สมุดไทยเล่มที่ ๑๐๑

ช้า

๏ เมื่อนั้น พระพรตสุริย์วงศ์ทรงศร
ไสยาสน์เหนืออาสน์อลงกรณ์ ภูธรถวิลจินดา
ที่จะล้างเจ้ากรุงมลิวัน ให้มันสิ้นชีพสังขาร์
จนล่วงปัจฉิมเวลา จันทราเลี้ยวเหลี่ยมเมรุไกร
เสนาะไก่แก้วขันสนั่นก้อง ดุเหว่าเร่าร้องเสียงใส
ดั่งหนึ่งจะแกล้งถวายชัย ทั้งในมยุราคีรี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

ร่าย

๏ ครั้นพระสุริยาเรื่อรอง แสงทองกระจ่างจำรัสศรี
สระสรงทรงเครื่องรูจี จรลีออกหน้าพลับพลา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ลดองค์ลงเหนือบัลลังก์อาสน์ แสนเสนามาตย์พร้อมหน้า
หมอบเฝ้าเกลื่อนกลาดดาษดา ดั่งดาวล้อมจันทราในอัมพร
พอได้ยินสำเนียงโห่ร้อง สะเทือนท้องมยุราสิงขร
ดั่งเสียงคลื่นฟื้นฝั่งสาคร ภูธรจึ่งตรัสถามไป
ดูก่อนพิเภกอสุรา จักรวรรดิยกมาหรือไฉน
หรือจะเป็นอสูรตนใด ที่ในมลิวันธานี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ท้าวทศคิริวงศ์ยักษี
รับสั่งพระองค์ทรงฤทธี อสุรีจับยามสามตา
เห็นแจ้งจึ่งกราบบังคมทูล นเรนทร์สูรน้องนารายณ์นาถา
อันทัพซึ่งยกออกมา คือว่าจักรวรรดิขุนมาร
ในยามนี้ทายว่าร้ายนัก มันจักสิ้นชีพสังขาร
ด้วยเดชพระองค์ผู้ชัยชาญ การศึกจะเสร็จในวันนี้ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพรตทรงสวัสดิ์รัศมี
ฟังพิเภกทูลก็ยินดี จึ่งมีพระราชบัญชา
ดูก่อนลูกพระอาทิตย์ ท่านผู้เรืองฤทธิ์แกล้วกล้า
จงจัดพหลโยธา เราจะไปเข่นฆ่าขุนมาร ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น สุครีพผู้ปรีชาหาญ
ก้มเกล้ารับราชโองการ กราบกับบทมาลย์แล้วรีบจร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

ยานี

๏ จัดเป็นกระบวนพยุหบาตร สี่หมู่องอาจชาญสมร
โยธาทั้งสามพระนคร ยักษาวานรแน่นไป
แต่ละตนล้วนมีฤทธิรุทร จะวิดวักตักสมุทรให้แห้งได้
เหาะเหินเดินฟ้าก็ว่องไว เข้าไหนแหลกลงเป็นผงคลี
ผู้เดียวจะปล้นอสุรภพ ก็ได้ดั่งปรารภกระบี่ศรี
ถึงจะช้อนพระเมรุคีรี ทั้งเขาตรีกูฏขึ้นมา
ชูไว้แต่ฝ่ามือเดียว อาจเที่ยวไปได้ในเวหา
ล้วนถือเครื่องสรรพสาตรา เริงร่าลำพองคะนองฮึก
กวัดแกว่งดั่งแสงเพลิงพราย องอาจมาดหมายจะหักศึก
ตั้งเป็นหมวดหมู่ดูพิลึก คั่งคึกเพียบพื้นปถพี ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพรตสุริย์วงศ์เรืองศรี
ชวนพระอนุชาร่วมชีวี จรลีไปสรงชลธาร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ประทุมทองโปรยปรายดั่งสายฝน ทรงสุคนธ์รื่นรสหอมหวาน
สนับเพลาพลอยแววแก้วประพาฬ เชิงงอนโอฬารด้วยพลอยราย
พระเชษฐาภูษาพื้นดำ ลายกินนรรำเฉิดฉาย
พระอนุชาพื้นตองทองพราย ฉลุลายแย่งยกกระหนกงอน
ต่างทรงชายแครงชายไหว ประดับเพชรเจียระไนประภัสสร
เกราะแก้วฉลององค์อลงกรณ์ ทับทรวงสร้อยอ่อนสังวาลย์วัลย์
ตาบทิศทองกรชมพูนุท พาหุรัดรายบุษย์ทับทิมคั่น
ธำมรงค์มรกตเรือนสุบรรณ มงกุฎแก้วกุดั่นกรรเจียกทัด
ต่างจับศรสิทธิ์ฤทธิรงค์ พระแสงขรรค์นั้นทรงสอดขัด
งามสง่าดั่งมหาจักรพรรดิ สองกษัตริย์ตามกันไปขึ้นรถ ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ รถเอยรถทรง กำแก้วดุมกงอลงกต
แอกช้อยอรชรอ่อนชด บัลลังก์ลดชั้นแล้วด้วยแก้วลาย
เครือขดภาพเคียงเรียงคั่น สามชั้นแสงช่วงมณีฉาย
กาบกระจังช่องกระจกกระหนกกลาย บุษบกบันระบายสุบรรณบิน
ห้ายอดสูงเยี่ยมโพยมหน ทวยกาญจน์จงกลล้วนแก้วสิ้น
แสงมาศสุกแม้นพิมานอินทร์ เทียมสินธพสี่ตัวคะนอง
พระกนิษฐ์นั่งประนมนิ้วประณต ขุนรถขับรีบเผ่นผยอง
เครื่องสูงครบสิ่งกรรชิงทอง ปี่ฆ้องกลองขานประสานกัน
เสียงโห่ทวยหาญร่านฮึก สามโลกพันลึกสะเทือนลั่น
ธงหน้าโบกนำเป็นสำคัญ รีบขับพลขันธ์ดำเนินมา ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงสมรภูมิชัย แลไปเห็นทัพยักษา
จึ่งให้ขับรถรัตนา ขึ้นมาหน้าทัพขุนมาร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ แล้วร้องว่าเหวยท้าวสี่พักตร์ อย่าฮึกฮักอาจองทะนงหาญ
วันนี้ตัวเอ็งจะวายปราณ ด้วยศรกูผู้ชาญฤทธี
แม้นรักกายเสียดายชีวิต รู้ซึ่งโทษผิดของยักษี
เราผู้บำรุงธาตรี จึ่งจะไว้ชีวีอสุรา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวจักรวรรดิยักษา
ได้ฟังกริ้วโกรธโกรธา จึ่งมีวาจาตอบไป
เหวยเหวยมนุษย์ทรลักษณ์ อย่าฮึกฮักเจรจาหยาบใหญ่
กูไม่เคยนอบน้อมผู้ใด ทั้งในชั้นฟ้าบาดาล
แม้นมาตรจะเสียชีวิต อย่าคิดว่าจะเกรงกำลังหาญ
ตัวกูก็นับว่าชายชาญ จะผลาญเสียให้สิ้นไม่ละกัน
ว่าแล้วสี่ปากประกาศสั่ง เสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น
เหวยเหวยอสุรกุมภัณฑ์ จงช่วยกันล้อมจับมนุษย์มา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ฝ่ายหมู่อสุรศักดิ์ยักษา
ได้ฟังพระราชบัญชา ขององค์พญาอสุรี
ต่างตกใจกลัวไม่มีขวัญ ตัวสั่นหน้าซีดคือผี
ขบฟันดั่งจะเข้าโจมตี ลั่นปืนเสียงมี่อยู่แต่ไกล
ทำเงือดเงื้อกวัดแกว่งอาวุธ อุตลุดโห่ร้องไม่เข้าใกล้
แยกเขี้ยวขู่ตวาดวุ่นไป เหลือกตาหลอกให้แล้วหนีมา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ฝ่ายพลวานรแกล้วกล้า
ต่างเข้าราวีตีประดา ตามไล่เข่นฆ่าพลมาร
จับได้หักคอหักเข่า ฉีกอกฉีกเท้าอลหม่าน
บ้างฟาดกับพื้นสุธาธาร หมู่มารตายยับไม่สมประดี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ฤทธิสูรฤทธิศักดิ์ยักษี
ตรีพัทตรีพาลอสุรี ซึ่งเป็นนายโยธีทั้งสี่ตน
เห็นวานรผลาญพลมรณา กริ้วโกรธโกรธากุลาหล
แกว่งกระบองสำแดงฤทธิรณ เข้าประจญโจมตีกระบี่ไพร ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นิลพัทนิลนนท์ทหารใหญ่
นิลเอกนิลขันชาญชัย เห็นสี่ยักษ์รุกไล่กระบี่มา
ต่างตนโกรธาตัวสั่น มือคันเขม้นเข่นฆ่า
กวัดแกว่งพระขรรค์อันศักดา โถมเข้าร้บหน้าอสุรี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ทั้งสี่ทหารยักษี
ต่างตนผาดแผลงฤทธี เข้าราวีหักโหมโรมราญ
หวดซ้ายป่ายขวาอุตลุด กวัดแกว่งอาวุธสำแดงหาญ
ฤทธิสูรโลดโผนโจนทะยาน จับลูกพระกาลชาญฉกรรจ์
ฤทธิศักดิ์โจมจับนิลนนท์ ตรีพัทประจญนิลขัน
ฝ่ายว่าตรีพาลกุมภัณฑ์ โรมรันนิลเอกด้วยฤทธี
แปดนายบุกบันประจัญกร รบรุกราญรอนไม่ถอยหนี
ต่างหาญต่างกล้าราวี ต่างตีต่างฟันกันไปมา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ บัดนั้น สี่กระบี่ฤทธิไกรใจกล้า
หักเอาด้วยกำลังศักดา โจมจับอสุราว่องไว
สี่นายแทงสี่อสุรี ล้มลงกับที่ไม่ลุกได้
ฉีกแขนฉีกขาโยนไป ยังหน้ารถชัยขุนมาร ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น เจ้ากรุงมลิวันราชฐาน
เห็นสี่กระบี่ผู้ชัยชาญ ฆ่าสี่ทหารมรณา
ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกระทืบบาท หมายมาดเขม้นเข่นฆ่า
ฉวยชักแสงศรอันศักดา พาดสายแผลงมาด้วยว่องไว ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ สำเนียงดั่งเสียงพยุฝน สุธาดลกัมปนาทหวาดไหว
เป็นพระขรรค์แก้วปลิวไป ไล่ล้างวานรโยธี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพรตทรงสวัสดิ์รัศมี
เห็นศรเป็นพระขรรค์มาราวี ต้องกระบี่ตายกลาดดาษดา
จึ่งชักอัคนิวาตพาดสาย งามคล้ายพระบรมเชษฐา
หมายล้างอาวุธอสุรา แผลงสนั่นลั่นฟ้าโสฬส ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ อากาศมืดคลุ้มชอุ่มควัน ศรนั้นบันดาลเป็นลมกรด
ล้างพระขรรค์ทำลายพิชัยรถ หักยับลงหมดด้วยฤทธี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวจักรวรรดิยักษี
เสียรถกริ้วโกรธดั่งอัคคี ลุกขึ้นแกว่งตรีขว้างไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เป็นตรีเกลื่อนกลาดโพยมหน ตกลงดั่งฝนห่าใหญ่
ต้องหมู่โยธีกระบี่ไพร เจ็บปวดบรรลัยก่ายกัน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพรตสุริย์วงศ์รังสรรค์
เห็นตรีจักรวรรดิกุมภัณฑ์ มาต้องพลขันธ์วานร
ดังหนึ่งต้องสายฟ้าฟาด จึ่งชักพลายวาตพระแสงศร
น้าวหน่วงด้วยกำลังฤทธิรอน ภูธรก็ผาดแผลงไป ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ตรีศูลละเอียดลงด้วยฤทธิ์ ทศทิศกัมปนาทหวาดไหว
วานรที่ม้วยบรรลัย ก็ได้ชีวิตคืนมา
สองพระองค์เสด็จยุรยาตร จากบัลลังก์ราชรัถา
พระกรแกว่งศรอันศักดา เข้าต่อฤทธาอสุรี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวจักรวรรดิยักษี
ผู้เดียวโถมถาเข้าราวี คลุกคลีหนีไล่พัลวัน
แปดหัตถ์ป้องปัดสาตรา กลอกกลับไปมาดั่งจักรผัน
ต่างตีต่างรับต่างฟัน ติดพันไม่ลดงดกร ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ทั้งสองน้องนารายณ์ทรงศร
รบรุกบุกบันราญรอน ต่อกรด้วยราชไพรี
พระพรตเผ่นขึ้นเหยียบบ่า พระอนุชาเหยียบเข่ายักษี
ตีต้องจักรวรรดิหลายที ซวนไปจากที่โรมรัน ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์ท้าวแปดกรรังสรรค์
โกรธาขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน กุมภัณฑ์แผลงศรไปด้วยฤทธิ์ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ สำเนียงดั่งเสียงฟ้าฟาด เป็นนาคเกลื่อนกลาดอกนิษฐ์
เลื้อยเลิกพังพานพ่นพิษ ดั่งจะล้างชีวิตทั้งโลกา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพรตสุริย์วงศ์นาถา
เห็นท้าวจักรวรรดิอสุรา แผลงเป็นนาคาเกรียงไกร
จึ่งชักพระแสงศรสาตร์ อันมีอำนาจแผ่นดินไหว
พาดสายน้าวหน่วงด้วยว่องไว ภูวไนยก็ลั่นไปทันที ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ สำเนียงดั่งเสียงพระเมรุทรุด กลับเป็นพญาครุฑปักษี
ฉวยฉาบคาบเคี้ยวนาคี สูญสิ้นกับที่ไม่พริบตา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวจักรวรรดิยักษา
เห็นศรมนุษย์เป็นครุฑา สังหารนาคาแหลกลาญ
พิโรธโกรธกริ้วตัวสั่น ขบฟันผาดแผลงสำแดงหาญ
กวัดแกว่งจักรแก้วสุรกานต์ ขุนมารก็ขว้างตรงไป ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ โชดิช่วงดั่งดวงพระสุริยา เป็นก้อนศิลาไม่นับได้
ตกต้องโยธีกระบี่ไพร บรรลัยเกลื่อนกลาดดาษดิน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สองกษัตริย์สุริย์วงศ์ทรงศิลป์
เห็นจักรจักรวรรดิอสุรินทร์ บันดาลก้อนหินตกมา
ต่างองค์จับศรพาดสาย น้าวหน่วงเยื้องกรายเงื้อง่า
หมายล้างชีวิตอสุรา ทั้งสองกษัตราก็แผลงไป ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ศรพระสัตรุดสังหาร จักรแก้วแหลกลาญไม่ทนได้
อันพวกโยธีกระบี่ไพร ซึ่งบรรลัยก็รอดชีวี
พรหมาสตร์ผาดเสียงกึกก้อง ต้องอกจักรวรรดิยักษี
กรขาดออกจากอินทรีย์ ล้มลงกับที่พสุธา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวจักรวรรดิยักษา
ต้องศรยังไม่สิ้นชีวา อสุราแลเล็งเพ่งพิศ
เห็นสังข์จักราคทาธร ของพระสี่กรจักรกฤษณ์
ออกจากกายสองพระองค์ทรงฤทธิ์ คิดได้ว่าวงศ์พระนารายณ์
ตกใจเสียดายชีวัน ความทิฐินั้นก็สูญหาย
ทูลว่าข้าบาทประมาทกาย จึ่งมาหลงตายในครั้งนี้
มิได้แจ้งเลยว่าพระองค์ เป็นวงศ์หริรักษ์เรืองศรี
จึ่งอาจอหังการ์ราวี ให้เคืองธุลีพระบาทา
ทั้งนี้เป็นต้นด้วยผลกรรม นำให้สิ้นชีพสังขาร์
ขออย่ามีเวรเวรา แก่ข้าผู้จะม้วยชีวัน ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สองกษัตริย์สุริย์วงศ์รังสรรค์
ได้ฟังวาจากุมภัณฑ์ ทูลขอโทษทัณฑ์ก็ปรานี
จึ่งมีพจนารถอันสุนทร ดูก่อนจักรวรรดิยักษี
แรกเรายกมาถึงธานี ก็ได้มีสาราเข้าไป
แจ้งความเสร็จสิ้นแต่หนหลัง ท่านจะเชื่อฟังก็หาไม่
เราผู้บำรุงภพไตร มิได้จองเวรเวรา
อย่าคิดอาลัยในชีวิต จงตั้งจิตให้มั่นดีกว่า
หมายเอาสมบัติเมืองฟ้า เป็นมหาผาสุกสวัสดี ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวจักรวรรดิยักษี
ได้ฟังพระราชวาที ยินดีน้อมเศียรบังคมทูลฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

โอ้

๏ ปากหนึ่งว่าโอ้พระทรงฤทธิ์ ชีวิตข้านี้จะดับสูญ
ขอฝากสุริย์วงศ์พงศ์ประยูร ไว้ใต้บาทมูลสืบไป
ทั้งองค์อัคเรศมเหสี แสนสนมนารีน้อยใหญ่
กับราชธิดายาใจ จงได้ปลูกเลี้ยงแต่โดยธรรม์
ปากสองว่าโอ้ขอถวาย สมบัติทั้งหลายในเขตขัณฑ์
ทั่วพิภพธานีมลิวัน อันแสนสนุกดั่งเมืองอินทร์
อีกหมู่จตุรงค์โยธา เสนาสามนต์ทั้งปวงสิ้น
หญิงชายไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน ให้ภิญโญสุขสวัสดี
ปากสามว่าโอ้พระทรงเดช จงได้โปรดเกศเกศี
อย่าให้ซากศพข้านี้ กลิ้งอยู่กลางที่สุธาธาร
จะเป็นเหยื่อสัตว์ป่ากาแร้ง ยื้อแย่งจิกกินเป็นอาหาร
เน่าเปื่อยเรี่ยรายดั่งจัณฑาล จะได้ความอัประมาณทั้งโลกา
ปากสี่ว่าโอ้พระภูวนาถ ช่วยทูลบาทพระนารายณ์นาถา
ว่าข้าขอถวายบังคมลา ไปสู่ฟากฟ้าดุษฎี
สี่ปากสิ้นฝากสิ้นสั่ง สิ้นเสียงสิ้นกำลังยักษี
พิษศรร้อนรุ่มทั้งอินทรีย์ อสุรีสุดสิ้นชีวัน ฯ

ฯ ๑๖ คำ ฯ

๏ มาจะกล่าวบทไป ถึงเทเวศนางฟ้าในสวรรค์
เห็นน้องพระองค์ทรงสุบรรณ สังหารกุมภัณฑ์มรณา
มีความชื่นชมโสมนัส เยี่ยมแกลตบหัตถ์สำรวลร่า
บ้างโปรยปรายทิพย์มาลา มณฑากลิ่นฟุ้งจรุงใจ
บ้างขับขานประสานพิณพาทย์ ทุกวิมานมาศน้อยใหญ่
แซ่ซ้องอำนวยอวยชัย น้องพระภูวไนยทรงครุฑ
อื้ออึงคะนึงกึกก้อง สะเทือนท้องสุธามหาสมุทร
ตลอดถึงกาลาคนิรุทร อุตลุดทั่วทั้งโลกา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สองกษัตริย์สุริย์วงศ์นาถา
ครั้นเสร็จสังหารอสุรา เทวาโปรยทิพย์สุมามาลย์
เกลื่อนกลาดดาษไปทั้งที่รบ กลิ่นตลบเฟื่องฟุ้งหอมหวาน
พระหยิบชมดมเล่นสำราญ ทั้งหมู่ทหารโยธี
เหล่าลิงวิ่งวุ่นพัลวัน ชิงกันกับหมู่ยักษี
ต่างตนสุขเกษมเปรมปรีดิ์ หยอกกันอึงมี่ทั้งทัพชัย
แล้วสั่งพิเภกขุนมาร ตัวท่านเป็นคนผู้ใหญ่
จงอยู่ส่งศพนี้เข้าไป ยังในธานีมลิวัน
สั่งพลางเสด็จยุรยาตร งามดั่งเทวราชในสวรรค์
ขึ้นทรงรถแก้วแพรวพรรณ เลิกพวกพลขันธ์เข้าพลับพลา ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ฝ่ายพลจักรวรรดิยักษา
แอบดูตามเชิงบรรพตา เห็นเจ้าลงกาธานี
ยังอยู่ในที่สนามรบ ใกล้ศพพญายักษี
ก็พากันออกจากพนาลี เข้าไปสู่ที่กุมภัณฑ์ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึ่งประณตบทบงสุ์ ท้าวทศคิริวงศ์รังสรรค์
หมอบเฝ้าอยู่เป็นอันดับกัน กุมภัณฑ์คอยฟังพระบัญชา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น น้องท้าวทศพักตร์ยักษา
จึ่งมีพจนารถวาจา ดูราสุพินสันเสนี
ตัวท่านจงเข้าไปแจ้งเหตุ แก่องค์อัคเรศมเหสี
ว่าองค์พระราชสามี บัดนี้สุดสิ้นชีวัน
ให้นางเร่งออกมาเฝ้าบาท น้องนารายณ์ธิราชรังสรรค์
ทูลขอพระศพกุมภัณฑ์ เข้าไปมลิวันพารา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น สุพินสันเสนียักษา
รับสั่งถวายบังคมลา พากันเข้าไปยังธานี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงน้อมเศียรบังคมทูล นางวัชนีสูรมเหสี
ว่าพระองค์มงกุฎอสุรี ยกพวกโยธีไปรอนราญ
บัดนี้ต้องศรมนุษย์ สิ้นสุดชีวังสังขาร
ทูลแถลงแจ้งความทุกประการ ตามพิเภกขุนมารบัญชา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางวัชนีสูรเสน่หา
ทั้งองค์พระราชธิดา ได้แจ้งกิจจาก็ตกใจ
ดั่งหนึ่งต้องพิษนาคินทร์ จะเห็นฟ้าดินก็หาไม่
แม่ลูกตีอกเข้ารํ่าไร ร้องไห้ถึงองค์พญายักษ์ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

โอ้

๏ โอ้พระทูลกระหม่อมจอมภพ เลื่องชื่อลือลบทั้งไตรจักร
แปดกรสี่เศียรสี่พักตร์ ทรงศักดาเดชมหิมา
เทวาสุรารักษ์นักสิทธ์ ก็เกรงเดชาฤทธิ์ทุกทิศา
อันกรุงมลิวันพารา สนุกดั่งเมืองฟ้าสุราลัย
กำแพงเพชรล้อมมั่นคง ดั่งสัตภัณฑ์ล้อมวงพระเมรุใหญ่
เป็นขอบเขตเขื่อนคูทั้งนอกใน ด่านนํ้าด่านไฟก็ป้องกัน
มีทหารโกฏิหนึ่งล้วนองอาจ เที่ยวลาดตระเวนทางสวรรค์
พิทักษ์รักษาทุกคืนวัน คู่กันกับกรุงลงกา
ควรหรือยังมีไพริน มาดูหมิ่นฆ่าญาติวงศา
จนถึงพระองค์ก็มรณา ตัวข้าแม่ลูกจะพึ่งใคร
อกเอ๋ยแต่นี้ไม่มีสุข จะทนทุกข์เศร้าสร้อยละห้อยไห้
รํ่าพลางทอดองค์โศกาลัย สลบไปไม่เป็นสมประดี ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ฝูงอนงค์กำนัลสาวศรี
ต่างตนรํ่ารักอสุรี เสียงมี่อื้ออึงทั้งวังจันทน์
ครั้นเห็นอัครราชกัลยา กับพระธิดาเฉลิมขวัญ
แสนโศกโศกาจาบัลย์ กัลยาแน่นิ่งสลบไป
ตกใจอุตลุดวุ่นวาย เรียกเจ้าขรัวนายผู้ใหญ่
บ้างเอาสุคนธ์มาลูบไล้ ประพรมไปทั่วอินทรีย์
ลางนางบ้างเข้านวดฟั้น คั้นหัตถ์บาทาทั้งสองศรี
ลางนางได้พัดมาพัดวี ก็ฟื้นสมประดีขึ้นมา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ บัดนั้น สุพินสันเสนียักษา
เห็นนางได้สติวิญญาณ์ อสุราบังคมทูลไป
ซึ่งจะรํ่ารักองค์พระทรงฤทธิ์ ใช่จะคืนชีวิตนั้นก็หาไม่
บรรดาที่เกิดมาในภพไตร ก็สิ้นชีวาลัยเหมือนกัน
อันมนุษย์พี่น้องสองกษัตริย์ วงศ์จักรพรรดิรังสรรค์
พญามารน้อมเศียรบังคมคัล ถวายไอศวรรย์อันโอฬาร
ฝากพระแม่เจ้าทั้งสององค์ กับอนงค์นางในราชฐาน
เสนาโยธาบริวาร ผ่านฟ้าจึ่งสิ้นชีวี
เชิญองค์พระแม่อยู่หัวเจ้า ไปเฝ้าสองกษัตริย์เรืองศรี
ยังเขามยุราคีรี ขอศพภูมีเข้ามา ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางวัชนีสูรเสน่หา
ได้ฟังเสนีผู้ปรีชา กัลยาเห็นชอบทุกสิ่งไป
จึ่งมีพระราชเสาวนีย์ ตรัสสั่งมนตรีผู้ใหญ่
จงกะเกณฑ์กันให้พร้อมไว้ เราจะไปเฝ้าองค์พระทรงธรรม์ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น จึ่งมหาเสนาคนขยัน
รับสั่งถวายบังคมคัล พากันเร่งรีบออกมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ จัดเป็นกระบวนพระประเทียบ ตั้งเรียบริ้วรายซ้ายขวา
รถแก้ววอทองอลงการ์ ทั้งสุวรรณบุปผาบรรณาการ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางวัชนีสูรยอดสงสาร
กับองค์พระธิดายุพาพาล แสนสนมบริวารกำนัล
พากันย่างเยื้องยุรยาตร งามวิลาสดั่งอัปสรสวรรค์
ลงจากปราสาทแก้วแพรวพรรณ มาทรงวอสุวรรณอลงการ์ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ จึ่งให้เคลื่อนพหลโยธี แสนสุรเสนียักษา
ออกจากมลิวันพารา ไปตามมรคาพนาลัย ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น สุพินสันผู้มีอัชฌาสัย
ครั้นใกล้ให้หยุดประเทียบไว้ ไปหาพิเภกอสุรี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ น้อมเกล้าประณตบทบงสุ์ ทูลองค์พญายักษี
ว่าข้านำเสด็จนางเทวี กับพระบุตรีออกมา
ทั้งเครื่องมงคลบรรณาการ แสนสนมบริวารซ้ายขวา
ตามพระองค์มีราชบัญชา ให้ข้าเบื้องบาทนี้เข้าไป ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พิเภกผู้มีอัชฌาสัย
ได้ฟังสอดคล้องต้องใจ ก็พาไปพลับพลารูจี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ จึ่งน้อมเศียรเกล้าบังคมทูล นเรนทร์สูรสุริย์วงศ์เรืองศรี
สรวมชีพข้าบาทพระภูมี บัดนี้สุพินสันเสนา
นางวัชนีสูรนงลักษณ์ มเหสีจักรวรรดิยักษา
กับรัตนมาลีธิดา ทั้งสุวรรณบุปผาบรรณาการ
ออกมาประณตบทบงสุ์ พระผู้พงศ์จักรพรรดิมหาศาล
ขอเบิกสององค์นงคราญ เฝ้าเบื้องบทมาลย์พระภูธร ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพรตสุริย์วงศ์ทรงศร
ได้ฟังน้องท้าวยี่สิบกร จึ่งมีสุนทรวาจา
ดูก่อนสุพินสันเสนี จงนำมเหสียักษา
กับนางผู้เป็นธิดา เข้ามายังหน้าพลับพลาชัย ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น สุพินสันผู้มีอัชฌาสัย
ก้มเกล้ารับสั่งพระภูวไนย แล้วรีบออกไปทันที ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ นบนิ้วประนมบังคมทูล นางวัชนีสูรโฉมศรี
รับสั่งโปรดให้พระเทวี ไปเฝ้ายังที่พลับพลา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางวัชนีสูรเสน่หา
ได้ฟังเสนีผู้ปรีชา ก็พาพระธิดายาใจ
ลงจากวอแก้วแพรวพรรณ พร้อมฝูงกำนัลน้อยใหญ่
ตามกันย่างเยื้องคลาไคล เข้าไปพลับพลารูจี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงน้อมเกล้าบังคมบาท น้องนารายณ์ธิราชเรืองศรี
แล้วถวายธูปเทียนมาลี เทวีชม้ายชายตา
เห็นสองพระองค์ทรงฤทธิ์ งามวิจิตรเพียงเทพเลขา
อรชรอ้อนแอ้นทั้งกายา ผิวพักตร์ลักษณาละกลกัน
ยิ่งดูยิ่งเพลินจำเริญเนตร เคลิ้มเทวษคลายความโศกศัลย์
พิศวงในองค์พระทรงธรรม์ กัลยาเพียงลืมสมประดี
ดูพี่ลืมแลพระกนิษฐา ครั้นดูพระอนุชาก็ลืมพี่
แต่ลอบลักแลดูพระภูมี ทั่วทุกนารีกำนัลใน
ต่างตนต่างหลงลานสวาท มิอาจที่จะต่อพระเนตรได้
เคียมคมก้มหมอบอยู่แต่ไกล คอยพระภูวไนยจะบัญชา ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพรตสุริย์วงศ์นาถา
ทอดพระเนตรเห็นสองกัลยา มีความเมตตาปรานี
จึ่งกล่าววาจาอันสุนทร ดูก่อนนางผู้เฉลิมศรี
อันท้าวจักรวรรดิอสุรี สามีขององค์นงลักษณ์
ประมาทหมิ่นในเบื้องบาทบงสุ์ พระนารายณ์ฤทธิรงค์ทรงจักร
ตัวเรามีความเมตตานัก หวังมิให้ขุนยักษ์วายปราณ
จึ่งแต่งศุภลักษณ์สารา เข้าไปเจรจาว่าขาน
กลับกล่าวหยาบช้าอหังการ ฮึกหาญยกพลมาชิงชัย
จนสุริย์วงศ์พงศ์พันธุ์มิตรสหาย พลอยตายเกลื่อนกลาดไม่นับได้
ต่อเมื่อจะสิ้นชีวาลัย จึ่งกลับใจรู้โทษอสุรี
วอนฝากลูกรักเมียรัก ทั้งนางนักสนมสาวศรี
เราผู้บำรุงธาตรี ปรานีไม่จองเวรา ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางวัชนีสูรยักษา
ได้ฟังยินดีปรีดา ดั่งอำมฤตฟ้ามารินรด
ไพเราะเพราะเสียงเพราะคำ เฉื่อยฉ่ำซาบสารพางค์หมด
จึ่งน้อมเศียรเกล้าลงประณต ฉลองพจนารถวาที
ซึ่งพระองค์เมตตาการุญ พระคุณลํ้าฟ้าราศี
อันนวลนางรัตนมาลี บุตรีของข้าดั่งดวงใจ
เจ้าเป็นกำพร้าบิตุเรศ แสนเทวษไม่มีที่อาศัย
ขอถวายองค์อัครอรไท ไว้ในใต้เบื้องบาทา
แต่ซึ่งซากศพพญามาร สาธารณ์ตายกลิ้งอยู่กลางป่า
อย่าให้สมเพชเวทนา โปรดข้าขอรับไปธานี ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพรตทรงสวัสดิ์รัศมี
ได้ฟังนางกล่าววาที จึ่งมีพจนารถตอบไป
อันองค์พระนารายณ์ใช้มา จะปรารถนาสิ่งใดนั้นหาไม่
หวังจะบำรุงภพไตร ให้ได้แสนสุขสำราญ
ซึ่งจะรับศพกุมภัณฑ์ เข้าไปมลิวันราชฐาน
ทั้งนี้ก็ต้องด้วยกิจการ ตามอย่างบุราณประเวณี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางวัชนีสูรมารศรี
ได้ฟังพระราชวาที มีความยินดีเป็นพ้นนัก
จึ่งน้อมเศียรเกล้าลาบาท น้องนารายณ์ธิราชทรงจักร
พาพระบุตรีวิไลลักษณ์ บ่ายพักตร์ออกจากพลับพลา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ขึ้นทรงวอแก้วแกมสุวรรณ พร้อมหมู่กำนัลซ้ายขวา
ฝ่ายสุพินสันเสนา นำเสด็จกัลยารีบจร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงซึ่งที่สนามยุทธ์ หยุดอยู่แทบเชิงสิงขร
ลงจากวอแก้วอลงกรณ์ แม่ลูกบทจรเข้าไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ฝ่าศพอสุรกุมภัณฑ์ ซึ่งตายก่ายกันไม่นับได้
ให้สังเวชสลดระทดใจ แลไปเห็นองค์พญามาร
ล้มอยู่กับพื้นแผ่นดิน กรขาดสุดสิ้นสังขาร
ตกใจดั่งใครมารอนราญ นงคราญวิ่งเข้าไปทันที
อัคเรศกอดข้อพระบาทขวา ขององค์พญายักษี
พระราชธิดานารี เทวีกอดเบื้องพระบาทซ้าย
ให้ร้อนรุ่มกลุ้มไปด้วยความโศก แสนวิโยคอาลัยใจหาย
ดั่งหนึ่งชีวิตจะวอดวาย โฉมฉายครวญครํ่ารำพัน ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

โอ้

๏ มเหสีว่าโอ้พระจอมภพ เลื่องชื่อลือลบจบสวรรค์
เรืองฤทธิไกรดั่งไฟกัลป์ เป็นปิ่นมลิวันธานี
เสวยแสนโภไคยไอศูรย์ ไพบูลย์พูนสุขเกษมศรี
พร้อมฝูงอนงค์นารี ควรหรือมาหนีไปเมืองฟ้า
บุตรีว่าโอ้พระบิตุเรศ พระคุณเคยปกเกศเกศา
บำรุงเลี้ยงลูกแต่เยาว์มา มิให้อนาทรร้อนใจ
แม้นจะชมเดือนดารากร ในอัมพรก็พาไปชมได้
จะใคร่เห็นชั้นฟ้าสุราลัย ก็พาไปเที่ยวทั่วทุกวิมาน
ชนนีว่าโอ้พระภูวนาถ มาประมาทอาจองทะนงหาญ
รณรงค์ด้วยวงศ์พระอวตาร จึ่งสิ้นชนมานอยู่กลางดิน
ตั้งแต่นี้ไปจะเสื่อมสุข ทนทุกข์เทวษด้วยกันสิ้น
ทั่วทั้งพิภพอสุรินทร์ จะกินนํ้าตาไม่เว้นวาย
ธิดาว่าโอ้พระทรงฤทธิ์ ลูกคิดก็น่าใจหาย
พระเชษฐาทั้งสามก็วอดวาย จะบ่ายพักตร์ไปพึ่งผู้ใด
อกเอ๋ยแม้นตายเสียดีกว่า จะอยู่ไปก็หาประโยชน์ไม่
ว่าพลางทั้งสองอรไท สะอื้นไห้เพียงสิ้นสมประดี ฯ

ฯ ๑๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ฝูงนางกำนัลสาวศรี
ต่างตนแสนโศกโศกี ตีอกเข้ารํ่ารำพัน
โอ้ว่าพระทูลกระหม่อมเอ๋ย ไม่เห็นเลยจะสิ้นชีวาสัญ
ทรงเดชดั่งไฟบรรลัยกัลป์ ทั้งหกฉ้อชั้นก็เกรงฤทธิ์
บำรุงเลี้ยงข้าทั้งนี้ไว้ ด้วยพระทัยเมตตาสุจริต
ได้ความสุขอยู่เย็นเป็นนิจ ดั่งหนึ่งบิตุเรศมารดร
มาตรแม้นพลั้งผิดในกิจการ พระงดโทษโปรดปรานสั่งสอน
สิ่งใดมิให้อนาทร ทุกอนงค์นิกรกำนัล
ควรหรือมาทิ้งข้าบาทไว้ เสด็จไปฟากฟ้าสรวงสวรรค์
รํ่าพลางโศกาจาบัลย์ ดั่งหนึ่งชีวันจะวอดวาย ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ บัดนั้น เสนาโยธาทั้งหลาย
บรรดาออกมาทั้งหญิงชาย ต่างตนต่างฟายนํ้าตา
เที่ยวไปในที่สนามรบ ร้องไห้หาศพวงศา
สับสนกล่นเกลื่อนไปมา หน้าตาไม่เป็นสมประดี
บ้างรํ่าถึงองค์พญามาร ทั้งสงสารรักน้องรักพี่
รักบุตรนัดดาสามี ญาติวงศ์พงศ์พี่ที่ตายไป
เสียงแซ่อื้ออึงกุลาหล จะเว้นว่างสักคนก็หาไม่
ดั่งจะวินาศขาดใจ ไม่เป็นสติวิญญาณ์ ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางวัชนีสูรเสน่หา
ครั้นฟื้นคืนได้สติมา กัลยาค่อยดำรงอินทรีย์
ตรัสสั่งแก่เจ้าพนักงาน ให้เอาโกศสุรกานต์จำรัสศรี
เชิญศพพญาอสุรี ขึ้นรถมณีอำไพ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น เสนาธิบดีน้อยใหญ่
รับพระเสาวนีย์นางทรามวัย ก็เข้าไปยังศพพญามาร
ใส่ในโกศแก้วสุวรรณรัตน์ อันจำรัสด้วยดวงมุกดาหาร
เชิญขึ้นยังรถสุรกานต์ งามแม้นวิมานเมืองฟ้า
ประดับอภิรุมชุมสาย ธงทิวริ้วรายซ้ายขวา
ประโคมฆ้องกลองเป็นโกลา แห่แหนแน่นมาเข้าธานี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงซึ่งราชนิเวศน์ จึ่งองค์อัคเรศมเหสี
ให้เชิญศพพระราชสามี ไว้ที่ในหน้าพระลานชัย
แล้วตรัสสั่งเจ้าพนักงาน ทั้งทหารพลเรือนน้อยใหญ่
จงเร่งแต่งการบูชาไฟ ตามในประเวณีกษัตราฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น สุพินสันผู้มียศถา
ก้มเกล้ารับสั่งนางกัลยา ก็ออกมาแต่งการเป็นโกลี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางวัชนีสูรยักษี
ทั้งองค์พระราชบุตรี ฝูงสนมนารีบริวาร
บ้างได้ธูปเทียนบุปผา จวงจันทน์กฤษณาหอมหวาน
สมาลาโทษพญามาร นงคราญจุดเพลิงพร้อมกัน
อันเสียงพิณพาทย์ฆ้องกลอง กึกก้องสะเทือนเลื่อนลั่น
บรรดามโหรสพทั้งนั้น ประชันกันเต้นรำเป็นโกลา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ ครั้นเสร็จการศพพระสามี องค์อัครเทวีเสน่หา
ค่อยสว่างสร่างโศกโศกา ตรัสสั่งเสนาปรีชาชาญ
ท่านจงเร่งออกไปเฝ้า องค์เจ้าลงการาชฐาน
ให้กราบทูลน้องพระอวตาร ผ่านฟ้าจะโปรดประการใด ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น สุพินสันผู้มีอัชฌาสัย
รับพระเสาวนีย์อรไท ก็รีบออกไปยังพลับพลา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงประณตบทบงสุ์ ทูลองค์พิเภกยักษา
เสร็จสิ้นแต่ต้นจนปลายมา ซึ่งปลงศพพญาอสุรี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวทศคิริวงศ์ยักษี
จึ่งพาสุพินสันเสนี เข้าไปที่เฝ้าพระทรงธรรม์ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ จึ่งน้อมเศียรเกล้าบังคมทูล นเรนทร์สูรสุริย์วงศ์รังสรรค์
อันศพจักรวรรดิกุมภัณฑ์ เจ้ากรุงมลิวันพารา
บัดนี้ก็เสร็จสำเร็จกิจ พระทรงฤทธิ์จงโปรดเกศา
เชิญเสด็จยกพยุหโยธา เข้าเหยียบพาราอสุรี
จะได้เป็นพระยศปรากฏไว้ ใต้บาทพระนารายณ์เรืองศรี
ไปกว่าสิ้นฟ้าธาตรี ซึ่งภูมีมาล้างอาธรรม์ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพรตสุริย์วงศ์รังสรรค์
ได้ฟังน้องท้าวทศกัณฐ์ ทรงธรรม์ชอบราชฤทัย
จึ่งผันพระพักตร์มาบัญชา สั่งพญาสุครีพทหารใหญ่
จงเตรียมรี้พลสกลไกร จักไปดูเมืองอสุรี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น พญาไวยวงศากระบี่ศรี
รับสั่งพระองค์ทรงฤทธี ถวายอัญชุลีแล้วออกมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ จัดเป็นกระบวนเพชรพวง ทหารทะลวงศึกเดินหน้า
แต่ละตนล้วนมีศักดา ถือคาบศีลารางแดง
ถัดมานั้นเหล่าเตียวเพชร ถือหอกแห่เสด็จตามตำแหน่ง
ถัดมาถือดาบคมแวง เดินแซงเหล่าพวกเกาทัณฑ์
ถัดมาแต่ล้วนถือทวน เข้ากระบวนเรียบเรียงเป็นหลั่นหลั่น
ถัดมาเหล่าลิงทะลวงฟัน ถือเขนเดินคั่นทองปราย
ถัดมาวานรสี่ตำรวจ ถือกระบี่โอ่อวดเฉิดฉาย
สิบแปดมงกุฎตัวนาย เดินรายรอบข้างพิชัยรถ
กระบวนหลังนั้นชาวลงกา ตามท้ายรัถาทั้งหมด
ตั้งระเบียบเรียบกันเป็นหลั่นลด คอยพระทรงยศเสด็จจร ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ