ตำนานละครครั้งรัชกาลที่ ๒
เมื่อถึงรัชกาลที่ ๒ ละครหลวงรัชกาลที่ ๑ ร่อยหรอหมดตัวลง พระบาทสมเด็จฯ พระพุทธเลิศหล้านภาลัย จึงโปรดให้หัดละครในเป็นชั้นเด็กขึ้นอีกสำรับ ๑ เข้าใจว่าได้ออกโรงเล่นครั้งแรก เมื่อสมโภชพระยาเศวตกุญชรช้างเผือกเอกเมืองโพธิสัตว์ ซึ่งเข้ามาสู่พระบารมีเมื่อปีวอก พ.ศ. ๒๓๕๕ อันเป็นปีที่ ๔ ในรัชกาลที่ ๒ ด้วยมีเนื้อความปรากฏอยู่ในเพลงยาวเก่า[๑] กล่าวถึงละครหลวงที่หัดขึ้นเมื่อรัชกาลที่ ๒ ว่า :
“ตั้งโรงต้นสนคนแออัด | ซ้อมหัดแก้ไขในราชฐาน |
เมื่อช้างเผือกมาใหม่ได้ออกงาน | ทั้งเครื่องอานโอ่อ่าน่ารัก |
ตัวละครเล็กเล็กเด็กหมด | สมเกียรติยศสมศักดิ์ |
มีแต่คนมาสามิภักดิ์ | จงรักรองบาทบทมาลย์” ดังนี้ |
ละครหลวงรัชกาลที่ ๒ ปรากฏว่าเล่นละครในแต่เรื่องอิเหนากับเรื่องรามเกียรติ์ บางทีจะเล่นเรื่องอุณรุทบ้าง แต่เรื่องดาหลังนั้น หาได้เล่นไม่ พระบาทสมเด็จฯ พระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงพระราชนิพนธ์บทละครเรื่องอิเหนากับเรื่องรามเกียรติ์ขึ้นใหม่สำหรับเล่นละครหลวง ไม่ใช้บทครั้งรัชกาลที่ ๑ ทั้ง ๒ เรื่อง เมื่อพิจารณาพระราชนิพนธ์ที่ทรงใหม่ทั้ง ๒ เรื่องนั้น เข้าใจว่า เหตุที่ทรงพระราชนิพนธ์เห็นจะต่างกับที่ทรงเรื่องอิเหนาขึ้นใหม่ ทำนองจะเป็นเพราะทรงพระราชดำริเห็นว่า บทอิเหนารัชกาลที่ ๑ เป็นแต่แต่งซ่อมแซมบทครั้งกรุงเก่าเข้ากันไม่สนิท เล่นละครก็ไม่เหมาะ จึงตั้งพระราชหฤทัยจะทรงพระราชนิพนธ์เสียใหม่หมดทั้งเรื่อง เหมือนอย่างในเช่นรัชกาลที่ ๑ ได้ทรงพระราชนิพนธ์เรื่องรามเกียรติ์และเรื่องอุณรุท โดยพระราชประสงค์จะให้ใช้เป็นต้นฉบับสำหรับพระนครสืบไป คงเป็นด้วยเหตุนี้ เมื่อพระราชนิพนธ์รัชกาลที่ ๒ มีขึ้นแล้ว บทอิเหนาครั้งรัชกาลที่ ๑ จึงกระจัดกระจายหายสูญไปเสียมาก เพราะคนเข้าใจกันว่า ไม่มีกิจที่จะต้องเอาเป็นธุระรักษาต่อไป ส่วนเรื่องรามเกียรติ์นั้น เหตุที่ทรงพระราชนิพนธ์ใหม่ในรัชกาลที่ ๒ ไม่ได้มีพระราชประสงค์จะให้เป็นต้นฉบับสำหรับพระนครแทนของเดิมเหมือนอย่างเรื่องอิเหนา เป็นแต่ทรงเลือกคัดเอาเรื่องบางตอน คือตั้งแต่หนุมานถวายแหวน ไปจนทศกัณฐ์ล้มตอน ๑ ตอนบุตรลพตอน ๑ มาทรงแต่งใหม่สำหรับเล่นละครหลวง เป็นหนังสือ ๓๖ เล่มสมุดไทย[๒] เพราะฉะนั้น บทรามเกียรติ์ที่ทรงพระราชนิพนธ์ใหม่จึงทรงตัดทิ้งเรื่องเดิมเสียบ้าง เปลี่ยนแปลงไปบ้าง ประสงค์แต่ให้เหมาะแก่กระบวนเล่นละครเป็นประมาณ คงรักษาบทรามเกียรติ์รัชกาลที่ ๑ ไว้เป็นต้นฉบับสำหรับพระนครอย่างเดิม จึงยังอยู่บริบูรณ์จนบัดนี้
อนึ่ง เมื่อครั้งกรุงเก่าและครั้งกรุงธนบุรี หรือแม้เมื่อในรัชกาลที่ ๑ ก็ดี ไม่ปรากฏว่า ละครผู้หญิงของหลวงเล่นเรื่องอื่น นอกจากเรื่อง รามเกียรติ์ อุณรุท และอิเหนา อันเป็นเรื่องสำหรับละครใน พึ่งมาปรากฏว่า ละครผู้หญิงของหลวงเล่นละครนอกเมื่อในรัชกาลที่ ๒ ทรงเลือกเรื่องละครนอกเฉพาะตอนที่น่าเล่นละคร มาทรงพระราชนิพนธ์บทใหม่ ให้ละครหลวงเล่น ๕ เรื่อง คือเรื่องสังข์ทองเป็นหนังสือ ๑๗ เล่มสมุดไทย เรื่องไชยเชษฐ์ ๔ เล่มสมุดไทย เรื่องมณีพิไชยเล่มสมุดไทย ๑ เรื่องไกรทอง ๒ เล่มสมุดไทย เรื่องคาวี ๓ เล่มสมุดไทย และพระบาทสมเด็จฯ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อยังดำรงพระยศเป็นกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ทรงแต่งเรื่องสังข์ศิลป์ชัย ถวายอีก ๑ เรื่อง เป็นหนังสือ ๒ เล่มสมุดไทย นับรวมเป็น ๖ เรื่อง เรียกกันว่า พระราชนิพนธ์ละครนอก แต่กระบวนที่ละครเล่น ทรงแก้ไขทั้งทำนองร้องและวิธีรำ เล่นไม่เหมือนกับละครนอกที่เล่นกันในพื้นเมือง จึงมีละครนอกแบบหลวงขึ้นอีกอย่าง ๑ ซึ่งละครของผู้มีบรรดาศักดิ์ ถือเอาเป็นแบบอย่างมาจนทุกวันนี้
ในการที่ทรงพระราชนิพนธ์บทละครเมื่อรัชกาลที่ ๒ นั้น เล่ากันมาว่า ทรงเลือกสรรเจ้านาย และข้าราชการที่เป็นกวีชำนาญกลอน ไว้สำหรับทรงปรึกษา กล่าวว่ามีจำนวนรวมเป็น ๗ ด้วยกัน ที่ทราบแน่แต่ ๓ คือ พระบาทสมเด็จฯ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อยังดำรงพระยศเป็นกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์พระองค์ ๑ เจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษมนตรีพระองค์ ๑ นายภู่ ทรงตั้งเป็นขุนสุนทรโวหาร (คือสุนทรภู่) คน ๑ บางทีจะเป็นกรมหมื่นสุรินทรรักษ์ และพระยาไชยวิชิต (เผือก) เวลานั้นเป็นจมื่นไวยวรนาถอีก ๑ นอกจากนี้หาทราบว่าใครไม่ วิธีที่ทรงพระราชนิพนธ์นั้น เล่ากันว่า เรื่องตรงไหนที่จะไม่ทรงพระราชนิพนธ์เอง ก็พระราชทานให้กวีที่ปรึกษาเหล่านั้น รับตัดตอนไปแต่ง ตอนไหนทรงพระราชนิพนธ์แล้วก็ดี หรือกวีที่ได้รับไปแต่งแล้วนำมาถวายก็ดี เอามาอ่านหน้าพระที่นั่งในที่ประชุมกวีเหล่านั้น ช่วยกันแก้ไขอีกชั้น ๑
มีเรื่องเล่ากันมาว่า เมื่อทรงพระราชนิพนธ์เรื่องอิเหนาฉบับที่พิมพ์นี้ พระราชทานตอนนางบุษบาชมศาลเล่นธาร ให้พระบาทสมเด็จฯ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวไปทรงแต่ง ครั้นทรงแต่งแล้ว ถึงวันจะอ่านถวายเมื่อเวลายังไม่เสด็จออก ได้รับสั่งวานสุนทรภู่ให้ช่วยอ่านตรวจแก้ไขเสียก่อน สุนทรภู่อ่านแล้ว กราบทูลว่า เห็นดีอยู่แล้ว ครั้นถึงเวลาอ่านถวาย มีในบทที่ทรงแต่งมาแห่งหนึ่ง ว่า :
“น้ำใสไหลเย็นแลเห็นตัว | ว่ายแหวกกอบัวอยู่ไหวไหว[๓]” |
สุนทรภู่ติว่าความยังไม่สนิท ขอแก้เป็น :
“น้ำใสไหลเย็นเห็นตัวปลา | ว่ายแหวกปทุมาอยู่ไหวไหว” |
พอเสด็จขึ้นแล้ว พระบาทสมเด็จฯ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวกริ้วสุนทรภู่ว่า เมื่อทรงขอให้ตรวจทำไมไม่แก้ไข แกล้งนิ่ง ไว้ติหักหน้าเล่นหน้าพระที่นั่ง ต่อมาอีกครั้ง ๑ เมื่อทรงพระราชนิพนธ์เรื่องสังข์ทอง พระบาทสมเด็จฯ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงรับบทตอนต้นไปแต่ง ทรงแต่งบทท้าวสามนต์ปรารภจะให้ลูกสาวเลือกคู่ ว่า :
“จำจะปลูกฝังเสียยังแล้ว | ให้ลูกแก้วสมมาดปรารถนา” |
เมื่ออ่านถวาย สุนทรภู่กล่าวเป็นคำถาม ว่า “ลูกปรารถนาอะไร”
“จำจะปลูกฝังเสียยังแล้ว | ให้ลูกแก้วมีคู่เสน่หา” |
แต่ทรงขัดเคืองโดยเข้าพระทัยว่า สุนทรภู่แกล้งว่าให้กระทบถึงพระองค์ ด้วยเหตุ ๒ คราวนี้ เมื่อพระบาทสมเด็จฯ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ราชสมบัติ สุนทรภู่จึงหนีออกบวช เพราะหวั่นหวาดเกรงพระราชอาญา
อันพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๒ ไม่ว่าทรงบทเสภาหรือบทละคร มีข้อสังเกตได้อย่างหนึ่งว่า จะทรงเรื่องใดถ้ามีบทเดิมอยู่ คงเอาบทเดิมมาทรงตรวจตราก่อน ถ้าแลความในบทเดิมแห่งใดดีอยู่แล้ว เป็นไม่ทรงทิ้งเสียเลย ความที่กล่าวข้อนี้ จะยกตัวอย่างมาให้เห็นสัก ๒ แห่ง คือ
(๑) บทเรื่องสังข์ทอง ที่ยกมาเป็นตัวอย่างนี้ เป็นอย่างที่ทรงแต่งแก้มาก คงไว้แต่เค้าความของเดิม
บทเรื่องสังข์ทองครั้งกรุงเก่า
๏ เมื่อนั้น | ท้าวสามนต์ได้ฟังชังน้ำหน้า |
มันจะเอาอย่างไรที่ไหนมา | ชิอ้ายเงาะป่านี่เหลือใจ |
เครื่องทรงของกูมิใช่ชั่ว | เกินตัวมันเสียเป็นไหนไหน |
จองหองพองขนเป็นพ้นใจ | มันเห็นไม่มีที่พึ่งแล้ว |
ได้ความเจ็บช้ำระกำใจ | เพราะอีจัญไรลูกแก้ว |
เสียดายของกูไม่รู้แล้ว | เครื่องแก้วแต่ครั้งพระอัยกา |
จะให้อ้ายเงาะสวมกาย | ความกูเสียดายเป็นหนักหนา |
มิให้จำให้อ้ายเงาะป่า | สั่งให้เอามาทันใด |
กูจะออกไปด้วยอีสาวศรี | ทีนี้มันจะว่าเป็นไฉน |
ว่าพลางทางสรงสนานใน | ทรงเครื่องเรืองอุไรเพริศแพร้ว |
ทรงเครื่องสำเร็จเสด็จมา | ขึ้นทรงพระยาคชาแก้ว |
ครั้นว่าสรรพเสร็จสำเร็จแล้ว | คลาดแคล้วออกจากวังใน |
ฯ ๑๒ คำ ฯ เชิด
บททรงพระราชนิพนธ์
๏ เมื่อนั้น | ท้าวสามนต์ได้ฟังชังน้ำหน้า |
อ้ายเงาะถ่อยร้อยอย่างช่างมารยา | กูว่าไม่ผิดปากจะยากเย็น |
นี่แม่ยายแล้วสิริให้ | เมื่อมันไม่เคยพบเคยเห็น |
น้ำหน้าจะสอดใส่ที่ไหนเป็น | ทำเล่นเครื่องต้นเลือกคนรู้ |
แล้วให้จัดเครื่องต้นอย่างเอก | แต่ครั้งอภิเษกพระเจ้าปู่ |
คิดเสียดายนักของรักกู | จนอยู่จำใจต้องให้มัน |
ว่าพลางทางร้องเรียกไป | เหวยเสนาในใครอยู่นั่น |
จงเตรียมพลผูกช้างฉับพลัน | กูจะจรจรัลไปปลายนา |
พระมิได้สรงน้ำสว่ำเสวย | มาขึ้นเกยหยุดยืนคอยท่า |
พร้อมเสร็จเสด็จทรงคชา | เสนาแห่แหนแน่นไป |
ฯ ๑๐ คำ ฯ เชิด
(๒) บทราชสารท้าวกุเรปันมีถึงอิเหนา ที่ยกมาเป็นตัวอย่างต่อไปนี้ เป็นอย่างทรงแต่ง แต่เพียงตัดบทให้สั้นเข้า คงรักษาความของเดิมไว้ทั้งหมด
บทอิเหนาพระราชนิพนธ์รัชกาลที่ ๑
๏ ในลักษณสารพระบิดา | ว่ากรุงดาหาเป็นศึกใหญ่ |
ให้เร่งยกพลสกลไกร | ไปช่วยชิงชัยให้ทันที |
ถึงจะไม่เลี้ยงบุษบา | ว่าชั่วช้าอัปลักษณ์ทั้งศักดิ์ศรี |
แต่เขาแจ้งอยู่สิ้นทั้งธรณี | ว่านางนี้เป็นน้องของตัวมา |
อนึ่งท้าวดาหาฤทธิไกร | มิใช่อาหรือไรให้เร่งว่า |
อันสุริย์วงศ์เราเหล่าเทวา | ไม่เคยเสียพาราแก่ผู้ใด |
ถ้าแม้นเสียกรุงดาหา | ตัวจะอายขายหน้าหรือหาไม่ |
อันเกิดเหตุทั้งนี้ก็เพราะใคร | ถ้าไปอยู่เลี้ยงกับบุตรี |
ที่ไหนจะเกิดสงคราม | ใครจะหยาบหยามได้ก็ใช่ที่ |
ซึ่งเกิดเหตุเภทภัยครั้งนี้ | เพราะตัวทำความดีเป็นพ้นไป |
ครั้งหนึ่งก็ให้เสียวาจา | อายชาวดาหากรุงใหญ่ |
ครั้งนี้จะคิดประการใด | จะให้เสียศักดิ์ก็ตามที |
แม้นว่ามิยกไปช่วย | ถึงเรามอดม้วยอย่าดูผี |
อย่าดูทั้งเปลวอัคคี | ขาดกันแต่วันนี้ไป |
ฯ ๑๔ คำ ฯ
บทพระราชนิพนธ์รัชกาลที่ ๒
๏ ในลักษณนั้นว่าปัจจามิตร | มาตั้งติดดาหากรุงใหญ่ |
จงเร่งรีบรี้พลสกลไกร | ไปช่วงชิงชัยให้ทันที |
ถึงไม่เลี้ยงบุษบาเห็นว่าชั่ว | แต่เขารู้อยู่ว่าตัวนั้นเป็นพี่ |
อันองค์ท้าวดาหาธิบดี | นั้นมิใช่อาหรือว่าไร |
มาตรแม้นเสียเมืองดาหา | จะพลอยอายขายหน้าหรือหาไม่ |
ซึ่งเกิดศึกสาเหตุเภทภัย | ก็เพราะใครทำความไว้งามพักตร์ |
ครั้งหนึ่งก็ให้เสียวาจา | อายชาวดาหาอาณาจักร |
ครั้งนี้เร่งคิดดูจงนัก | จะซ้ำให้เสียศักดิ์ก็ตามที |
แม้นมิยกพลไกรไปช่วย | ถึงเราม้วยก็อย่ามาดูผี |
อย่าดูทั้งเปลวอัคคี | แต่นี้ขาดกันจนบรรลัย |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
บทละครที่ทรงพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๒ เมื่อแต่งแล้ว ยังส่งประทานเจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษมนตรีไปลองซ้อมกระบวนรำอีกชั้น ๑ เล่ากันว่า เจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษมนตรี ให้เอาพระฉายบานใหญ่มาตั้ง แล้วทรงรำทำบททอดพระเนตรในพระฉาย ปรึกษากับนายทองอยู่ นายรุ่ง ช่วยกันแก้ไขกระบวนรำไปจนเห็นงาม จึงเอาเป็นยุติ ถ้าขัดข้อง บางทีถึงกราบทูลขอให้แก้บทก็มี เมื่อเจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษมนตรี ทรงคิดกระบวนรำเป็นยุติอย่างใดก็ทรงซ้อมให้นายทองอยู่ นายรุ่ง ไปหัดละครหลวงที่โรงละครริมต้นสน (อยู่หน้าประตูพรหมศรีสวัสดิ์ ตรงที่สร้างหอธรรมสังเวชเมื่อรัชกาลที่ ๔) แล้วละครไปซ้อมถวาย พระบาทสมเด็จฯ พระพุทธเลิศหล้านภาลัยทอดพระเนตร ทรงติเตียนแก้ไขกระบวนรำอีกชั้น ๑ จึงจะยุติลงเป็นแบบแผน
ว่าโดยทางตำนานการเล่นละครรัชกาลที่ ๒ นับเป็นหัวต่อของตำนานละครตอน ๑ ด้วย แต่ก่อนนั้นมา กระบวนเล่นละคร จะเป็นวิธีรำก็ดี บทละครก็ดี เล่นตามแบบอย่างครั้งกรุงเก่า บทละครพระราชนิพนธ์ที่แต่งใหม่ในรัชกาลที่ ๑ ก็ทรงพระราชนิพนธ์เพื่อจะให้มีขึ้นเป็นแบบฉบับสำหรับพระนครเป็นข้อสำคัญ บททรงพระราชนิพนธ์อย่างไร ครูละครก็ต้องฝึกซ้อมผสมละครไปตามบทนั้น ด้วยเหตุนี้ ละครเล่นบทพระราชนิพนธ์ครั้งรัชกาลที่ ๑ เช่นเรื่องอุณรุท จึงดูชักช้าชวนรำคาญ เพราะบทมิได้แต่งปรุงไปกับวิธีเล่นละครด้วยกัน ในรัชกาลที่ ๒ ทรงพระราชนิพนธ์บทสำหรับเล่นละครเป็นข้อสำคัญ เป็นต้นว่า เรื่องละครที่ทรงเลือกมาแต่งบทก็ดี บทที่แต่งขึ้นก็ดี เอาแต่ที่เหมาะแก่กระบวนเล่นละครเป็นประมาณ เมื่อแต่งบทแล้วยังให้สอบซ้อมกระบวนรำให้เข้ากับบท จนเห็นเข้ากันเรียบร้อยงดงามแล้ว จึงเอาเป็นใช้ได้ เพราะฉะนั้น กระบวนละครครั้งรัชกาลที่ ๒ ทั้งบทและวิธีรำจึงวิเศษกว่าครั้งไหนๆ ที่เคยปรากฏมาแต่ก่อน จึงได้นับถือกันเป็นแบบอย่างของละครรำที่เล่นสืบต่อมาจนตราบเท่าทุกวันนี้ ควรนับว่าแบบละครรำของกรุงรัตนโกสินทร์ ได้เกิดขึ้นเมื่อรัชกาลที่ ๒ เป็นเดิมมา
แต่เมื่อในรัชกาลที่ ๒ แบบและบทละครซึ่งทรงขึ้นใหม่ครั้งนั้น เป็นแต่เล่นละครหลวง ผู้อื่นหามีใครกล้าเอาอย่างของหลวงไปเล่นไม่ เจ้านายต่างกรม เป็นต้นว่า กรมพระราชวังบวรฯ ก็ปรากฏว่าทรงหัดแต่งิ้วผู้หญิง[๔] พระบาทสมเด็จฯ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ทรงหัดโขนตามประเพณีเดิม เพราะฉะนั้น ตัวละครครั้งรัชกาลที่ ๒ ที่ได้เป็นครูละครต่อมาจึงมีแต่ผู้หญิงเป็นพื้น มีชื่อปรากฏต่อมาหลายคน คือ:-
ครูยืนเครื่อง
๑. เจ้าจอมมารดาแย้ม เป็นตัวอิเหนา มักเรียกกันว่าคุณโตแย้ม ได้เป็นครูอิเหนาต่อมาแทบทั้งบ้านทั้งเมือง อยู่มาจนรัชกาลที่ ๕
๒. คุณมาลัย เป็นตัวย่าหรัน และเป็นพระสังข์ด้วย ได้เป็นท้าววรจันทร์ในรัชกาลที่ ๔ แล้วเลื่อนเป็นท้าววรคณานันต์ในรัชกาลที่ ๕ เป็นผู้อำนวยการละครหลวงทั้ง ๒ รัชกาล
๓. คุณน้อย เป็นตัวจรกา ได้เป็นครูละครหลวงในรัชกาลที่ ๔
๔. คุณจาด เป็นตัวล่าสำ ได้เป็นครูละครหลวงในรัชกาลที่ ๔
๕. คุณทับทิม เป็นตัวพระมงกุฎละครชั้นเล็ก ได้เป็นครูละคร พระองค์เจ้าดวงประภาวังหน้า ในรัชกาลที่ ๔
๖. คุณบัว เป็นตัวท้าวสามนต์ ถึงรัชกาลที่ ๓ ไปเป็นหม่อมห้ามกรมหมื่นสุรินทรรักษ์ ครั้นรัชกาลที่ ๔ กลับมาเป็นครูละครหลวง เป็นผู้อำนวยการละครหลวงเวลาเล่นละครนอก
๗. คุณขำ เป็นตัวเงาะ ได้เป็นครูละครหลวงแต่รัชกาลที่ ๔ มาจนรัชกาลที่ ๕
๘. คุณจัน เป็นตัวพระสังข์ชั้นเล็ก ได้เป็นครูละครพระองค์เจ้าดวงประภาวังหน้า ในรัชกาลที่ ๔
๙. คุณน้อยงอก เป็นตัวไกรทอง ได้เป็นครูละครวังหน้า ในรัชกาลที่ ๓ และเป็นครูละครเจ้าพระยานครฯ น้อย ถึงรัชกาลที่ ๔ กลับมาเป็นครูละครสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ และเป็นครูละครเจ้าคุณจอมมารดาเอมวังหน้า ในรัชกาลที่ ๕ ด้วย
๑๐. คุณอิ่ม เป็นตัวย่าหรัน ได้เป็นครูละครเจ้าจอมมารดาเอมวังหน้า ในรัชกาลที่ ๕
ครูยักษ์
๑๑. คุณพัน เป็นตัวอินทรชิต ได้เป็นครูละครหลวงในรัชกาลที่ ๔ และเป็นผู้อำนวยการละครหลวงเวลาเล่นเรื่องรามเกียรติ์
๑๒. คุณน้อย จะเป็นยักษ์ตัวใดหาทราบไม่ ได้เป็นครูละครหลวง ในรัชกาลที่ ๔
ครูลิง
๑๓. คุณภู่ เป็นตัวหนุมาน ได้เป็นครูละครหลวงในรัชกาลที่ ๔
ครูนาง
๑๔. คุณขำ เป็นตัวนางบาหยัน ได้เป็นครูละครหลวง ในรัชกาลที่ ๔
๑๕. คุณพุ่ม เป็นตัวนางกันจะหนา ได้เป็นครูละครหลวง ในรัชกาลที่ ๔
๑๖. คุณองุ่น เป็นตัวนางสีดา ได้เป็นครูละครหลวงแต่รัชกาลที่ ๔ มาจนถึงรัชกาลที่ ๕
ตัวละครรัชกาลที่ ๒ ยังมีชื่อปรากฏอีกหลายคน เช่น คุณน้อยสุหรานากง ที่สร้างวัดอัปสรสวรรค์เป็นต้น แต่ไม่ปรากฏว่า ได้เป็นครูฝึกหัดละครที่มีต่อมา จึงมิได้นับไว้ในพวกครูละคร[๕]
[๑] เพลงยาวบทนี้ มีผู้แต่งไว้กับบทละครพระราชนิพนธ์เรื่องไกรทอง
[๒] บทละครเรื่องรามเกียรติ์ พระราชนิพนธ์รัชกาลที่ ๒ นั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในรัชกาลปัจจุบันนี้ ได้โปรดฯ ให้พิมพ์ เมื่อพ.ศ. ๒๔๕๖ พิจารณาดูโดยทางสำนวนกลอน เข้าใจว่าทรงพระราชนิพนธ์ภายหลังเรื่องอิเหนา เล่ากันมาว่า บทตอนบุตรลพนั้น ทรงต่อตอนปลายรัชกาลเมื่อหัดละครชั้นเล็กขึ้นอีกชุด ๑ ได้ออกโรงเล่นงานฉลองวัดอรุณฯ เมื่อปีมะโรง พ.ศ. ๒๓๖๓ เป็นทีแรก
[๓] เล่ากันมาอย่างที่ว่านี้ แต่ข้าพเจ้านึกว่าคำ “ปลา” คงจะต้องมีอยู่แล้วแห่งใดแห่งหนึ่ง ทำนองว่า “น้ำใสไหลเย็นแลเห็นตัว ปลาแหวกกอบัวอยู่ไหวไหว” ดังนี้ ถ้าขาดคำปลาไม่ได้ความ ที่ไหนจะทรงแต่ง
[๔] งิ้วผู้หญิง ของกรมพระราชวังบวรฯ รัชกาลที่ ๒ อยู่มาจนรัชกาลที่ ๕ คนหนึ่ง ชื่อคล้าย เป็นพนักงานเลี้ยงนกที่ในพระบรมมหาราชวัง โดยร้องงิ้วถวายเจ้านายที่ยังทรงพระเยาว์เนืองๆ
[๕] ตัวละครในรัชกาลหลังต่อไป ที่ไม่ปรากฏว่าได้เป็นครูก็ไม่ได้กล่าวในหนังสือนี้เหมือนกัน