สมุดไทยเล่มที่ ๓๕

๏ บัดนั้น ฝ่ายนางอสุรีสาวสรรค์
ขัดแค้นสีดาวิลาวัณย์ ก็ชวนกันเข้าไปในพลับพลา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ ชุบ

๏ นั่งลงตรงพักตร์บังอร ควักค้อนแล้วรํ่ารำพันว่า
เป็นไฉนฉะนี้นางสีดา พญายักษ์รักเจ้าดั่งดวงใจ
ควรหรือช่างไม่ผ่อนผัน รำพันด่าเล่นก็เป็นได้
จะให้เรานี้พลอยบรรลัย ดีแล้วหรือไรนางเทวี
ทีหลังแม้นไม่ปลงจิต แสนสนิทด้วยท้าวยักษี
จะฉีกเนื้อเถือหนังทั้งอินทรีย์ ให้สาที่น้ำใจกัลยา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น สีดาเยาวยอดเสน่หา
คิดแค้นทศกัณฐ์อสุรา ทั้งเจ็บวาจากำนัล
สุดทนสุดทุกข์สุดคิด ช้ำจิตสุดที่จะอดกลั้น
สะท้อนถอนใจจาบัลย์ รำพันถึงองค์พระจักรี
ไฉนพระไม่ติดตามมา ล้างเหล่าพาลายักษี
ให้มันหยาบช้าพาที ว่ากล่าวเมียนี้ทุกสิ่งไป
สุดคิดที่จะครองชีวาตม์ ไว้ท่าเบื้องบาทพระองค์ได้
อยู่ช้ายิ่งช้ำระกำใจ จะบรรลัยไปคอยยังเมืองฟ้า
คิดพลางทางทำเป็นเข้าที่ ครั้นเห็นนางอสุรีซ้ายขวา
หลับไหลไม่ฟื้นกายา ก็ลงจากพลับพลาเสด็จจร ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ ครั้นมาถึงต้นโศกใหญ่ ใกล้สระปทุมเกสร
พ้นฝูงอสุรีนิกร บังอรทรุดองค์ลงโศกี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ โอด

โอ้

๏ โอ้ว่าสมเด็จพระพี่เจ้า พระคุณปกเกล้าเกศี
เมียจะสุดสิ้นชีวี ภูมีไม่ได้เห็นใจ
เสียทีครองตัวไว้ท่า จะได้บังคมลาก็หาไม่
ตั้งแต่วันนี้จะลับไป มิได้ฉลองบทมาลย์
รำพลางยอกรขึ้นเหนือเกศ ไหว้ฝูงเทเวศร์ทุกสถาน
กราบลงกับพื้นสุธาธาร นงคราญร่ำว่าด้วยอาวรณ์
ขอฝากสมเด็จพระหริวงศ์ กับองค์พระลักษมณ์ทรงศร
อย่ามีทุกข์โศกโรคร้อน แม้นพระสี่กรตามมา
ช่วยทูลว่าข้านี้เจ็บชํ้า ด้วยคำพวกพาลยักษา
บัดนี้ถวายบังคมลา ไปยังฟากฟ้าดุษฎี ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ โอด

ร่าย

๏ ครั้นเสร็จฝากฝูงเทเวศร์ เยาวเรศผู้มิ่งมารศรี
น้าวกิ่งโศกห้อยอินทรีย์ เทวีก็หน่วงขึ้นไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เพลง

๏ เอาภูษาผูกศอให้มั่น แล้วพันกับกิ่งโศกใหญ่
หลับเนตรดำรงปลงใจ อรไทก็โจนลงมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิดฉิ่ง

๏ บัดนั้น วายุบุตรวุฒิไกรใจกล้า
ครั้นเห็นองค์อัครกัลยา ผูกศอโจนมาก็ตกใจ
ตัวสั่นเพียงสิ้นชีวิต ร้อนจิตดั่งหนึ่งเพลิงไหม้
โลดโผนโจนตรงลงไป ด้วยกำลังว่องไวทันที ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงจึ่งแก้ภูษาทรง ที่ผูกศอองค์พระลักษมี
หย่อนลงยังพื้นปัถพี ขุนกระบี่ก็โจนลงมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เห็นนางไม่สิ้นชีวาลัย มีใจแสนโสมนัสสา
วิ่งเข้ากราบลงกับบาทา หมอบอยู่ตรงหน้าบังอร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นวลนางสีดาดวงสมร
เห็นกระบี่มาถวายชุลีกร บังอรกริ้วโกรธดั่งเพลิงกาล
จึงมีเสาวนีย์ตรัสไป เหวยไอ้ลิงไพรเดียรัจฉาน
เหตุใดมึงทำสาธารณ์ กูผู้ทรมานเวทนา
ทศพักตร์มันลักเราหนี จากพระจักรีนาถา
เจ็บชํ้าระกำอุรา กินแต่นํ้าตาไม่วายวัน
สุดทนจึ่งผูกคอตาย ไอ้ลิงแสนร้ายโมหันธ์
เป็นไฉนจึงมากางกั้น มิให้ม้วยชีวันด้วยอันใด ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ลูกพระพายผู้มีอัชฌาสัย
บังคมก้มเกล้าแล้วทูลไป พระองค์จงได้เมตตา
ตัวข้านี้ชื่อหนุมาน เป็นทหารพระนารายณ์นาถา
บัดนี้ผ่านเกล้าเสด็จมา ประชุมโยธาวานร
อยู่ยังเชิงเขาคันธมาทน์ กับพระนุชนาถทรงศร
เสร็จแล้วจะยกพลากร ตามมาราญรอนอสุรี
ตรัสใช้ข้าบาทมาทูลสาร แจ้งการให้ทราบบทศรี
อันองค์พระลักษมณ์พระจักรี แสนโศกโศกีทุกเวลา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นวลนางสีดาเสน่หา
แจ้งความออกนามพระจักรา ดั่งอมฤตฟ้ายาใจ
ให้คิดเสน่หาอาวรณ์ บังอรไม่กลั้นโศกได้
ชลเนตรคลอเนตรด้วยอาลัย ถอนใจแล้วมีเสาวนีย์
ตัวท่านว่าเป็นทหาร พระนารายณ์อวตารเรืองศรี
เป็นไฉนจึ่งตัวเรานี้ มิได้รู้จักวานร ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น คำแหงหนุมานชาญสมร
ได้ฟังอัครราชบังอร ประนมกรแล้วทูลสนองไป
เมื่อพระองค์อยู่ด้วยพระทรงสังข์ ข้ายังหามาเป็นข้าไม่
ทูลพลางถวายแหวนกับสไบ ของนี้ภูวไนยให้มา
สั่งว่าธำมรงค์พระเทวี อสุรีถอดขว้างปักษา
สดายุเมื่อใกล้มรณา ถวายพระจักราฤทธิรอน
อันพระภูษาสไบทรง ขององค์อัคเรศสายสมร
ซึ่งฝากไว้กับวานร ภูธรให้เป็นสำคัญมา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น โฉมนางสีดาเสน่หา
เห็นพระธำมรงค์อลงการ์ กับผ้าสไบของเทวี
ดั่งได้พบองค์พระทรงฤทธิ์ แล้วคิดสงสัยกระบี่ศรี
จึ่งมีมธุรสวาที ของนี้สิตกอยู่กลางไพร
ตัวท่านเป็นพวกกุมภัณฑ์ เที่ยวไปอารัญเก็บได้
ไอ้ทศเศียรจังไร แกล้งใช้ให้เอ็งนำมา
ทำกลลวงกูมิให้ตาย ด้วยแยบคายถ้อยคำมารษา
ตัวเราไม่เชื่อวาจา พวกไอ้พาลาสาธารณ์ ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ บัดนั้น วายุบุตรผู้ปรีชาหาญ
ฟังพระเสาวนีย์นงคราญ กราบกับบทมาลย์แล้วทูลไป
พระมารดาโลกอย่ากินแหนง จะแต่งมาล่อลวงนั้นหาไม่
พระองค์สั่งข้าเป็นความนัย ให้สิ้นสงสัยของเทวี
ว่าเมื่อสมเด็จพระบิตุรงค์ ตั้งมงคลการภิเษกศรี
ยกมหาธนูโมลี ที่ในบูรีมิถิลา
พระแม่เจ้าแอบอยู่ยังบัญชร พอพระสี่กรนาถา
เสด็จดำเนินเข้ามา นัยนาต่อเนตรเล็งกัน
ต่างองค์ต่างคิดปฏิพัทธ์ กำหนัดในรสเกษมสันต์
ความลับเป็นที่สำคัญ รู้กันแต่กับพระเทวี ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นวลนางสีดามารศรี
ได้ฟังหนุมานพาที สิ้นที่กินแหนงแคลงใจ
จึ่งรับภูษาธำมรงค์ ทูนเศียรแล้วทรงกันแสงไห้
ชลเนตรนองเนตรรํ่าไร ถอนใจสะอื้นอาวรณ์ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ โอ้ว่าพระองค์ทรงฤทธิ์ เมียคิดว่าจะลาตายก่อน
ยังอาลัยในข้าบังอร อุตส่าห์บทจรตามมา
ไม่คิดแก่ยากลำบากองค์ บุกชัฏลัดดงพงป่า
แสนทุกข์แสนเทวษเพทนา กับพระอนุชาวิลาวัณย์
ทั้งนี้เป็นเหตุเพราะรักเมีย จึ่งเสียรู้อสุรโมหันธ์
หาไม่ที่ไหนทศกัณฐ์ มันจักได้ลักน้องมา
ให้พระองค์โศกาอาวรณ์ ทุกข์ร้อนเศร้าโทมนัสสา
รํ่าพลางนางค่อนอุรา ดั่งว่าจะสิ้นสมประดี ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ โอด

๏ บัดนั้น หนุมานผู้ชาญชัยศรี
เห็นองค์อัครราชเทวี โศกีครวญครํ่ารำพัน
ทูลว่าปิ่นเกล้าอย่าทุกข์ร้อน อาวรณ์วิโยคโศกศัลย์
อันเหตุซึ่งไอ้ทศกัณฐ์ มันไปลอบลักพระองค์มา
ผลกรรมนำที่จะถึงตาย วอดวายสิ้นโคตรยักษา
สาบสูญสุริย์วงศ์ในลงกา ด้วยศรศักดาพระสี่กร
ซึ่งได้อาดูรพูนเทวษ ขอเชิญอัคเรศดวงสมร
ขึ้นนั่งยังมือวานร จะพาบังอรจรจรัล
ไปถวายสมเด็จพระนารายณ์ ให้หายทุกข์ร้อนโศกศัลย์
มาตรแม้นยักษาตามทัน จะฆ่ามันให้ม้วยชีวี ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น โฉมนางสีดามารศรี
ฟังลูกพระพายพาที จึ่งมีเสาวนีย์ตอบไป
ดูกรคำแหงหนุมาน อันคำของท่านหาชอบไม่
ไฉนจึงคิดเบาใจ มิได้ตริตรองด้วยปรีชา
ทศพักตร์มันลักเราหนี ข้อนี้ก็ที่กังขา
มิหนำซ้ำตัวท่านมา พาเราไปจากเมืองมาร
ยิ่งจะเป็นที่ราคิน ทั่วสิ้นในทศทิศาล
ถึงองค์สมเด็จพระอวตาร ผ่านฟ้าจะแหนงแคลงใจ
ซึ่งท่านว่านี้ก็โดยธรรม์ เราจะไปด้วยนั้นไม่ได้
ขุนกระบี่จงเร่งกลับไป ทูลพระภูวไนยให้รีบมา
สังหารผลาญไอ้ทศพักตร์ ให้สิ้นศักดิ์สุริย์วงศ์พงศา
เราจึ่งจะจากลงกา ไปเฝ้าบาทาพระสี่กร ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น คำแหงหนุมานชาญสมร
ได้ฟังอัครราชบังอร วานรดำริตริไป
นางนี้คือองค์พระลักษมี สามภพธาตรีไม่หาได้
พร้อมทั้งปรีชาปัญญาไว รู้ในอดีตปัจจุบัน
ซื่อตรงต่อองค์พระภัสดา สู้เสียชีวาอาสัญ
ควรเป็นมารดาเทวัญ ทั่วสวรรค์ชั้นฟ้าธาตรี
คิดแล้วยอกรเหนือเกศ ทูลอัคเรศมเหสี
อันคำพระองค์พาที ข้านี้ไม่คิดถึงการ
จงระงับดับใจไว้ก่อน อย่าด่วนรอนรานชีพสังขาร
แม้นพระแม่เดียวบรรลัยลาญ พระอวตารพระลักษมณ์อนุชา
จะพากันมอดม้วยเป็นสาม ไหนจะได้สงครามด้วยยักษา
ป่วยการพวกพลโยธา จงครององค์ไว้ท่าภูมี
ตัวข้าขอลาพระเยาวเรศ ไปแจ้งเหตุพระนารายณ์เรืองศรี
ทูลแล้วนบนิ้วอัญชุลี ขุนกระบี่ก็รีบออกไป ฯ

ฯ ๑๔ คำ ฯ เสมอ

๏ เมื่อนั้น นางสีดาเยาวยอดพิสมัย
ครั้นวายุบุตรวุฒิไกร ไปพอลับคลองนัยนา
ค่อยระงับอาดูรพูนเทวษ อัคเรศเหลือบแลซ้ายขวา
ไม่เห็นผู้ใดไปมา ก็รีบขึ้นพลับพลาทันที ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เพลง

๏ เอนองค์ลงเหนือบรรจถรณ์ ยอกรประณตบทศรี
คิดคุณสมเด็จพระจักรี เทวีก็เคลิ้มหลับไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ กล่อม

๏ บัดนั้น วายุบุตรผู้มีอัชฌาสัย
ครั้นออกมาพ้นอรไท ก็ปีนขึ้นต้นไม้ใบบัง ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ แล้วจึ่งดำริตริการ กูเป็นทหารพระทรงสังข์
จะอาสาหักศึกด้วยกำลัง ยังไม่เห็นมืออสุรา
วันนี้จะลองฤทธิ์ดู ให้รู้กำลังยักษา
สังหารผลาญเสียให้เปลืองตา สงครามภายหน้าจะเบาใจ
คิดแล้วสำแดงแผลงฤทธิ์ ทศทิศกัมปนาทหวาดไหว
โลดโผนโจนจ้วงทะลวงไป เที่ยวหักต้นไม้เป็นโกลี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เชิด

๏ อันหมู่พฤกษาผลาผล หักโค่นด้วยมือกระบี่ศรี
ย่อยยับไม่เป็นสมประดี เสียงมี่ดั่งวายุพัดพาน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ยักษานายหมวดทวยหาญ
ที่อยู่เฝ้าสวนอุทยาน เห็นลิงสาธารณ์บังอาจใจ
เที่ยวถอนรอนรานรุกขชาติ ล้มกลาดไม่เอาดีได้
โกรธาตาแดงดั่งแสงไฟ ร้องเรียกบ่าวไพร่เป็นโกลา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น ฝ่ายหมู่อสุรยักษา
ได้ยินเสียงนายเรียกมา ก็พากันวิ่งมาลนลาน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ แลเห็นลิงเผือกองอาจ ร้ายกาจหยาบช้ากล้าหาญ
หักถอนต้นไม้ในอุทยาน กิ่งก้านแหลกยับไม่สมประดี
บ้างทิ้งบ้างขับบ้างถือบ่วง ทะลวงเข้าคล้องอึงมี่
ลางหมู่ก็วิ่งเข้าไล่ตี อสุรีจะจับวานร ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ บัดนั้น คำแหงหนุมานชาญสมร
ครั้นเห็นพวกพลนิกร เข้ามาราญรอนก็ปรีดา
ทำยักคิ้วหลิ่วตาลู่หู ตะคอกขู่ล้อหลอกกลอกหน้า
โลดโผนโจนทะลวงลงมา เข้าไล่เข่นฆ่ากุมภัณฑ์ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ บัดนั้น ฝ่ายพวกโยธาพลขันธ์
เห็นวานรโรมรุกบุกบัน โกรธาตัวสั่นเข้าชิงชัย ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ พุ่งซัดอาวุธสับสน เกลื่อนกล่นกันมาไม่นับได้
ยิงแย้งแทงฟันวุ่นไป ล้อมไล่มิให้ออกมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ บัดนั้น วายุบุตรวุฒิไกรใจกล้า
ผาดแผลงสำแดงฤทธา เข้ากลางอสุราโยธี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ มือตบตีนถีบปากกัด ฟาดฟัดเข่นฆ่ายักษี
บ้างม้วยมุดสุดสิ้นชีวี อสุรีหนุนเนืองไม่เปลืองตา
ผู้เดียวเคี่ยวขับสัประยุทธ์ ฉวยชิงอาวุธทั้งซ้ายขวา
กลอกกลับฟันแทงไปมา อสุราตายกลาดดาษไป ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ บัดนั้น หมู่มารโยธาน้อยใหญ่
กวัดแกว่งอาวุธดั่งเปลวไฟ รุกไล่กระชิดติดพัน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บ้างคล้องบ้างตีมี่ฉาว ลางหมู่วิ่งก้าวสะกัดกั้น
บ้างโลดบ้างโผนโจนฟัน ยืนยันเข่นฆ่าราวี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ บัดนั้น หนุมานผู้ชาญชัยศรี
รับรองป้องกันประจัญตี เข้าไล่คลุกคลีรอนราญ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ หวดซ้ายป่ายขวาอุตลุด ด้วยฤทธิรุทรกำลังหาญ
อันพวกพลอสุรหมู่มาร วายปราณย่อยยับทับกัน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ บัดนั้น ฝ่ายหมู่อสุราพลขันธ์
เหลือตายไม่กลับเข้าโรมรัน พากันวิ่งหนีตรงมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงนิเวศน์วังสถาน สหัสกุมารยักษา
ก้มเกล้ากราบลงกับบาทา ทูลว่ามีวานรไพร
เผือกผู้สามารถอาจนัก ฮึกฮักมาทำหยาบใหญ่
เข้าสวนหักโค่นต้นไม้ ยับไปไม่เป็นสมประดี
ข้าบาทเข้ากลุ้มรุมจับ มันกลับต่อสู้ยักษี
พลมารตายกลาดปัถพี ไม่มีใครรอต่อกร ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สหัสกุมารชาญสมร
ได้ฟังต่างโกรธดั่งไฟฟอน เหม่ไอ้วานรอหังการ
ที่มันอวดกล้าจะได้เห็น กูจะกินเนื้อเล่นเป็นอาหาร
กระทืบบาทผาดโผนโจนทะยาน เหวยเสนามารชาญฉกรรจ์
เร่งเตรียมพหลพลยุทธ์ เลือกล้วนฤทธิรุทรแข็งขัน
ให้ครบกระบวนทัพพัน กูจะไปโรมรันไอ้ลิงไพร ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น เสนีธิบดีน้อยใหญ่
รับสั่งพระโอรสยศไกร บังคมไหว้วิ่งวุ่นออกมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ ประถม

ยานี

๏ จัดเป็นกระบวนทั้งพันทัพ ซับซ้อนด้วยพลยักษา
พันหมู่ดูดั่งจะเฟือนตา สีกายสีหน้านั้นต่างกัน
เขี้ยวงอนเขี้ยวโง้งจากปาก หน้าแสยะหน้ากากขบขัน
โพกหัวแต่งตัวหลายพรรณ มือนั้นล้วนถืออาวุธ
หอกดาบธนูแหลนหลาว โล่เขนทวนง้าวอุตลุด
บ้างถือคาบศีลาคาบชุด นับสมุทรคอยเสด็จอสุรี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น สหัสกุมารยักษี
ต่างองค์เสด็จจรลี เข้าที่สระสรงวาริน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

โทน

๏ พันองค์ชำระสระสนาน สุคนธารเกสรขจรกลิ่น
สนับเพลาล้วนเชิงนาคินทร์ ภูษาทรงข้าวบิณฑ์ต่างกัน
ต่างทรงเกราะแก้วฉลององค์ รัดอกเครือหงส์ลายกุดั่น
ทับทรวงตาบทิศสังวาลวัลย์ ทองกรมังกรพันจำหลักลอย
พาหุรัดรูปวาสุกรีกราย ธำมรงค์เพชรพรายดั่งหิ่งห้อย
มงกุฎแก้วกรรเจียกประดับพลอย ดอกไม้ทิพช่อช้อยอรชร
พันองค์ล้วนทรงศักดา กรขวานั้นกุมธนูศร
ลงจากปราสาทอลงกรณ์ บทจรตามกันมาขึ้นรถ ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ

โทน

๏ รถเอยรถทรง พันรถดุมวงอลงกต
แอกอ่อนงอนงามช้อยชด เทียมคชสีห์ลำพอง
บ้างเทียมราชสีห์เสือสิงห์ พันคู่เผ่นวิ่งผันผยอง
สารถีมือถือตระบอง ตวาดร้องขับรีบดั่งลมพัด
ธงชัยธงริ้วทิวราย ธงฉานธงชายปลายสะบัด
อภิรุมชุมสายรายรัตน์ มยุรฉัตรพัดโบกทานตะวัน
กาหลปี่กลองฆ้องขาน พลมารโห่ฮึกเสียงสนั่น
ผงคลีกลบกลุ้มชอุ่มควัน ขับกันเร่งราชรถมา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ กราว

๏ ครั้นถึงจึ่งมีสิงหนาท ประกาศหมู่ทวยหาญซ้ายขวา
ให้ปันด้านรายรอบตรวจตรา ดากันล้อมสวนอุทยาน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น จึ่งหมู่โยธาทวยหาญ
รับสั่งสหัสกุมาร ต่างวิ่งทะยานวุ่นไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๏ ด้านใครใครเข้ารักษา ตรวจตราไม่มีที่ออกได้
ล้วนกุมหอกดาบปืนไฟ หมายใจสังหารราญรอน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สหัสกุมารชาญสมร
ยืนรถอยู่กลางพลากร แลเห็นวานรก็โกรธา
ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกริ้วกราด กระทืบบาทผาดเสียงดั่งฟ้าผ่า
เหวยไอ้ลิงไพรอหังการ์ ตัวมึงนี้มาแต่แห่งใด
ถิ่นฐานบ้านเมืองพานร เชื้อชาตินามกรเป็นไฉน
จึ่งทำอาจองทะนงใจ เข้ามาในสวนอสุรี
หักโค่นต้นไม้แล้วมิหนำ ซ้ำฆ่าโยธายักษี
ไม่เกรงกูผู้มีฤทธี ชีวีจะม้วยวายปราณ ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ บัดนั้น วายุบุตรวุฒิไกรใจหาญ
จึ่งตอบด้วยคำอหังการ ว่าเหวยขุนมารพาลา
นามกรบ้านเมืองกูไม่รู้ อยู่แต่ห้วยเขาลำเนาป่า
ผู้เดียวเที่ยวสัญจรมา ไม่แจ้งว่าสวนผู้ใด
เห็นลูกไม้สุกก็เก็บกิน อสุรินทร์มันชวนกันล้อมไล่
โรมรุกบุกบันชิงชัย สู้กูไม่ได้ก็วายปราณ
ตัวเอ็งยกแสนยากร รถรัตน์อัสดรทวยหาญ
จะทำไมกูนะขุนมาร หรือว่าคิดอ่านมาราวี ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สหัสกุมารยักษี
ได้ฟังวานรพาที อสุรีดำริตริไป
กูเป็นกษัตริย์สุริย์วงศ์ จะรณรงค์กับลิงหาควรไม่
เสียยศอดสูแก่น้ำใจ ไตรโลกจะหมิ่นนินทา
คิดแล้วจึ่งตอบด้วยสีหนาท เหวยเหวยไอ้ชาติลิงป่า
สวนนี้ขององค์พระบิดา ให้กูรักษามาช้านาน
จะจับตัวมึงไปถวาย แม้นกลัววอดวายสังขาร
ลงมาประณตบทมาลย์ กูจะประทานชีวี ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ บัดนั้น หนุมานผู้ชาญชัยศรี
ได้ฟังจึ่งตอบวาที อสุรีอย่าพักอหังการ์
ตัวเราผู้เดียวจะต่อสู้ ให้สิ้นหมู่พวกพลยักษา
แม้นชนะกูจึ่งเจรจา อ้างอวดฤทธากุมภัณฑ์ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ลูกท้าวทศเศียรรังสรรค์
ได้ฟังวานรชาญฉกรรจ์ ทั้งพันกริ้วโกรธดั่งเพลิงกาล
ขบเขี้ยวเคี้ยวกรามกระทืบบาท ร้องประกาศแก่หมู่ทวยหาญ
เร่งเร็วจับลิงสาธารณ์ ผลาญเสียให้สิ้นชีวี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ฝ่ายหมู่อสุรยักษี
ได้ฟังบัญชาอสุรี ก็ขับโยธีเข้าไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ทุ่งซัดอาวุธดั่งห่าฝน ต่างตนวิ่งลัดสกัดไล่
บ้างยิงธนูหน้าไม้ ปืนไฟนกสับคาบศิลา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ บัดนั้น วายุบุตรวุฒิไกรใจกล้า
หลบหลีกว่องไวไปมา วิ่งฝ่าเข้ากลางโยธี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ กุมภัณฑ์ฟันแทงสับสน ไม่ระคายปลายขนกระบี่ศรี
ผู้เดียวเคี่ยวฆ่าราวี อสุรีตายยับทับกัน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ บัดนั้น ฝ่ายหมู่โยธาพลขันธ์
ยิ่งตายยิ่งหนุนเข้าโรมรัน บุกบันต่อยตีวานร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บ้างกลุ้มรุมจับกุลาหล ลางตนก็เอาพะเนินค้อน
ลางหมู่ตีด้วยคทาธร เสียงโห่สะท้อนสะเทือนไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น คำแหงหนุมานทหารใหญ่
กลอกกลับรับรองว่องไว รุกโรมโจมไล่กุมภัณฑ์ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ถีบซ้ายป่ายขวาไม่ยั้งหยุด ด้วยกำลังฤทธิรุทรดั่งจักรผัน
อันหมู่พลมารทั้งนั้น สุดสิ้นชีวันวายปราณ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิดโอด

๏ เมื่อนั้น ลูกท้าวทศเศียรใจหาญ
เห็นกระบี่เคี่ยวฆ่าพลมาร แหลกลาญตายยับทั้งทัพชัย
กระทืบบาทผาดร้องทั้งพัน เสียงสนั่นครั่นครื้นแผ่นดินไหว
ต่างต่างสำแดงฤทธิไกร ขึ้นศรแผลงไปด้วยศักดา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ เปรี้ยงเปรี้ยงดั่งเสียงฟ้าฟาด พันเล่มเต็มกลาดเวหา
พุ่งพวยตรวยตรงลงมา ล้อมรอบกายาวานร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น คำแหงหนุมานชาญสมร
เห็นศรอสุรามาราญรอน สองกรรวบไว้ด้วยฤทธา
หักโยนไปให้แล้วร้องเย้ย เหวยเหวยดูกรไอ้ยักษา
อันศรของเอ็งซึ่งยิงมา ล้วนมีศักดาเกรียงไกร
เกลื่อนกลาดดาษไปทั้งเวหน จะระคายปลายขนก็หาไม่
วันนี้ตัวมึงจะบรรลัย ยังรู้หรือไม่อสุรี
กูคือพระกาลพาลราช จะมาพิฆาตยักษี
ว่าพลางเผ่นโผนด้วยฤทธี เข้าไล่ราวีกุมภัณฑ์ ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ คลุกคลีตีหนักหักรถ แหลกลงทั้งหมดดั่งแกล้งหั่น
สารถีสิงห์สัตว์ที่เทียมนั้น ตายกลาดไม่ทันพริบตา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น สหัสกุมารยักษา
สิ้นรถสิ้นพลอสุรา โกรธาดั่งไฟลามลน
เหลือกตาขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน สนั่นครั่นครื้นกุลาหล
กวัดแกว่งอาวุธทั้งพันตน วิ่งเข้าประจญประจัญบาน ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ ต่างตีต่างฟันต่างแทง ต่างตนสำแดงกำลังหาญ
ต่างถาต่างโถมโจมทะยาน ขุนมารไม่คิดชีวัน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ บัดนั้น วายุบุตรวุฒิแรงแข็งขัน
แล่นโลดโดดรับกุมภัณฑ์ ด้วยกำลังอันวรารุทร
ชิงได้กระบองยักษี ตลบไล่ตีอุตลุด
ต่างหาญต่อหาญทะยานยุทธ์ ถ้อยทีสัประยุทธ์กันไปมา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ขุนกระบี่ตีล้มลงเกลื่อนกลาด แล้วชักตรีพิฆาตยักษา
หัวขาดตัวขาดดาษดา อสุราทั้งพันก็บรรลัย ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิดโอด

๏ บัดนั้น ฝ่ายพวกพลมารน้อยใหญ่
เจ็บปวดเหลือตายกระจายไป วิ่งตรงเข้าในพระบูรี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงก็เข้าไปหา มโหทรเสนายักษี
เล่าความตามเรื่องที่ราวี ถ้วนถี่เสร็จสิ้นทุกประการ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น มโหทรผู้ใหญ่ใจหาญ
ได้แจ้งแห่งคำหมู่มาร ก็ลนลานเข้าในพระโรงคัล ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ ครั้นถึงน้อมเศียรบังคมทูล นเรนทร์สูรธิราชรังสรรค์
ว่ามีลิงไพรใจฉกรรจ์ มันนั้นเข้ามาในอุทยาน
ทำลายพฤกษาผลาผล ถอนชักหักต้นกิ่งก้าน
ล้อมจับมันกลับรอนราญ ผลาญหมู่กุมภัณฑ์มรณา
ฝ่ายพระโอรสพันองค์ รณรงค์ก็ม้วยสังขาร์
สิ้นทั้งม้ารถคชา ด้วยมือลิงป่าพนาลี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ทศเศียรสุริย์วงศ์ยักษี
ได้ฟังคั่งแค้นแสนทวี ดั่งหนึ่งอัคคีมาจ่อใจ
ลุกจากแท่นแก้วแพร้วพรรณ กระทืบบาทสนั่นหวั่นไหว
สิบปากแผดร้องก้องไป เหม่ไอ้ลิงไพรอหังการ
มาทำทะนงองอาจ ไม่เจียมตัวว่าชาติเดียรฉาน
หมิ่นกูผู้วงศ์พรหมาน จะวายปราณไม่ทันพริบตา
ว่าแล้วตรัสสั่งนางกำนัล จงเร่งชวนกันลงไปหา
อินทรชิตผู้มีศักดา ลูกรักกูมาบัดนี้ ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นางพระกำนัลสาวศรี
รับสั่งพญาอสุรี ชุลีกรแล้วพากันรีบไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ ชุบ

๏ ครั้นถึงปราสาทพระโอรส นั่งลงประณตบังคมไหว้
ทูลว่าพระปิ่นราชัย ให้ข้ามาแจ้งบทมาลย์
บัดนี้ยังมีลิงป่า องอาจหยาบช้ากล้าหาญ
ฆ่าพระอนุชาวายปราณ โองการให้หาไปบัดนี้ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น อินทรชิตสุริย์วงศ์ยักษี
แจ้งข่าวเร่าร้อนดั่งอัคคี อสุรีกริ้วโกรธโกรธา
ลุกจากแท่นแก้วอำไพ พร้อมกำนัลในซ้ายขวา
เสด็จยุรยาตรคลาดคลา เข้ามายังท้องพระโรงคัล ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เพลง

๏ ครั้นถึงน้อมเศียรอภิวาทน์ พระบิตุรงค์ธิราชรังสรรค์
ท่ามกลางอสุรกุมภัณฑ์ คอยฟังบัญชาภูธร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์ท้าวสิบพักตร์ชาญสมร
ครั้นเห็นอินทรชิตฤทธิรอน กวักกรตรัสเรียกโอรส
แล้วมีพระราชบรรหาร เล่าการทั้งปวงให้ฟังหมด
เจ้าผู้สุริย์วงศ์ทรงยศ จงยกหมู่ทศโยธา
ออกไปสังหารราญรอน วานรให้สิ้นสังขาร์
แม้นจับเป็นได้ก็จับมา จะทำให้สาแก่ใจมัน ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น อินทรชิตสุริย์วงศ์รังสรรค์
ยอกรประนมบังคมคัล กุมภัณฑ์สนองพจมาน
พระองค์ผู้ปิ่นประชากร อย่าเดือดร้อนด้วยไอ้เดียรัจฉาน
ตัวมันผู้เดียวอหังการ จะมีฤทธิ์กล้าหาญสักเพียงใด
ข้าบาทจะรับไปจับมัน มาถวายทรงธรรม์จงได้
ทูลแล้วก็ลากลับไป ยังปราสาทชัยอสุรี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ

๏ ครั้นถึงจึ่งนั่งเหนืออาสน์ อันโอภาสจำรัสรัศมี
แล้วสั่งมหาเสนี เร่งเตรียมโยธีไพร่นาย
เลือกล้วนกำลังฤทธิรุทร พร้อมสรรพอาวุธทั้งหลาย
จะไปจับวานรตัวร้าย มาถวายสมเด็จพระบิดร ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น จึ่งเสนามารชาญสมร
รับสั่งลูกท้าวยี่สิบกร แล้วรีบบทจรออกมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ ประถม

ยานี

๏ เกณฑ์กระบวนทัพเบญจเสนี ขี่แรดเสือสีห์เป็นกองหน้า
ถือหลาวง้าวหอกปืนยา เริงร่าสามหาวห้าวฮึก
ปีกป้องกองขันล้วนตัวหาญ ทะยานขึ้นขี่สิงห์กระทิงถึก
แกว่งคทาขบฟันครั่นครึก เคยโถมโจมศึกชั้นอินทร์
ยุกกระบัตรเกียกกายกองหลัง ถือทวนดาบดั่งธนูศิลป์
ขี่อูฐขี่ม้านาคินทร์ ขี่นกหัสดินกุญชร
กองหลวงถือสรรพสาตรา ขี่ละมั่งโคลากาสร
พร้อมทั้งรถทรงอลงกรณ์ ซับซ้อนคอยเสด็จอสุรี ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น อินทรชิตสิทธิศักดิ์ยักษี
ครั้นเสร็จซึ่งจัดโยธี เสด็จมาเข้าที่สรงชล ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

โทน

๏ ให้ไขท่อแก้วปทุมทอง เป็นละอองโปรยปรายดั่งสายฝน
หอมกระหลบอบอาบรสคนธ์ ปรุงปนเรณูสุมามาลย์
แล้วทรงสนับเพลาภูษา รจนาแย่งยกกระหนกก้าน
ชายไหวชายแครงอลงการ ฉลององค์ทองประสานดวงลอย
ตาบทิศทับทรวงทับทิมพราย สังวาลสามสายเฟื่องห้อย
ทองกรพาหุรัดประดับพลอย ธำมรงค์เพชรพร้อยเรือนสุบรรณ
ทรงมหามงกุฎนพรัตน์ กรรเจียกดอกไม้ทัดดวงกุดั่น
จับศรนาคบาศดั่งไฟกัลป์ จรจรัลมาขึ้นรถทรง ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ บาทสกุณี

โทน

๏ รถเอยรถศึก แอกงอนพันลึกงามระหง
กำแก้วสลับประดับกง ธูปธารดุมวงอลงกรณ์
บุษบกบัลลังก์ลอยฟ้า เทียมด้วยพญาไกรสร
สารถีมือถือโตมร ธงปักปลายงอนโบกบน
มยุรฉัตรอภิรุมชุมสาย ธงริ้วทิวรายสับสน
โยธียัดเยียดอึงอล กาหลฆ้องกลองโครมครึก
สำเนียงเสียงพลโห่ร้อง เริงร่าลำพองคะนองศึก
มืดคลุ้มชอุ่มควันพันลึก ขับกันคึกคึกรีบมา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ กราวนอก

๏ ครั้นถึงที่สวนอุทยาน เห็นสหัสกุมารยักษา
ตายอยู่กับพื้นพสุธา มีความอาลัยสุดคิด
แล้วเหลือบแลเห็นวานร โกรธาดั่งศรเสียบจิต
ให้หยุดรถแก้วชวลิต จึ่งประกาศิตถามไป
เหวยไอ้ลิงป่ากาลี นามกรมึงนี้เป็นไฉน
จึ่งทำอาจองทะนงใจ มาลุยไล่ล้างเหล่าอสุรา
ไม่เกรงกูผู้วงศ์พรหเมศ ลือเดชทั่วทศทิศา
ทรงเทพอาวุธอันศักดา จะผลาญชีวาพานร ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น คำแหงหนุมานชาญสมร
ได้ฟังลูกท้าวยี่สิบกร อ้างอวดฤทธิรอนพาที
ตบมือสำรวลสรวลเย้ย เหวยเหวยดูกรยักษี
เหตุใดมาว่าเรานี้ ดูหมิ่นอสุรีนั้นผิดไป
ตัวกูผู้เดียวไม่มีเพื่อน พวกเอ็งกล่นเกลื่อนไม่นับได้
เป็นหมู่หมู่กรูกันเข้าชิงชัย จนใจจึ่งต้องโรมรัน
เมื่อกระนี้จะว่าใครผิด จงคิดดูเถิดอย่าหุนหัน
ซึ่งถามนามกรเรานั้น กุมภัณฑ์ประสงค์สิ่งใด
แม้นว่าตัวเอ็งบอกก่อน ภายหลังวานรจะบอกให้
อย่าพักอ้างอวดฤทธิไกร กูไม่เกรงกลัวศักดา ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ลูกท้าวทศเศียรยักษา
ได้ฟังจึ่งร้องตอบมา เหวยวานรป่าสาธารณ์
กูชื่ออินทรชิตสิทธิศักดิ์ ทั่วทั้งไตรจักรก็ลือหาญ
เป็นราชโอรสพญามาร แต่ท้าวมัฆวานก็เกรงฤทธิ์
สาอะไรกับไอ้ลิงไพร ที่ไหนจะทนศรสิทธิ์
บัดนี้จะสิ้นชีวิต ด้วยฤทธิ์ของกูผู้ศักดา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น วายุบุตรวุฒิไกรใจกล้า
ได้ฟังจึ่งร้องตอบมา เอ็งหรือชื่อว่าอินทรชิต
เป็นลูกทศพักตร์ยักษี พาทีอาจองทะนงจิต
อ้างอวดศักดาวราฤทธิ์ ถึงมีศรสิทธิ์มารอนราญ
ตัวกูจะสู้แต่มือเปล่า หักเอาด้วยกำลังหาญ
ฆ่าเสียให้สิ้นสุดปราณ ทั้งพวกพลมารที่ยกมา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น อินทรชิตสิทธิศักดิ์ยักษา
ได้ฟังวานรเจรจา โกรธาดั่งไฟบรรลัยกัลป์
ขบเขี้ยวเคี้ยวกรามกระทืบบาท ร้องตวาดผาดเสียงดั่งฟ้าลั่น
เหม่ไอ้ลิงไพรใจฉกรรจ์ กูจะหั่นให้ยับลงกับกร
ว่าพลางทางสั่งทวยหาญ เหวยโยธามารชาญสมร
เร่งกันล้อมจับวานร ฟันฟอนให้ม้วยชีวี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ฝ่ายหมู่อสุรศักดิ์ยักษี
รับสั่งถวายอัญชุลี ขับกันอึงมี่เข้าไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บรรดาโยธีที่ขี่สัตว์ แกว่งกวัดอาวุธล้อมไล่
ยิงธนูหน้าไม้ปืนไฟ เสียงสนั่นหวั่นไหวสุธาธาร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น วายุบุตรวุฒิไกรใจหาญ
รับรองป้องกันประจัญบาน โถมทะยานไล่ตีกุมกัณฑ์ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ยักษาเข้ากลุ้มรุมรอน วานรกลับเลี้ยวกระหลบหัน
ถีบตบขบกัดพัลวัน จับกันอุตลุดเป็นโกลา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ บัดนั้น ฝ่ายหมู่อสุรยักษา
ยิ่งตายยิ่งหนุนเนื่องมา เข้าไล่เข่นฆ่าวานร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ พุ่งซัดอาวุธสับสน ต่างตนก็ยิงธนูศร
บ้างแกว่งเสโลโตมร ราญรอนไม่คิดชีวี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น หนุมานผู้ชาญชัยศรี
ผู้เดียวรบรุกคลุกคลี ถาโถมโจมตีอสุรา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ชิงได้อาวุธที่หมู่มาร โลดโผนโจนทะยานเข่นฆ่า
หัวขาดตีนขาดดาษดา ยักษาตายยับทับกัน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิดโอด

๏ เมื่อนั้น อินทรชิตฤทธิแรงแข็งขัน
เห็นกระบี่ตีพลกุมภัณฑ์ สุดสิ้นชีวันวายปราณ
โกรธาชักศรพาดสาย หมายพิฆาตให้สิ้นสังขาร
น้าวหน่วงด้วยกำลังชัยชาญ ขุนมารก็ผาดแผลงไป ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิดฉิ่ง

๏ เสียงสนั่นครั่นครื้นโกลาหล เป็นศรเกลื่อนกล่นไม่นับได้
ต้องกายหนุมานชาญชัย ด้วยฤทธิไกรราวี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ลูกพระพายผู้ชาญชัยศรี
ต้องศรอินทรชิตอสุรี ไม่ระคายอินทรีย์วานร
สองหัตถ์คว้าไขว่กลอกกลับ รวบจับเอาได้ทุกเล่มศร
หักเล่นย่อยยับกับกร แล้วแผลงฤทธิรอนโผนไป ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ถีบต้องอินทรชิตอสุรา ตกจากรัถาไม่ทนได้
ราชสีห์สารถีก็บรรลัย รถชัยหักยับไม่สมประดี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น อินทรชิตสุริย์วงศ์ยักษี
ตกลงกับพื้นปัถพี อสุรีผุดลุกขึ้นยืนยัน
พระหัตถ์กวัดแกว่งศรชัย ว่องไวรวดเร็วดั่งจักรผัน
ถาโถมโรมรุกบุกบัน เข้าไล่โรมรันวานร ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เท้าซ้ายเหยียบเข่ากระบี่ศรี มือขวาอสุรีเงื้อศร
กลอกกลับพัลวันประจัญกร ต่างมีฤทธิรอนไม่ลดกัน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น หนุมานฤทธิแรงแข็งขัน
หลีกหลบรบชิดติดพัน ยืนยันเหยียบเข่าอสุรี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ มือขวาเงื้อง่าจะชิงศร กรซ้ายกุมเศียรยักษี
หันเหียนเปลี่ยนท่าราวี ต่างรับต่างตีกันไปมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ