สมุดไทยเล่มที่ ๑๑๓

๏ มาจะกล่าวบทไป ถึงพญาวายุภักษ์ยักษา
หน้านั้นเป็นหน้าอสุรา กายาเหมือนนกอินทรี
สองกรนั้นมีปีกป้อง สองเท้าเหมือนครุฑปักษี
หางแพร้วดั่งแววโมรี มีขนเลื่อมลายอลงกรณ์
ชนนีนั้นเป็นสกุณา บิดาชาติอสูรชาญสมร
ผ่านกรุงวิเชียรพระนคร ยังเนินสิงขรจักรวาล
โยธาเหล่าหนึ่งเป็นปักษี เหล่าหนึ่งอสุรีใจหาญ
อันวายุภักษ์ขุนมาร ฤทธิไกรชัยชาญมหิมา
มิได้อยู่ในทศธรรม์ หยาบคายโมหันธ์แกล้วกล้า
เบียดเบียนฤๅษีเทวา เกรงฤทธิ์อสุราทั้งธาตรี ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ คิดจะใคร่ไปเที่ยวประพาส หิมวาสแนวเนินคีรีศรี
ชมพรรณพฤกษามาลี ให้มีความสุขสำราญ
ตริแล้วอ่าองค์ทรงเครื่อง จับกระบองฤทธิเรืองห้าวหาญ
พาพวกโยธีบริวาร บินทะยานผ่านไปในเมฆา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ สำเนียงเสียงปีกบันลือลั่น ไหวหวั่นทั่วทศทิศา
มืดกลุ้มบดบังพระสุริยา บินข้ามมหาสมุทรไท ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดเดี๋ยวร่อนรามาถึง เขาหนึ่งเงื้อมเมฆสูงใหญ่
ขุนมารเหลือบเล็งแลไป ที่ในแนวเนินคีรี
จึ่งเห็นมนุษย์ทั้งคู่ นั่งอยู่กับเหล่ากระบี่ศรี
มีความชื่นชมยินดี ด้วยสบสมที่เจตนา
อย่าเลยตัวกูจะฉวยฉาบ คาบเอาไปกินเป็นภักษา
คิดแล้วสำแดงฤทธา อสุราก็โฉบลงไป ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เฉี่ยวเอามนุษย์ทั้งสององค์ กำไว้ในกรงเล็บได้
กลับขึ้นเมฆาว่องไว พาไปด้วยกำลังขุนมาร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ท้าวพญาพานรินทร์ทวยหาญ
เห็นปักษาโฉบพระลักษมณ์พระอวตาร บินทะยานไปโดยอัมพร
ต่างตนโกรธากระทืบบาท ไหวหวาดสะเทือนสิงขร
กวัดแกว่งอาวุธดั่งไฟฟอน วานรเหาะตามไปทันที ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ครั้นทันถาโถมเข้าโจมยุทธ กลุ้มกันสัประยุทธ์ปักษี
บ้างฉวยปีกฉีกหางเป็นโกลี ตีสกัดโลดไล่ไปมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ สุครีพฉวยจับเท้าซ้าย ลูกพระพายเข้าจับเท้าขวา
ชิงได้พระลักษมณ์พระจักรา แบกไว้เหนือบ่าพร้อมกัน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น วายุภักษ์ฤทธิแรงแข็งขัน
คนเดียวต่อตีพัลวัน รับรองป้องกันว่องไว
กางปีกซ้ายขวาถาถาบ โฉบฉาบราวีหนีไล่
ต่างกล้าต่อหาญเข้าชิงชัย เสียงสนั่นหวั่นไหวทั้งธาตรี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น บรรดาท้าวพญากระบี่ศรี
จู่โจมโถมถาราวี คลุกคลีตะลุมบอนรอนราญ
ต่างผาดต่างโผนโจนจับ ต่างกลอกต่างกลับสำแดงหาญ
ต่างแทงต่างฟันขุนมาร เข้าทะยานโถมถีบด้วยบาทา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น วายุภักษ์ฤทธิไกรใจกล้า
แผดเสียงเร่งพลเป็นโกลา ให้เข้าเข่นฆ่าวานร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ฝ่ายพวกทหารชาญสมร
ต่างตนสำแดงฤทธิรอน โถมเข้าต่อกรราวี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ที่เป็นปักษาก็ฉาบเฉี่ยว ลดเลี้ยวโจมจิกกระบี่ศรี
บ้างกางปีกซ้ายขวาราวี ต่อตีในกลางโพยมบน
อันโยธีซึ่งเป็นอสุรา กวัดแกว่งสาตรากุลาหล
ยิงแย้งแทงฟันอลวน ต่างตนไม่คิดตัวตาย ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ท้าวพญาวานรทั้งหลาย
กวัดแกว่งอาวุธดั่งเพลิงพราย ทุกนายเข้าจับอสุรา
ต่างฟาดต่างฟันต่างแทง ด้วยกำลังฤทธิแรงแข็งกล้า
หัวขาดตกกลาดลงมา สิ้นพวกโยธาไพรี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น วายุภักษ์สิทธิศักดิ์ยักษี
เห็นพลล้มตายไม่สมประดี อสุรีกริ้วโกรธขบฟัน
เข่นเขี้ยวคำรามเป็นโกลา ดั่งหนึ่งเสียงฟ้าคะนองลั่น
แกว่งกระบองฤทธิไกรดั่งไฟกัลป์ เข้าไล่โรมรันวานร ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น องคตนิลพัทชาญสมร
ทั้งสิบแปดมงกุฎฤทธิรอน กลุ้มเข้าต่อกรอสุรี
บ้างฉวยปีกฉวยเท้าอุตลุด ชิงคทาวุธยักษี
บ้างแทงบ้างฟันบ้างตี กระบี่รบชิดติดพัน ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น วายุภักษ์ฤทธิแรงแข็งขัน
ผู้เดียวสุดที่จะโรมรัน โจมประจัญกับหมู่วานร
สองปีกป้องปัดอุตลุด ด้วยกำลังฤทธิรุทรชาญสมร
ความเจ็บเหลือที่จะต่อกร ก็บินหนีเข้าซ่อนในเมฆา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ท้าวพญาวานรแกล้วกล้า
เห็นวายุภักษ์อสุรา ไม่ต่อศักดาหนีไป
ในที่พ่างพื้นอัมพร ซ่อนอยู่ยังกลีบเมฆใหญ่
ต่างตนสำแดงฤทธิไกร ทะยานไล่ติดตามอสุรี
แยกกันลดเลี้ยวเที่ยวหา ก็เห็นกายายักษี
นิลพัทกับลูกพาลี แกว่งตรีถาโถมเข้าโรมราญ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ สองนายรบชิดติดพัน กลับกลอกแทงฟันสังหาร
เศียรขาดตกพื้นสุธาธาร ขุนมารสุดสิ้นชีวา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นเสร็จจึ่งลูกพระอาทิตย์ กับพญาอนุชิตทหารกล้า
ก็พาเสด็จสองกษัตรา ลงมาบรรพตด้วยฤทธี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระนารายณ์สุริย์วงศ์เรืองศรี
ครั้นมาถึงเนินคีรี มีความแสนโสมนัสนัก
พักตร์ผ่องดั่งดวงศศิธร อันเขจรลอยเลื่อนตามจักร
จึ่งตรัสแก่องค์พระลักษมณ์ น้องรักของพี่ผู้ร่วมใจ
อันหมู่ทหารของเรานี้ ฤทธาไม่มีที่เปรียบได้
เลื่องชื่อลือจบภพไตร ใช้ไหนก็ได้ดั่งจินดา
ครั้งนี้เราจะจากพระนคร ออกมาสัญจรอยู่กลางป่า
นับได้เก้าเดือนคณนา ชันษาร้ายพ้นพันทวี
ต้องคำพิเภกทายทัก ประจักษ์ทุกสิ่งไม่คลาดที่
หากทหารมาด้วยช่วยตามตี ทันทีจึ่งไม่ลำบากใจ
ที่นี้อาเกียรณ์ด้วยซากศพ กลิ่นตลบไม่ทนอยู่ได้
จำเราจะพากันเที่ยวไป หาที่อาศัยให้ถาวร
ตรัสแล้วเสด็จยุรยาตร องอาจดั่งพญาไกรสร
ออกจากถํ้าแก้วอลงกรณ์ วานรทหารก็ตามมา ฯ

ฯ ๑๔ คำ ฯ

๏ เดินทางมาหว่างบรรพต เลี้ยวลดตามแถวแนวป่า
ชมสัตว์จัตุบาทดาษดา เล็มล่าริมชายพนาลี
นรสิงห์สิงห์นัดโลดเล่น กระต่ายเต้นตามเนินคีรีศรี
เสือเหลืองหมอบมองมฤคี จามรีเดินเดาะละเมาะเมียง
หมีเที่ยวดั้นด้นบ่นพึม เสือโคร่งกระหึมครึมเสียง
โคป่าพาคู่คลอเคียง เลียงผาเผ่นผายระเห็จจร
ราชสีห์ชำเลืองเยื้องกราย เมียงม่ายชมนางไกรสร
มหิงสาเสี่ยวขวิดดินดอน พังพอนเล่นเลี้ยวหยอกกัน
คชสารนำหมู่กิริณี เที่ยวอยู่ที่ชายพนาสัณฑ์
บ้างตรวจแตร้นแล่นไล่พัลวัน ลูกนั้นแนมข้างไปมา
อนิจจาเหมือนสีดายุพาพักตร์ เลี้ยงสองลูกรักเสน่หา
ชมพลางทางหวั่นวิญญาณ์ ชลนาคลอเนตรดำเนินไป ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๏ ล่วงทางมาสามราตรี ถึงที่ท้ายเขาหนึ่งใหญ่
ราบรื่นพื้นสะอ้านสำราญใจ ประกอบด้วยมิ่งไม้หลายพรรณ
พิศดอกออกผลดิบสุก แสนสนุกดั่งหนึ่งสวนสวรรค์
ไม่รู้ว่าสวนกุมภัณฑ์ ก็พากันเข้าไปด้วยยินดี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เห็นสระโบกขรณีสี่เหลี่ยม นํ้าเปี่ยมใสดั่งมณีศรี
บันไดดาษลาดแท่นในชลธี เป็นที่แสนสุขภิรมยา
ริมรอบคันขอบสระนั้น มีพรรณไม้ทรงบุปผา
ก็พาพระวรนุชกับโยธา ลงเล่นมหาชลาลัย ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ขัดสีธุลีมลทิน ในกระแสวารินเย็นใส
โกสุมตูมตั้งบังใบ บ้างแบ่งบานไสวอรชร
พระพายชายพัดรำเพยกลิ่น รวยรินเสาวคนธ์เกสร
หวนคะนึงถึงองค์บังอร ภูธรแสนสลดวิญญาณ์
พระลักษมณ์เด็ดผักปทุเมศ ทูลเกศถวายพระเชษฐา
นิลุบลบัวผันสันตะวา บุษบาบานแย้มแกมกัน
ท้าวพญาวานรทั้งหลาย เล่นโลดโดดว่ายเกษมสันต์
บ้างถอนทิ้งชิงดวงบุษบัน บ้างสาดนํ้าดำดั้นวารี
บ้างฉุดชักหักก้านปทุมาศ ตีฟาดหยอกกันอึงมี่
ต่างตนชื่นชมยินดี ในที่สระสวนมาลา ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ ครั้นเสร็จซึ่งลงสรงสนาน องค์พระอวตารนาถา
ก็ชวนพระศรีอนุชา ขึ้นมาจากท่าชลาลัย
พร้อมท้าวพญาพานร สโมสรใต้ร่มรังใหญ่
พระพายชายพัดเย็นใจ ภูวไนยสำราญอินทรีย์ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ฝ่ายขุนนนทกาลยักษี
ซึ่งท้าวอุณาราชอสุรี ให้คุมโยธีห้าพัน
พร้อมด้วยเครื่องสรรพสาตรา ออกมารักษาสวนขวัญ
ครั้นเห็นมนุษย์ทั้งสองนั้น พากันเข้ามากับวานร
อาจองลงเล่นอลวน ในสระอุบลเกสร
มิหนำซ้ำทำคะนองกร ทึ้งถอนต้นรากไม่สมประดี
แม้นทราบถึงเบื้องบาทบงสุ์ แห่งองค์พระยายักษี
จะกริ้วโกรธพิโรธพันทวี น่าที่กูจะม้วยชีวัน
จะจับมนุษย์ทั้งสองนาย ไปถวายพระปิ่นไอศวรรย์
บรรดาวานรทั้งนั้น จะหํ้าหั่นกินเล่นให้สำราญ
คิดแล้วจึ่งทำสีหนาท ร้องประกาศเร่งหมู่ทวยหาญ
พร้อมกันโลดโผนโจนทะยาน เข้าล้อมไว้ทุกด้านรอบไป ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๏ จึ่งร้องถามไปด้วยโกรธา เหวยมนุษย์นี้มาแต่ไหน
จึ่งทำอาจองทะนงใจ เข้ามาเล่นในที่นี้
ไม่รู้หรือว่าสวนรุกขชาติ ของท้าวอุณาราชยักษี
ผ่านมหาสิงขรธานี ฤทธีเลิศลบโลกา
ตัวเอ็งถึงพรหมลิขิต ชีวิตจะสิ้นสังขาร์
ทั้งไอ้วานรบรรดามา จะเป็นภักษากุมภัณฑ์ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระหริรักษ์จักรแก้วรังสรรค์
ได้ฟังขุนมารชาญฉกรรจ์ ทรงธรรม์จึ่งตอบวาที
อันตัวกูนี้ทรงนาม ชื่อว่าพระรามเรืองศรี
อวตารมาปราบอสุรี ได้ผ่านธานีอยุธยา
ออกมาเดินป่าพนาเวศ ไม่แจ้งเหตุว่าสวนยักษา
จึ่งลงอาบกินคงคา มึงนี้หยาบช้าเป็นพ้นไป
พวกเอ็งดั่งฝูงแมงเม่า จะบินเข้าในกองเพลิงใหญ่
สำหรับแต่จะสิ้นชีวาลัย ด้วยฤทธิไกรวานร ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ขุนนนทกาลชาญสมร
กริ้วโกรธพิโรธดังไฟฟอน ก็ขับหมู่นิกรเข้าโจมตี
บรรดาไพร่พลกุมภัณฑ์ ขบฟันโห่ร้องอึงมี่
ต่างโผนโจนทะยานเข้าราวี จับพวกกระบี่เป็นโกลา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น องคตนิลพัทหาญกล้า
มัจฉานุอสุรผัดผู้ศักดา สิ้นทั้งโยธาที่ตามไป
ต่างชักอาวุธออกกวัดแกว่ง สำแดงฤทธิรอนแผ่นดินไหว
แยกย้ายกันออกชิงชัย ถาโถมโจมไล่ราวี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ต่างจับต่างกุมตะลุมบอน บ้างฉีกกรฉีกขายักษี
หัวขาดตีนขาดไม่สมประดี แตกหนีตายยับทับกัน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นนทกาลอสุราโมหันธ์
ความกลัวเพียงม้วยชีวัน ตัวสั่นวิ่งหนีเข้าเวียงชัย ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึ่งตรงขึ้นไปเฝ้า น้อมเกล้าประนมบังคมไหว้
ทูลว่าสองมนุษย์บังอาจใจ มาอยู่ในสวนมาลา
กับหมู่วานรินทร์กระบินทร์ราช หลายตนองอาจแกล้วกล้า
ลงเล่นในสระปทุมา ทึ้งถอนพฤกษาแหลกลาญ
ตัวข้าพากันเข้าล้อมจับ มันกลับสัประยุทธ์หักหาญ
ผลาญหมู่อสุราวายปราณ ขอประทานจงได้ปรานี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวอุณาราชยักษี
ได้ฟังกริ้วโกรธดั่งอัคคี อสุรแผดเสียงเกรียงไกร
ฉิฉะไอ้มนุษย์สองรา กับกระบี่นี้มาแต่ไหน
จึ่งทำโอหังบังอาจใจ ไม่กลัวจะพากันวายปราณ
แสนมหาสุรารักษ์นักสิทธ์ ยังเกรงฤทธิ์กูผู้แกล้วหาญ
แต่ออกชื่อลือไปในจักรวาล ก็บันดาลสยองพองโลมา
มันนี้ถึงที่จะวินาศ ไม่รู้จักมัจจุราชเข่นฆ่า
จักผลาญให้ม้วยไม่พริบตา ด้วยศักดาเดชอันเกรียงไกร
ตรัสแล้วมีราชบรรหาร เหวยเสนามารผู้ใหญ่
เร่งจัดพหลพลไกร กูจะไปจับมนุษย์วานร ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นนทยักษ์เสนาชาญสมร
รับสั่งน้อมเศียรชุลีกร รีบจรออกจากพระโรงคัล ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เกณฑ์หมู่พลมารชำนาญศึก เลือกล้วนห้าวฮึกแข็งขัน
หมู่หนึ่งหน้าเสือขบฟัน กายนั้นเป็นเพศอสุรี
หมู่หนึ่งกายเป็นพยัคฆ์ ดวงพักตร์เป็นหน้ายักษี
หมู่หนึ่งเป็นหน้าพาชี มีกายนั้นเป็นกายมาร
หมู่หนึ่งนั้นตัวเป็นอาชา หน้าเป็นอสุราเหี้ยมหาญ
หมู่หนึ่งหน้าสิงห์เผ่นทะยาน กายเป็นกายมารเกรียงไกร
หมู่หนึ่งหน้าเป็นกุมภัณฑ์ ตัวนั้นเป็นสิงห์เติบใหญ่
ล้วนถืออาวุธแกว่งไกว เตรียมไว้โดยราชบัญชา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวอุณาราชยักษา
ครั้นเสร็จซึ่งจัดโยธา มาเข้าที่สรงชลธาร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ สุหร่ายแก้วโปรยปรายดั่งสายฝน ลูบไล้เสาวคนธ์หอมหวาน
สอดทรงสนับเพลาอลงการ ภูษาลายก้านกระหนกครุฑ
ชายไหวชายแครงเครือหงส์ ฉลององค์พื้นตองทองผุด
ทรงเกราะสำหรับพิชัยยุทธ์ รัดอกประดับบุษย์ดวงลอย
ตาบทิศทับทรวงสังวาลวัลย์ สะอิ้งแก้วกุดั่นเฟื่องห้อย
ทองกรพาหุรัดประดับพลอย ธำมรงค์เพชรพร้อยพรายตา
ทรงมหามงกุฎเนาวรัตน์ ทัดกรรเจียกแก้วซ้ายขวา
จับศรแล้วขัดคทา เสด็จมาขึ้นรถอลงการ ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ รถเอยราชรถศึก พันลึกด้วยดวงมุกดาหาร
กำกงล้วนแล้วแก้วประพาฬ สามงอนชัชวาลรูจี
เสาเก็จกาบกระจังบัลลังก์รถ อลงกตด้วยแก้วสลับศรี
มุขบันช่อฟ้าบราลี แกมมณีนพมาศชมพูนุท
เทียมด้วยคชสีห์ตัวกล้า เริงร่าแผดร้องอึงอุด
สารถีกวัดแกว่งคทาวุธ ขับรุดทะยานมากลางพล
อภิรุมชุมสายพรายโพยม ปี่ฆ้องกลองประโคมกุลาหล
โห่สะเทือนเลื่อนลั่นสุธาดล รีบพลไปยังอุทยาน ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระจักรีผู้ปรีชาหาญ
ได้ยินเสียงพวกพลมาร โห่สะท้านอื้ออึงคะนึงมา
จึ่งตรัสแก่พระลักษมณ์นุชนาถ ทั้งราชกระบินทร์ซ้ายขวา
บัดนี้อสูรพาลา ไปบอกเจ้ามันมาชิงชัย ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นิลพัทอสุรผัดทหารใหญ่
ทั้งมัจฉานุผู้ฤทธิไกร บังคมไหว้สนองพระวาที
ข้าขออาสาไปราญรอน ผลาญพลนิกรยักษี
มิให้เคืองใต้ธุลี ภูมีจงทรงพระเมตตา
ทูลแล้วประณตบทบงสุ์ ลาองค์พระบรมนาถา
สามนายก็รีบออกมา ยังที่ชายป่าพนาลัย ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ แลเห็นพวกพลอสุรี เกลื่อนกลาดปถพีไม่นับได้
ต่างตนสำแดงฤทธิไกร เข้าไล่ตีทัพกุมภัณฑ์ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ต่างตีต่างฟันต่างแทง ด้วยกำลังเรี่ยวแรงแข็งขัน
พลมารไม่รอต่อประจัญ พากันแตกย่นร้นมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นนทจักรนายทหารกองหน้า
เห็นสามกระบี่ตีโยธา แตกยับลงมาวุ่นไป
พิโรธโกรธกริ้วกระทืบบาท ผาดเสียงสีหนาทหวาดไหว
ต้อนหมู่พหลพลไกร ออกไปรับหน้าวานร
แทงฟันพุ่งซัดสับสน ลางตนก็ยิงธนูศร
โห่สนั่นครั่นครื้นดินดอน ราญรอนไม่คิดชีวา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น สามนายผู้ใจแกล้วกล้า
เห็นยักษีหนุนเนื่องกันมา ก็โจมเข้าเข่นฆ่ากลางพล
หักคอหักแขนจับฟัด พุ่งซัดอาวุธสับสน
พลมารไม่หาญทานทน แตกร่นจนรถกุมภัณฑ์ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ นิลพัทจึ่งยืนร้องประกาศ เหวยเหวยอุณาราชโมหันธ์
มึงไม่รู้หรือไอ้อาธรรม์ ว่าพระทรงสุบรรณฤทธิรุทร
เทเวศประชุมเชิญมา จากมหาวารีกษีรสมุทร
เกิดในสุริย์วงศ์พงศ์มนุษย์ ได้ผ่านอยุธยาราชัย
ทรงนามพระรามราเมศ เรืองเดชฟากฟ้าดินไหว
เป็นฉัตรแก้วกั้นพื้นภพไตร เสด็จไปล้างพวกพาลา
ในลงกามลิวันพระนคร ตายด้วยแสงศรมาหนักหนา
แจ้งว่าฝ่ายทิศบูรพา มีหมู่อสุราอาธรรม์
จึ่งละสมบัติพัสถาน ทรมานมาเดินพนาสัณฑ์
ได้ล้างกุเวรตรีปักกัน ทั้งวายุภักษ์นั้นบรรลัย
อันกุมภัณฑ์นุราชอสุรี ซึ่งต้องสาปพระศุลีด้วยโทษใหญ่
พระโปรดให้พ้นทุกข์ไป เป็นเทพไทดั่งก่อนมา
มึงอย่าโอหังมาต่อยุทธ์ ด้วยพระทรงครุฑปักษา
เร่งไปบังคมพระบาทา เห็นว่าจะได้คงชีวี ฯ

ฯ ๑๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวอุณาราชยักษี
ได้ฟังวานรพาที โกรธดั่งอัคคีบรรลัยกาล
กระทืบบาทผาดแผดสิงหนาท เหวยเหวยไอ้ชาติเดียรัจฉาน
มึงมามุสาสาธารณ์ คือนารายณ์อวตารครั้งใด
ตัวกูผู้ทรงศักดาฤทธิ์ ทั้งสามภพจบทิศไม่เปรียบได้
ทำไมมนุษย์เท่าแมงใย ดั่งลูกนกอยู่ในปากกา
อันกุเวรตรีปักกันวายุภักษ์ ไม่เรืองฤทธิ์สิทธิศักดิ์แกล้วกล้า
มันจึ่งสิ้นชีพชีวา มึงอย่าขึ้นหน้าว่ากันดี
บัดเดี๋ยวก็จะม้วยวายชนม์ ทั้งสามตนกลิ้งอยู่ที่นี่
ว่าแล้วชักศรทันที อสุรีพาดสายแผลงไป ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ สำเนียงดั่งเสียงสุนีบาต เป็นนาคเกลื่อนกลาดไม่นับได้
พ่นพิษดั่งหนึ่งเปลวไฟ เลิกพังพานไล่วานร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ทั้งสามทหารชาญสมร
โจมจับนาคาด้วยฤทธิรอน สองกรฟาดฟันแหลกลาญ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เสร็จแล้วผาดแผลงสำแดงฤทธิ์ เสียงสนั่นครรชิตทุกสถาน
ต่างตนโลดโผนโจนทะยาน ขึ้นรถขุนมารทันที
นิลพัทถีบท้าวอุณาราช อสุรผัดพิฆาตสารถี
มัจฉานุหักรถอสุรี ฆ่าทั้งคชสีห์มรณา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวอุณาราชยักษา
ตกลงยังพื้นพระสุธา อสุราผุดลุกขึ้นยืนยัน
พิโรธโกรธกริ้วกระทืบบาท พระสุธาอากาศเลื่อนลั่น
กวัดแกว่งศรสิทธิ์ดั่งเพลิงกัลป์ ก็ขับพลกุมภัณฑ์เข้าราวี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น สามทหารผู้ชาญชัยศรี
รับรองป้องกันอสุรี ทำทีถอยย่นลงมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ฝ่ายสุครีพองคตวายุบุตร กับสิบแปดมงกุฎตัวกล้า
เห็นหมู่อสูรโยธา ตีประดาไล่รุกบุกบัน
เข้ามาจนหน้าพระภุชพล ต่างตนกริ้วโกรธตัวสั่น
กวัดแกว่งอาวุธดั่งเพลิงกัลป์ ขบฟันเข้าไล่รอนราญ
ฉะแทงตบกัดฟัดฟาด ด้วยกำลังองอาจกล้าหาญ
ล้มตายก่ายกองสุธาธาร อลหม่านไม่เป็นสมประดี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวอุณาราชยักษี
เห็นวานรไล่ฆ่าโยธี อสุรีกริ้วโกรธดั่งเพลิงพิษ
กระทืบบาทขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน กรนั้นกวัดแกว่งศรสิทธิ์
เข้าไล่วานรด้วยฤทธิ์ หมายล้างชีวิตให้มรณา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระสุริย์วงศ์องค์นารายณ์นาถา
เห็นยักษีไล่เหล่ากระบี่มา ผ่านฟ้าแกว่งศรออกโรมรัน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เท้าขวานั้นเหยียบเข่าซ้าย งามคล้ายหัสเนตรรังสรรค์
จับไพจิตรากุมภัณฑ์ ทรงธรรม์หวดต้องขุนมาร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวอุณาราชใจหาญ
รับรองป้องกันประจัญบาน โถมทะยานเข้าไล่ราวี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เท้าซ้ายนั้นเหยียบเข่าขวา มือคว้าชิงคันศรศรี
กลอกกลับจับกันในที ต่างตีต่างปัดพัลวัน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระจักรรัตน์แก้วรังสรรค์
อาจองรบรุกบุกบัน ยืนยันโจมจับขุนมาร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เท้าซ้ายนั้นเหยียบเข่าขวา เงื้อง่าคันศรจะสังหาร
หวดด้วยอสุราสาธารณ์ ล้มซานออกไปทันที ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวอุณาราชยักษี
ผุดลุกขึ้นจากปถพี อสุรีจับศรแผลงไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ สำเนียงเพียงรามสูรมาร ขว้างขวานสนั่นหวั่นไหว
เป็นก้อนเหล็กเรืองโรจน์ด้วยเปลวไฟ ตกกลาดดาษไปทั้งดินดอน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์พระอวตารชาญสมร
เห็นอาวุธยักษ์เป็นไฟฟอน ก็ชักศรพรหมาสตร์อันศักดา
พาดสายหมายล้างกุมภัณฑ์ ยืนยันกรายกรเงื้อง่า
น้าวหน่วงด้วยกำลังกายา ผ่านฟ้าก็ผาดแผลงไป ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ครื้นครั่นสนั่นโพยมหน บังเกิดเป็นฝนห่าใหญ่
ตกลงมาดับเปลวไฟ แล้วไปต้องอกกุมภัณฑ์ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น อุณาราชฤทธิแรงแข็งขัน
ต้องศรปิ้มม้วยชีวัน ก็ขบฟันร่ายเวทอันศักดา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถ้วนเจ็ดคาบก็ลูบลง ทั่วสารพางค์องค์ยักษา
ลูกศรที่รึงตรึงตรา ก็หลุดจากกายาทันใด
อันความเจ็บปวดนั้นสูญหาย แต่เหนื่อยพักตร์จักคลายก็หาไม่
คิดแล้วรำพึงคะนึงไป มนุษย์นี้ฤทธิไกรชัยชาญ
ตัวกูก็ทรงสิทธิศักดิ์ ทั้งไตรจักรไม่รอต่อต้าน
รณรงค์พ่างเพียงวายปราณ จะสังหารฉันใดไม่มรณา
จำจะผ่อนพักกำลังก่อน จึ่งจะค่อยราญรอนเข่นฆ่า
คิดแล้วพญาอสุรา ก็ตรงมายังสระวารี ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ มาจะกล่าวบทไป ถึงพระโคศภฤๅษี
เข้าฌานสำรวมอินทรีย์ อยู่ที่ศาลาอารัญ
แจ้งว่าองค์พระอวตาร สังหารอุณาราชไม่อาสัญ
ก็ออกจากพิธีตบะกรรม์ พระนักธรรม์เหาะรีบระเห็จไป ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เลื่อนลอยมาในโพยมพราย คล้ายคล้ายถึงยอดพนมใหญ่
ตรงลงยังที่ชิงชัย เข้าไปหาองค์พระจักรี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ นั่งลงแล้วกล่าวพจนารถ เดิมเหตุอุณาราชยักษี
เป็นเทวาข้าบาทพระศุลี มีพระหฤทัยกรุณา
อยู่มาเกียจคร้านไม่ขึ้นเฝ้า พระเป็นเจ้าจึ่งลงโทษา
สาปให้มาเป็นอสุรา ผ่านมหาสิงขรกรุงไกร
บรรดาอาวุธที่มีฤทธิ์ อย่าให้ผลาญชีวิตมันได้
เมื่อใดพระนารายณ์เรืองชัย ไวกูณฐ์มาล้างพวกพาล
ทรงนามพระรามจักรี ผ่านศรีอยุธยาราชฐาน
ออกมาเดินไพรกันดาร จะผลาญอุณาราชมรณา
ให้จำเพาะถอนเอาต้นกก แผลงไปปักอกยักษา
ตรึงไว้กับแผ่นศีลา ทรมาอยู่แสนโกฏิปี
จึ่งสั่งรูปให้อยู่แจ้งเหตุ แก่พระทรงเดชเรืองศรี
ว่าพลางชี้กกให้ทันที แล้วกลับไปกุฎีพระอาจารย์ ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระจักรีผู้ปรีชาหาญ
ฟังพระมุนีผู้มีฌาน แจ้งการแต่ดึกดำบรรพ์
มีความชื่นชมโสมนัส ดั่งได้สมบัติในสวรรค์
ดวงพักตร์ผ่องแผ้วเพียงจันทร์ ทรงธรรม์ถอนกกแก้วมา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ฝ่ายท้าวอุณาราชยักษา
กินน้ำชำระพักตรา เย็นทั่วกายาอสุรี
ซึ่งหิวหอบเหน็ดเหนื่อยก็เคลื่อนคลาย หมายจะล้างมนุษย์กระบี่ศรี
ก็เผ่นโผนจากสระด้วยฤทธี เข้าถาโถมโจมตีพัลวัน ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระหริวงศ์องค์นารายณ์รังสรรค์
แกว่งศรตีต้องกุมภัณฑ์ หันไปจากที่รอนราญ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ แล้วเอากกแก้วพาดสาย หมายล้างชีวิตสังขาร
น้าวหน่วงด้วยกำลังชัยชาญ ผ่านฟ้าผาดแผลงไปทันที ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เสียงสะเทือนเลื่อนลั่นโลกธาตุ ดั่งหนึ่งพรหมาสตร์ศรศรี
ต้องอกอุณาราชอสุรี ปลิวไปจากที่ด้วยฤทธา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ตกลงในถํ้าริมสวนขวัญ ตรึงมั่นไว้กับแผ่นผา
มิได้ไหวติงกายา พระจักราก็ซ้ำสาปไป
ให้เกิดไก่แก้วอลงกรณ์ กับนนทรีถือค้อนเหล็กใหญ่
อยู่รักษาอสุรานี้ไว้ ให้ได้ถึงแสนโกฏิปี
แม้นเห็นกกเลื่อนเคลื่อนคลาด จากอกอุณาราชยักษี
ไก่นั้นจึ่งขันขึ้นทันที นนทรีเร่งเอาพะเนินรัน
สาปเสร็จเสด็จบทจร งามดั่งทินกรรังสรรค์
กับองค์อนุชาวิลาวัณย์ คืนเข้าสวนขวัญอสุรา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ฝ่ายฝูงเทเวศทุกทิศา
ทั้งนางอัปสรกัลยา เห็นพระจักราสี่กร
สังหารอุณาราชด้วยศรกก ปักอกตรึงไว้กับสิงขร
ต่างองค์ปรีดาถาวร เผยบัญชรแก้วทุกวิมาน
เยี่ยมพักตร์สำรวลสรวลสันต์ ตบหัตถ์สนั่นฉัดฉาน
โปรยดอกไม้ทิพย์โอฬาร หอมหวานเสาวรสรวยริน
บ้างร้องอวยชัยถวายพร สรรเสริญฤทธิรอนพระทรงศิลป์
ทีนี้โลกาฟ้าดิน จะสิ้นทุกข์เป็นสุขภิรมยา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ฝ่ายหมู่อสูรศักดิ์ยักษา
ที่เหลือตายแอบชายอรัญวา เห็นพญาอุณาราชอสุรี
แพ้ฤทธิ์มนุษย์วุฒิไกร ต้องศรปลิวไปจากที่
ตกใจดั่งจะสิ้นชีวี ก็ลัดหนีเข้ายังพระนคร ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึ่งบังคมทูล นางไวยกาสูรดวงสมร
อันเป็นมเหสีภูธร มารดรนางประจันกัลยา
บัดนี้พระองค์ทรงภพ ยกพวกพลรบไปเข่นฆ่า
จนสิ้นจตุรงค์โยธา ผ่านฟ้าต้องศรปลิวไป
กราบทูลแต่ต้นจนปลาย บรรยายจะเว้นก็หาไม่
อันสองมนุษย์วุฒิไกร ยังอยู่ในสวนอุทยาน ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางไวยกาสูรยอดสงสาร
ทั้งประจันธิดายุพาพาล รู้ว่าพญามารมรณา
ตกใจดั่งใครมาฟันฟาด ให้เศียรขาดด้วยดาบอันคมกล้า
ต่างองค์ต่างฟายชลนา โศกาครวญครํ่ารำพัน ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ มารดาว่าโอ้พระทรงเดช มงกุฎเกศสิงขรเขตขัณฑ์
ทรงฤทธิไกรดั่งไฟกัลป์ ปราบได้ทั้งสวรรค์ชั้นบาดาล
ควรหรือพ่ายแพ้แก่มนุษย์ สิ้นสุดชีวังสังขาร
แต่นี้สิงขรเมืองมาร จะเสื่อมเศร้าสาธารณ์ทุกวันไป
ธิดาว่าโอ้พระบิตุรงค์ ทรงคุณไม่มีที่เปรียบได้
รักลูกดั่งหนึ่งดวงใจ ถนอมเลี้ยงมิให้ราคี
แม้นจะชมดาวเดือนดวงตะวัน พระพาไปทุกชั้นราศี
ยังมิได้ทดแทนเท่าธุลี ทีนี้จะแลลับตา
กำนัลว่าโอ้พระปิ่นเกศ พระคุณดั่งบิตุเรศนาถา
บำรุงเลี้ยงข้าบาททั้งนี้มา ด้วยพระทัยเมตตาสถาวร
ยศศักดิ์ศฤงคารประทานให้ ได้อยู่เป็นสุขสโมสร
ครั้งนี้จะมีแต่ทุกข์ร้อน รํ่าพลางข้อนทรวงเข้าโศกี ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ฝ่ายพระหริรักษ์เรืองศรี
ครั้นเสร็จซึ่งล้างอสุรี ภูมีสำราญฤทัย
จึ่งตรัสแก่องค์พระอนุชา ทั้งท้าวพญาน้อยใหญ่
แต่เราสละเวียงชัย ออกมาเดินไพรพนาวัน
ปราบหมู่อสุรพวกพาล ที่หยาบช้าสาธารณ์โมหันธ์
ตามคำพิเภกกุมภัณฑ์ กำหนดนั้นก็ได้ครบปี
ควรเราจะคืนนคเรศ ดับเทวษเจ็ดกษัตริย์เรืองศรี
ตรัสแล้วเสด็จจรลี จากที่อุทยานอสุรา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เดินทางตามหว่างหิมเวศ พระทรงเดชชมพรรณปักษา
จับไม้ร่ายร้องจำนรรจา สาสิกาจับแก้วคลอกัน
กระสาจับต้นสนสร้อย นกเขาจับข่อยคูขัน
โนรีจับรักเรียงรัน เบญจวรรณจับหว้าริมทาง
นกแก้วจับเกดเป็นฝูง นกยูงจับประยงค์ฟ้อนหาง
คับแคเต้นไต่กิ่งคาง นกลางจับเลียบแล้วบินไป
ฝูงหงส์จับเหียงเคียงคู่ กระลุมพูร่อนลงจับไผ่
ไก่ฟ้าจับกิ่งมะไฟ ระวังไพรจับราชพฤกษ์นอน
พญาลอจับต้นพะยูงลาย นกคล้าจับขลายบินว่อน
ชมพลางเร่งรีบบทจร พระอนุชาวานรก็ตามมา ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ฝ่ายองค์พระพรตกนิษฐา
ทั้งพระสัตรุดอนุชา กับสองนัดดาวิลาวัณย์
ซึ่งอยู่รักษาพระนคร คอยพระสี่กรรังสรรค์
นับวันนับเดือนประสมกัน โดยกำหนดนั้นก็ครบปี
บัดนี้สมเด็จพระทรงเดช จะคืนเข้านิเวศน์บุรีศรี
จำจะไปคอยเสด็จพระจักรี อยู่ที่ภายนอกพระนคร
ตรัสแล้วก็พากันลีลาศ สี่องค์ดั่งราชไกรสร
อันหมู่เสนาพลากร ราษฎรทั้งนั้นก็ตามไป ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ นั่งแน่นสองแถวแนวนอน กำหนดทิศโดยต้นทางใหญ่
คอยองค์พระตรีภูวไนย ผู้ใดมิได้วางตา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระภุชพงศ์องค์นารายณ์นาถา
ร้อนแรมมาในอรัญวา นับได้สิบห้าราตรี
ข้ามด่านผ่านแถวแนวทุ่ง หมายมุ่งสำคัญวิถี
พอชายบ่ายแสงพระรวี ภูมีก็ถึงพระนคร ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สี่กษัตริย์สุริย์วงศ์ทรงศร
ตั้งพระเนตรคอยองค์พระสี่กร เหลือบเห็นภูธรมาแต่ไกล
มีความชื่นชมโสมนัส พูนสวัสดิ์พ้นที่จะเปรียบได้
ต่างองค์ต่างวิ่งออกไป ด้วยใจจงรักภักดี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ จึ่งน้อมเศียรถวายอภิวาทน์ กราบลงแทบบาทบทศรี
อันเสนาไพร่ฟ้าประชาชี ต่างถวายอัญชุลีพร้อมกัน
ชาวประโคมก็ประโคมฆ้องกลอง แตรสังข์กึกก้องเสียงสนั่น
อันชีพ่อพราหมณ์ทั้งนั้น อภิวันท์อ่านเวทถวายพร ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์พระอวตารชาญสมร
เห็นสี่สุริย์วงศ์ทรงฤทธิรอน มนตรีนิกรโยธา
อันความเหนื่อยพักตร์ก็หายสิ้น พระทรงศิลป์แสนโสมนัสสา
ปราศรัยแล้วก็พากันยาตรา มายังปราสาทรูจี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึ่งตรงขึ้นไปเฝ้า น้อมเกล้าประณตบทศรี
ทั้งสามสมเด็จพระชนนี ด้วยใจปรีดาสถาวร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สามพระมารดาดวงสมร
เห็นองค์สมเด็จพระสี่กร กับพระลักษมณ์ฤทธิรอนอนุชา
กลับมาแต่ป่าพนาลัย อรไทแสนโสมนัสสา
ดั่งได้ผ่านสวรรค์ชั้นฟ้า ลุกมาสวมกอดทันที
ยอกรลูบหลังลูบพักตร์ ลูกรักของแม่ทั้งสองศรี
แต่เจ้าไปจากพระบุรี แม่นี้โศกาอาลัย
เช้าคํ่าพรํ่ากินแต่ชลเนตร จะเว้นวายเทวษก็หาไม่
ในอกร้อนรุ่มดั่งสุมไฟ ค่อยคลายใจด้วยสองนัดดา
พ่อไปเดินป่ากันดาร สององค์ช้านานหนักหนา
ได้ยากเป็นไฉนนะแก้วตา จึ่งมาซูบผอมถึงเพียงนี้ ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์พระหริรักษ์เรืองศรี
ฟังสามสมเด็จพระชนนี ชุลีกรแล้วทูลสนองไป
ตัวลูกนี้จากบทเรศ แสนเทวษปิ้มเลือดตาไหล
ทรมานอดอยากลำบากใจ ชิงชัยด้วยพวกพาลา
อันท้าวกุเวรตรีปักกัน สุดสิ้นชีวันสังขาร์
โปรดกุมภัณฑ์นุราชอสุรา คืนไปเป็นข้าพระศุลี
แล้วพบยักษาวายุภักษ์ มาโฉบเฉี่ยวลูกรักทั้งสองศรี
ไปในกรงเล็บสกุณี พวกกระบี่ตามล้างบรรลัย
ครั้นถึงสวนอุณาราชกุมภัณฑ์ ได้ต่อยุทธ์ด้วยมันเป็นศึกใหญ่
ลูกเอากกแก้วแผลงไป ตรึงไว้ตามสาปพระอิศรา
หากคุณทั้งสามพระแม่เจ้า เป็นที่ปกเกล้าเกศา
จึ่งรอดชีวิตคืนมา ทูลเบื้องบาทาในครั้งนี้ ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สามพระมารดาโฉมศรี
ฟังพระโอรสร่วมชีวี มีความสงสารเป็นพ้นไป
ชลเนตรคลอดวงนัยนา จะกลั้นโศกามิใคร่ได้
อนิจจาพ่อปิ้มจักบรรลัย หากทหารชาญชัยไปแก้ทัน
บัดนี้ก็สิ้นเคราะห์แล้ว แก้วตาจงบำรุงไอศวรรย์
ให้ไพร่ฟ้าผาสุกทุกนิรันดร์ เป็นฉัตรกั้นพื้นภพโลกา
ให้เดชาถาวรศรีสวัสดิ์ สืบวงศ์จักรพรรดิไปภายหน้า
แม่นี้จะฝากชีวา ฝากศพแก้วตาสืบไป ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระจักรีผู้มีอัชฌาสัย
ก้มเกล้ารับพรใส่เศียรไว้ ด้วยใจโสมนัสยินดี
จึ่งชวนพระอนุชากับโอรส ยอกรประณตบทศรี
ลาสามสมเด็จพระชนนี จรลีไปปราสาทชัชวาล ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงเสด็จเหนือบัลลังก์อาสน์ อันโอภาสพรรณรายฉายฉาน
จึ่งประทานเครื่องต้นอลงการ แก่ทหารตามมีบำเหน็จกร
สังวาลธำมรงค์มงกุฎเพชร เสร็จแล้วโอวาทสั่งสอน
จงกลับไปผ่านพระนคร ให้ถาวรเป็นสุขทุกพารา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ท้าวพญาวานรถ้วนหน้า
รับราชรางวัลอันโอฬาร์ แสนโสมนัสสาพันทวี
จึ่งน้อมเศียรประณตบทบงสุ์ ลาองค์พระนารายณ์เรืองศรี
ต่างเหาะไปยังธานี ด้วยกำลังฤทธีชัยชาญ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระจักรีผู้ปรีชาหาญ
ครั้นคํ่ายํ่าสนธยากาล ชัชวาลด้วยแสงจันทร
ดวงดาวประดับเดียรดาษ โอภาสจำรัสประภัสสร
จึ่งพาสองโอรสฤทธิรอน บทจรเข้าห้องรูจี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เอนองค์ลงเหนือบัลลังก์รัตน์ ภายใต้เศวตฉัตรมณีศรี
ให้คะนึงถึงองค์เทวี ภูมีทอดถอนฤทัย
พิศพักตร์ทั้งสองเยาวเรศ ชลเนตรแถวถั่งหลั่งไหล
นิจจาเอ๋ยสีดายาใจ เคยได้ยากไร้ด้วยกันมา
ความเจ้ารักพี่พี่รักเจ้า สองเราร่วมชีพสังขาร์
ถ้อยทีมิให้เคืองวิญญาณ์ ควรหรือมาเป็นได้ดั่งนี้
โอ้ว่าเสียแรงบำรุงรัก เสียดายนักแก้วตามาจากพี่
สุดคิดสุดทุกข์แสนทวี แสนเทวษที่เจ้าไม่อาวรณ์
เสียทีที่อวตารมา ปราบหมู่พาลาด้วยแสงศร
ไตรโลกเป็นสุขไม่ทุกข์ร้อน แต่ดวงสมรพี่มาจากไป
อกเอ๋ยทำไฉนจะได้น้อง คืนมาร่วมห้องพิสมัย
พิเภกก็ทายทำนายไว้ ว่าจะมีผู้ใหญ่เมตตา
คิดคิดก็ไม่เล็งเห็น ใครจะเป็นที่พึ่งเหมือนหนึ่งว่า
ครวญพลางกอดสองกุมารา ผ่านฟ้าหลับไปในราตรี ฯ

ฯ ๑๔ คำ ฯ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ