๏ พระโคบุตรอนุชาพากันเหาะ |
ข้ามละเมาะเนินผาพนาสัณฑ์ |
เห็นเงาะป่าหาปูมาปะกัน |
ทำดุดันเตะต่อยกันตึงตัง |
ที่ตัวกล้าไม่ถอยตบต่อยโขก |
เสียงดังโปกเหวี่ยงปัดถูกหมัดปั๋ง |
ล้มถลาซวนเซอยู่เก้กัง |
โดยกำลังข้างโกงโขย่งไป |
ชื่นอารมณ์ชมป่าพฤกษาชาติ |
จัตุบาทเสือสิงห์วิ่งไสว |
พระชวนน้องเดินพนมเที่ยวชมไพร |
เก็บดอกไม้เล่นพลางตามหว่างเนิน ฯ |
๏ จะกล่าวถึงอสุรีขินียักษ์ |
อยู่สำนักในลำเนาภูเขาเขิน |
เห็นพี่น้องสององค์ทรงเจริญ |
เที่ยวเล่นเพลินด้นดั้นอรัญวา |
พึ่งแรกรุ่นรูปร่างสำอางเอี่ยม |
งานเสงี่ยมน่ารักเป็นหนักหนา |
เนตรโขนงโก่งวาดเพียงบาดตา |
กิริยาขำคมก็สมทรง |
ดูสองปรางเหมือนมะปรางเมื่อแรกปลิด |
ให้ปลื้มจิตแลแลก็ยิ่งหลง |
นึกนึกจะสะอึกเข้าอุ้มองค์ |
กลัวจะทรงพระพิโรธกริ้วโกรธไป |
จะกลับแกล้งแปลงเพศเสียจากยักษ์ |
คงสมศักดิ์เหมือนคิดพิสมัย |
แล้วอ่านเวทเพศยักษ์ก็สูญไป |
งามวิไลล้ำนางสำอางตา |
ทั้งสองเต้าเต่งตั้งดังบัวหลวง |
พอเต็มทรวงกำดัดชมทั้งซ้ายขวา |
ทำแกล้งเมินเดินทรงโศกามา |
ที่ตรงหน้าพี่น้องสองกุมาร |
พระโคบุตรสุริยาวราฤทธิ์ |
สำคัญคิดว่ามนุษย์สุดสงสาร |
พอใกล้องค์ทรงวิ่งมาลนลาน |
พจมานไถ่ถามตามเมตตา |
เป็นไรน้องร้องไห้ไม่เห็นเพื่อน |
ในกลางเถื่อนวุ้งเวิ้งชะวากผา |
ไม่กลัวสัตว์เสือสีห์จะบีฑา |
อนิจจาเดินเดียวน่าเปลี่ยวใจ |
ยักขินีฟังคำทำสะอื้น |
แล้วหยุดยืนเช็ดชลนัยน์ไหล |
พระบิดาพาน้องมาเล่นไพร |
ละเลิงไล่มฤคีกับรี้พล |
ฉันหลงชมมิ่งไม้ไพรพฤกษา |
หมายจะกลับพาราก็ขัดสน |
พระโปรดด้วยช่วยพาข้าจรดล |
พอให้พ้นหิมวาถึงธานี |
ทั้งแก้วแหวนแสนทรัพย์ซึ่งสิ่งของ |
จะกอบกองแทนคุณพระโฉมศรี |
เป็นสัจจังวาจาน้องพาที |
ช่วยชีวีน้องไว้อย่าให้ตาย |
ทั้งสององค์หลงกลอีนางยักษ์ |
ไม่ประจักษ์คิดว่าจริงก็ใจหาย |
สงสารเจ้าเสาวภาคย์ลำบากกาย |
จะพาสายสุดสวาทไปเวียงไชย |
ถึงแก้วแหวนแสนทรัพย์จะนับโกฏิ |
ไม่ประโยชน์เลยนะน้องอย่าหมองไหม้ |
เราจะช่วยนิรมลให้พ้นภัย |
อยู่ถึงไหนแก้วตาจะพาจร |
อสุรีดีใจเข้าเคียงข้าง |
อยู่หว่างกลางสององค์พระทรงศร |
บอกบูรีอยู่ตรงที่ทิศอุดร |
บทจรเดินตามกันสามรา |
ได้สมรักยักษ์ร้ายไม่วายยิ้ม |
เดินกระหยิ่มมาด้วยความเสน่หา |
เดินพลางดูพลางไม่วางตา |
วิ่งผวาเข้าไปกอดพระโฉมยง |
พระตกใจว่าอะไรนั่นแก้วพี่ |
อสุรีแกล้งบอกหลอกให้หลง |
เมื่อตะกี้ไหวไหวอยู่ในพง |
พยัคฆ์ดงโตใหญ่กระไรเลย |
ทั้งสององค์หลงเชื่ออียักษี |
ว่ามิใช่พยัคฆีเจ้าพี่เอ๋ย |
อย่าหวาดหวั่นพรั่นในพระทัยเลย |
แล้วชวนเชยชมนกในหิมวา |
อียักษ์แปลงแกล้งถามถึงนามนก |
ฝูงวิหคเรียงรายปลายพฤกษา |
พระบอกนามตามชื่อสกุณา |
สาลิกาจับกิ่งตะโกวัน |
โน่นแน่เจ้าเขาไฟนั่นไก่ป่า |
นกกระทาจับต้นกระทิงขัน |
ฝูงกาลิงจับกิ่งแสลงพัน |
ที่ต้นจันทน์นกตะขาบคาบมะปริง |
จัตุบาทผาดผยองลำพองโผน |
กิเลนโจนไล่นางนรสิงห์ |
กระต่ายเต้นเล่นหลอกกับลูกลิง |
หมู่มหิงส์แรดช้างเสือกวางทราย |
เย็นพยับอับแสงสุริยง |
ชะนีส่งเสียงไห้น่าใจหาย |
กุมาราพายักษ์จำแลงกาย |
กำหนดหมายมุ่งทิศอุดรมา |
ยักขินีดีใจเห็นใกล้ค่ำ |
นิมิตถ้ำด้วยพระเวทของยักษา |
ให้เห็นเป็นเวียงวังอลังการ์ |
เป็นพาราบ้านช่องนั้นนองเนือง |
ดูผู้คนอลหม่านร้านตลาด |
คนเกลื่อนกลาดเดินตามถนนเนื่อง |
จึ่งชวนสองหน่อไทเข้าในเมือง |
เดินย่างเยื้องขึ้นปราสาทสุวรรณพราย |
มีทวารบานบังที่นั่งแก้ว |
ดูเลิศแล้วล้วนวิสูตรสลับสาย |
ลับแลบังฉากตั้งอยู่เรียงราย |
ดูพรอยพรายอัจกลับระยับไฟ |
ที่แท่นรัตน์ปัจถรณ์เขนยข้าง |
เครื่องสำอางวางเรียงเคียงไสว |
ด้วยฤทธิ์ยักษ์หากเห็นให้เป็นไป |
พระหน่อไทสององค์ไม่สงกา |
อสุรีเชิญองค์พระทรงฤทธิ์ |
ขึ้นสถิตแท่นสุวรรณอันเลขา |
ทำฉะอ้อนวอนสองกุมารา |
เสน่หาพูนเพิ่มเติมอารมณ์ |
แสนสงสารสุดสวาทอนาถเหนื่อย |
ก็หลับเรื่อยไปแต่แรกยามปฐม |
อสุรียิ่งทวีสวาทชม |
เห็นสององค์ลงบรรทมสนิทใน |
อันชาติยักษ์มักหอมเนื้อมนุษย์ |
เป็นแสนสุดที่จะอยากน้ำลายไหล |
นึกจะหักคอกินให้สิ้นใจ |
แล้วอาลัยรักรูปทั้งสององค์ |
ลุกขึ้นนั่งตั้งจิตพินิจโฉม |
ยิ่งประโลมลานจิตพิศวง |
ก็ลืมอยากราคร้อนด้วยรูปทรง |
ทั้งสององค์ดูละม้ายคล้ายคลึงกัน |
โอ้เสียดายด้วยกายกูเป็นยักษ์ |
พระยอดรักแจ้งจิตจะบิดผัน |
นึกหันหวนป่วนใจอาลัยครัน |
สุดจะกลั้นแล้วเข้ากอดพระยอดฟ้า |
จูบพระน้องต้องแก้มอร่อยรื่น |
แล้วจูบพี่หอมชื่นในนาสา |
แต่อึดอัดผลัดไพล่กันไปมา |
ดังกุลาส่ายคว้างอยู่กลางลม |
พระรูปหล่อพ่อคุณของน้องเอ๋ย |
ไม่ตอบรักบ้างเลยเท่าเส้นผม |
น้องกอดจูบลูบต้องประคองชม |
พระบรรทมเสียทั้งคู่ไม่รู้เลย |
พระโคบุตรสุริยาผวาตื่น |
ไม่พลิกฟื้นทำนิ่งอิงเขนย |
อียักษ์หลงเคลิ้มตัวยังมัวเชย |
เฝ้ากอดเกยก่ายต้องประคองกร |
พระโคบุตรคิดในพระทัยกริ่ง |
ไฉนหญิงจึงมาร่วมสโมสร |
เฝ้ากอดจูบลูบไล้ไม่หลับนอน |
พระอาวรณ์หวาดถวิลในวิญญาณ์ |
ได้กลิ่นปากรากโษสก็เหม็นสาบ |
พระทรงทราบแจ้งประจักษ์ว่ายักษา |
มันจำแลงแกล้งลวงเราหลงมา |
อันพารามิใช่ที่บูรีคน |
จึ่งเสียงน้ำลำธารสะท้านลั่น |
จักจั่นเรไรในไพรสณฑ์ |
ดำริพลางทางนึกรู้สึกตน |
อีแสนกลนอนนิ่งไม่ติงกาย |
พระถอยถดปลดเปลื้องเอาเครื่องทรง |
มาสวมองค์น้องไว้เหมือนใจหมาย |
อนุชานั้นก็นึกรู้สึกกาย |
เห็นสร้อยสายสวมองค์พระทรงธรรม |
เชิงฉลาดชาติเชื้อประยูรศักดิ์ |
รู้ประจักษ์แจ้งตามเนื้อความขำ |
ทำผุดลุกเรียกพี่ว่าผีอำ |
แล้วคลานคลำเข้าไปใกล้พระพี่ยา |
พระโคบุตรพูดเบาเบาเล่าแถลง |
พี่นึกแคลงในจิตคิดกังขา |
อันนารีนี้เป็นอสุรา |
พี่นิทรามันเฝ้าจูบจนตกใจ |
บ้านเมืองนี้วิปริตพี่คิดเห็น |
อันจะเป็นธานีนั้นมิใช่ |
สนั่นเสียงเสือสางเหมือนกลางไพร |
ประหลาดใจแล้วเจ้าเราหลงมา |
อรุณน้อยค่อยสะกิดผิดแล้วพี่ |
เราหลบหนีไปเถิดหรือพระเชษฐา |
พระโลมเล้าเอาใจพระน้องยา |
ว่าช้าช้าอีกสักหน่อยจึ่งค่อยไป |
ขินีมารร่านร้อนกำเริบราค |
ทำอ้าปากหาวตื่นขึ้นปราศรัย |
ฟ้าผี่เถิดวันนี้ประหลาดใจ |
หนาวกระไรเหมือนรดด้วยวารี |
แล้วแอบองค์วิงวอนฉะอ้อนพลอด |
โปรดช่วยกอดน้องสักหน่อยพระโฉมศรี |
พระฟังคำซ้ำแค้นแสนทวี |
นึกจะล้างชีวีให้มรณา |
แล้วหยุดยั้งรั้งรอพระทัยนิ่ง |
มันเป็นหญิงฆ่าตายก็ขายหน้า |
พอสอนใจไว้จำเป็นตำรา |
จะเข่นฆ่ายักษ์ร้ายคงวายวาง |
แล้วยิ้มเยื้อนเอื้อนอรรถตรัสประภาษ |
สายสวาทนิ่มน้องอย่าหมองหมาง |
พี่เป็นชายจะเอากายไปกอดนาง |
ไม่มีอย่างเขาจะเย้ยทั้งพารา |
พี่จะต้องลาเจ้าจวนจะรุ่ง |
พระหัตถ์จูงอรุณน้อยเสน่หา |
อียักษ์ฟังคั่งแค้นแน่นอุรา |
พิโรธว่าไปกับองค์พระทรงฤทธิ์ |
เสียแรงรักชักชวนมาเชยชื่น |
ไม่ถึงคืนก็มาทำให้ช้ำจิต |
จะขืนไปก็ไม่ไว้ซึ่งชีวิต |
แล้วแผลงฤทธิ์กลับร่างอย่างขินี |
ทั้งปรางค์มาศราชวังเป็นหิมเวศ |
สำแดงเดชเหยียบยอดคิรีศรี |
โลดถลาถาโถมเข้าโจมตี |
ดังเสียงสายอสุนีสนั่นครัน |
พระโคบุตรหยุดยืนขยับรับ |
กระโจนจับด้วยกำลังดังกังหัน |
ฤทธิรอนกรจิกเกศกุมภัณฑ์ |
พระบาทยันเหยียบยักขินีมาร |
อสุรินทร์สิ้นแรงจะแผลงฤทธิ์ |
ขอชีวิตร้องก้องทั้งไพรสาณฑ์ |
พระทรงเดชสังเวชอีนางมาร |
ยักษ์ก้มกรานกราบกับพระบาทา |
ประทานโทษเถิดองค์พระทรงฤทธิ์ |
ข้าหลงผิดเพราะความเสน่หา |
อย่าฆ่าเสียให้ตายวายชีวา |
ขอเป็นข้ากว่าจะม้วยด้วยสัจจัง |
พระแย้มยิ้มพริ้มพรายภิปรายโปรด |
ถ้างดโทษแล้วอย่าทำเหมือนหนหลัง |
กระทิงถึกมฤคาในป่ารัง |
ชีวิตยังแล้วอย่าทำให้จำตาย |
จงถือมั่นขันตีเป็นที่สุด |
เมื่อม้วยมุดจะไปเกิดให้เฉิดฉาย |
วันนี้มึงจะถึงชีวาวาย |
ได้รอดตายแล้วอุตส่าห์รักษาตน |
นางยักษ์รับอัพภิวาทถวายสัตย์ |
จะบำหยัดบาปกรรมทำกุศล |
ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตให้วายชนม์ |
ประจวบจนชีวันนั้นบรรลัย |
พระโฉมยงสงสารอีมารนัก |
เป็นครู่พักรุ่งแจ้งปัจจุสมัย |
ทั้งดวงเดือนเลื่อนลับพยับไพร |
สำเนียงไก่ขันขานประสานกัน |
สุริยันเยี่ยมยอดยุคุนธเรศ |
สว่างห้องหิมเวศพนาสัณฑ์ |
สองกระษัตริย์ตรัสสั่งนางกุมภัณฑ์ |
จรจรัลจากเชิงศิลามา |
พระเชษฐานำหน้าอรุณน้อย |
ละลิ่วลอยมาในห้องพระเวหา |
ยักษ์ชะแง้แลตามจนลับตา |
ก็โศกายกหัตถ์มัสการ |
พระพี่น้องสองเสด็จระเห็จเหิน |
งามเจริญเลิศลบจบสงสาร |
ละลิ่วลมแลชมจักรวาล |
เห็นถิ่นฐานแว่นแคว้นแดนบูรี |
เป็นเกาะน้อยนัคราคงคารอบ |
เกิดประกอบในทวีปชมพูศรี |
เหมือนจอกน้อยลอยอยู่กลางวารี |
พระหัตถ์ชี้ชวนน้องให้ชมชล |
ยมนาสาครกระฉ่อนคลื่น |
เสียงครึกครื้นโครมฉ่าเป็นห่าฝน |
มัจฉาชาติกลาดเกลื่อนอยู่กลางชล |
บ้างผุดพ่นฟองน้ำแล้วดำจร |
มัติมิงค์กลิ้งกลอกระลอกซัด |
หางกระหวัดว่ายเวียนเศียรสลอน |
พระชมชลพ้นฝั่งชโลทร |
ทินกรร้อนกายขึ้นพรายพรรณ |
พระโคบุตรสุดสวาทกับน้องรัก |
ครั้นเหนื่อยนักผ่อนลงตรงไพรสัณฑ์ |
หยุดพักเพิงเชิงผาศิลาชัน |
แล้วชมพรรณมิ่งไม้ที่ในดง |
ดูไม้ตั้งดังดัดมาจัดปลูก |
บ้างมีลูกสุกห่ามงามระหง |
ระยะยอดสอดแซงแกล้งบรรจง |
เหมือนไม้องค์ท้าวไทในพระโรง |
ที่ไม้โกร๋นยอดโอนมีต่อแอบ |
ใบแฉลบลับพุ่มปุ่มตะโขง |
กาฝากแฝงกล้วยไม้ขึ้นในโพรง |
ที่กิ่งโกงกอดเกี่ยวประกับกัน |
พฤกษาโศกยูงยางที่กลางชัฏ |
วายุพัดกิ่งแกว่งดังกังหัน |
ที่ไม้พุ่มรุ่มรกเถาวัลย์พัน |
เป็นฉัตรชั้นช่อดอกออกระคน |
มะเดื่อดกนกจับจิกผลสุก |
ต้นมะดูกเต็งรังมะสังสน |
กันเกราไกรกร่างกรวยริมห้วยชล |
ใบร่มต้นราบรื่นเหมือนพื้นทราย |
โศกระบัดผลัดใบลอออ่อน |
ใบแก่ก่อนหล่นหลามมาตามสาย |
เห็นงูเหลือมเลื่อมแลดูหลายลาย |
กระหวัดกายกอดโศกชะโงกงัน |
กระบือเปลี่ยวเดินตรงลงกินน้ำ |
ทั้งที่ดำเรี่ยวแรงแข็งขยัน |
งูเหลือมโลภโอบกระหวัดเข้ารัดพัน |
กระบือดันดันดึงกันตึงตัง |
พฤกษาโศกโยกโยนอยู่ยวบยาบ |
งูเหลือมคาบควายดึงทะลึ่งถลัน |
ควายฉกรรจ์ดันโดดพัลวัน |
งูเหลือมดันขาดผางออกกลางตัว |
หางกระหวัดรัดไม้ก็คลายหลุด |
ศีรษะมุดมัดควายไม่คลายหัว |
สองสัตว์สิ้นชีวังทั้งสองตัว |
ดูน่ากลัวต่างต่างกลางพนม |
สองกระษัตริย์ทัศนาแสนสนุก |
เป็นผาสุกที่ในเชิงคิรีสม |
พระเอนอิงพิงแผ่นศิลาชม |
ระเรื่อยลมรื่นรื่นชื่นพระทัย ฯ |