๏ ปางพระหน่อขัตติยวงศ์พงศ์อาทิตย์ |
พระทัยคิดถึงสายสวาทไม่ขาดถวิล |
สุริยงลงลับสิขรินทร์ |
พระภูมินทร์ไม่เห็นสาลิกามา |
ก็รู้แน่ในอารมณ์ว่าสมรัก |
ตั้งพระพักตร์ดูจันทร์ชั้นเวหา |
ครั้นประถมยามชัยได้เวลา |
พระตรัสสั่งอนุชาร่วมชีวัน |
พี่จะลอบไปประโลมโฉมสมร |
พระน้องนอนเสียเถิดพ่ออย่าผายผัน |
พอสางแสงสุริยาจะมาพลัน |
เจ้าไปด้วยแจ่มจันทร์จะอายใจ ฯ |
๏ อรุณรับแล้วกำชับพระเชษฐา |
อย่าอยู่ช้าสายแสงพระสุริย์ใส |
เห็นนานนักน้องรักจะตามไป |
ให้ถึงในปรางค์มาศปราสาททอง ฯ |
๏ ได้ฟังน้องผ่องแผ้วพระทัยชื่น |
สำราญรื่นยินดีไม่มีสอง |
ประดับองค์ทรงเครื่องอันเรืองรอง |
ค่อยเยื้องย่องยุรยาตรนาดพระกร |
เหาะทะยานผ่านมาในอากาศ |
หมายปราสาทพระธิดาดวงสมร |
ด้วยแสงจันทร์แจ่มกระจ่างกลางอัมพร |
พระลอยร่อนดูพลางเหมือนกลางวัง |
เห็นต้นกร่างข้างปรางค์เหมือนคำนก |
ให้อิ่มอกเหมือนในฤทัยหวัง |
ค่อยร่อนลงตรงหน้าบัญชรบัง |
เห็นแกลยังแย้มไว้ไม่ใส่ดาล |
ประทีปทองส่องสว่างในปรางค์รัตน์ |
เงียบสงัดสุรเสียงไม่กล่าวสาร |
พระค่อยผลักบัญชรรัตน์ชัชวาล |
นฤบาลเยื้องย่องเข้าห้องปรางค์ |
ชื่นอารมณ์ชมฉากเป็นชั้นชั้น |
ฝูงกำนัลหลับสนิทไม่อางขนาง |
บ้างขาวขำดำเกลี้ยงเป็นปานกลาง |
เพลิงกระจ่างจับหน้าเป็นนวลคม |
พระพิศดูเครื่องสำอางที่วางไว้ |
เสี้ยมไม้ไผ่น้อยน้อยมาสอยผม |
ลางนางหลับสนิทไม่ปิดนม |
นัดถุ์ยาดมลืมหลับอยู่กับกาย |
บ้างนอนวัดปัดโถเขม่าหก |
หวีกระจกโถแป้งตะแคงหงาย |
บ้างเล่นเพื่อนกอดน้องประคองกาย |
พระชม้ายชม้อยชมทุกชั้นมา |
ถึงห้องในใส่ล้วนลับแลฉาย |
เขียนเป็นลายกำมะลอดูเลขา |
เป็นรูปเรื่องเมืองฝรั่งชาวลังกา |
ดูพาราแจ่มอร่ามงามระยับ |
พระชมพลางทางรูดวิสูตรกั้น |
เห็นอำพันกัลยานิทราหลับ |
ให้ซึมซาบวาบใจพระทัยวับ |
หยุดประทับบนแท่นที่บรรทม |
ลงนั่งแอบแนบองค์นุชนาฏ |
พิศวาสใจเพียงจะเอียงล่ม |
พระอิงแอบแนบน้องประคองชม |
เจ้างามคมขาวขำล้ำวิไล |
โอษฐ์สะอาดตะละชาดบรรจงจิ้ม |
เหมือนจะยิ้มแย้มรับทั้งหลับใหล |
ศอระหงดังบุหรงสำหรับไพร |
พระขนงโก่งสุดนัยนานาง |
นิ้วพระหัตถ์ทัดเทียนลอออ่อน |
ลำพระกรกลมละอองทั้งสองข้าง |
เล็บแฉล้มแช่มช้อยดังจัดวาง |
ทั้งสองปรางเปล่งนวลชวนให้เชย |
ทั้งสองถันสันทัดดอกบัวหลวง |
เป็นพุ่มพวงงามสุดแรกผุดเผย |
พลางประคองต้องเต้ามณฑาเชย |
เจ้าพี่เอ๋ยนอนนิ่งไม่ติงองค์ |
โอบพระกรช้อนอุ้มแล้วจุมพิต |
พระทรงฤทธิ์ปลุกชวนนวลหง |
โฉมอำพันมาลาผวาองค์ |
เห็นพระทรงฤทธิไกรวิไลงาม |
เบือนสะบัดหัตถาผวาหวาด |
ลงจากอาสน์เมียงเมินให้เขินขาม |
พระกุมกรวอนว่าพะงางาม |
ขอฝากความรักเจ้าอย่าเฝ้าเคือง |
กุศลพี่ชี้ช่วยอำนวยชัก |
ให้สมรักชิดเชื้อแม่เนื้อเหลือง |
มาอยู่สวนโศกศัลย์ถึงขวัญเมือง |
พี่ร่างเรื่องให้สาลิกามา |
ขอเชิญโฉมวรนุชสุดสวาท |
มาร่วมอาสน์บรรจถรณ์อันเลขา |
อย่าหวาดหวั่นพรั่นใจนางไฉยา |
พี่หมายมาฝากชีวันกับขวัญใจ ฯ |
๏ นางฟังสารหวานล้ำคำละม่อม |
แจ้งว่าจอมจักรพรรดิพิสมัย |
นางชม้ายชายดูพระภูวไนย |
งามวิไลดังพระจันทร์อันเจริญ |
พอเนตรน้องต้องเนตรพระภูวนาถ |
สุดสวาทม่อยหมางระคางเขิน |
เสียวกระสันหวั่นไหวพระทัยสะเทิ้น |
ชม้อยเมินตอบพจมานพลัน |
น่าสำรวลที่มาชวนขึ้นแท่นรัตน์ |
พระมาจัดแจงไว้เมื่อไรนั่น |
บรรจถรณ์เคยนอนอยู่ทุกวัน |
มาบุกบั่นข่มเหงไม่เกรงใจ |
ภูวนาถมาดหมายฝากชีวิต |
เมื่อดับจิตเถิดจะบอกหนทางให้ |
ที่นี่เคยหรือมาล่วงชะล่าใจ |
ไม่กลับไปก็จะร้องให้ก้องดัง ฯ |
๏ นิจจาน้องจะมาร้องเอาคนรัก |
ได้พบพักตร์อย่าขับไม่กลับหลัง |
พี่รักเจ้าจริงจริงอย่าชิงชัง |
จะร้องดังก็ไม่ร้างนิราศจร |
ถึงตัวตายจะให้ชายเขาลือชื่อ |
ตลอดลือว่าได้โลมโฉมสมร |
พลางประคองต้องเต้านั้นเต็มกร |
นางคมค้อนปลิดหัตถ์กระษัตรา |
นี่อะไรไล่จูบประโลมต้อง |
พี่รักน้องนั่นสิเจ้าจึงเข้าหา |
ช่างไม่เก้อเลยมาเพ้อจำนรรจา |
ตามจะว่าเถิดไม่วางเจ้าอย่างเดียว |
หยิกด้วยเล็บหนาให้เจ็บตลอดจิต |
แม้นไม่คิดแล้วจะหยิกให้เนื้อเขียว |
จนเขาขับแล้วยังจับอยู่กลมเกลียว |
อย่าโกรธเกรี้ยวไปเลยน้องจะหมองนวล |
พระโอบอุ้มจุมพิตสนิทสนม |
พระเชยชมโฉมนุชสุดสงวน |
ปลอบประโลมโฉมน้องต้องกระบวน |
ทั้งสองสรวลสุขเกษมประสานกร |
ดังนาครัดดวงแก้วประคองกอด |
พระหัตถ์สอดพุ่มพวงดวงสมร |
ดังราหูจู่จับพระจันทร |
ประชากรก็ประโคมระฆังดัง |
บ้างกรายกรีดดีดเล็บฉะฉับเฉาะ |
เอาขันเคาะฆ้องกระแตทั้งแตรสังข์ |
เสียงปืนตึงผึงตามกันสามตัง |
ราหูยังหยุดยืนแล้วคืนคาย |
พิรุณโรยโปรยปรอยลงย้อยปริบ |
มณฑาทิพปทุมมาลย์บานขยาย |
ภุมรินหอมกลิ่นลงเกลือกกาย |
ทั้งสองฝ่ายสบกระบวนให้ยวนยี |
ต่างหลงเชิงพระละเลิงด้วยชมโฉม |
หลงประโลมลืมรักเจ้าปักษี |
นางลืมสองจักรพรรดิสวัสดี |
พระลืมที่สวนขวัญอนุชา |
ฆ้องสำคัญลั่นทุ่มเข้าสิบทัศ |
ประคองหัตถ์กอดแก้วขนิษฐา |
ค่อยกระซิบกระซาบสั่งหลั่งน้ำตา |
พี่จะลาแล้วนะน้องอย่าหมองใจ |
ตะวันดับจึงจะกลับมาหาแก้ว |
สว่างแล้วพี่จะอยู่กระไรได้ |
โฉมอำพันปั่นป่วนรัญจวนใจ |
พลางพิไรครวญคร่ำด้วยคำวอน |
มิเสียทีที่พระว่าการุญน้อง |
จะจากห้องแรมร้างห่างสมร |
ดังฝูงผึ้งคลึงกลิ่นแล้วบินจร |
สมสุนทรที่พระเริ่มแต่เดิมที |
หรือห่วงหลังหวังรักไปนัคเรศ |
ประจักษ์เหตุแล้วไม่ต้องให้หมองศรี |
น้องโฉดเขลาเบาจิตผิดสตรี |
ก็ตามทีเถิดเคราะห์จำเพาะเป็น ฯ |
๏ นั่นมิใช่หรือมาใส่เอาเปล่าเปล่า |
ใครบอกเล่าว่าห่วงมาล่วงเห็น |
นี่จำใจจำลาน้ำตากระเด็น |
ถ้าใครเห็นด้วยพี่บ้างแทบคลั่งตาย |
มิใช่ชังจะมาร้างนิราศนุช |
มาวิมุตินึกหมางระคางหมาย |
อารมณ์รักอุตส่าห์หักความเสียดาย |
กลัวจะอายที่จะอึงพี่จึ่งจร |
ไม่เห็นทุกข์แล้วก็แท้ว่าแม่แกล้ง |
ไม่เคลือบแคลงแล้วจะร้างห่างสมร |
แม่ฟังคำพี่ว่าอย่าอาวรณ์ |
แม้นไม่จรเขาเห็นกายจะอายคน ฯ |
๏ พระทรงโฉมโลมลูบแล้วจูบสั่ง |
น้ำเนตรหลั่งไหลนองดังฟองฝน |
ลงจากอาสน์กรเผยพระแกลบน |
ฤทธิรณรีบรุดมาอุทยาน |
พอถึงสวนจวนสางสว่างแสง |
กระจ่างแจ้งพื้นภพจบสถาน |
พระเข้าห้องกอดน้องแล้วพจมาน |
พ่อตื่นนานแล้วหรือน้องอย่าหมองใจ |
อรุณยิ้มพริ้มพรายภิปรายเปรียบ |
ทูลประเทียบเปรียบเปรยเฉลยไข |
ไม่หาวนอนเลยสักนิดน้องผิดใจ |
ราวกับได้นางฟ้าลงมาเชย |
พระเยื้อนบอกยิ้มย่องกับน้องแก้ว |
ถึงตัวบ้างก็ไม่แคล้วแล้วน้องเอ๋ย |
เป็นประถมธรรมดาอย่าว่าเลย |
แล้วชมเชยตอบสนองกันสองรา ฯ |
๏ สงสารนุชสุดสวาทในวังหลวง |
สว่างดวงสุริยนบนเวหา |
ไม่วายคิดจิตประหวัดถึงภัสดา |
ประคองกอดสาลิกาไว้กับกาย |
ขุนทองเอ๋ยเป็นไรเลยไม่พูดบ้าง |
ให้แม่สร่างโศกเศร้าบรรเทาหาย |
นกฉลาดช่างเฉลยภิเปรยปราย |
ไม่สบายสุดจะบอกให้ใครฟัง |
เมื่อคืนนี้อัศจรรย์เหมือนฝันเห็น |
เผอิญเป็นให้พิกลกว่าหนหลัง |
ราวกับลมเพชหึงพัดตึงตัง |
พึ่งหายดังลงเมื่อดึกรู้สึกพลัน ฯ |
๏ นางแย้มยิ้มพริ้มพักตร์ลูกรักแม่ |
ช่างพูดแก้ขอบจิตนิมิตฝัน |
เจ้านอนนี่มีเหตุขึ้นอัศจรรย์ |
ถ้ากระนั้นค่ำลงนอนพงพี ฯ |
๏ อนิจจาขุนทองมาต้องขับ |
ช่างอาภัพไปห่างจากปรางค์ศรี |
แต่ปางก่อนนั้นสาลิกาดี |
ตั้งแต่นี้เห็นอาภัพจะลับแล้ว ฯ |
๏ นางฟังพลอดกอดสาลิกาน้อย |
ช่างชดช้อยส่งเสียงสำเนียงแจ้ว |
ถึงตัวตายก็ไม่วายสวาทแล้ว |
นางกอดแก้วสาลิกาว่าน่ารัก |
จงเฝ้าห้องนะขุนทองอย่าไปไหน |
แม่จะไปเฝ้าองค์พระทรงศักดิ์ |
สั่งพลางแต่งองค์นางนงลักษณ์ |
พอสมศักดิ์สมองค์นางนงคราญ |
ภูษาทรงวงสร้อยสะอิ้งรัด |
นิ้วพระหัตถ์ธำมรงค์วิเชียรฉาน |
ดำรัสเรียกฝูงกำนัลพนักงาน |
เยาวมาลย์ย่างเยื้องชำเลืองมา |
ถึงปราสาทสององค์พระทรงภพ |
นางเคารพอัญชลีเหนือเกศา |
ภูวนาถหวาดจิตเห็นธิดา |
ทั้งกายาพระยุพินสิ้นละออง |
แต่ก่อนงามยามดูดังเดือนฉาย |
มาระคายระคางมีราคีหมอง |
ดังโกสุมภุมรินบินประคอง |
เป็นรอยต้องซ้ำมีราคีพาน |
พระลูกรักดีร้ายมีชายชิด |
จึงดูผิดผิวพรรณในสัณฐาน |
จะถามนางเห็นจะพรางไม่ต้องการ |
นฤบาลนิ่งพิศดูธิดา |
เห็นแน่ใจแล้วมิได้โองการแจ้ง |
ครั้นสายแสงสุริยนบนเวหา |
พระทรงเครื่องเยื้องย่องจากห้องมา |
ออกนั่งหน้าพระโรงรัตน์ชัชวาล |
สะพรั่งพร้อมเสนาพฤฒามาตย์ |
ภูวนาถตรัสเรียกมนตรีทหาร |
เคียงบัลลังก์กระซิบสั่งให้จัดการ |
ท่านผู้ชาญจงช่วยล้างในทางอาย |
ผูกพยนต์กลในให้ลึกล้ำ |
ข้างนอกทำให้เป็นแท่นวิเชียรฉาย |
ยักษ์พยนต์ตนหนึ่งให้แฝงกาย |
คอยจับชายชู้ชิดพระธิดา ฯ |
๏ ขุนทหารฟังสารที่ท้าวสั่ง |
ถวายบังคมคัลมาเคหา |
เอาเชือกวงดำรงเสกด้วยวิทยา |
มัดหุ่นหญ้าวางไว้เหมือนใจจง |
บริกรรมซ้ำเสกข้าวสารซัด |
เชือกวิบัติเป็นบัลลังก์ที่นั่งหงส์ |
ทั้งหุ่นหญ้าก็เป็นมารชาญณรงค์ |
แล้วบรรจงให้เป็นกลองของสำคัญ |
ภาวนาสั่งผ้าพยนต์ยักษ์ |
บุรุษใดมาร่วมรักสาวสวรรค์ |
เมื่อไสยาสน์จงพิฆาตกลองสำคัญ |
จับกระสันมัดไว้ดังใจจง |
ครั้นสำเร็จเสนาเอามาถวาย |
จอมนารายณ์ชื่นชมสมประสงค์ |
พจมานให้ประทานนางโฉมยง |
ฝูงอนงค์นำหน้าเสนาจร |
ครั้นถึงปรางค์นางทูลถวายอาสน์ |
ภูวนาถเธอจำนงให้องค์สมร |
โฉมอำพันมาลาพะงางอน |
เห็นบรรจถรณ์งามดีก็ปรีดา |
บรรจงจัดผลัดแท่นที่สถิต |
ไม่แจ้งจิตนงลักษณ์ว่ายักษา |
แต่คิดเร่งสุริยนให้สนธยา |
ภัสดาจะได้ย่างเข้าปรางค์ทอง |
อันท้าวหลวิราชอำมาตย์ทหาร |
เกษมศานต์ยินดีไม่มีสอง |
คอยเงี่ยโสตฟังเสียงสำเนียงกลอง |
อยู่ในท้องพระโรงรัตน์ชัชวาล ฯ |
๏ ปางบพิตรอิศเรศเกศมงกุฎ |
พระโคบุตรสุริยวงศ์ยอดสงสาร |
กับอรุณน้องยาปรีชาชาญ |
แสนสำราญอยู่ในห้องตำหนักจันทน์ |
ครั้นสุริยงลงลับเหลี่ยมสิงขร |
พระภูธรครวญคิดจิตกระสัน |
รำลึกถึงขนิษฐาวิลาวัณย์ |
นางแจ่มจันทร์เห็นจะคอยละห้อยใจ |
เข้านั่งแนบแอบน้องประคองถนอม |
แล้วแกล้งกล่อมเพลงขับให้หลับใหล |
พระทรงเครื่องเยื้องย่องจากห้องใน |
ฤทธิไกรเหาะตรงมาลงปรางค์ |
พระกรกรีดดีดแกลเสียงดังกัก |
นางนงลักษณ์แจ้งจิตไม่คิดหมาง |
นางเผยแกลรับองค์พระทรงปรางค์ |
พระจูงนางเยื้องย่องเข้าห้องใน |
ถนอมแนบแอบน้องประคองกอด |
นาสาสอดสมสนิทพิสมัย |
ต่างยวนยีปรีดิ์เปรมเกษมใจ |
บรรทมในแท่นทองทั้งสองรา ฯ |
๏ นางนบนอบตอบสนองต้องทำเนียบ |
ภิปรายเปรียบสรวลสันต์ด้วยหรรษา |
ข้างฝ่ายแท่นแสนเล่ห์ของเสนา |
ก็มารยาส่งเสียงประสานเพลง |
มโหรีปี่แก้วจะแจ้วเจื้อย |
ระรี่เรื่อยฟังเสนาะอยู่เหมาะเหมง |
พระโคบุตรนุชนางให้วังเวง |
สดับเพลงฟังเพลินเจริญครัน ฯ |
๏ ทั้งสององค์ทรงหลับไม่ลืมเนตร |
ด้วยต้องเวทมนตราเหมือนอาสัญ |
ยักษ์พยนต์รนตีเภรีพลัน |
แท่นสุวรรณรวบรัดจะมัดองค์ |
ก็กึกก้องห้องปรางค์ปราสาทรัตน์ |
สองกระษัตริย์หลับสนิทพิศวง |
แต่เครื่องเทพศาสตรารักษาองค์ |
ธำมรงค์สุริยกาญจน์สังวาลพราย |
เป็นจักรพัดตัดเชือกกระชากขาด |
วิปลาสลุ่ยแหลกละลายหาย |
ที่รูปหุ่นก็เป็นจุณแหลกทำลาย |
ต่างวุ่นวายหวั่นไหวในไพชยนต์ ฯ |
๏ นางสาวสาวชาววังกำลังหลับ |
สะดุ้งวับหวีดวิ่งอยู่สับสน |
ฝ่ายทหารชาญเวทวิเศษมนต์ |
ยินพยนต์พิฆาตกลองเข้าสองที |
แล้วกลับนิ่งกริ่งจิตผิดประหลาด |
ขุนอำมาตย์วิ่งวางมาปรางค์ศรี |
เห็นพยนต์ยับลงเป็นผงคลี |
ขุนมนตรีโกรธใจดังไฟกัลป์ |
ดูพระองค์ทรงฤทธิ์สนิทหลับ |
กระโจมจับด้วยกำลังดังกังหัน |
สังวาลวงเป็นภุชงค์กระหวัดพัน |
เสนาดันดึงเชือกลงเสือกกาย |
แทบขาดจิตด้วยฤทธิ์ภุชงค์รัด |
ดิ้นสะบัดก็ไม่ไหวให้ใจหาย |
จึงอ่านเวทแก้มนต์สะกดกาย |
ทั้งสองสายสุดที่รักรู้สึกพลัน |
ดูแท่นหายเห็นแต่สายสังวาลรัด |
เป็นนาคมัดเสนาจะอาสัญ |
พระหยิบเครื่องประดับมาฉับพลัน |
เสนานั้นหมอบตัวด้วยกลัวตาย |
แล้วทูลความตามโทษที่ทำผิด |
ได้ประดิษฐ์ทำแท่นมาถวาย |
แม้นมิโปรดโทษข้าก็ควรตาย |
หน่อนารายณ์อิศราได้ปรานี ฯ |