สมุดไทยเล่มที่ ๓๙

๏ เมื่อนั้น พระตรีภพลบโลกทั้งหลาย
บรรทมเหนือแท่นแก้วแพรวพราย กรก่ายพักตร์คะนึงถึงสีดา
ป่านนี้เจ้าพี่จะเป็นไฉน ดวงใจแสนสุดเสน่หา
ครั้งหนึ่งผูกคอให้มรณา หากว่าวายุบุตรไปทัน
แก้ลงแล้วแจ้งข่าวสาร หาไม่เยาวมาลย์จะอาสัญ
ถึงกระนั้นอยู่ในมือมัน พี่นี้หวาดหวั่นฤทัยนัก
แต่ผุดลุกผุดนั่งไม่มีสุข แสนทุกข์แสนเทวษเพียงอกหัก
แสนอาลัยในองค์นงลักษณ์ พระทรงจักรมิได้นิทรา
จนล่วงปัจฉิมราตรี สกุณีเพรียกพร้องก้องป่า
เสนาะเสียงแมลงผึ้งภุมรา สุริยาเยี่ยมยอดยุคุนธร ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ จึ่งบ้วนพระโอษฐ์สรงพระพักตร์ แล้วชวนพระลักษมณ์ทรงศร
เสด็จไปสระสรงสาคร เสนาวานรก็ตามมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ รุกร้น

๏ ครั้นถึงริมฝั่งชลาลัย ภูวไนยเหลือบแลซ้ายขวา
เห็นรูปอสูรมารยา เกยอยู่ที่ท่าหาดทราย
อรชรอ้อนแอ้นระทวยทรง เหมือนองค์สีดาโฉมฉาย
ตกใจเพียงสิ้นชีวาวาย พระนารายณ์วิ่งไปด้วยความรัก ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงลดองค์ลงแนบน้อง สองกรช้อนเกศขึ้นใส่ตัก
พินิจพิศดูดวงพักตร์ กายกรนรลักษณ์วนิดา
มิได้ผิดเพี้ยนทั้งผิวพรรณ สำคัญว่าสีดาเสน่หา
ให้อัดอั้นหวั่นทั่วทั้งกายา ผ่านฟ้าพ่างเพียงจะขาดใจ
สะอื้นพลางพลางเรียกพระลักษมณ์ น้องรักพี่ยอดพิสมัย
บัดนี้สีดามาบรรลัย อยู่ในกระแสวารี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระลักษมณ์ทรงสวัสดิ์รัศมี
พินิจพิศเพ่งทั้งอินทรีย์ สำคัญว่าพี่นางมรณา
ความรักความเสียดายนั้นสุดคิด ร้อนจิตเพียงต้องฟ้าผ่า
ซบพักตร์ลงทรงโศกา ดั่งหนึ่งชีวาจะจากจร ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ โอด

๏ เมื่อนั้น พระกฤษณุรักษ์ทรงศร
แสนโศกโศกาอาวรณ์ ภูธรครวญครํ่ารำพัน
โอ้อนิจจาสีดาเอ๋ย ไฉนเลยมาม้วยอาสัญ
พี่ก็ได้ให้ข่าวเป็นสำคัญ ว่าจะยกพลขันธ์ไปราวี
จะสุดแค้นแสนเทวษเป็นไฉน จึ่งไม่ครองชีวาไว้ท่าพี่
หรือไอ้ทศเศียรอัปรีย์ อสุรีมันกริ้วโกรธา
ว่าวายุบุตรไปสังหาร สหัสกุมารยักษา
แล้วเผาบูรีลงกา มันจึ่งฆ่าน้องให้ตายตาม
นิจจาเอ๋ยเจ้าเคยเป็นเพื่อนยาก ลำบากด้วยกันทั้งสาม
พี่กับอนุชาพยายาม หวังจะทำสงครามด้วยไพรี
ฆ่าเสียให้สิ้นพงศ์พันธุ์ พวกไอ้ทศกัณฐ์ยักษี
เมื่อเจ้ามาม้วยชีวี สุดที่จะทำศึกไป
ครั้นว่าจะคืนพารา ทั้งไตรโลกาจะหมิ่นได้
พี่จะสู้เสียชีวาลัย ร่วมในกองกูณฑ์ด้วยน้องรัก
สองกษัตริย์แสนเทวษแสนโศก แสนวิโยคพ่างเพียงอกหัก
ต่างสลบซบลงไม่เงยพักตร์ ปิ้มจักสิ้นชีพชีวี ฯ

ฯ ๑๖ คำ ฯ โอด

๏ บัดนั้น เสนาโยธากระบี่ศรี
เห็นองค์พระลักษมณ์พระจักรี โศกีรํ่ารักนางสีดา
จนสิ้นสุรเสียงทั้งสององค์ สลบลงด้วยความเสน่หา
บรรดาวานรเสนา ที่ตามมาก็ตระหนกตกใจ
ดั่งหนึ่งพระกาลพาลราช ฟันฟาดตัดเศียรไปได้
ต่างตนต่างโศกาลัย มี่ไปทั้งท่าสาคร ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ โอด

๏ เมื่อนั้น พระนารายณ์สุริย์วงศ์ทรงศร
กับองค์พระลักษมณ์ฤทธิรอน แว่วเสียงวานรโศกา
ต่างฟื้นคืนได้สมประดี องค์พระจักรีนาถา
พิโรธโกรธกริ้วดั่งเพลิงฟ้า ว่าเหวยหนุมานชาญฉกรรจ์
ตัวเอ็งนี่ล่วงบรรหาร ผลาญโคตรขุนมารให้อาสัญ
บัดนี้ทศเศียรอาธรรม์ มันฆ่าสีดาเทวี
ตัวกูนี้สู้ติดตาม หวังทำสงครามด้วยยักษี
เมื่อนางมาตายเสียบัดนี้ กระบี่จะว่าประการใด ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ บัดนั้น หนุมานผู้มีอัชฌาสัย
ได้ฟังบัญชาภูวไนย น้อมเศียรทูลไปด้วยปรีชา
อันรูปนี้ดูประหลาดนัก ใช่องค์อัคเรศเสน่หา
เห็นจะเป็นอสูรมารยา แปลงมาให้เหมือนนางเทวี
ด้วยอุบายเล่ห์กลสงคราม มิให้ข้ามไปเมืองยักษี
พระองค์ทรงฟ้าธาตรี ภูมีหยุดยั้งฤทัยคิด ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระสุริย์วงศ์องค์นารายณ์จักรกฤษณ์
ได้ฟังดั่งต้องเพลิงพิษ ทรงฤทธิ์ยิ่งกริ้วโกรธา
ผุดลุกขึ้นยืนกระทืบบาท ตวาดเสียงเพียงหนึ่งฟ้าผ่า
เหวยเหวยหนุมานพาลา ไฉนว่ามิใช่นางเทวี
ทั้งรูปทรงส่งศรีดวงพักตร์ ก็เห็นประจักษ์ถ้วนถี่
นรลักษณ์ที่ในอินทรีย์ สำคัญนั้นมีทุกสิ่งไป
อีกทั้งภูษาสไบทรง ธำมรงค์ที่เอ็งเอาไปให้
ก็ติดอยู่กับองค์อรไท หรือว่ามิใช่ให้ว่ามา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ บัดนั้น วายุบุตรวุฒิไกรใจกล้า
ก้มเกล้าสนองพระบัญชา ผ่านฟ้าจงได้ปรานี
สำคัญมีมาก็จริงอยู่ พิเคราะห์ดูเป็นกลยักษี
ธรรมดาสัตว์สิ้นชีวี มิได้เน่าพองอย่าพึงคิด
อันศพนี้สดไม่มีกลิ่น จะลอยวารินนั้นเห็นผิด
ทั้งพลับพลาพระองค์ทรงฤทธิ์ สถิตเหนือลงกากรุงไกร
เหตุไฉนจึ่งรูปศพนี้ จะลอยทวนวารีขึ้นมาได้
ข้าขอเอาขึ้นบนกองไฟ ชันสูตรดูให้ประจักษ์ตา
แม้นว่าเป็นรูปอุบายกล จะไม่ทนเพลิงแรงแสงกล้า
ถ้าองค์อัครราชชายา เห็นว่าจะสิ้นกับอัคคี
พระองค์จงลงโทษกร ฟันฟอนตัดเกล้าเกศี
ข้าผู้ล่วงราชวาที ให้ม้วยชีวีไปตามกัน ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระกฤษณุรักษ์รังสรรค์
ฟังลูกพระพายเทวัญ ทรงธรรม์จึ่งทอดทัศนา
แต่เศียรไปจนสุดบาท ก็ประหลาดเหมือนวายุบุตรว่า
คลายโศกเสื่อมความโกรธา จึงบัญชาสั่งโยธี
เร่งเร็วช่วยกันประชุมเพลิง ให้เถกิงเริงแรงรัศมี
เผาดูให้รู้ว่าร้ายดี ตามคำกระบี่หนุมาน ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น จึ่งหมู่วานรทวยหาญ
ก้มเกล้ารับราชโองการ ต่างวิ่งลนลานวุ่นไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บ้างแบกบ้างขนฟืนมา โยธาทุ่มลงเป็นกองใหญ่
เสร็จแล้วก็ชวนกันจุดไฟ ตามในบัญชาพระจักรี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา เชิด

๏ บัดนั้น หนุมานผู้ชาญชัยศรี
จึ่งให้วานรโยธี ล้อมกองอัคคีรอบราย ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ แล้วยกรูปมารยาขึ้นวาง บนกลางเพลิงแรงแสงฉาย
เขม้นดูด้วยรู้ในอุบาย หมายใจจะจับอสุรา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น ฝ่ายนางเบญกายยักษา
ต้องเพลิงร้อนทั่วทั้งกายา ดั่งหนึ่งชีวาจะบรรลัย
สุดคิดสุดฤทธิ์จะทำกล ไม่อาจจะทนอยู่ได้
ก็เหาะขึ้นตามควันไฟ หนีไปด้วยกำลังฤทธี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิดฉิ่ง

๏ เมื่อนั้น หนุมานผู้ชาญชัยศรี
เหลือบแลเห็นนางอสุรี เหาะหนีไปตามเปลวควัน
รวดเร็วดั่งวายุพาจร วานรโกรธาตัวสั่น
กวัดแกว่งตรีเพชรดั่งไฟกัลป์ ระเห็จหันเหาะตามอสุรา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นทันก็โถมเข้ารวบรัด หัตถ์หนึ่งฉวยจิกเกศา
ได้แล้วก็กลับลงมา ด้วยกำลังฤทธาวานร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ จึ่งพานางมารเข้าถวาย องค์พระนารายณ์ทรงศร
ท่ามกลางโยธาพลากร คอยฟังภูธรบัญชา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ เมื่อนั้น พระตรีภพลบโลกนาถา
เห็นวายุบุตรผู้ศักดา ได้นางยักษ์มาก็ดีใจ
คลายความวิโยคโศกศัลย์ กระทืบบาทสนั่นหวั่นไหว
เหม่เหม่ดูดู๋อีจังไร บังอาจทำได้ถึงเพียงนี้
ตรัสพลางมีราชบัญชา สั่งพญาสุครีพกระบี่ศรี
จงเอาอี่มารยากาลี เฆี่ยนตีซักถามเนื้อความมัน
สั่งแล้วเสด็จจากท่าสรง กับองค์อนุชารังสรรค์
ยุรยาตรนาดกรจรจรัล มายังสุวรรณพลับพลา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ

๏ บัดนั้น ลูกพระอาทิตย์ฤทธิ์กล้า
ให้ผูกคอนางมารตามมา ถึงหน้าพลับพลารูจี
นั่งลงตรงที่พระลาน พร้อมหมู่ทวยหาญกระบี่ศรี
จึ่งตั้งกระทู้ถามอสุรี เหตุใดมึงนี้บังอาจใจ
ไม่กลัวศักดาวานร เชื้อชาตินามกรเป็นไฉน
ถิ่นฐานบ้านเมืองอยู่แห่งใด ความคิดของใครใช้มา
จึ่งแปลงเป็นองค์พระลักษมี มเหสีพระนารายณ์นาถา
ทำตายลอยอยู่ในคงคา ด้วยกลมารยาสากัน
จิตจงประสงค์สิ่งใด อีจังไรทรลักษณ์โมหันธ์
จงให้การแต่โดยสัจธรรม์ หาไม่ชีวันจะวายปราณ ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น เบญกายผู้ยอดสงสาร
จึ่งแก้กระทู้ด้วยปรีชาญ ให้การว่าตัวของข้านี้
เป็นหลานเจ้าลงกาพระนคร นามกรเบญกายยักษี
บุตรพญาพิเภกอสุรี ชนนีนั้นชื่อตรีชาดา
ข่าวว่าบิตุเรศบรรลัย ด้วยภัยพระนารายณ์นาถา
สงสัยใคร่แจ้งกิจจา ครั้นจะมาโดยเพศอสุรี
ก็กลัวกระบี่รี้พล จึ่งแปลงตนเป็นพระมเหสี
ฟังดูให้รู้ว่าร้ายดี แล้วตัวข้านี้จะกลับไป
เป็นความสัจจาซึ่งว่าขาน จะให้การมุสานั้นหาไม่
ขอท่านผู้ปรีชาไว จงได้มีจิตเมตตา ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ลูกพระอาทิตย์ฤทธิ์กล้า
ได้ฟังคำนางอสุรา ว่าเป็นธิดาสหายรัก
พาซื่อมิได้ซักถาม ข้อความให้แจ้งประจักษ์
ด้วยพญาพิเภกขุนยักษ์ ทศพักตร์ขับจากธานี
จึ่งให้วานรเสมียน เขียนคำให้การยักษี
เสร็จแล้วก็รีบจรลี มาที่พลับพลาอลงการ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ จึ่งน้อมเศียรเกล้าบังคมทูล นเรนทร์สูรจักรพรรดิมหาศาล
ข้าบาทซักถามนางมาร ให้การเป็นเรื่องแต่เดิมมา
ว่าเป็นหลานท้าวทศพักตร์ ลูกรักพิเภกยักษา
ชื่อเบญกายอสุรา นางตรีชาดาเป็นมารดร
แจ้งว่าบิดานั้นตาย ด้วยอาญาพระนารายณ์ทรงศร
จึ่งแปลงเป็นอัครราชบังอร มาฟังข่าวบิดรว่าร้ายดี
แล้วจะกลับคืนข้ามไป ยังพิชัยลงกาบูรีศรี
มิได้เป็นเสี้ยนไพรี ต่อใต้ธุลีบาทา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระจักรแก้วสุริย์วงศ์นาถา
ฟังคำให้การอสุรา โกรธาดั่งไฟบรรลัยกัลป์
ดูดู๋ลูกพระอาทิตย์ เหตุใดมืดมิดโมหันธ์
ซึ่งว่าไม่มีใครใช้มัน คำนั้นเห็นจริงหรือว่าไร
จึ่งไม่ซักไซ้ไต่ถาม เอาความข้อนี้ให้ได้
หรือลูกสหายร่วมใจ จึ่งแก้ไขเลือกว่าเอาแต่ดี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น น้องพญาพาลีเรืองศรี
ฟังราชบรรหารพระจักรี ดั่งหนึ่งตรีเพชรมาฟาดฟัน
ได้ความอัปยศอดสู แก่หมู่โยธาพลขันธ์
ทั้งกลัวอาญาพระทรงธรรม์ ถวายบังคมคัลแล้วออกมา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

๏ จึ่งสั่งราชมัลตัวนาย ให้เอาเบญกายยักษา
ผูกเท้าผูกเอวตรึงตรา ลงอาญาถามความมัน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น วานรเพชฌฆาตตัวขยัน
ฉุดนางเบญกายใจฉกรรจ์ ปักหลักผูกพันเข้าทันที
แล้วจึ่งบีบมือบีบขมับ เฆี่ยนขับขู่นางยักษี
ล้วนฝีมือหนักเข้ามาตี สามทีให้หยุดถามไป ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น สุครีพเสนาผู้ใหญ่
จึ่งซักว่าเหวยอี่จังไร ไยจึ่งมุสาให้การ
ถึงจะมาฟังกิจบิตุเรศ เหตุใดทำสิ้นสังขาร
เหมือนพระมเหสีวายปราณ ให้ผ่านฟ้าโศกาอาวรณ์
ข้อซึ่งไม่มีผู้ใดใช้ ยังไม่เห็นจริงของมึงก่อน
ซักพลางพลางสั่งวานร ให้ผลัดกรกันเข้ามาตี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น นางเบญกายยักษี
ความเจ็บเป็นพ้นพันทวี อสุรีร้องอึงคะนึงไป
เมตตาข้าเถิดนะวานร งดก่อนจะบอกจริงให้
ด้วยเจ้าลงกากรุงไกร ตรัสใช้ให้แปลงกายา
เหมือนองค์สีดานงลักษณ์ ลวงพระหริรักษ์นาถา
หวังจะตัดศึกด้วยปรีชา มิให้ถึงลงกาธานี
ครั้นว่าจะขัดก็ไม่ได้ ด้วยกลัวภัยพญายักษี
โทษาข้าถึงสิ้นชีวี ทั้งนี้สุดแต่จะโปรดปราน ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ บัดนั้น สุครีพผู้ปรีชาหาญ
ซักไซ้ไล่เลียงนางมาร จนสิ้นการกังขาราคี
เห็นจริงแล้วสั่งวานร ให้แก้กรแก้เท้ายักษี
ก็เข้าไปเฝ้าพระจักรี ยังที่สุวรรณพลับพลา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

๏ ครั้นถึงน้อมเศียรกราบลง ทูลพระภุชพงศ์นาถา
เสร็จสิ้นตามคำอสุรา แล้วคอยบัญชาพระภูธร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น พระนารายณ์สุริย์วงศ์ทรงศร
ได้ฟังลูกพระทินกร วานรทูลคำให้การ
เห็นจริงว่าทศกัณฐ์ใช้ ภูวไนยจึ่งมีบรรหาร
อันซึ่งอี่เบญกายมาร สาธารณ์ทำได้ถึงเพียงนี้
ฝ่ายพญาพิเภกอสุรา ก็เป็นบิดาของยักษี
จงปรึกษาโทษอี่กาลี จะถึงที่สถานประการใด ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น พิเภกผู้มีอัชฌาสัย
ก้มเกล้ารับสั่งภูวไนย อาลัยถึงราชธิดา
แต่ความโกรธความแค้นเหลือแค้น ให้แน่นอกตันใจยักษา
จึ่งทูลสนองพระบัญชา ถึงเป็นบุตรข้าอสุรี
แต่ซึ่งตัวมันอุบาย แปลงกายเป็นพระมเหสี
ทำตายมาลวงพระจักรี โทษนี้ถึงสิ้นชีวิต
ชอบให้ตัดเศียรเสียบประจาน จึ่งควรกับการที่มันผิด
อันหมู่พาลาปัจจามิตร ทุกทิศจะเกรงพระเดชา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระจักรรัตน์แก้วนาถา
ได้ฟังพิเภกอสุรา ปรึกษาให้ล้างชีวี
เห็นเป็นสัจธรรม์สุจริต ทรงฤทธิ์เมตตายักษี
จึ่งมีพระราชวาที อันอีเบญกายสาธารณ์
ทำทุจริตทรลักษณ์ โทษหนักถึงสิ้นสังขาร
จะฆ่าเสียก็ไม่ต้องการ เรายกให้ท่านผู้บิดา
แล้วจึ่งตรัสสั่งลูกพระพาย จงพาเบญกายยักษา
ไปส่งให้พ้นโยธา ถึงแดนลงกากรุงไกร ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น คำแหงหนุมานทหารใหญ่
รับสั่งพระตรีภูวไนย บังคมไหว้แล้วรีบบทจร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ ครั้นถึงจึ่งกล่าววาจา ดูราเบญกายดวงสมร
บัดนี้สมเด็จพระสี่กร ภูธรไม่ล้างชีวี
บัญชาใช้พี่ไปส่งเจ้า ให้พ้นเหล่าโยธากระบี่ศรี
ว่าพลางอุ้มนางอสุรี เหาะขึ้นยังที่เมฆา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ เลื่อนลอยมาในอัมพร อาวรณ์ด้วยความเสน่หา
ครั้นข้ามถึงแดนลงกา ก็ลงมายังพื้นสุธาธาร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ จึ่งกล่าวมธุรสวาที มารศรีผู้ยอดสงสาร
พี่ปรารมภ์ถึงเจ้าเยาวมาลย์ จะวายปราณด้วยภัยพระสี่กร
คิดคิดจะทูลขอโทษ พอพระองค์ตรัสโปรดประทานก่อน
สิ้นความวิตกที่อกร้อน ให้มาส่งบังอรก็สมคิด
อันความชื่นชมโสมนัส ดั่งได้สมบัติดุสิต
บุญพี่กับเจ้าเคยเป็นมิตร พระทรงฤทธิ์จำเพาะใช้มา
เราสองควรเคียงเรียงพักตร์ ร่วมรักในรสเสน่หา
เป็นคู่สู่สมภิรมยา ไปกว่าชีวาจะจากจร ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

ร่าย

๏ เมื่อนั้น นางเบญกายดวงสมร
ได้ฟังวาจาพานร บังอรคิดเขินสะเทินใจ
ค้อนให้แล้วตอบพจมาน มาเจรจาเกี้ยวพานก็เป็นได้
นี่หากไม่สิ้นชีวาลัย จึ่งใส่ไคล้แต่งว่าพาที
ใช่ว่าข้านี้ใจเบา จะไม่รู้ทันเท่ากระบี่ศรี
อย่าพักเลียมเล่นเช่นนี้ ถึงเป็นสตรีก็เข้าใจ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

โอ้โลม

๏ ดวงเอยดวงสมร เจ้างามงอนผู้ยอดพิสมัย
แสนรักพี่รักอรไท ว่าไยฉะนี้กัลยา
ความจริงไม่ล่อลวงเจ้า ยุพเยาว์แน่งน้อยเสน่หา
อันแสนสมบัติในลงกา จะได้แก่บิดาของเทวี
เราสองก็จะครองกันเป็นสุข แสนสนุกภิรมย์เกษมศรี
ว่าพลางคว้าไขว่ไปในที ขุนกระบี่หยอกเย้ากัลยา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

ร่าย

๏ เมื่อนั้น นวลนางเบญกายเสน่หา
ปัดกรค้อนคมนัยนา อนิจจาข่มเหงไม่เกรงใจ
เหตุว่าเป็นหญิงมาผู้เดียว ทางเปลี่ยวไม่ว่าอะไรได้
น้อยจิตเพียงชีวิตจะบรรลัย ว่าพลางผลักไสไม่ไยดี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

โลม

๏ น้องเอยน้องรัก เยาวลักษณ์ผู้มิ่งมารศรี
ผลักพี่เสียไยนางเทวี ปรานีบ้างเถิดนะนงคราญ
ว่าพลางอิงแอบแนบชิด จุมพิตด้วยความเกษมศานต์
ประคองต้องดวงปทุมมาลย์ หอมหวานกลิ่นรสเสาวคนธ์
ภุมเรศร่อนลงประจงเคล้า เร่าร้องก้องในโพยมหน
เชยซาบเกสรโกมล ฝนสวรรค์ครั่นครื้นธาตรี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ กล่อม

ช้า

๏ เมื่อนั้น นวลนางเบญกายโฉมศรี
ได้สู่สมร่วมรสฤดี กับขุนกระบี่ผู้ศักดา
มีความชื่นชมโสมนัส ประดิพัทธ์พูนเพิ่มเสน่หา
ความรักเพียงสิ้นชีวา กัลยาไม่ห่างวานร
แสนสนิทพิสมัยใหลหลง งวยงงด้วยทหารพระทรงศร
ลืมกลัวท้าวยี่สิบกร บังอรเกษมเปรมปรีดิ์ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น หนุมานผู้ชาญชัยศรี
สังวาสเบญกายอสุรี ยินดีดั่งได้วิมาน
โลมลูบจูบปรางพลางเชยพักตร์ น้องรักผู้ยอดสงสาร
พี่มิใคร่จากองค์นงคราญ หากว่าการศึกนั้นยังมี
จำเป็นจะลาไปก่อน ดวงสมรอย่าน้อยใจพี่
เชิญเจ้าเยาวยอดสตรี คืนเข้าบุรีลงกา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นวลนางเบญกายเสน่หา
ฟังวายุบุตรผู้ศักดา กัลยาพ่างเพียงจะขาดใจ
ชลนัยน์คลอคลองนองเนตร น้อมเกศกราบลงแล้วร้องไห้
อนิจจาควรหรือไม่อาลัย จะทิ้งไว้ให้ได้อัประมาณ
เสียแรงเกิดมาเป็นสตรี เสียทีเสียตัวด้วยลมหวาน
เสียรู้เพราะหลงด้วยลมพาน เสียกลปานเสียชีวาลัย
ทั้งนี้ก็เพราะเบาจิต ผิดเองจะโทษผู้ใดได้
กรรมแล้วจะใช้กรรมไป ว่าพลางอรไทก็โศกี ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ โอด

๏ เมื่อนั้น วายุบุตรผู้ชาญชัยศรี
เห็นนางเบญกายอสุรี เทวีครวญครํ่ารำพัน
จึ่งโอบอุ้มนางขึ้นใส่ตัก จุมพิตพิศพักตร์แล้วรับขวัญ
เจ้าอย่าโศกาจาบัลย์ กันแสงละห้อยน้อยใจ
แม้นว่าเสร็จศึกสงครามยักษ์ จะได้เรียงเคียงพักตร์พิสมัย
อุตส่าห์สงวนองค์ไว้ อย่าให้มลทินแผ้วพาน ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น เบญกายผู้ยอดสงสาร
ได้ฟังวาจาหนุมาน นงคราญค่อยคลายโศกา
ลดลงจากตักวานร วิงวอนพิไรรํ่าว่า
น้องขอฝากองค์พระบิดา จงเห็นแก่ข้าผู้ภักดี
สั่งพลางสะท้อนถอนใจ มิใคร่จะจากกระบี่ศรี
น้อมเศียรนบนิ้วอัญชุลี เทวีก็รีบเข้าลงกา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เพลง

๏ ครั้นถึงจึ่งขึ้นยังปราสาท กราบบาททศพักตร์ยักษา
สะอื้นพลางทางทูลกิจจา ตัวข้าจำแลงแปลงองค์
เหมือนนางสีดาโฉมฉาย ทำตายอยู่ที่ท่าสรง
พระรามพระลักษมณ์สุริย์วงศ์ ลงมาจะสระสรงวารี
เห็นข้าก็ตระหนกตกใจ แสนโศกาลัยทั้งสองศรี
กอดประทับไว้กับอินทรีย์ ดั่งหนึ่งชีวีจะวายปราณ
ยังมีวานรเผือกผู้ รอบรู้ปรีชากล้าหาญ
ชื่อว่าคำแหงหนุมาน ซึ่งทำการเผาเมืองลงกา
เข้ามาพิศดูรูปกาย ทูลว่าอุบายยักษา
มิใช่องค์นางสีดา ยกข้าขึ้นวางบนอัคคี
เพลิงเผาเร่าร้อนทุกขุมขน สุดทนแล้วจึ่งเหาะหนี
วานรตามจับได้ทันที พระจักรีให้ลงอาญา
เจ็บปวดย่อยยับทั้งกาย ปิ้มจะวายชีวังสังขาร์
ว่าเป็นสตรีจึ่งปล่อยมา ทูลพลางอสุราก็โศกี ฯ

ฯ ๑๔ คำ ฯ โอด

๏ เมื่อนั้น ท้าวราพนาสูรยักษี
ได้ฟังเบญกายพาที ให้เร่าร้อนอินทรีย์ดั่งเพลิงพิษ
ทอดถอนฤทัยไปมา อสุราอัดอั้นตันจิต
นั่งนิ่งตะลึงรำพึงคิด ปัจจามิตรครั้งนี้แหลมการณ์
จะทำกลล่อลวงก็ล่วงรู้ ทั้งหมู่โยธาก็กล้าหาญ
เห็นจะได้ประจญประจัญบาน หักราญรบพุ่งติดพัน
คิดแล้วกล่าวคำอันสุนทร ดูก่อนเบญกายหลานขวัญ
เจ้าอย่าโศกาจาบัลย์ กันแสงละห้อยน้อยใจ
ปลอบพลางเรียกเครื่องอลงการ สร้อยสะอิ้งสังวาลประทานให้
แก่หลานรักร่วมฤทัย แล้วเข้าในปราสาทรูจี ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ เสมอ

๏ บัดนั้น ฝ่ายวายุบุตรกระบี่ศรี
ครั้นนางเบญกายเทวี คืนเข้าบูรีลงกา
เหลือบแลชะแง้ตามไป จนสุดนัยน์เนตรซ้ายขวา
ถีบทะยานผ่านขึ้นยังเมฆา กลับมาเฝ้าองค์พระอวตาร ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

ช้า

๏ เมื่อนั้น พระจักรีผู้ปรีชาหาญ
แต่พักพลอยู่ริมชลธาร ช้านานหลายราษราตรี
ดำริไปในการรณรงค์ ที่จะล้างโคตรวงศ์ยักษี
ให้ราบรื่นทั่วพื้นธรณี ตามที่ซึ่งไวกูณฐ์มา
แต่ผุดลุกผุดนั่งเหนือบรรจถรณ์ จนจันทรเลี้ยวเหลี่ยมภูผา
แสงทองรองเรื่อเมฆา สกุณาเร้าเร่งสุริยัน ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

ร่าย

๏ จึ่งชำระสระสรงทรงเครื่อง อร่ามเรืองดั่งเทพรังสรรค์
ก็เสด็จย่างเยื้องจรจรัล ออกสุวรรณพลับพลาอลงกรณ์ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ลดองค์ลงเหนือบัลลังก์อาสน์ อันโอภาสจำรัสประภัสสร
พร้อมหมู่เสนาวานร ดั่งจันทรอยู่กลางดารา
จึ่งมีพระราชวาที แก่หมู่เสนีซ้ายขวา
ซึ่งจะยกพหลโยธา ล่วงข้ามมหาสมุทรไป
ยังเกาะลงกาเมืองมาร ใครจะคิดการเป็นไฉน
จึงจะไม่ลำบากยากใจ แกหมู่ไพร่พลโยธี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น เสนาโยธากระบี่ศรี
ฟังราชบรรหารพระจักรี ยินดีดั่งได้โสฬส
ต่างตนต่างทูลอาสา โดยกำลังฤทธาด้วยกันหมด
บ้างจะโน้มพระเมรุบรรพต ลงเป็นทางบทจรไป
บ้างจะวิดวักตักสมุทร ให้แห้งหยุดเป็นหนทางใหญ่
บ้างจะเอารี้พลสกลไกร ใส่ในหัตถาแล้วพาจร
บ้างจะนิมิตเป็นสำเภา ใหญ่เท่าอัสกรรณสิงขร
บ้างจะเอาหางพาดสาคร ให้วานรไต่ข้ามชลธี ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น ฝ่ายชามพูวราชกระบี่ศรี
ได้ฟังพจนารถพระจักรี ชุลีกรสนองพระโองการ
อันหมู่โยธาวานร ล้วนมีฤทธิรอนกล้าหาญ
ภักดีต่อเบื้องบทมาลย์ คิดการอาสาภูวไนย
ก็จะได้สำเร็จด้วยฤทธี แต่ว่าหามีพระเกียรติไม่
ขอให้รี้พลสกลไกร ไปขนเอาศิลามา
ทุ่มทิ้งลงเป็นถนน ข้ามพลไปเมืองยักษา
พระเกียรติจะชั่วกัลปา ว่าองค์นารายณ์อวตาร ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระจักรกฤษณ์ลือฤทธิ์ทุกทิศาล
ฟังขุนกระบี่ปรีชาชาญ ผ่านฟ้าชื่นชมด้วยสมคิด
พักตร์ผ่องดั่งดวงจันทรา จึ่งมีบัญชาประกาศิต
ดูก่อนโอรสพระอาทิตย์ ท่านผู้มีฤทธิเกรียงไกร
จงคุมพวกพลนิกร ทุกหมู่วานรน้อยใหญ่
ขนศิลาถมท้องสมุทรไท จองถนนข้ามไปเมืองมาร ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น สุครีพผู้ปรีชาหาญ
รับสั่งสมเด็จพระอวตาร กราบกับบทมาลย์แล้วออกมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ เกณฑ์พลทั้งสองพระนคร ท้าวพญาพานรพร้อมหน้า
ออกจากกองทัพพลับพลา พากันรีบเร่งตรงไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงเนินทรายชายสมุทร จึ่งหยุดโยธาน้อยใหญ่
น้องพญาพาลีผู้ว่องไว ก็ว่าไปแก่สองเสนี
นิลพัทจงคุมนิกร วานรชมพูกระบี่ศรี
คำแหงหนุมานผู้ฤทธี คุมกระบี่ขีดขินเวียงชัย
สองนายผลัดกันรับส่ง ศิลาทิ้งลงสมุทรใหญ่
ให้เป็นถนนข้ามไป ยังเกาะพิชัยลงกา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น วายุบุตรวุฒิไกรใจกล้า
ทั้งนิลพัทผู้ศักดา ฟังพญาสุครีพบัญชาการ
มีความชื่นชมโสมนัส ก็จัดวานรทวยหาญ
อื้ออึงริมฝั่งชลธาร ต่างตนปฏิญาณสัญญากัน ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๏ ฝ่ายนิลพัทฤทธิรอน ก็พาวานรพลขันธ์
ทั้งยี่สิบเจ็ดสมุทรนั้น ไปยังอรัญคีรี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงเนินเขาหิมพานต์ ลูกพระกาลผู้ชาญชัยศรี
คิดแค้นหนุมานแสนทวี ไอ้นี่องอาจอหังการ์
มันทำหยาบหยามไม่เกรงพักตร์ อายนักไม่รู้ที่ไว้หน้า
วันนี้จะลองศักดา อวดกล้าจะได้เห็นกัน
คิดแล้วสำแดงแผลงฤทธิ์ ทศทิศกัมปนาทไหวหวั่น
สองเท้าก็คีบเขาหิมวันต์ สองมือนั้นชูคีรินทร
บรรดาโยธาทวยหาญ ก็ทะยานเข้าง้างเอาสิงขร
บ้างหักด้วยกำลังกายกร แบกได้คนละก้อนก็เหาะมา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงจึ่งเรียกวายุบุตร ท่านผู้ฤทธิรุทรแกล้วกล้า
จงรับเอาก้อนศิลา ทิ้งในมหาสาคร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น คำแหงหนุมานชาญสมร
เห็นนิลพัทพานร ขนก้อนมหาคีรี
มาทั้งสองมือสองเท้า ใหญ่เท่าคันธมาทน์คีรีศรี
จึ่งว่าท่านทิ้งให้จงดี แต่ทีละก้อนอย่าพร้อมกัน ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น นิลพัทฤทธิแรงแข็งขัน
ฟังลูกพระพายเทวัญ จึ่งร้องเย้ยหยันด้วยวาจา
ท่านอย่ากล่าวแกล้งพาที ตัวเรานี้หนักนักหนา
ว่าแล้วทิ้งพร้อมกันลงมา จะให้ถูกกายาหนุมาน ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ บัดนั้น วายุบุตรฤทธิไกรใจหาญ
วิ่งโดดโลดโผนโจนทะยาน เร็วปานดั่งลมพาจร
สองหัตถ์ซ้ายขวารวบรับ ฉวยจับไว้ได้ทั้งสี่ก้อน
ทิ้งลงในท้องสาคร ไหวกระฉ่อนโลกาธาตรี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นแล้วดำริตริไป เหตุใดนิลพัทกระบี่ศรี
จึ่งอหังการ์ว่าตัวดี อ้างอวดฤทธีชัยชาญ
ดีแล้วจะได้เห็นกัน กูจะทดแทนมันที่ฮึกหาญ
คิดพลางพาพลบริวาร ทะยานไปอารัญบรรพต ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงสำแดงศักดา ดั่งว่าเกิดกาลลมกรด
สะเทือนเลื่อนลั่นถึงโสฬส หักยอดบรรพตด้วยว่องไว ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ผูกศิลาเข้าทุกเส้นขน ทั่วตนจะเว้นก็หาไม่
เรียกเร่งบริวารบรรดาไป ได้พร้อมกันแล้วก็เหาะมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงร้องลงไปทันที ท่านผู้มีฤทธิ์แกล้วกล้า
จงรับเอาก้อนศิลา ที่เราขนมาให้วานร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ฝ่ายนิลพัทชาญสมร
เห็นลูกพระพายฤทธิรอน เอาก้อนคีรีผูกมา
มิได้ว่างเว้นทุกเส้นขน ลอยอยู่ในบนเวหา
ขุนกระบี่จึ่งมีวาจา ดูราวายุบุตรวุฒิไกร
จงโยนมาทีละสี่ก้อน พอกรของเราจะรับได้
ถ้าทิ้งลงมามากไป เราไม่รู้ที่จะรับทัน ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น หนุมานฤทธิแรงแข็งขัน
ว่าเหวยนิลพัทชาญฉกรรจ์ เมื่อตัวท่านนั้นขนมา
เราให้โยนแต่ทีละก้อน วานรฮึกฮักอวดกล้า
แกล้งทิ้งพร้อมกันลงมา อย่าช้าเร่งรับให้จงดี
ว่าแล้วก็สะบัดลงไป ด้วยฤทธิไกรกระบี่ศรี
ศิลาก็หลุดลงทันที ดั่งห่าฝนคีรีตกมา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เชิด

๏ บัดนั้น ฝ่ายนิลพัทแกล้วกล้า
ผาดโผนโจนรับศิลา กลับกลอกละล้าละลังใจ
ฉวยทั้งมือซ้ายมือขวา ตกปรายเนื่องมาไม่นับได้
จึงเอาเท้ารับด้วยว่องไว มิให้ถูกต้องอินทรีย์ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ บัดนั้น หนุมานผู้ชาญชัยศรี
เห็นนิลพัทฤทธี รับก้อนคีรีด้วยบาทา
พิโรธโกรธกริ้วดั่งไฟกัลป์ ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้วชี้หน้า
เหวยเหวยนิลพัทอหังการ์ หยาบช้าหมิ่นกันไม่เกรงใจ
เมื่อคราวเอ็งขนมาส่ง โยนลงสี่ก้อนกูรับได้
ครั้นถึงทีเราทิ้งลงไป เหตุใดไม่รับด้วยกร
ตัวกูก็ลูกพระพาย ขึ้นชื่อว่าชายชาญสมร
แต่ท้าวชมพูฤทธิรอน เลื่องชื่อลือขจรทั้งโลกา
กูยังไปจับมาถวาย องค์พระนารายณ์นาถา
ถึงคันธมาทน์บรรพตา ในนาทีเดียวไม่ยากใจ
อันตัวมึงนี้จองหองนัก ทำดั่งใครจักไม่สู้ได้
ฤทธีจะมีสักเพียงใด ไอ้เชลยจังไรอหังการ ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นิลพัทฤทธิไกรใจหาญ
ฟังวายุบุตรกล่าวประจาน โกรธาดั่งกาลอัคคี
กระทืบบาทผาดร้องตอบไป เหวยไอ้จังไรกระบี่ศรี
เย่อหยิ่งสำคัญว่าตัวดี กูนี้ย่อมแจ้งกิจจา
ถึงมึงก็เป็นเชลยเก่า ของพระปิ่นเกล้านาถา
กูก็เป็นเชลยใหม่มา อาสาล้างเหล่าปัจจามิตร
จองถนนข้ามพลไปเมืองมาร ตามพระโองการประกาศิต
เอ็งแกล้งประกวดอวดฤทธิ์ จะพาลเอาผิดหรือว่าไร
แม้นมาตรกูทำเช่นนี้ ถึงตัวมึงดีไม่รับได้
อย่าโอหังอ้างอวดฤทธิไกร มาชิงชัยให้เห็นฝีมือกัน ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ บัดนั้น หนุมานฤทธิแรงแข็งขัน
ได้ฟังกริ้วโกรธขบฟัน ตัวสั่นโลดโผนโจนไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ สิงขรสาครกัมปนาท พสุธาอากาศหวาดไหว
ถีบถูกนิลพัทฤทธิไกร ล้มลงในพ่างพื้นปัถพี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ บัดนั้น ลูกพระกาลผู้ชาญชัยศรี
ผุดลุกขึ้นได้ทันที กระบี่วิ่งผลุนหมุนมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ถาโถมโจมจับวายุบุตร ด้วยกำลังฤทธิรุทรแกล้วกล้า
กอดรัดฟัดกันเป็นโกลา ต่างเขม้นเข่นฆ่าโรมรัน
บ้างถีบบ้างขบบ้างกัด เปลี่ยนผลัดรวดเร็วดั่งจักรผัน
ถ้อยทีไม่ละลดกัน เสียงสนั่นครั่นครื้นอัมพร ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ บัดนั้น คำแหงหนุมานชาญสมร
ไล่รุกบุกบันประจัญกร ราญรอนหักโหมโจมตี
เคล่าคล่องว่องไวทั้งสองหัตถ์ จับได้นิลพัทกระบี่ศรี
หมายฆ่าให้สิ้นชีวี ฟาดกับปัถพีแล้วขว้างไป ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ตกถูกยอดเขาจักรวาล เสียงสะเทือนสะท้านหวั่นไหว
ศิลาแตกเป็นประกายไฟ พรายไปดั่งสายอสุนี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ บัดนั้น นิลพัทผู้ชาญชัยศรี
มิได้ชอกช้ำอินทรีย์ ขุนกระบี่กริ้วโกรธคือเพลิงกัลป์
กระทืบบาทผาดแผลงสำแดงเดช สองเนตรดั่งดวงสุริย์ฉัน
หมายมาดพิฆาตชีวัน ขบฟันโลดโผนโจนมา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ฉวยสะพัดรัดรวบหนุมาน ลูกพระกาลเขม้นเข่นฆ่า
ฟาดลงกับพื้นพสุธา เสียงสนั่นลั่นฟ้าแดนไตร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ บัดนั้น คำแหงหนุมานทหารใหญ่
ผุดลุกขึ้นด้วยว่องไว กริ้วโกรธดั่งไฟบรรลัยกาล
ตัวสั่นเข่นเขี้ยวเคี้ยวกราม คำรามเขม้นจะสังหาร
ทำอำนาจผาดโผนโจนทะยาน เข้าไล่รอนราญราวี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ สองจับสัประยุทธ์สับสน ต่างตนไม่ท้อถอยหนี
กอดฟัดกัดกันคลุกคลี ถ้อยทีเคล่าคล่องว่องไว ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ บัดนั้น สุครีพผู้นายกองใหญ่
นั่งอยู่ริมฝั่งสมุทรไท แลไปเห็นสองวานร
เข้าสัประยุทธ์ราวี ดั่งราชสีห์กับไกรสร
สู้กันด้วยกำลังฤทธิรอน ลูกพระทินกรก็ตกใจ
ร้องห้ามเท่าไรก็ไม่ฟัง จะนั่งนิ่งดูก็ไม่ได้
ผุดลุกขึ้นด้วยว่องไว ก็วิ่งออกไปทันที ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงเข้ายืนหว่างกลาง ขวางหน้าทั้งสองกระบี่ศรี
ยึดไว้มิให้ราวี อึงมี่ทั้งหมู่โยธา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ