีชั่วก็อย่าชมอย่าติเอย ๚ |
[๑] ต้นฉบับสมุดไทยพิมพ์ว่า ชลมาศ น่าจะหมายถึง ชลมารค
[๒] ต้นฉบับสมุดไทยว่า โอ้สินลาแขงล้ำยังทำลาย
[๓] แฉว หมายถึง ที่รุ้ง ที่คุ้ง ที่เวิ้ง (โบ.)
[๔] ต้นฉบับว่า มาเสียเมืองด้วยพะม่าช่างกาไร
[๕] ปัตะพินพื้นสุทาก็ราหมอง
[๖] ต้นฉบับสมุดไทย เมื่อถึงตรงนี้มีข้อความว่า “จบเท่านี้แล้วท่านเอ๋ย”
[๗] ต้นฉบับว่า “จำลายลงลายทองผ่องสุวรรณ”
[๘] บรรจถรณ์ ต้นฉบับเดิมว่า บันฐร