๏ พอโคบุตรสุริยาเหาะมาถึง |
ได้ยินอึงหวั่นไหวทั้งไพรสณฑ์ |
พระลอยแลมาแต่โพยมบน |
เห็นสายชลฟุ้งสายกระจายฟอง |
สี่ยักษาไล่ทารกอยู่หมกมุ่น |
นึกการุญสงสารเจ้าทั้งสอง |
พระโถมลงตรงสระปทุมทอง |
อุ้มเอาสองกุมารทะยานมา |
ยักษ์พิโรธโกรธไล่กระชั้นชิด |
พระทรงฤทธิ์หยุดยืนบนยอดผา |
โบกพระหัตถ์ตรัสห้ามแล้วถามมา |
อสุราโกรธกันด้วยอันใด |
ยักษ์ทมิฬยินถามคำรามร้อง |
มันจองหองลงชำระในสระใหญ่ |
เก็บโกมินกินฝักแล้วหักใบ |
เราขัดใจจึ่งจะล้างให้วางวาย ฯ |
๏ พระพี่น้องสองเจ้าเล่าความหลัง |
เป็นสัจจังข้าพเจ้าเล่าถวาย |
ทินกรร้อนรนกระวนกระวาย |
มาเห็นสายชลธีก็ดีใจ |
ทั้งพี่น้องสององค์ลงกินอาบ |
ก็เย็นซาบสรรพางค์ไม่ตักษัย |
คิดว่าน้ำสำหรับอยู่กับไพร |
ไม่แจ้งใจว่าเจ้าของเขาป้องกัน |
จงเอาบุญเจ้าประคุณเอ็นดูด้วย |
เหมือนโปรดช่วยลูกกำพร้าจะอาสัญ |
พระทรงฟังสังเวชพระทัยครัน |
จึงว่ากับกุมภัณฑ์ไปทันความ |
นี่แน่นายฝ่ายเด็กไม่รู้แจ้ง |
ใช่จะแกล้งมาข่มเหงไม่เกรงขาม |
ถึงจะฆ่าทารกไม่ลือนาม |
จะถือความไปทำไมไม่ต้องการ ฯ |
๏ พวกรากษสโกรธร้องอยู่ก้องกึก |
จองหองฮึกเหิมนักทำหักหาญ |
มิส่งมามึงจะพากันวายปราณ |
มิใช่การของเอ็งไม่เกรงกัน ฯ |
๏ พระฟังสารมารร้ายหมายชีวิต |
ไม่หวาดจิตปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ |
จึ่งว่าเหวยอสุราใจอาธรรม์ |
เราไม่พรั่นดอกที่ข้อจะต่อตี |
พระถอดเทพสังวาลโองการสั่ง |
สังวาลระวังพี่น้องทั้งสองศรี |
ยักษ์พิโรธโลดไล่เป็นสิงคลี |
กระโดดตีตึงตังประดังมา ฯ |
๏ พระลองแรงแผลงฤทธิ์เข้ารบรับ |
พระหัตถ์จับข้างละสองสี่ยักษา |
เผ่นผงาดฝาดผางกลางศิลา |
อสุราดิ้นกระเดือกลงเสือกกาย |
จึงโอมอ่านอาคมพรหมประสิทธิ์ |
ก็เปลื้องปลิดเจ็บปวดนั้นสูญหาย |
เข้ากลาดกลุ้มรุมรบอยู่รอบกาย |
ดังเสียงสายสุนีลั่นสนั่นดัง |
ด้วยเดชะเครื่องประดับสำหรับศึก |
แล่นพิลึกโลดไล่ไม่ถอยหลัง |
ได้กินนมราชสีห์มีกำลัง |
ไม่พลาดพลั้งติดพันประจัญบาน |
ต่างกำแหงแรงเริงในเชิงรบ |
ไม่หลีกหลบโลดไล่ด้วยใจหาญ |
ยักษ์จะจับพี่น้องสองกุมาร |
พระสังวาลป้องกันไม่อันตราย ฯ |
๏ พระโคบุตรสุริยาวราเดช |
เอาธำมรงค์บิตุเรศอันเรืองฉาย |
พระหัตถ์ขว้างเป็นแสงประกายพราย |
ประหารกายยักษ์ขาดลงดาษดิน |
ด้วยฤทธิ์เทพอาวุธสุดจะแก้ |
ไม่หายแผลม้วยมุดสุดถวิล |
ราพณ์ร้ายตายกลาดลงดาษดิน |
พระนรินทร์เหาะลงเนินคิรี |
จึงเรียกสองกุมาราเข้ามาชิด |
พลางพินิจพี่น้องทั้งสองศรี |
งามเจริญกิริยากุมารี |
ดังมณีเมขลาวิไลทรง |
ชมกุมารน้องชายก็เฉิดโฉม |
งามประโลมดังเทพครรไลหงส์ |
ชะรอยเป็นจักรพรรดิขัตติยวงศ์ |
จึงเอื้อนโองการถามเนื้อความไป |
นี่แน่น้องสองเจ้าจงเล่าเรื่อง |
อยู่บ้านเมืองแห่งหนตำบลไหน |
ยังเด็กนักหักหาญมาเดินไพร |
บุญเจ้าไม่มรณาพี่มาทัน ฯ |
๏ สองกันแสงเล่าความไปตามเรื่อง |
ฉันเสียเมืองยากไร้มาไพรสัณฑ์ |
มาประสบพบมารชาญฉกรรจ์ |
แล้วโศกศัลย์ร่ำไรอยู่ไปมา |
พระโปรดช่วยจึงไม่ม้วยชีวาวาตม์ |
ขอรองบาทยุคลจนสังขาร์ |
ข้าชื่อมณีสาครแต่ก่อนมา |
อนุชาชื่ออรุณร่วมท้องกัน ฯ |
๏ พระโคบุตรสุริยวงศ์ให้สงสาร |
ปลอบกุมารว่าอย่าทรงกันแสงศัลย์ |
เจ้ายังเด็กพี่ก็เล็กอยู่ด้วยกัน |
ไม่หมายมั่นจะเอามาเป็นข้าไท |
จะช่วยน้องให้ได้ครองคืนสถาน |
จงสำราญเถิดนะน้องอย่าหมองไหม้ |
พี่จะชุบกุมภัณฑ์ที่บรรลัย |
จึ่งจะไม่เป็นกรรมประจำกาย |
พระหยิบยามาเคี้ยวแล้วเที่ยวพ่น |
กุมภัณฑ์พลได้กลิ่นก็กลับหาย |
หมอบประนมก้มตัวด้วยกลัวตาย |
ต่างถวายอภิวันท์รำพันความ |
ขอบพระคุณการุญชุบชีวิต |
ได้พูดผิดข้าน้อยนี้หยาบหยาม |
ขอรองบาทมุลิกาพยายาม |
ไปติดตามกว่าจะสูญสิ้นชีวา |
แล้วยักษีสี่นายถวายแก้ว |
อันเลิศแล้วเหาะได้ในเวหา |
ทั้งสองดวงแต่ล้วนดีมีศักดา |
ปรารถนานึกได้ดังใจจง ฯ |
๏ พระรับแก้วแล้วตรัสกับขุนยักษ์ |
ท่านจงรักสุจริตจิตประสงค์ |
เราสงสารพี่น้องทั้งสององค์ |
เจ้าเชื้อพงศ์จักรพรรดิสวัสดี |
เที่ยวทนทุกข์บุกป่าพนาเวศ |
น่าสมเพชใจนักนะยักษี |
จะแก้ไขให้สองราคืนธานี |
อสุรีจงไปช่วยเราด้วยกัน ฯ |
๏ พนาสูรทูลความไปตามเรื่อง |
มิให้เคืองบาทมูลทูลผ่อนผัน |
ให้สององค์พระกุมารสำราญครัน |
เหมือนทรงธรรม์อนุกูลกุมารา ฯ |
๏ ได้ฟังสารแสนสำราญอารมณ์รื่น |
พระชมชื่นแสนสนิทเสน่หา |
พระยื่นแก้วแล้วตรัสจำนรรจา |
ถือจินดาเถิดน้องทั้งสองคน |
เจ้ากุมแก้วแล้วเหาะไปตามพี่ |
ถึงบูรีเรืองรัตน์ไม่ขัดสน |
สองกุมารกรานกราบจอมสากล |
แล้วกุมแก้วฤทธิรณไว้กับกร ฯ |
๏ พระโคบุตรสุริยาก็พาเหาะ |
ข้ามละเมาะเขาเขินเนินสิงขร |
สามกระษัตริย์อสุราพากันจร |
หมายนครลอยฟ้ามาบูรี |
ครั้นภาณุมาศผาดแผดแดดร้อนจัด |
สามกระษัตริย์ต้องแสงนรังสี |
พระเคลื่อนคล้อยลอยลงในพงพี |
จรลีร่มรื่นชื่นพระทัย |
พระโคบุตรชวนน้องสองกระษัตริย์ |
ชมพนัสหิมวาพฤกษาไสว |
ที่ผลิดอกออกผลระคนไป |
วายุไกวกิ่งกวดเป็นวงกง |
ชมพู่เทศเกดแก้วตะโกโกฐ |
ชะลูดโลดตุมกามหาหงส์ |
หันเหียนตะเคียนคางยางประยงค์ |
วัลย์เปรียงปรงปรูปรางตะลิงปลิง |
ฝูงอีลุ้มแอบพุ่มอุโลกลับ |
กระสาจับไซ้ขนบนต้นสิง |
กาลิงเลี้ยวไล่หานางกาลิง |
อัญชันชิงคู่เคียงอยู่เรียงกัน |
นกกระเหว่าเฝ้าแฝงฝรั่งร้อง |
ฝูงยูงทองย่องเหยียบพะยุงขัน |
สามกุมารเพลิดเพลินเจริญครัน |
แล้วพากันชมนกไม้ไพรพนม |
ตามประสาทารกรักสนิท |
ไม่นึกคิดเคืองระคายเท่าปลายผม |
สัพยอกหยอกเอินเพลินอารมณ์ |
จนแดดร่มเบี่ยงบ่ายลงชายไพร |
พระชวนน้องสององค์ขึ้นเหาะเหิน |
งานเจริญรีบมาในป่าใหญ่ |
ลอยละลิ่วปลิวเมฆมาไรไร |
ประมาณได้ยามหนึ่งถึงธานี |
สองกุมารทูลความไปตามเรื่อง |
นี่แลเมืองข้าน้อยทั้งสองศรี |
โน่นปรางค์ทองของพระชนนี |
แต่เดี๋ยวนี้ใครจะอยู่ไม่รู้ความ |
ได้ทรงฟังทั้งสองพระน้องนาฏ |
ลงปราสาทเถิดนะน้องอย่าเกรงขาม |
แม้นมิใช่บิดาพะงางาม |
จงแจ้งความพี่จะทำให้หนำใจ ฯ |
๏ กุมาราพาองค์พระทรงเดช |
เข้านิเวศน์ปรางค์ทองอันผ่องใส |
สามกระษัตริย์อสุราก็คลาไคล |
เข้าห้องในปรางค์รัตน์ชัชวาล ฯ |
๏ นางชาววังนั่งยามอยู่แออัด |
เห็นกระษัตริย์สองราน่าสงสาร |
ให้ระลึกถึงนายที่วายปราณ |
วิ่งเข้ากอดกุมารแล้วโศกา |
สิ้นบุญทูลกระหม่อมทั้งสองแล้ว |
ดังดวงแก้วมืดมิดทุกทิศา |
แม่เป็นไรไปแล้วจึ่งกลับมา |
พราหมณ์ชราพ่อลูกมันครองวัง ฯ |
๏ ได้ฟังฝูงกัลยาน้ำตาไหล |
แข็งพระทัยตรัสถามเนื้อความหลัง |
สองพระองค์ปลดปลงชีวาวัง |
พระศพยังอยู่หรือสูญไปแห่งใด ฯ |
๏ สาวสนมก้มกราบแล้วทูลสนอง |
อันศพสองปิ่นกระษัตริย์ที่ตัดษัย |
เขาใส่พระโกศทองไว้ห้องใน |
แล้วร้องไห้ห้ามปรามพระทรามชม |
นางมณีสาครกับน้องน้อย |
ก็เศร้าสร้อยโลมเล้าสาวสนม |
แต่ก่อนปางสร้างกรรมจำนิยม |
อย่าปรารมภ์เราจะคืนเอาพารา |
แล้วนำองค์ทรงศักดิ์กับยักษ์ร้าย |
ค่อยแฝงกายมาถึงแท่นอันเลขา |
เห็นพราหมณ์เฒ่าขึ้นสถิตแท่นบิดา |
กับลูกยาบนเตียงอยู่เคียงกัน ฯ |
๏ พระพี่น้องร้องเรียกให้ยักษ์จับ |
สั่งกำชับอย่าเพ่อฆ่าให้อาสัญ |
ยักษ์กระโจมโถมจับตาพราหมณ์พลัน |
เชือกมัดมั่นสองแขนอยู่แอ่นกาย |
ทั้งพ่อลูกถูกมัดอยู่นอนกลิ้ง |
พวกผู้หญิงเห็นยักษ์ก็ใจหาย |
บ้างหวีดหวาดผาดแลเห็นเจ้านาย |
จึงค่อยคลายความกลัวทุกตัวคน ฯ |
๏ พระพี่น้องร้องห้ามพวกสาวใช้ |
อย่าตกใจใช่ศึกมากลางหน |
ต่างรู้ชัดค่อยสงัดสงบตน |
พระสุริยนเยี่ยมยอดเมรุไกร |
พระพี่น้องร้องเชิญพระโฉมศรี |
มาสู่ที่โกศทองอันผ่องใส |
ให้เปิดโกศเชิญศพออกทันใด |
ภูวไนยพ่นด้วยโอสถพลัน |
จอมกระษัตริย์สององค์คงชีวิต |
ค่อยเคลิ้มจิตคลับคล้ายเหมือนใฝ่ฝัน |
เห็นลูกรักยักษ์ร้ายอยู่เคียงกัน |
พระโศกศัลย์สวมกอดเอาลูกยา |
พ่อบรรลัยใครช่วยจึงรอดเล่า |
ไฉนเจ้ารู้จักกับยักษา |
พระโฉมยงองค์นั้นนะกัลยา |
เสด็จมาแต่หนตำบลใด ฯ |
๏ พระโอรสยศยงทรงสดับ |
จึงกล่าวกลับความหลังแถลงไข |
พระชนกชนนีก็ดีใจ |
ราวกับได้ทิพสถานพิมานอินทร์ |
เข้าอุ้มองค์บุตราพระอาทิตย์ |
พลางจุมพิตเชยชมสมถวิล |
สมบัติของบิดาในธานินทร์ |
ทั้งม้ารถคชรินทร์อันเพริศพราย |
จะมอบให้ทรามชมเสวยราชย์ |
ชนชาติจะได้พึ่งพระโฉมฉาย |
พระบิดรมารดาชรากาย |
จะเบี่ยงบ่ายบรรพชาไม่ราคี |
ฝากแต่น้องสององค์ไว้ด้วยเถิด |
นึกว่าเกิดร่วมครรภ์พระโฉมศรี |
พ่อขอถามนามชนกชนนี |
ผ่านบูรีแห่งหนตำบลใด ฯ |
๏ พระโคบุตรทรงฟังรับสั่งถาม |
ไม่บอกความออกแจ้งแถลงไข |
หม่อมฉันชาวหิมวาพนาลัย |
ทุเรศไร้สุริยวงศ์อยู่ดงดอน |
พระมารดาอาสัญแต่วันคลอด |
ชีวิตรอดด้วยราชไกรสร |
ลูกรักเคยอยู่ป่าพนาดร |
มาเที่ยวจรเล่นตามความสบาย |
มาพบน้องนวลนางที่กลางเถื่อน |
เห็นเด็กเหมือนกันก็รักไม่รู้หาย |
ฉันชุบช่วยภูวดลให้พ้นตาย |
เสร็จแล้วจะถวายบังคมลา |
ซึ่งโปรดปรานบ้านเมืองให้ลูกรัก |
มิใช่ศักดิ์เชื้อวงศ์เผ่าพงศา |
ลูกยกให้แก่พระน้องทั้งสองรา |
จะกราบลาเที่ยวให้เพลินเจริญใจ |
พระโศกาอาลัยใจจะขาด |
ภูวนาถว่าวอนด้วยรักใคร่ |
สารพัดพ่อมาตัดอาลัยไป |
ทั้งเวียงไชยก็ไม่รักจะหักจร |
ทำกระไรจะได้แทนคุณสนอง |
ที่ช่วยสองสุดสวาทสโมสร |
จงเอ็นดูบิดาที่ว่าวอน |
อยู่นครด้วยน้องทั้งสององค์ ฯ |
๏ พระฟังห้ามตามมีไมตรีจิต |
บุตรอาทิตย์ทูลความตามประสงค์ |
ถึงลูกไปใช่จะลืมบาทบงสุ์ |
เมื่อนานนานแล้วก็คงจะกลับมา ฯ |
๏ พรหมทัตครั้นจะขัดก็สุดคิด |
รัญจวนจิตเศร้าสร้อยละห้อยหา |
แลดูองค์ทรงฤทธิ์กับธิดา |
อุปมาเหมือนแก้วแกมกับทอง |
แต่ทรงฤทธิ์จิตยังเด็กไม่รู้จัก |
ด้วยเด็กนักยังไม่ควรภิเษกสอง |
จะโลมเล้าเอาใจในทำนอง |
พระตรึกตรองตรัสไปด้วยไมตรี |
ถึงจะไปอาลัยแก่พ่อมั่ง |
จงรอรั้งอยู่เมืองให้เรืองศรี |
พออุ่นใจไพร่ฟ้าประชาชี |
ชาวบูรีหญิงชายกระจายจร |
ว่าพ่อได้สายสวาทเป็นโอรส |
เฉลิมยศภิญโญสโมสร |
พ่อเอ็นดูบิดาให้อาวรณ์ |
อย่าเพ่อจรให้พ่อช้ำระกำใจ ฯ |
๏ พระโคบุตรสงสารท้าวพรหมทัต |
สุดจะขัดแล้วจึ่งทูลสนองไข |
พระตรัสห้ามสามหนแล้วจนใจ |
จะอยู่ไปมิให้เคืองเรื่องราคี |
เมื่อนานนานลูกจะลาไปเล่นมั่ง |
จิตลูกยังอาลัยถึงไพรศรี |
จะเที่ยวดูเสียให้ทั่วทั้งธรณี |
ชมบูรีจักรพรรดิกระษัตรา ฯ |
๏ กรุงกระษัตริย์ฟังสารสำราญรื่น |
ประคองชื่นรับขวัญด้วยหรรษา |
แล้วเชิญโอรสราชเร่งยาตรา |
เสด็จมาพระโรงรัตน์ชัชวาล |
ให้ยักษาพาพราหมณ์มาถามซัก |
เอาเพื่อนพรรคพี่น้องจองหองหาญ |
ทั้งพ่อลูกถูกมัดฝีมือมาร |
ก็ให้การซัดเพื่อนออกเปื้อนคำ |
เขาจดหมายไล่จับมาคับคั่ง |
มีรับสั่งให้ลงโทษแต่คนขำ |
บีบขมับขับเฆี่ยนเจียนระยำ |
ให้ตรากตรำตรึงตราไว้ตรุใน |
แล้วยกข้อพ่อลูกประโรหิต |
กระทำผิดสาหัสถึงตัดษัย |
ให้ตีฆ้องร้องป่าวตระเวนไป |
อย่าฆ่าในธานีเป็นชีพราหมณ์ |
ใส่นาวาไปมหาทะเลหลวง |
เอาหินถ่วงเสียให้จมสมหยาบหยาม |
พระตรัสสั่งสิ้นเสร็จสำเร็จความ |
แล้วชวนสามโอรสเข้าสู่วัง |
เสวกาพาพราหมณ์ทั้งพ่อลูก |
ไปมัดผูกเฆี่ยนขับตามรับสั่ง |
ตะโหงกคอข้อมือขื่อประดัง |
ข้างหน้าหลังตีฆ้องมาสองคน |
พวกดาบแดงแซงเดินกระหนาบข้าง |
ขยับย่างจูงพราหมณ์มาตามถนน |
ตีฆ้องแล้วให้ร้องประจานตน |
ทั้งสองคนพ่อลูกเหมือนอย่างลิง |
เสียงหม่องหม่องร้องว่าเจ้าข้าเอ๋ย |
อย่าดูเยี่ยงข้าเลยทั้งชายหญิง |
ข้าพ่อลูกทุจริตทำผิดจริง |
กบฏชิงสมบัติกระษัตรา |
ทั้งชาวบ้านร้านตลาดก็กลาดเกลื่อน |
ร้องเรียกเพื่อนวิ่งกรูมาดูหน้า |
ทั้งธานีมิได้มีใครเวทนา |
มันอยากชิงวาสนาสาแก่ใจ |
ตระเวนรอบขอบเมืองทุกบ้านช่อง |
ลงเรือล่องไปในกลางทะเลใหญ่ |
เอาพ่อลูกผูกแผ่นศิลาลัย |
โยนลงในสาชลก็วายปราณ |
กลับมาทูลมูลเหตุเกศกระษัตริย์ |
พรหมทัตปรีดิ์เปรมเกษมศานต์ |
จิตระรื่นชื่นอารมณ์ชมกุมาร |
จำเนียรกาลนานมาอยู่ธานี ฯ |
๏ พระโคบุตรสุริยวงศ์ทรงสวัสดิ์ |
บังคมทูลพรหมทัตเจ้ากรุงศรี |
ลูกอยู่กับบิดามากว่าปี |
ระลึกถึงพงพีพ้นกำลัง |
ลูกจะขอลาองค์พระทรงเดช |
ไปเที่ยวชมหิมเวศเหมือนใจหวัง |
พรหมทัตขัตติยวงศ์ได้ทรงฟัง |
ท้าวเธอหลั่งชลนาโศกาลัย |
ครั้นจะตรัสหักหาญพูดทานทัด |
กลัวจะขัดเคืองวิญญาณ์อัชฌาสัย |
จึ่งตรัสว่าแก้วตาจะคลาไคล |
สำราญใจกลับมายังธานี ฯ |
๏ พระโคบุตรรับรสพจนารถ |
กราบเบื้องบาทบงกชบทศรี |
ลูกไปลับคงจะกลับมาบูรี |
ไม่ถึงปีอย่าอาลัยพระทัยปอง |
แล้วผินหน้ามาสั่งพระน้องรัก |
อยู่ตำหนักเถิดเจ้าอย่าเศร้าหมอง |
พี่ไปแล้วคงจะกลับมารับน้อง |
นวลละอองจงสุโขอย่าโศกา |
ทั้งพี่น้องร้องไห้วิ่งไปกอด |
รำพันพลอดวิงวอนฉะอ้อนว่า |
จะไปไหนฉันจะไปด้วยพี่ยา |
อย่าพักว่าเลยไม่อยู่ในบูรี ฯ |
๏ พระรับขวัญจูบน้องประคองชิด |
ตามจริตทารกทั้งสามศรี |
อย่าไปเลยลำบากองค์ในพงพี |
ล้วนเสือสีห์ผีสางกลางอารัญ |
มันเห็นใครใจอ่อนมันหลอนหลอก |
ไม่ดีดอกเจ้าอย่าไปในไพรสัณฑ์ |
ทำไมกับพี่มีมนต์ไม่กลัวมัน |
จงครองกันอยู่เมืองอย่าเคืองระคาย ฯ |
๏ อย่าพักปดให้เหนื่อยปากไม่อยากเชื่อ |
ถึงช้างเสือก็ไม่พรั่นเหมือนมั่นหมาย |
มิพาไปแล้วไม่ออกไปนอกกาย |
จะกอดคอไว้จนตายไม่ปล่อยเลย ฯ |
๏ ดูดู๋ว่าแล้วยังไม่ฟังว่า |
ทั้งข้าวปลาก็จะได้ที่ไหนเสวย |
ดวงมณีที่พี่ให้เอาไว้เชย |
อย่าไปเลยโฉมตรูอยู่พารา |
ทั้งพี่น้องร้องไห้ไม่ฟังห้าม |
ขืนจะตามไปหิมเวศด้วยเชษฐา |
พระโคบุตรสุดจนพ้นปัญญา |
ทูลบิดาให้ห้ามเจ้าทรามวัย |
บิตุรงค์ทรงพระสรวลสำรวลร่า |
ตามแต่เจ้าจะว่าอัชฌาสัย |
เมื่อพ่อแม่เขาไม่รักจะหักไป |
แล้วภูวไนยเล้าโลมนางโฉมงาม |
อนุชาพ่อจงพาไปฝึกสอน |
นางมณีสาครจะช่วยห้าม |
แล้วตรัสปลอบพระธิดาพะงางาม |
แม่อย่าตามไปให้ยากลำบากกาย |
แม้นขุกเข็ญเป็นหญิงนี้ยากนัก |
พระลูกรักพ่อว่าอย่าผันผาย |
พระอนุชาเขาเชื้อเนื้อว่าชาย |
อันตรายโพยภัยเขาไม่มี ฯ |
๏ นางทรงฟังแค้นจิตบิตุเรศ |
ชลเนตรไหลนองหม่นหมองศรี |
เจ้าหยิกข่วนเชษฐาไม่ปรานี |
แล้วเข้าที่ไสยาโศกาลัย ฯ |
๏ พระโคบุตรสุริยาผวาวิ่ง |
มาปลอบมิ่งสมรมิตรพิสมัย |
พี่เมตตาจึ่งไม่พาเจ้าเดินไพร |
แม่ยังไม่เห็นดีเข้าตีรัน |
แต่น้องน้อยยังหน่วงเป็นห่วงนัก |
พระทรงศักดิ์เธอจะให้ไปกับฉัน |
แม่จงฟังพี่ยาอย่าจาบัลย์ |
จะเก็บพรรณบุปผาอัมพาพวง |
ที่หอมหวนงามหลากมาฝากแม่ |
ห้อยพระแกลเล่นสะพรั่งในวังหลวง |
พงศ์กระษัตริย์ตรัสล้อแล้วล่อลวง |
สุดาดวงค่อยชื่นกลืนน้ำตา ฯ |
๏ พระจูงกรยุพยงอนงค์นาฏ |
ยุรยาตรจากแท่นอันเลขา |
มาฝากองค์ทรงฤทธิ์พระบิดา |
แล้วชวนพระอนุชามาสรงชล |
ในอ่างทองรองฝักปทุมมาศ |
ดูสะอาดชลปรอยเป็นฝอยฝน |
น้ำกุหลาบอาบองค์สรงสุคนธ์ |
ทรงเครื่องต้นดูงามอร่ามพราย ฯ |
๏ สององค์ออกหน้าโถงพระโรงรัตน์ |
หน่อกระษัตริย์ทรงแท่นอันเรืองฉาย |
โองการสั่งอสุรีทั้งสี่นาย |
จงผันผายไปสถานสำราญใจ |
แต่จงช่วยกรุณังระวังนิเวศน์ |
ทั่วขอบเขตนัครังทั้งน้อยใหญ่ |
พนาสูรทูลสนองให้ต้องใจ |
ในกรุงไกรมิให้มีราคีพาน |
สิบห้าวันจะผลัดกันมาสืบข่าว |
ให้สองท้าวปรีดิ์เปรมเกษมศานต์ |
แล้วกราบลาพี่น้องสองกุมาร |
เหาะทะยานหมายมาพนาลี ฯ |
๏ พระโคบุตรสุริยาวราฤทธิ์ |
สำราญจิตจากพระโรงอันเรืองศรี |
เจ้าอรุณสุริยวงศ์ทรงมณี |
จรลีลอยลิ่วปลิวเมฆา |
ออกจากกรุงมุ่งหมายเข้าไพรระหง |
ทั้งสององค์ชมไม้ไพรพฤกษา |
พระเหาะเรียงเคียงชมยมนา |
ลอยละลิ่วปลิวฟ้ารีบคลาไคล ฯ |
๏ พระสุริยงลงลับเหลี่ยมภูผา |
พระจันทราส่องสว่างกระจ่างไข |
ทั้งสองชมจันทรานภาลัย |
มาตามในแถวทางกลางอารัญ |
พระเหาะเรียงเคียงชมดาราราย |
แสนสบายคลายทุกข์เกษมสันต์ |
ศิลาลายพรายเลื่อมด้วยแสงจันทร์ |
ชี้ชวนกันทัศนาศิลาลัย ฯ |
๏ พระสุริยาฟ้าสางสว่างภพ |
กระจ่างจบในป่าพฤกษาไสว |
ทั้งพี่น้องสองเหาะระเห็จไป |
ถึงเขาใหญ่สูงเงื้อมตระหง่านครัน |
เป็นสี่เหลี่ยมสูงวิเวกเทียมเมฆมืด |
ดูโยงยืดยาวใหญ่ในไพรสัณฑ์ |
เหมือนเมฆมืดเมฆาเมื่อสายัณห์ |
พระชวนกันสององค์เดินตรงมา |
ครั้นถึงที่เขาใหญ่ในไพรสณฑ์ |
แลเห็นต้นนารีผลบนเนินผา |
ล้วนคนธรรพ์นักสิทธิ์วิทยา |
เฝ้ารักษาแลล้อมอยู่พร้อมกัน |
ทั้งสององค์ทรงแลไม่เคยเห็น |
มุ่งเขม้นแล้วทรงพระสรวลสันต์ |
พระโคบุตรนึกอนาถประหลาดครัน |
ต้นไม้นั้นแต่ล้วนนางสล้างไป |
ที่ใต้ต้นคนธรรพ์สะพรั่งอยู่ |
พระน้องดูให้เห็นเล่นใกล้ใกล้ |
ว่าพลางทางชวนกันเหาะไป |
สำราญใจชื่นจิตด้วยฤทธิรณ ฯ |