สมุดไทยเล่มที่ ๑๑

๏ มาจะกล่าวบทไป ถึงปทูตทันตยักษี
สถิตในถ้ำแก้วมณี มีนามสุรกานต์บรรพต
เรืองฤทธิ์สิทธิศักดิ์เข้มแข็ง เรี่ยวแรงแกล้วกล้าสาหส
เลื่องชื่อลือนามขามยศ ฤทธาปรากฏเกรียงไกร
แต่เที่ยวรอนราญราวี วิทยานาคีไม่ต่อได้
บรรดาฤๅษีชีไพร อยู่ในเงื้อมมือกุมภัณฑ์ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

ร่าย

๏ ให้คิดโลภล้นพ้นประมาณ อหังการกำเริบโมหันธ์
จะใคร่ได้สมบัติเทวัญ ชมอัปสรสวรรค์สำราญใจ
ตัวกูจะขึ้นไปรอนราญ ฆ่าท้าวมัฆวานเสียให้ได้
คิดแล้วจับคทาศรชัย เหาะไปด้วยกำลังฤทธา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ กราว

๏ ครั้นถึงพิภพสรวงสวรรค์ ยังชั้นแดนดาวดึงสา
แลเห็นหมู่เทพเทวา กับฝูงนางฟ้าวิลาวัณย์
ยิ่งคิดคำนึงถึงรสรัก ขุนยักษ์มืดมนโมหันธ์
กวัดแกว่งศรชัยดั่งไฟกัลป์ ขบฟันเข้าไล่ราวี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น เทพบุตรกับหมู่อัปสรศรี
เห็นปทูตทันตอสุรี สำแดงฤทธีไล่มา
ให้ตระหนกตกใจไม่มีขวัญ ดั่งชีวันจะม้วยสังขาร์
นางสวรรค์ร้องหวีดแล้วปิดตา เทวาพาวิ่งเป็นสิงคลี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ปทูตทันตยักษี
ไล่ประชิดติดตามราวี จนไปถึงที่ลัดดาวัลย์ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น เทพบุตรกับหมู่นางสวรรค์
วิ่งหนีอสุรกุมภัณฑ์ ตัวสั่นไม่เป็นสมประดี
บ้างอุ้มจูงกันอลหม่าน ล้มลุกคลุกคลานอึงมี่
บ้างวิ่งวนไปชนอสุรี บางหนีไปเฝ้าพระอินทรา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงจึ่งประณตบทบาท ทูลองค์เทวราชนาถา
ว่าปทูตทันตอสุรา ขึ้นมาหักโหมโรมราญ
ทั่วทุกนิเวศน์วิมานมาศ ก็กลัวอำนาจกำลังหาญ
บัดนี้ยังทําอหังการ ไล่มาถึงสถานลัดดาวัลย์ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์ท้าวหัสนัยน์รังสรรค์
แจ้งว่าอสุรกุมภัณฑ์ ชาญฉกรรจ์องอาจหังการ์
แม้นจะใช้พระขรรค์ไปสังหาร ขุนมารก็จะม้วยสังขาร์
ไม่ควรกูผู้ปิ่นเทวา จะล้างอสุราสาธารณ์
จะให้ไปเชิญท้าวทศรถ อันทรงยศศักดากล้าหาญ
วงศ์พระสี่กรมารอนราญ ให้ผ่านฟ้าปรากฏพระเกียรติไว้
คิดแล้วจึ่งสั่งมาตุลี ผู้มีปัญญาอัชฌาสัย
จงเอารถแก้วลงไป เชิญไททศรถมาราวี ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระมาตุลีเรืองศรี
รับสั่งแล้วถวายอัญชุลี มาขึ้นรถมณีแล้วเหาะไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ เลื่อนลอยมาในอากาศ โอภาสดั่งดวงแขไข
ก็ขับรถรัตนามัย ลงในพ่างพื้นอุทยาน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ คุกพาทย์

๏ ครั้นถึงจึ่งเห็นภูวนาถ เสด็จชมรุกขชาติเกษมศานต์
แจ้งว่าองค์ท้าวมัฆวาน ให้เชิญไปสังหารอสุรี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น พระภุชพงศ์วงศ์นารายณ์เรืองศรี
ได้แจ้งแห่งคำมาตุลี ดั่งวารีทิพย์มาเจือใจ
จึงว่าแก่สามอัคเรศ ดวงเนตรผู้ยอดพิสมัย
เชิญเจ้าคืนเข้าเวียงชัย พี่จะขึ้นไปปราบอสุรี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น จึงโฉมนางไกยเกษี
ได้ฟังบัญชาก็ยินดี เทวีกราบลงกับบาทา
ทูลว่าข้าน้อยขอรองบาท ภูวนาถจงโปรดเกศา
จะได้ชมเมืองสวรรค์ชั้นฟ้า ให้เป็นผาสุกสถาวร ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์ท้าวทศรถชาญสมร
ได้ฟังอัครราชบังอร ภูธรอาลัยในพจมาน
จึ่งตรัสแก่สองกัลยา แก้วตาผู้ยอดสงสาร
จงกลับเข้าพระนิเวศน์ให้สำราญ พี่จะไปปราบมารอหังการ์
ว่าแล้วจูงกรเทวี โฉมไกยเกษีเสน่หา
เสด็จลีลาศยาตรา ไปขึ้นรถเทวารูจี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ

โทน

๏ รถเอยรถอินทร์ แสงแก้วโกมินสลับสี
เทียมด้วยเทพบุตรพาชี มาตุลีสารถีขับรถ
มเหสีนั่งท้ายประนมกร งามเพียงศศิธรทรงกลด
ลอยข้ามสัตภัณฑ์บรรพต ลดเลี้ยวตามกลีบเมฆา
เสียงกงแก้วลั่นครั่นครื้น ลูกครุฑตกตื่นทั้งเวหา
เร่งรีบพลาหกเทวา ถึงดาวดึงสาด้วยฤทธี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น ปทูตทันตยักษี
อยู่ในสวนแก้วมาลี อสุรีเหลือบแลแปรมา
เห็นมนุษย์นั้นขี่รถทรง มีอนงค์นั่งท้ายรถา
ประหลาดกว่าหมู่เทวา อสุราก็ร้องถามไป
เหวยใครผู้ใดองอาจ เชื้อชาตินามกรเป็นไฉน
อหังการผ่านมาไม่เกรงใจ กูจะฆ่าให้ม้วยชีวี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพงศ์หริรักษ์เรืองศรี
ได้ฟังจึ่งตอบวาที เรานี้ชื่อท้าวทศรถ
วงศ์พระหริรักษ์จักรา ทรงศักดาเดชดั่งเพลิงกรด
องค์ท้าวโกสีย์ผู้มียศ ให้เอารถไปรับขึ้นมา
สังหารผลาญเอ็งผู้ใจพาล ซึ่งทำการทุจริตอิจฉา
อย่าพักอ้างอวดอหังการ์ ไม่ช้าจะเห็นฤทธิ์กัน ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ปทูตทันตแข็งขัน
ได้ฟังกริ้วโกรธขบฟัน กุมภัณฑ์ร้องตอบวาจา
เอ็งฤาชื่อว่าทศรถ อวดยศอวดฤทธิ์ว่าแกล้วกล้า
จะสู้กูผู้มีศักดา ไหนจะครั่นหัตถาอสุรี
เมียเอ็งผิวเนื้อนวลละออง พักตร์ผ่องเพียงอัปสรศรี
จะเป็นเมียกูบัดเดี๋ยวนี้ มึงอย่าพาทีอหังการ
ว่าพลางกวัดแกว่งคทาวุธ สำแดงฤทธิรุทรกำลังหาญ
กระทืบบาทผาดโผนโจนทะยาน ขึ้นรอนราญบนรถภูธร ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น พระผู้หริวงศ์ทรงศร
รับรองป้องกันประจัญกร ภูธรเหยียบเข่าอสุรี
กลอกกลับจับกันบนรถา ต่างแกล้วต่างกล้าไม่ถอยหนี
พระองค์ทรงฤทธิ์ราวี ฟันต้องอสุรีกระเด็นไป ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ แล้วให้ขับราชรถา เทพบุตรอาชาทะลวงไล่
พระหัตถ์กวัดแกว่งพระขรรค์ชัย หมายใจจะล้างชีวี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น ปทูตทันตยักษี
กริ้วโกรธพิโรธดั่งอัคคี ขว้างตระบองมณีไปด้วยฤทธิ์ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ สำเนียงดั่งเสียงฟ้าฟาด กัมปนาทหวาดไหวถึงดุสิต
เกิดขึ้นเป็นเปลวเพลิงพิษ ด้วยฤทธิไกรอสุรา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น องค์ท้าวทศรถนาถา
เห็นเพลิงแรงดั่งแสงสุริยา ผ่านฟ้าก็ขว้างพระขรรค์ไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ สำเนียงดั่งหนึ่งลมกาฬ บันดาลเป็นฝนห่าใหญ่
ตกลงมาดับเปลวไฟ แล้วไล่ล้างคทากุมภัณฑ์ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ เสร็จแล้วก็กลับคืนมา ดั่งว่าจักรแก้วรังสรรค์
เข้าในคลองหัตถ์ทรงธรรม์ เหมือนมีชีวันอินทรีย์ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ปทูตทันตยักษี
เห็นคทาแหลกลงเป็นผงคลี จับศรโมลีแผลงไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ เปรี้ยงเปรี้ยงดั่งเสียงสุนีบาต ต้องรถเพลาขาดไม่ทนได้
ศรยักษ์สำแดงฤทธิไกร เวียนไวรอบองค์ภูมี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิดฉิ่ง

๏ เมื่อนั้น จึ่งโฉมนางไกยเกษี
เห็นเพลารถแก้วมณี ต้องศรอสุรีหักไป
จึ่งตั้งสัตย์เดชะข้าซื่อตรง ต่อองค์ภัสดาหาหมิ่นไม่
จะเอากรแทนเพลารถชัย อย่าให้อันตรายชีวา
เสี่ยงแล้วยื่นหัตถ์สอดเข้า ในดุมต่างเพลารถา
ด้วยอานุภาพสัตยา ดั่งมหากายสิทธิ์ฤทธี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระสุริย์วงศ์เทวัญเรืองศรี
เห็นศรยักษามาราวี ภูมีกลับขว้างพระขรรค์ไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ พระแสงล้างศรกุมภัณฑ์ เป็นภัสม์ธุลีกัลป์ไม่ทนได้
ถูกปทูตทันตบรรลัย กระเด็นไปถูกพื้นพสุธา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด โอด

๏ ครั้นเสร็จสังหารอสุรี ภูมีเหลือบแลซ้ายขวา
เห็นพระมเหสีโสภา เอาหัตถาสอดดุมรถชัย
จึ่งตรัสถามองค์อัคเรศ ดวงเนตรผู้ยอดพิสมัย
รถเราเป็นเหตุประการใด อรไทจึ่งทำดั่งนี้ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น โฉมนวลนางไกยเกษี
จึ่งสนองพระราชวาที อสุรีมันแผลงศรมา
ต้องเพลารถหักกระเด็นไป เกรงจักเสียชัยแก่ยักษา
ตัวข้าจะถวายชีวา เอาหัตถาสอดเข้าแทนไว้
พระองค์จึ่งได้สังหาร ผลาญชีพขุนมารเสียได้
เป็นที่ปรากฏพระยศไป ทั้งในฟากฟ้าดินดอน ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระผู้หริวงศ์ทรงศรี
ได้ฟังอัครราชบังอร ภูธรรับขวัญนางกัลยา
มิเสียแรงที่เจ้ารักพี่ ร่วมชีวีชีวิตสังขาร์
คุณนั้นเป็นพ้นพรรณนา แม้นว่าปรารถนาสิ่งใด
บรรดาเป็นสมบัติของพี่ เทวีประสงค์จะยกให้
ว่าแล้วจูงกรอรไท เสด็จไปยังสวนลัดดา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เพลง

ยานี

๏ เมื่อนั้น หัสนัยน์เจ้าตรัยตรึงศา
กับทั้งฝูงเทพเทวา นางสวรรค์กัลยาวิลาวัณย์
ครั้นแจ้งว่าวงศ์พระหริรักษ์ สังหารยักษ์ร้ายอาสัญ
ก็ซ้องสาธุการขึ้นพร้อมกัน เสียงสนั่นครั่นครื้นโลกา
บ้างถือบุปผามาลาศ ออกจากวิมานมาศพร้อมหน้า
ตามเสด็จองค์อมรินทรา มายังจิตราลัดดาวัลย์ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เพลง

๏ ครั้นถึงจึ่งโปรยมาลาศ เทวราชเป่าสังข์เสียงสนั่น
ให้เทวาจับระบำบัน กับนางสวรรค์กัลยาณี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

พระทอง

๏ เมื่อนั้น เทวานางฟ้าทุกราศี
รับสั่งท้าวสุชัมบดี มีใจชื่นชมโสมนัส
จึ่งจับระบำรำถวาย นวยนาดวาดชายกรายหัตถ์
รํารอคลอเคียงเลี่ยงลัด กรกระหวัดยิ้มพรายชายตา
นางฟ้าตลบหนีไป เทพบุตรเลี้ยวไล่สกัดหน้า
นางสวรรค์เวียนซ้ายร่ายเรียงมา เทวัญเวียนขวาเปลี่ยนไป
นางสวรรค์รำช้านางนอน ทอดกรเยื้องกรายส่ายไหล่
คลอเคล้าเป็นกระบวนให้ยวนใจ เทพไทยินดีปรีดา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

เบ้าหลุด

๏ เมื่อนั้น โฉมนางอัปสรเสน่หา
กรายกรฟ้อนรำชำเลืองตา คอยทีเทวาสุราฤทธิ์
ครั้นเทวัญเข้าใกล้ก็ย้ายหนี ทําทีร่ายเรียงเบี่ยงบิด
เทพบุตรรําเคล้าเข้าชิด ทอดสนิทคว้าไขว่ในที
นางฟ้าสลัดปัดกร ชม้ายชายค้อนแล้วถอยหนี
เทวัญรําท่ามาลี แล้วตีวงเวียนเปลี่ยนไป
นางสวรรค์รําหงส์ลีลา ชายหนีเทวามิให้ใกล้
ขับร้องอำนวยอวยชัย สุขเกษมเปรมใจทั้งเมืองฟ้า ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เพลง

๏ เมื่อนั้น หัสนัยน์เจ้าตรัยตรึงศา
ครั้นเสร็จระบำก็ปรีดา จึ่งมีบัญชาอันสุนทร
มิเสียทีเป็นวงศ์พระจักรกฤษณ์ เรืองฤทธิ์ห้าวหาญชาญสมร
สังหารอาธรรม์ม้วยมรณ์ ดับร้อนฝูงเทพเทวา
จะปรากฏพระยศลือฤทธิ์ ชั่วพระจันทร์พระอาทิตย์ส่องหล้า
ให้จำเริญสวัสดิ์สวรรยา ใต้ฟ้าอย่ามีใครต่อกร
ตรัสแล้วสั่งองค์มาตุลี จงเอารถมณีประภัสสร
ไปส่งวงศ์นารายณ์ฤทธิรอน ถวายภูธรไว้ในธานี ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระมาตุลีเรืองศรี
รับสั่งท้าวสุชัมบดี ถวายอัญชุลีแล้วออกมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ ครั้นถึงจึ่งบันดาลฤทธิ์ นิรมิตเพลาราชรัถา
สอดใส่ดุมแก้วรจนา เตรียมท่าเสด็จพระภูมี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์ท้าวทศรถเรืองศรี
จึ่งมีสุนทรวาที แก่ท้าวตรีเนตรฤทธิรอน
พระองค์จงอยู่เป็นสุขา ตัวข้าจะลาไปก่อน
ว่าแล้วน้อมเศียรชุลีกร บทจรมาขึ้นรถชัย ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

๏ เมื่อนั้น พระมาตุลีผู้มีอัชฌาสัย
จึ่งขับรถแก้วแววไว ตรงไปอยุธยาธานี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

ช้า

๏ มาจะกล่าวบทไป ถึงพระกไลโกฏฤๅษี
เป็นบุตรอิสีสิงฆมุนี มฤคีนั้นเป็นมารดา
แต่บิดรยังไม่บรรลัย ก็ได้ฌานโลกีย์แกล้วกล้า
อยู่ยังสาลวันอรัญวา แดนพาราโรมพัตตัน
ได้พรพระสยมภูวญาณ ตบะกิจการฌานกวดขัน
สร้างพรตอดจิตเป็นนิรันดร์ ฝนนั้นแล้งไปถึงสามปี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวโรมพัตตันเรืองศรี
แต่ฝนไม่ตกในธานี ภูมีเร่าร้อนวิญญาณ์
ทั้งหมู่เสนาประชาชน ได้ความทุกข์ทนถ้วนหน้า
ทุพภิกขันดรกัลป์บังเกิดมา เวทนาอดอยากลำบากใจ
จึ่งมีบรรหารสิงหนาท แก่มหาอำมาตย์ผู้ใหญ่
เราจะบวงสรวงเทพไท อันได้เป็นหลักพระบุรี
ทั้งพระเสื้อเมืองทรงเมือง จงแต่งเครื่องบูชาบายศรี
เหล้าข้าวเป็ดไก่บัตรพลี ขอฝนให้มีฤดูกาล ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ บัดนั้น เสนาผู้ใหญ่ใจหาญ
ก้มเกล้ารับรสพจมาน คลานออกจากท้องพระโรงคัล ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ ให้ปลูกศาลลงกลางพระนคร อลงกรณ์รายราชวัติกั้น
ทั้งนางท้าวซึ่งผีสิงนั้น ก็เตรียมกันคอยเสด็จภูมี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น ท้าวโรมพัตเรืองศรี
ครั้นรุ่งสางสว่างธาตรี เข้าที่สระสรงคงคา
แต่งองค์ทรงเครื่องอลงการ พร้อมสนมนงคราญซ้ายขวา
เสด็จจากปราสาทแก้วแววฟ้า โยธาแห่แหนแน่นไป ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ กลองโยน

๏ ครั้นถึงก็ทรงสุคนธ์เจิม เฉลิมรูปเทวาน้อยใหญ่
จุดเทียนบูชาโปรยมาลัย ภูวไนยสังเวยเทวัญ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เซ่นเหล้า

สระบุหร่ง

๏ ขอเชิญเทวราชผู้ศักดา ซึ่งรักษาพระนิเวศน์เขตขัณฑ์
จงรับสั่งเวยพลีกรรม์ อันข้าบูชาด้วยภักดี
ทั้งพระเสื้อเมืองทรงเมือง อุดมเดชรุ่งเรืองรัศมี
จงคิดกรุณาปรานี แก่โยธีไพร่ฟ้าประชาชน
ยังวัสสวลาหกตกมา ให้จำเริญธัญญาพืชผล
ช่วยชีวิตสัตว์ไว้ไม่อับจน จะได้แผ่กุศลให้ทุกวัน ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ สาธุการ

๏ บัดนั้น นางท้าวแสนกลคนขยัน
จุดเทียนประนมบังคมคัล ตัวสั่นเท้าเท้าหาวเรอ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เซ่นเหล้า

๏ ลุกขึ้นส่ายตนพ่นบู้หรี่ ทำทีพูดจายํ้าเหยอ
รำง่าท่าทับสี่เกลอ เรียกสมุนแก้เก้อวุ่นไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ จึ่งบอกว่าอารักษ์อันศักดิ์สิทธิ์ สถิตอยู่ในฐานศาลใหญ่
ว่าถ้าได้เครื่องอันชอบใจ จะช่วยภูวไนยอย่าอาวรณ์ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น ท้าวโรมพัตชาญสมร
แต่บวงสรวงฝูงเทพนิกร ในพระนครทุกแห่งไป
มิได้ว่างเว้นเวลา ฝนจะตกลงมาก็หาไม่
พระองค์ผู้ทรงภพไตร ไม่มีความสุขสำราญ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น จึ่งนายพรานไพรใจหาญ
แจ้งว่าพระปิ่นสุธาธาร ตั้งการบวงสรวงเทวา
ได้ถึงเจ็ดเดือนเจ็ดวัน ฝนนั้นไม่ตกแต่สักห่า
นายพรานก็รีบเข้ามา ยังพาราโรมพัตธานี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงน้อมเศียรบังคมทูล นเรนทรสูรปิ่นภพเรืองศรี
อันฝนแล้งแห้งไปถึงสามปี เหตุนี้ด้วยพระนักพรต
อยู่ในสาลวันหว่างไศล ชื่อกไลโกฏดาบส
เข้าฌานชำนาญไม่เงือดงด อดจิตจำเริญภาวนา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวโรมพัตนาถา
ได้ฟังก็แจ้งในวิญญาณ์ ผ่านฟ้าดำริตริไป
จำเป็นจะล้างพิธี ของพระมุนีเสียให้ได้
อันสตรีเป็นที่ประโลมใจ จะแต่งไปด้วยเล่ห์อุบายกล
ล้างกิจด้วยรสสงสาร ให้เธอเสียฌานจำเริญผล
คิดแล้วพระปิ่นสุธาดล เสด็จเข้าไพชยนต์รูจี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ

๏ ครั้นถึงสถิตเหนือแท่นแก้ว แล้วเรียกพระธิดาโฉมศรี
รับขวัญพลางกล่าววาที เจ้าดวงชีวีของบิดา
บัดนี้ยังมีพระดาบส สร้างพรตทรงญาณฌานกล้า
มหาเมฆไม่ตั้งตกมา ลำบากเวทนาทั้งกรุงไกร
เจ้าจงออกไปหิมพานต์ ทำลายฌานเธอเสียให้ได้
แล้วพาเข้ามายังเวียงชัย เป็นปิ่นไพร่ฟ้าประชากร ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางอรุณวดีดวงสมร
ก้มเกล้ารับสั่งพระบิดร บังอรทูลตอบพระบัญชา
ซึ่งพระองค์โปรดปรานประการใด จะรับใส่เศียรเกล้าเกศา
ลูกรักขอเอาชีวา สนองเบื้องบาทาพระทรงธรรม์ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวโรมพัตรังสรรค์
ฟังพระธิดาวิลาวัณย์ ภูธรรับขวัญนางเทวี
มีความชื่นชมโสมนัส ดั่งได้สมบัติโกสีย์
เสด็จจากอาสน์แก้วรูจี ออกที่พระโรงรัตนา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

๏ จึ่งสั่งเสนาผู้ใหญ่ อันปรีชาไวแกล้วกล้า
จงเตรียมรถเตรียมพลโยธา พระธิดากูจะไปพนาลี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น จึ่งมหาเสนาทั้งสี่
รับสั่งพระองค์ทรงธรณี ออกมาจากที่พระโรงชัย ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ จึ่งจัดกระบวนพระประเทียบ ขอเฝ้าแหนเรียบงามไสว
อันหน้ารถแก้วแววไว ล้วนใส่เสื้อเขียวเครือวัลย์
ถัดไปใส่เสื้อสีทับทิม สีฟ้าขลิบริมสลับคั่น
หมู่หนึ่งใส่เสื้อสีจันทร์ ถัดนั้นเสื้อม่วงติดกรอง
ถัดไปใส่เสื้อสีแดง พื้นแย่งถือหอกเป็นทิวท่อง
ริ้วนอกถือปืนคร่ำทอง ตั้งกองคอยเสด็จพระบุตรี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น องค์พระธิดาโฉมศรี
ครั้นรุ่งรางสร่างแสงพระรวี ก็จรลีไปสรงสาคร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

ชมตลาด

๏ ชำระสระสนานสำราญองค์ ทรงสุคนธ์ธารกลิ่นเกสร
ภูษาลายเครือกินนร ช่อเชิงมังกรกระหวัดกาย
สไบตาดพื้นทองกรองริม สอดสีทับทิมเฉิดฉาย
ทับทรวงมรกตจำหลักลาย ตาบทิศสร้อยสายสังวาลวัลย์
สะอิ้งแก้วแววเลื่อมมุกดาหาร ดวงประพาฬบานพับประดับถัน
พาหุรัดทองกรมังกรพัน ธำมรงค์เพชรกุดั่นพรายตา
ทรงมหามงกุฎเนาวรัตน์ กรรเจียกจรจำรัสซ้ายขวา
งามเพียงนางเทพกินรา นวยนาดยาตราขึ้นรถ ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เพลง

โทน

๏ รถเอยรถทรง งามองค์พระธิดาอลงกต
งามแปรกแอกงอนอ่อนชด งามช่อชั้นลดบัลลังก์ลอย
งามทวยรวยรับหางหงส์ งามทรงบุษบกกระหนกห้อย
งามมุขสุกวามอร่ามพลอย งามยอดดั่งจะย้อยด้วยทองพราย
งามสินธพเทียมทั้งสี่ งามสารถีขับเฉิดฉาย
งามเครื่องสูงริ้วเป็นทิวราย งามพวกกลองตะพายประโคมครึก
งามแถวธงชายพรายสุวรรณ งามเสียงกงลั่นก้องกึก
งามทางหว่างไศลไพรพฤกษ์ งามพลแห่ฮึกเข้าดงดอน ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เชิด

ร่าย

๏ เดินทางเลียบธารผ่านทุ่ง ตามเชิงเวิ้งวุ้งสิงขร
ข้ามชลาท่านํ้าประทับนอน รอนแรมมาในพนาลี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

โทน

๏ ชมหมู่ปักษาทิชาชาติ เกลื่อนกลาดจับไม้อึงมี่
สร้อยร้าจับต้นสารภี โนรีจับจิกดอกประยงค์
นกเขาจับขันบนแคป่า สาลิกาจับกิ่งกาหลง
นกแก้วจับต้นคันทรง ฝูงหงส์บินร่อนมาจับยาง
มยุราจับต้นบุนนาก จากพรากบินตรงมาจับกร่าง
โพระดกเคียงคู่จับคาง นกลางจับเครือแสลงพัน
ไก่ฟ้าบินจับต้นตะคร้อ พญาลอเลียบกิ่งกะทั่งหัน
ช่างทองจับต้นชิงชัน เบญจวรรณเต้นไต่กิ่งกระวาน
ฟังเสียงวิหคนกร้อง ทำนองดั่งสังคีตขับขาน
เพลิดเพลินจำเริญใจนงคราญ จนใกล้สถานพระสิทธา ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ เชิด

๏ บัดนั้น นายวันจรกพรานป่า
นำเสด็จพระราชธิดา มาใกล้บริเวณพระนักพรต
จึ่งให้หยุดรถแก้วมณี ไว้ที่ใกล้อาศรมบท
กำชับโยธาม้ารถ กำหนดอย่าให้อื้ออึงไป
จึ่งทูลพระบุตรีโฉมยง ชี้ตรงพุ่มไม้สูงใหญ่
เห็นหลังคาช่อฟ้าอยู่ไรไร โน่นที่อาศัยพระอาจารย์ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระธิดาเยาวยอดสงสาร
ลงจากรถแก้วสุรกานต์ ตรงไปสถานศาลา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เพลง

๏ ครั้นถึงจึ่งเห็นพระนักธรรม์ ผู้ทรงพรตกรรม์แกล้วกล้า
ดวงพักตร์นั้นเป็นมฤคา กัลยานั่งลงดุษฎี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระกไลโกฏฤๅษี
ไม่เคยเห็นรูปสตรี มีความสงสัยก็พิศดู
เห็นเขาติดอกครัดเคร่ง ดั่งปทุมตูมเต่งทั้งคู่
สัตว์นี้เป็นไฉนจึ่งไม่รู้ จะเป็นหมู่เดียรฉานนามใด
ตริแล้วจึ่งกล่าววาที เอ็งนี้เป็นสัตว์จำพวกไหน
จึ่งมีเขาที่อกกูหลากใจ ไม่เคยพบเห็นแต่ก่อนมา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางอรุณวดีเสน่หา
ได้ฟังจึ่งตอบพระสิทธา เขาข้านี้น่าอัศจรรย์
ไม่งอกในเศียรเหมือนฝูงสัตว์ มาพลัดขึ้นที่อกเหมือนแกล้งปั้น
เต่งตั้งดั่งดวงบุษบัน อ่อนละม้ายคล้ายกันกับสำลี
พระองค์ผู้ทรงตบะญาณ ขอประทานโปรดเกล้าเกศี
พิเคราะห์ดูให้รู้ว่าร้ายดี ข้าเป็นดั่งนี้ด้วยอันใด
ว่าพลางทางเข้าปรนนิบัติ สัมผัสทำนวดฟั้นให้
ด้วยกลมารยาพิราไน แกล้งยั่วยวนใจพระมุนี ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระกไลโกฏฤๅษี
ไม่รู้ในกลสตรี ลืมที่คำสั่งพระบิดร
เข้าประคองต้องเต้าสุมณฑา กายาแนบเนื้อดวงสมร
ให้เกิดประดิพัทธ์อาวรณ์ ถึงไม่มีผู้สอนก็เป็นไป
เชยแก้มแนมเนตรเกศกรรณ เกษมสันต์ในความพิสมัย
ภุมรินบินเคล้าสุมาลัย แทรกไซ้เกสรปทุมมาลย์
เชยซาบอาบสร้อยเสาวรส สุบงกชคลี่กลีบหอมหวาน
ร่วมภิรมย์สมสุขสำราญ ในสถานศาลาอารญ ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ กล่อม

๏ ก็เสียตบะกิจพิธีกรรม์ พลาหกครื้นครั่นคะนองฝน
ฟ้าเปรี้ยงเสียงสนั่นอึงอล ตกจนนองพื้นพสุธา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ คุกพาทย์

๏ เมื่อนั้น นางอรุณวดีเสน่หา
ครั้นเห็นพระมุนีผู้ปรีชา หลงด้วยมารยาพิราไน
จนได้ร่วมรสสังวาส อัครราชแนบสนิทพิสมัย
อิงแอบแนบข้างไม่ห่างไกล อรไทจึ่งกล่าววาที
ตัวข้าเป็นราชธิดา กษัตราโรมพัตบูรีศรี
พระบิตุรงค์ผู้ทรงธรณี ให้ข้านี้มาเชิญพระนักธรรม์
เข้าไปโปรดเกล้าประชากร อันได้เดือดร้อนทั้งเขตขัณฑ์
เหมือนหนึ่งช่วยชีพชีวัน ฝูงคนทั้งนั้นให้พ้นภัย ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระกไลโกฏอาจารย์ใหญ่
ฟังนางหวนทุกข์ฉุกใจ ก็คิดได้ถึงคำบิดา
เอะกูผิดแล้วครั้งนี้ มาร่วมรสฤดีเสน่หา
ให้เสียดายตบะกิจวิทยา อนิจจาจะทำประการใด
ครั้นจักละนางอยู่สร้างพรต เสียดายรสที่ร่วมพิสมัย
จำกูจะตั้งหน้าไป จะเป็นกระไรก็ตามที
คิดแล้วจึ่งตอบวาจา ซึ่งจะพาเราไปบูรีศรี
สุดแต่สีกาจะปรานี รูปนี้มิให้อนาทร ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางอรุณวดีดวงสมร
เห็นพระสิทธาอาวรณ์ ยอกรกราบลงกับบาทา
ขอเชิญพระองค์รีบไป ขึ้นมหาพิชัยรัถา
ข้าเอามารับกับโยธา อยู่ที่ชายป่าพนาลี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระกไลโกฏฤๅษี
ได้ฟังอัครราชเทวี ก็ครองเครื่องอาหุดีชีไพร
ฉวยได้ไม้เท้าตาลิปัตร บริขารนั้นยัดใส่ย่ามใหญ่
ออกจากอาศรมศาลาลัย ไปด้วยองค์อัครชายา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

๏ เมื่อนั้น นางอรุณวดีเสน่หา
ครั้นถึงที่ประทับโยธา กัลยาเชิญองค์พระมุนี
ขึ้นนั่งบัลลังก์รถทรง ท่ามกลางอนงค์สาวศรี
ให้เลิกพหลโยธี คืนเข้าบูรีอรไท ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงเมืองโรมพัตตัน ฝนสวรรค์ลั่นฟ้าห่าใหญ่
ฝูงสัตว์มัจฉาก็ดีใจ ห้วยหนองนองไปด้วยธารา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ คุกพาทย์

๏ บัดนั้น หญิงชายชาวเมืองถ้วนหน้า
ต่างคนยินดีปรีดา พากันมาดูพระนักพรต
เห็นหน้าดั่งหน้ากวางทราย รูปกายเป็นเพศมนุษย์หมด
ต่างร้องสรรเสริญเจริญยศ ทั่วทั้งชนบทธานี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น ท้าวโรมพัตเรืองศรี
ครั้นรู้ว่าราชบุตรี ได้พระมุนีมาดั่งใจ
มีความชื่นชมโสมนัส พูนสวัสดิ์พักตร์ผ่องดั่งแขไข
ลงจากปราสาทแก้วแววไว เสด็จไปรับองค์พระสิทธา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

๏ ครั้นถึงจึ่งประณตบทบงสุ์ พระดาบสผู้ทรงสิกขา
เชิญลงจากรถรัตนา มาขึ้นมหาปราสาทชัย ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ ให้นั่งเหนือบัลลังก์แก้ว แล้วมีมธุรสปราศรัย
พระองค์ทรงพรตอยู่กลางไพร ชำนาญในกิจพิธี
ด้วยอำนาจวิทยาอาคม ของพระบรมฤๅษี
ฝนนั้นแล้งไปถึงสามปี ประชาชีไพร่ฟ้าก็ล้มตาย
จึ่งให้ไปเชิญเข้ามา ช่วยชีวาสัตว์ทั้งหลาย
ซึ่งอุปัทวันอันตราย จะหายด้วยบุญพระอาจารย์ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั่น พระมุนีผู้ปรีชาหาญ
ได้ฟังจึ่งตอบพจมาน เหตุการณ์ทั้งนี้มิได้รู้
สาละวนสวดมนต์ภาวนา ตั้งใจรักษากิจอยู่
เป็นไฉนไม่ให้ไปบอกกู จึ่งสู้ยากมาถึงสามปี
ต่อเมื่อให้องค์อรไท ออกไปหารูปผู้ฤๅษี
แจ้งว่าเกิดภัยในธานี เรานี้จึ่งได้เข้ามา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวโรมพัตนาถา
ชื่นชมโสมนัสปรีดา ในองค์พระมหาอาจารย์
จึ่งถวายธูปเทียนหิรัญมาศ สุมาลาศเสาวรสหอมหวาน
ให้พระองค์ผู้ทรงตบะญาณ อยู่ปราสาทสุรกานต์รูจี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น พระกไลโกฏฤๅษี
ภิรมย์สมสวาทด้วยเทวี มีแต่ผาสุกจำเริญใจ
เพลิดเพลินในรสเสน่หา จะจงกรมภาวนาก็หาไม่
ลืมทำพิธีบูชาไฟ ลืมไพรอาวาสแต่ก่อนกาล
ลืมทั้งคณะสานุศิษย์ ลืมกิจกำเริบด้วยสงสาร
แต่ภิรมย์สมสุขด้วยเยาวมาลย์ แสนสนุกสำราญทุกเวลา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ กล่อม

ช้า

๏ เมื่อนั้น ฝ่ายท้าวทศรถนาถา
ครอบครองไอศูรย์สวรรยา ในกรุงทวาราวดี
เทวาสุรารักษ์นักสิทธ์ ทุกทิศมาพึ่งบทศรี
ดั่งฉัตรแก้วกั้นโมลี ประชาชีแสนสุขสำราญ
เป็นสหายกับพญาสกุณา ชื่อว่าสดายุใจหาญ
พระไร้โอรสราชกุมาร ผ่านฟ้าดำริตริไป
แม้นกูสวรรคตลง ใครจะสืบสุริย์วงศ์ก็หาไม่
อสุราจะชะล่าชะเลยใจ เบียดเบียนทั้งไตรโลกา
อย่าเลยจะประชุมพระดาบส อันมีพรตญาณฌานกล้า
ตั้งพิธีการกาลา ให้เกิดโอรสาอันฤทธี ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

ร่าย

๏ ครั้นรุ่งแสงสีรวีวร ทินกรจำรัสรัศมี
ชำระองค์ทรงเครื่องรูจี จรลีออกท้องพระโรงคัล ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ ลดองค์ลงเหนือบัลลังก์รัตน์ ภายใต้เศวตฉัตรฉายฉัน
พร้อมหมู่สุริย์วงศ์พงศ์พันธุ์ เสนาอภิวันท์ดาษดา
จึงมีพระราชบรรหาร สั่งขุนธรรมการใจกล้า
จงไปนิมนต์พระสิทธา เข้ามายังราชธานี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ขุนธรรมการทั้งสี่
รับสั่งแล้วถวายอัญชุลี ต่างขึ้นพาชีรีบไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ มาถึงศาลาอาศรม ยอกรบังคมประนมไหว้
บอกว่าพระปิ่นภพไตร ให้มานิมนต์พระสิทธา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระวสิษฐ์สวามิตรฌานกล้า
พระวัชอัคคีผู้ปรีชา พระภารทวาชมุนี
แจ้งว่าพระวงศ์เทเวศ จอมเกศอยุธยากรุงศรี
ให้นิมนต์เข้าไปพระบูรี ก็มีความยินดีปรีดา
จึ่งบอกคณะพระดาบส อันมีพรตญาณฌานกล้า
ต่างองค์ทรงเครื่องจรรยา ออกจากศาลาแล้วรีบไป ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงนิเวศน์วังสถาน องค์พระอาจารย์น้อยใหญ่
ก็นั่งเหนืออาสน์แก้วแววไว ตามที่โดยในอันดับกัน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวทศรถรังสรรค์
ครั้นเห็นคณะพระนักธรรม์ อภิวันท์แล้วมีบัญชา
ซึ่งให้นิมนต์มาทั้งนี้ ด้วยมีประสงค์จะปรึกษา
ตัวข้าครอบครองสวรรยา อายุสสังขาร์ก็ล่วงไป
อันเกิดมาเป็นรูปกาย ที่จะพ้นความตายนั้นหาไม่
โยมไร้โอรสยศไกร จะสืบในสุริย์วงศ์กษัตรา
แม้นว่าสิ้นชีพสังขาร จะเดือดร้อนรำคาญทั้งแหล่งหล้า
อันหมู่อสุรพาลา ก็ยิ่งจะหยาบช้าราวี
ขอพระมหาอาจารย์เจ้า จงได้โปรดเกล้าเกศี
ช่วยตั้งกระลากิจพิธี ให้มีซึ่งราชโอรส ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ทั้งสี่พระมหาดาบส
ได้ฟังบรรหารพระทรงยศ จึ่งตอบมธุรสพจนา
ซึ่งพระองค์ดำริทั้งนี้ รูปยินดีด้วยหนักหนา
อันจะทำพิธีจรรยา ก็จะมีบุตรมาตั้งใจ
แต่ไม่สู้ทรงศักดานัก จะต่อสู้หมู่ยักษ์นั้นไม่ได้
อสุรีย่อมมีฤทธิไกร สามไทเป็นเจ้าให้พรมา
แม้นว่าได้พระกไลโกฏ อันมีโพธิสมภารฌานกล้า
ซึ่งอยู่โรมพัตพารา นิมนต์เธอมาคิดการ
เห็นว่าจะได้ราชบุตร ฤทธิรุทรเดชากล้าหาญ
ด้วยกิจพิธีนั้นชำนาญ ถึงจะสู้ยักษ์มารไม่เกรงกัน ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวทศรถรังสรรค์
ฟังสี่พระมหานักธรรม์ ดั่งได้ช่อชั้นดุษฎี
พระอาจารย์จงไปด้วยโยม ยังโรมพัตบูรีศรี
ช่วยกันว่าวอนพระมุนี เห็นทีจะได้ดั่งจินดา
ตรัสแล้วสั่งเสนามาตย์ ให้เตรียมพยุหบาตรซ้ายขวา
ราชรถคชสารอาชา ทั้งรัถาสำหรับพระนักธรรม์ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น จึ่งมหาเสนาคนขยัน
รับสั่งพระวงศ์เทวัญ ถวายบังคมคัลแล้วออกไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ เกณฑ์หมู่โยธาล้วนสามารถ ตั้งเป็นพยุหบาตรกระบวนใหญ่
กองหน้านั้นถือปืนไฟ ใส่เสื้อสีฟ้าขลิบทอง
หมู่หนึ่งมือถือธนู ใส่เสื้อชมพูเป็นทิวท่อง
หมู่หนึ่งถือหอกคร่ำทอง สอดใส่เสื้อปล้องกรีดกราย
หมู่หนึ่งมือถือเกาทัณฑ์ ใส่เสื้อสีจันทร์เฉิดฉาย
เตรียมทั้งรถแก้วแพรวพราย ไพร่นายคอยเสด็จจรลี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ