๏ นกขุนทองป้องปีกคำรบรับ |
บินขยับจับช่องพระแกลใหญ่ |
พอลับเนตรสาวสรรค์กำนัลใน |
ก็บินไปโดยลำพังกำลังแรง |
ออกลอยลมชมดงอยู่ร่มรื่น |
ในภาคพื้นแดดอับพยับแสง |
หมายเมืองพาราณสีไม่มีแคลง |
กำลังแรงร่อนไปในไพรวัน ฯ |
๏ พระสุริยงลงลับเหลี่ยมสิงขร |
พระจันทรเทวบุตรก็ผุดผัน |
ขึ้นลอยรถหมดเมฆวิเวกครัน |
สว่างวันหิมวาพนาลัย |
สงัดเสียงสิงสัตว์กำดัดดึก |
ขุนทองนึกเอกาลงอาศัย |
นอนสุมทุมพุ่มพงพนมไพร |
ครั้นรุ่งจรรีบไปในเมฆา |
ครั้นแดดร้อนผ่อนพักหาอาหาร |
อิ่มสำราญบินรีบถีบถลา |
ประมาณทางค้างคืนสองทิวา |
ถึงพาราณสีบูรีพลัน |
ลงจับแกลแลเห็นอรุณน้อย |
กระโดดลอยลงที่ตักเกษมสันต์ |
สำรวลป้องปีกประนมบังคมคัล |
นกว่าฉันรำลึกถึงเป็นพ้นใจ ฯ |
๏ เจ้าอรุณฟังพลอดแล้วกอดจูบ |
ประโลมลูบสาลิกาแล้วปราศรัย |
เห็นสารสวมคอนกพระตกใจ |
หนังสืออะไรเจ้าสาลิกาทอง ฯ |
๏ สาลิกาว่าสารของเจ้าแม่ |
ในกระแสเศร้าใจอาลัยหมอง |
สั่งให้ลูกรีบมาหาพระน้อง |
แต่ความอื่นขุนทองไม่แจ้งการ ฯ |
๏ ปางอรุณสุริยวงศ์ทรงสดับ |
พระหัตถ์จับคลี่กระดาษราชสาร |
เป็นความขำล้ำรสในพจมาน |
ให้นิ่งอ่านนะพระน้องของสำคัญ |
ในสารศรีว่าพี่นางไม่สร่างโศก |
แสนวิโยคเพียงชีวาจะอาสัญ |
ด้วยพระองค์หลงรักนางอำพัน |
เธอมาดมั่นโมโหพาโลตี |
นางอำพันฝ่ายน้อยพลอยสำทับ |
พี่อายกับหญิงชายชาวกรุงศรี |
เพราะเถรเฒ่าเจ้าเล่ห์เสน่ห์ดี |
มันทำให้ภูมีนั้นคลั่งไป |
พี่สืบดูรู้แจ้งไม่แคลงจิต |
ไม่มีใครจะคิดช่วยแก้ไข |
อนุชาเร่งร้อนอย่านอนใจ |
ก็สิ้นในสารศรีที่มีมา ฯ |
๏ พระอรุณรู้แจ้งแกล้งทำเฉย |
ตรัสภิเปรยกับด้วยเจ้าปักษา |
สั่งขุนทองให้อยู่ห้องที่ไสยา |
จะไปเฝ้าพระบิดาในราตรี |
ครั้นถึงจึ่งบังคมอยู่เคียงอาสน์ |
ถวายราชสารทองของโฉมศรี |
พระพี่กับเชษฐาเป็นราคี |
ให้ลูกรีบจรลีไปพารา ฯ |
๏ พรหมทัตฟังอรรถโอรสราช |
พระหวั่นหวาดวาบจิตคิดกังขา |
แล้วคลี่สารอ่านแจ้งในกิจจา |
พระตรึกตราพลางตรัสกับโอรส |
เจ้าพ่อเอ๋ยใครเลยในแหล่งหล้า |
ใครจะว่าตัวชั่วไม่มีหมด |
พระโคบุตรสุริยวงศ์ผู้ทรงยศ |
ก็ปรากฏเลิศลบในภพไตร |
นางมณีพี่เจ้าก็อภิเษก |
ให้เป็นเอกอัคเรศเธอรักใคร่ |
ถ้าแม้นดีจะไม่คิดก็ผิดไป |
เป็นจนใจที่จะแจ้งแห่งความจริง |
ในเรื่องราวแต่บูราณว่าการหึง |
หน่อยตามตรึงตรอมใจฤทัยหญิง |
จะยุ่งหยาบจาบจ้วงด้วยช่วงชิง |
จะดีจริงหรือจะมีราคีมา |
จริงดังคำเขาว่าทำเสน่ห์แท้ |
ก็เห็นแน่จะชังนางเหมือนอย่างว่า |
เจ้าเป็นน้องร่วมท้องทั้งสองรา |
พระผ่านฟ้าเธอจะหมางระคางแคลง |
เจ้าจะไปพ่อนี้ให้ระแวงผิด |
ครั้นว่าคิดลึกนักจะมักแหนง |
กำลังวุ่นถ้าหุนระแวงแคลง |
จะเกิดแหนงหน่ายรักกันหนักไป ฯ |
๏ อรุณฟังบังคมพระบิตุเรศ |
ซึ่งโปรดเกศตรัสความตามวิสัย |
แต่ลูกนี้จิตนึกคิดตรึกไป |
ถ้าเหมือนในสารศรีของพี่ยา |
ถูกเสน่ห์เล่ห์ลมให้หลงรัก |
จะเสียศักดิ์เสื่อมเดชพระเชษฐา |
ไปเห็นแน่จะได้แก้พระจักรา |
ให้มนตราคลายองค์พระทรงฤทธิ์ |
ทั้งพี่นางอยู่ระหว่างในเวรโทษ |
แม้นทราบโสตเที่ยงแท้แน่ว่าผิด |
ทูลให้ล้างเสียให้ตายวายชีวิต |
จะปกปิดคลุมงำไว้ทำไม |
ถึงพี่นางจะระคางพระทรงฤทธิ์ |
ก็รักสนิทเหมือนพี่น้องร่วมท้องไส้ |
เกิดยุ่งยิ่งกันอย่างนี้ถ้ามิไป |
ดูเหมือนใจไม่รักพระจักรา ฯ |
๏ พรหมทัตฟังอรรถพระโอรส |
เห็นหมดจดสมความตามปรึกษา |
คิดชอบชั้นเชิงดีอันปรีชา |
ตามปัญญาดวงจิตจงคิดความ |
อรุณรับกราบลามาสู่อาสน์ |
ไม่ไสยาสน์ตรึกความจนยามสาม |
ซึ่งบิตุรงค์ว่าพระองค์จะแคลงความ |
จะผ่อนตามมิให้มีราคีพาน |
จะชวนสี่อสุรารักษาสระ |
ไปเฝ้าพระภูวนาถถึงราชฐาน |
แม้นเธอหมางจะได้อ้างเป็นพยาน |
ดำริการเสร็จสรรพก็กลับพลัน |
ครั้นรุ่งแสงแจ้งจบพิภพพื้น |
พระพลิกฟื้นปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ |
ชำระองค์สรงสนานสำราญครัน |
กระแจะจันทน์รื่นรสสุคนธา |
พระทรงเครื่องเรืองงามอร่ามฉาย |
ดูแพรวพรายจำรัสพระเวหา |
พระกุมแก้วแล้วชวนสาลิกา |
ไปทูลลาบิตุเรศพระชนนี ฯ |
๏ สองพระองค์ทรงสอนอวยพรสวัสดิ์ |
จงกำจัดโพยภัยในวิถี |
พระรับพรอภิวันท์อัญชลี |
แล้วจรลีอุ้มสาลิกามา |
เหาะทะยานผ่านรีบดั้นกลีบเมฆ |
ดูวิเวกมาในห้องพระเวหา |
ลอยละลิ่วปลิวไปในเมฆา |
พระพายพาพัดส่งให้ตรงไป |
รอนรอนอ่อนแสงนรังสี |
มาถึงที่ยักษาอยู่อาศัย |
พระเหาะตรงลงริมคงคาลัย |
พระหน่อไทร้องเรียกอสุรี |
สุรเสียงก้องกังวานสะท้านลั่น |
สี่กุมภัณฑ์อยู่ไหมในสระศรี |
ฝ่ายว่าสี่อสุราในวารี |
เสียงใครนี่เรียกเราในสาคร |
สี่กุมภัณฑ์หันคว้าตะบองเพชร |
ต่างระเห็จผุดขึ้นดูอยู่สลอน |
เห็นพระอนุชาสถาพร |
สโมสรยินดีทั้งสี่คน |
ขึ้นบนฝั่งนั่งใกล้ปราศรัยถาม |
พ่อโฉมงามมาไยในไพรสณฑ์ |
ทูลกระหม่อมจอมภพจบสากล |
เสด็จด้นแดนใดจึงไม่มา ฯ |
๏ อรุณฟังแจ้งเรื่องแต่เบื้องก่อน |
เมื่อพระจรไปจากท้าวยักษา |
ไปได้นางกลับมาสร้างพระพารา |
ภิเษกสองกัลยาเป็นคู่ครอง |
อันนามเมืองของพระองค์ผู้ทรงยศ |
ชื่อปราการบรรพตไม่มีสอง |
บัดนี้ข่าวว่าท้าวไม่ปรองดอง |
ใช้ขุนทองนั้นให้ถือหนังสือมา |
เป็นความลับคับขันกระชั้นชิด |
เราตั้งจิตจะไปเฝ้าพระเชษฐา |
รำลึกถึงสี่นายเราหมายมา |
หวังจะชวนอสุราไปด้วยกัน ฯ |
๏ ทั้งสี่มารทูลตอบว่าขอบจิต |
ข้าก็คิดมุ่งหมายจะผายผัน |
มานึกน้อยใจตัวเหมือนชั่วครัน |
พระทรงธรรม์กลับมาก็ช้านาน |
ไม่รู้เลยจริงจริงเป็นความสัตย์ |
ด้วยสงัดอยู่ในกระแสสาร |
จะไปเฝ้าเจ้าฟ้าเมืองปราการ |
แล้วขุนมารเก็บของในคงคา |
เที่ยวเลือกหักฝักบัวเท่ากงเกวียน |
กระจับสดเท่าเศียรมหิงสา |
ทั้งสี่ตนเก็บคนละแบกมา |
อรุณพาชวนเหาะขึ้นเมฆี |
หมายปราการบรรพตกำหนดเนตร |
ข้ามประเทศป่าไม้คิรีศรี |
อสุราอรุณสกุณี |
จรลีลอยฟ้ามาไรไร |
ครั้นอัสดงลงลับพระเวหน |
นภาดลมัวหมองไม่ผ่องใส |
ลมก็พัดริ้วริ้วตามทิวไม้ |
ก็แกว่งไกวกระโชกลั่นอยู่ครั่นครื้น |
วิเวกแว่วแจ้วเสียงชะนีน้อย |
โหยละห้อยร่ายไม้ไห้สะอื้น |
เสือคะนองมองเนื้อขยับยืน |
นภาพื้นสว่างแสงพระจันทร |
อรุณน้อยลอยแลดูเดือนหงาย |
ดารารายรอบแขแลสลอน |
ดูวาวแววสีสว่างกลางดงดอน |
จับสิงขรแสงขาวดูวาววง |
จะใกล้รุ่งฟุ้งกลิ่นบุปผาเผย |
หอมระเหยอบไปในไพรระหง |
กระเหว่าร้องก้องเสียงในพุ่มพง |
ทั้งไก่ดงขันดังก้องกังวาน |
พระสุริย์ศรีส่องสว่างกระจ่างหมด |
ถึงปราการบรรพตเกษมศานต์ |
อรุณเหาะนำหน้าพญามาร |
ลงพระลานหน้าท้องพระโรงไชย |
สาลิกาลาพ่อเจ้าเข้าวังหลวง |
ทุกกระทรวงเสนามาไสว |
แลเห็นสี่กุมภัณฑ์หวั่นฤทัย |
แต่อุ่นใจด้วยพระอนุชา |
บ้างดูฝักบุษบงเท่ากงเกวียน |
กระจับโตเท่าเศียรมหิงสา |
ทั้งเวียงวังสังเสริญพระเดชา |
จนเวลาแสงสายขึ้นพรายพรรณ |
พระโคบุตรสุริยวงศ์ก็ทรงเครื่อง |
อร่ามเรืองพร้อมเหล่าพวกสาวสรรค์ |
ยุรยาตรจากปราสาทนางอำพัน |
จรจรัลออกพระโรงพรรณราย |
พร้อมตำแหน่งเสนาพฤฒามาตย์ |
เดียรดาษดุษฎีพระโฉมฉาย |
อสุรากับอรุณก็น้อมกาย |
ต่างถวายอภิวันท์เป็นหลั่นมา ฯ |
๏ พระโคบุตรสุริยวงศ์ทรงสวัสดิ์ |
โองการตรัสเรียกอรุณเสน่หา |
ที่พระน้องมิได้ต้องพระมนตรา |
พระเรียกหานั่งแท่นอันเดียวกัน |
ราพณ์รายต่างถวายกระจับสด |
ทั้งฝักสัตบงกชอันเฉิดฉัน |
พระเบือนพักตร์ปราศรัยสี่กุมภัณฑ์ |
เราจากกันจะประมาณก็นานมา |
อันเวียงไชยไกลกันถึงกลางเถื่อน |
มาเยี่ยมเยือนขอบใจแลัวยักษา |
ทั้งสี่นายยังสบายในกายา |
หรือโรคาแผ้วพานประการใด ฯ |
๏ อสุรินทร์ยินดีแล้วก้มกราบ |
ศิโรราบกราบทูลสนองไข |
ในแดนดงพงพีไม่มีภัย |
สำราญใจอยู่ในที่นทีธาร |
รำลึกถึงบาทบงสุ์ผู้ทรงเดช |
ไม่แจ้งเหตุว่าเสด็จมาราชฐาน |
พระอนุชาไปบอกจึ่งแจ้งการ |
แสนสำราญรีบมาชมบังคมคัล ฯ |
๏ พระตรัสตอบขอบใจในขุนยักษ์ |
แล้วผันพักตร์สั่งเหล่านางสาวสรรค์ |
ให้แต่งเครื่องพร้อมเพรียงเลี้ยงกุมภัณฑ์ |
แล้วทรงธรรม์ชวนเชิญพระอนุชา |
เข้าสู่วังพรั่งพร้อมสนมนาฏ |
ขึ้นปราสาทนางอำพันด้วยหรรษา |
นางโฉมยงเห็นองค์อรุณมา |
ตกประหม่าแข็งขึงตะลึงไป |
ด้วยตัวร้ายหมายว่าอรุณรู้ |
จะจับกุมท่านครูเป็นไฉน |
ซังตายทักถามว่ามาเมื่อไร |
พระหน่อไทอภิวันท์จำนรรจา |
น้องนึกถึงซึ่งองค์พระพี่เจ้า |
จึ่งมาเฝ้าทรงเดชพระเชษฐา |
พระโคบุตรชื่นชมภิรมยา |
เข้าแนบองค์อนุชาแล้วเล่าความ |
นางมณีพี่ถนอมให้เป็นใหญ่ |
ไม่รู้ไว้ตัวเลยทำหยาบหยาม |
วันหนึ่งพี่มาหาพะงางาม |
มาติดตามหวงหึงให้อึงอาย |
จนพี่ว่าแล้วยังไม่ฟังห้าม |
จะขืนตามเข้าไปตีนางโฉมฉาย |
แล้วว่าพี่นี้ดูใช่ผู้ชาย |
มางมงายลุ่มหลงงวยงงไป |
ถูกเสน่ห์เล่ห์ลมลำเลิกแซ่ |
ครั้นสอบซักจะเอาแน่ก็ไม่ได้ |
มิทำบ้างก็จะตั้งแต่กวนใจ |
พี่จับได้ไม้เรียวรี่ไล่ตีรัน |
เขาโกรธามิได้มาให้เห็นพักตร์ |
พระน้องรักเจ้าไม่รู้จะโศกศัลย์ |
ด้วยขอบเขตกรุงไกรอยู่ไกลกัน |
จึงไม่ทันจะไปทูลพระบิดา ฯ |
๏ อรุณฟังบังคมบรมนาถ |
ถึงชีวาตม์ก็ถวายพระเชษฐา |
อย่าว่าแต่เพียงตีพระพี่ยา |
แม้นผิดแล้วถึงจะฆ่าควรบรรลัย |
น้องจะลาไปหาพระพี่นาง |
จะระคางเคืองเข็ญเป็นไฉน |
ทูลพลางทางลุกขึ้นคลาไคล |
เสด็จไปปรางค์ทองของพี่ยา |
ตรงขึ้นอัฒจันทร์สุวรรณมาศ |
กำนัลนาฏแวดล้อมอยู่พร้อมหน้า |
นางโฉมยงทรงเห็นอนุชา |
ก็โศกากอดน้องประคองกาย |
สะอึกสะอื้นฝืนคิดถึงความหลัง |
ให้แค้นคั่งข้อนทรวงนางโฉมฉาย |
พระชลนัยน์ไหลหลั่งลงพรั่งพราย |
บรรยายเล่าความกับอนุชา |
พี่รอใจไว้ท่าพระน้องแก้ว |
เป็นบุญแล้วที่เจ้ารีบมาเห็นหน้า |
พี่ต้องโพยโบยรันเช่นริ้วปลา |
ทั้งกายาย่อยยับระยำไป |
อันความเจ็บนั้นก็เบาบรรเทาหาย |
แต่ความอายปิ้มว่าเลือดตาไหล |
เรื่องสาราที่ให้สาลิกาไป |
พี่จนใจเหมือนอย่างกระจกเงา |
นางอำพันนั้นใช้อีทาสา |
รีบไปหาหมอเณรเป็นเถรเฒ่า |
ทำพระองค์หลงรักจนมัวเมา |
จะให้เจ้าไปจับอ้ายคนดี ฯ |
๏ พระอนุชาสุริยวงศ์ทรงสดับ |
เคารพรับทูลสนองนางโฉมศรี |
แม้นจริงเหมือนวาจาดังพาที |
เป็นไรมีที่จะจับไม่ยากใจ ฯ |
๏ นางมณีฟังน้องสนองสาร |
พี่แจ้งการมั่นคงไม่สงสัย |
มันแต่งของส่งกันทุกวันไป |
จะต้องให้คนดูรู้สำคัญ |
แล้วนางสั่งคนสนิทชิดใช้สอย |
ลอบไปคอยดูคนกระเดียดขัน |
ถ้าจับได้เราจะให้รางวัลครัน |
นางกำนัลชื่นชมบังคมลา |
ถึงเฉลียงเมียงชม้อยคอยชะแง้ |
สองตาแลคอยข้างนางทาสา |
จะกล่าวฝ่ายนางอำพันกัลยา |
พระอนุชาลาลุกไปจากปรางค์ |
ด้วยตัวนั้นเหมือนวัวสันหลังขาด |
ให้ขยาดกลัวกานึกอางขนาง |
พยักเรียกสาวใช้ร่วมใจนาง |
เข้าในปรางค์บอกความตามกิจจา |
วันนี้น้องฝ่ายขวาเจ้ามาเฝ้า |
พระผ่านเกล้าเธอยังรักอยู่หนักหนา |
ไปบอกเถรทำให้ต้องพระน้องยา |
ไปพูดจากันเถิดเจ้าเล่าให้ฟัง ฯ |
๏ นางทาสีอัญชลีทูลเฉลย |
อย่ากลัวเลยครูเฒ่าท่านทำขลัง |
แล้วเข้าห้องจัดของละล้าละลัง |
กระจกตั้งขี้ผึ้งติดตะบิดตะบอย |
จนขนเม่นเน้นหนังเข้าดังนับ |
เลือดซิบซับก็ไม่ว่าอุตส่าห์สอย |
จนปีกแปล้แลเปิดดูเลิศลอย |
นุ่งหิ่งห้อยห่มต่วนสีนวลเพลาะ |
ยุรยาตรนาดกรดูอ้อนแอ้น |
ส่ายซัดแขนกระเดียดขันขยันเหมาะ |
นางกำนัลแลพบประสบเคราะห์ |
วิ่งหัวเราะมาทูลนางแจ่มจันทร์ |
บัดนี้อีสาวใช้มันไปวัด |
มันเดินดัดจริตกระเดียดขัน |
เจ้าอรุณทรงพระสรวลชวนกำนัล |
อภิวันท์พี่นางจากปรางค์ทอง |
แลเห็นกายฝ่ายนางสาวใช้ชี้ |
อีห่มสีนวลนั้นถือขันของ |
เจ้าอรุณจำได้ดังใจปอง |
ตรงไปท้องพระโรงเรียกขุนมารมา |
เดินพลางทางเล่าเนื้อความลับ |
ช่วยกันจับคนกระทำพระเชษฐา |
ท่านจงแปลงเป็นแมงวันให้เร็วรา |
สะกดตามอีทาสาคนนั้นไป |
ฟังมันพูดกิตติศัพท์กับเถรเฒ่า |
อันตัวเราจะไปก็ไม่ได้ |
พนาสูรฟังสารสำราญใจ |
ฤทธิไกรกลับแปลงเป็นแมงวัน |
บินวู่จู่ไปจับที่ปลายผม |
อีทาสาเดินงมกระเดียดขัน |
เจ้าอรุณโฉมงามสามกุมภัณฑ์ |
ก็พากันตามแลไปแต่ไกล |
นางทาสีถึงกุฎีบันไดเถร |
พอจวนเพลลงนั่งพับเพียบไหว้ |
เถรพยักทักถามเนื้อความไป |
วันนี้ไซร้ห่มสีนวลมากวนกัน |
ตัวรูปนี้เหมือนมดอดน้ำอ้อย |
ต่อดึกหน่อยนอนเพ้อละเมอฝัน |
แต่นอนตรึกเพลงยาวมาเก้าวัน |
ยังไม่ทันจะจบเล่าพอเจ้ามา |
นางสาวใช้ทำงอนอ่อนชม้าย |
แก่จะตายแล้วไม่หย่อนยังข้อนว่า |
ไม่คิดถึงอนิจจังสังขารา |
ยังจะว่าเรื่องราวเพลงยาวเพราะ ฯ |
๏ เถรกระอำตอบว่าสีกาแม่ |
ถึงตัวแก่ใจยังกำลังเหมาะ |
นึกนึกว่าจะสึกออกซัดเพลาะ |
กลัวจะเดาะตามติดเสียอีกนาง |
นางสาวใช้ยิ้มละไมอยู่ในหน้า |
เถรชราเอาใจมิให้หมาง |
พี่เมตตาว่าหยอกเล่นดอกนาง |
นี่ขัดขวางอยู่ในวังหรืออย่างไร ฯ |
๏ นางทาสีอัญชลีแล้วเล่าเรื่อง |
แม่ขวัญเมืองให้มาแจ้งแถลงไข |
พระอนุชามาเฝ้าองค์ท้าวไท |
พระทรงศักดิ์รักใคร่ยังไม่คลาย |
เขาร่วมห้องน้องพี่เป็นที่รัก |
จะทูลองค์ทรงศักดิ์ให้เสื่อมหาย |
จงโปรดด้วยช่วยเพิ่มเติมน้องชาย |
พอให้คลายเบาใจพระทัยนาง ฯ |
๏ เถรหัวเราะว่าออเจ้าเท่านั้นหรือ |
มิได้ครือเคืองข้องทำหมองหมาง |
เวลาค่ำจึ่งจะทำไม่อำพราง |
จะให้ล้างเสียให้ได้เป็นไรมี |
ตัวเจ้ากับกัลยาเป็นผาสุก |
นายสนุกบ่าวคะนองทั้งสองศรี |
ให้เถรแก่แดดิ้นอยู่กุฎี |
อเวจีไม่ต้องผลักเพราะรักกัน ฯ |
๏ แมงวันยักษ์ฟังประจักษ์ก็แจ้งเรื่อง |
ให้แค้นเคืองเฉียวฉุนคิดหุนหัน |
ปากกระเดาะเหาะโลดกระโดดพลัน |
เรียกกุมภัณฑ์พ่ออรุณจงหนุนมา |
ฤทธิแรงแปลงรูปเป็นยักษ์ร้าย |
ข้างมือซ้ายจับจิกอีทาสา |
ขวากระหวัดรัดเถรด้วยฤทธา |
อสุราอรุณหนุนถึงพลัน |
เสียงสนั่นครั่นครื้นพื้นฤทธิ์ยักษ์ |
กุฎีหักโครมครืนเถรยืนหัน |
เสียงอ่างโอ่งโฉ่งฉ่างโผงผางลั่น |
เถรขยันภาวนามหามนต์ |
เป็นนาคินทร์ปลิ้นปลูดกระลูดเลื้อย |
ดูยาวเฟื้อยขู่ฟ้อดังเสียงฝน |
สองตาแดงดังแสงพระสุริยน |
กายพิกลโตดำเท่าลำตาล |
ราพณ์ร้ายรูปกลายเป็นครุฑราช |
เผ่นผงาดฤทธิแรงกำแหงหาญ |
เข้าจิกจับสัประยุทธ์ฉุดทะยาน |
ครุฑประหารนาคม้วยด้วยฤทธา |
เถรก็หายกลายรูปเป็นหนูหริ่ง |
กระโดดวิ่งเข้าโพรงไม้ในพฤกษา |
ครุฑก็หายกลายเห็นเป็นวิฬาร์ |
เข้าไล่คว้าจับหนูอยู่ในโพรง |
ขบขยาบจับพลาดฟาดสะบัด |
ตาเถรพลัดไปเป็นลิงวิ่งโขยง |
แหกตาหลอกกลอกคางทำหางโก่ง |
แล่นโขย่งโลดกายขึ้นปลายยาง |
ยักษ์เป็นงูเลื้อยไล่ตลอดยอด |
กระหวัดกอดลิงคะมำลงต้ำผาง |
เสียงศอกอุบทุบอึกร้องโอยคราง |
ลิงก็หายกลายร่างเป็นเถรชรา |
ยักษ์กระหวัดรัดแขนเป็นครุฑอัด |
เอาเชือกรัดโยงติดกับทาสา |
แต่หัวผีที่กุฎีดาษดา |
กับตำราคุณไสยน้ำมันพราย |
อรุณน้อยสั่งให้ร้อยเอาหัวผี |
ผูกคอเถรกับทาสีมาถวาย |
ทั้งตำราผ้าห่อผูกคอตะพาย |
ให้นำไปขุดรูปปั้นที่ฝังมา |
เถรกระอำเดินตามนางทาสี |
สาวใช้แบกคัมภีร์เดินไปหน้า |
เอาเชือกผูกคอล่ามตามกันมา |
จนถึงหน้าพระโรงรัตน์ชัชวาล |
พวกข้าเฝ้าเหล่าเสนามาพร้อมพรั่ง |
บ้างก็ชังบ้างก็คิดจิตสงสาร |
องค์อรุณอสุราพญามาร |
ข้าราชการแวดล้อมอยู่พร้อมมูล ฯ |
๏ ปางพระองค์ทรงโลกเฉลิมภพ |
ขจรจบปัถพินบดินทร์สูร |
สถิตเหนือแท่นสุวรรณอันจำรูญ |
ก็ไพบูลย์ด้วยสุรางค์นางเรียงราย |
เสด็จทรงสรงสนานสำราญจิต |
ทรงภูษิตเครื่องต้นวิมลฉาย |
ร่มแสงสุริยาเวลาบ่าย |
พระผันผายเสด็จยังพระโรงทอง |
ประโคมวังดังวิเวกปี่ไฉน |
กำนัลในเชิญเครื่องเนื่องสนอง |
พระประทับยับยั้งบัลลังก์ทอง |
ดูทำนองผุดผาดสะอาดงาม |
อสุราอรุณเข้าเคียงอาสน์ |
อภิวาทจอมภพเคารพสาม |
พร้อมด้วยหมู่เสนาพฤฒาพราหมณ์ |
สง่างามหมอบเรียงเคียงกันไป |
เจ้าอรุณทูลเหตุพระเชษฐา |
เถรชราทำเสน่ห์น้องจับได้ |
พามาเฝ้าพระองค์ผู้ทรงชัย |
ทั้งขุดได้รูปปั้นสำคัญมา ฯ |
๏ พระโคบุตรสุริยวงศ์ก็สงสัย |
มันอยู่ไหนเล่าพระน้องเสน่หา |
เจ้าอรุณสั่งยักษ์ให้พามา |
อีทาสาเมียงหมอบหอบคัมภีร์ |
ทั้งรูปรอยเถรถือมาตามหลัง |
ดูรุงรังพันพัวล้วนหัวผี |
พระเห็นเถรกับทาสนางเทวี |
ไม่สมประดีอ้นอั้นตันพระทัย |
พระตรัสถามตำแหน่งด้วยแคลงจิต |
มึงคบคิดกันทำจริงหรือไฉน |
เถรชราฟังถามให้คร้ามใจ |
ก็ทูลไปทุกสิ่งตามจริงมา |
ขอพระองค์ทรงยศทศทิศ |
ข้าทำผิดโทษควรถึงซึ่งสังขาร์ |
ด้วยโฉมยงองค์อำพันกัลยา |
ใช้ทาสานารีคนนี้ไป |
ว่าพระองค์รักนางฝ่ายข้างขวา |
ไปบนข้าทำพระองค์ให้หลงใหล |
ด้วยอยากได้ลาภพาลสันดานใจ |
มิโปรดไว้ชีวาฆ่าก็ตาย ฯ |