๏ ฝ่ายคนธรรพ์กับพวกวิชาธร |
เหาะเร่ร่อนคอยระวังนารีผล |
เห็นพี่น้องสององค์ในอำพน |
แต่ละตนเดือดดาลทะยานใจ |
ด้วยหวงแหนแค้นเคืองเป็นที่สุด |
เหม่มนุษย์สองรามาแต่ไหน |
แกว่งพระขรรค์หันเหาะระเห็จไป |
ทะลวงไล่บุกบั่นกระชั้นมา ฯ |
๏ พระโคบุตรหยุดถอดเอาแหวนก้อย |
ให้น้องน้อยใส่นิ้วพระหัตถา |
เข้าโจมจับกับพวกวิทยา |
เสียงศาสตรากริ่งกร่างกลางอัมพร |
ชิงพระขรรค์ฟันฟาดเสียงฉาดฉับ |
ศีรษะพับตกผางกลางสิงขร |
ที่เหลือตายรายรอบเข้าราญรอน |
วิชาธรล้อมกลุ้มเข้ารุมองค์ ฯ |
๏ พระรบรับจับมารแล้วโยนขว้าง |
เสียงผึงผางถูกเพื่อนเป็นผุยผง |
ด้วยกำลังยั่งยืนกลางณรงค์ |
ดังครุฑยงเหยียบพญาวาสุกรี |
วิชาธรอ่อนฤทธิ์ไม่อาจรบ |
น้อยกำลังหลีกหลบเอาตัวหนี |
ที่วอดวายตายกลาดธรณี |
ที่หลบลี้หลีกลอดก็รอดตาย |
พระพี่น้องสองราพากันเหาะ |
ลงจำเพาะเขาใหญ่เหมือนใจหมาย |
เห็นซากศพวิทยาบรรดาตาย |
ทั้งกรกายขาดพลัดกระจัดกัน |
หวนพระทัยใจจิตคิดสังเวช |
แสนสมเพชวิทยาที่อาสัญ |
อ้ายเหล่านี้ไม่พอที่ทำดุดัน |
พระพูดกันพี่น้องทั้งสองรา |
จะชุบชีวิตไว้พอหายหลาบ |
อย่าเป็นบาปติดกายไปภายหน้า |
ดำริพลางทางหยิบเอายามา |
กุมาราเคี้ยวพ่นทุกคนไป ฯ |
๏ วิชาธรรอดตายขึ้นไหว้กราบ |
ศิโรราบหมอบเรียงเคียงไสว |
ยอมถวายกายเป็นเช่นข้าไท |
จะอยู่ใกล้บาทบงสุ์พระทรงธรรม์ |
ข้าขอถามนามวงศ์พระทรงเดช |
จากประเทศมาไยในไพรสัณฑ์ |
ฤทธิรงค์นี่กระไรดังไฟกัลป์ |
ใครไม่ทันเทียมศักดิ์ทั้งจักรวาล ฯ |
๏ พระฟังพวกวิทยาสามิภักดิ์ |
จึ่งประจักษ์เล่าแจ้งแถลงสาร |
เราพี่น้องสองราปรีชาชาญ |
นึกสำราญเที่ยวเล่นอรัญวา |
นั่นโฉมงามนามชื่ออรุณน้อง |
อันตัวของเรานี้เป็นเชษฐา |
ชื่อโคบุตรสุริยวงศ์ทรงศักดา |
นี่ท่านมาทำไมในไพรวัน |
ผูกชฎาอาภรณ์ล้วนหนังเสือ |
หรือชาติเชื้อชาวป่าพนาสัณฑ์ |
วิชาธรกรประนมบังคมคัล |
กระหม่อมฉันพวกข้าวิชาธร |
อันพฤกษาต้นนี้นารีผล |
ออกเป็นคนได้ชมสมสมร |
สำหรับชมชั่วประถมพุทธันดร |
ไปกอดนอนชมเล่นเหมือนเช่นคน |
จึงสามารถอาจหาญเพราะแสนหวง |
กลัวจะช่วงชิงนางนารีผล |
พระยกโทษโปรดไว้ไม่วายชนม์ |
ทั้งร้อยคนจะเป็นข้าพยาบาล |
เชิญพระไปชมป่าพนาเวศ |
มีประเทศหนึ่งโตรโหฐาน |
ทั้งธารน้ำถ้ำแก้วอลังการ |
แสนสำราญรุกขชาติสะอาดครัน |
เป็นปิ่นเทพนิกรกินรนาฏ |
มาประพาสแสนสุขเกษมสันต์ |
เป็นเวรเวียนเปลี่ยนกันมาในอารัญ |
ทั้งสุบรรณครุฑาวาสุกรี |
จะนำเสด็จสององค์พระทรงเดช |
ไปทอดพระเนตรพนมคิรีศรี |
สองพระองค์ทรงฟังก็เปรมปรีดิ์ |
เออท่านดีแล้วจงพาเราคลาไคล |
พระชวนองค์น้องชายสายสมร |
วิชาธรพรั่งพร้อมล้อมไสว |
ต่างสำแดงศักดาเหาะคลาไคล |
นำตรงไปมรกตคีรีวัน ฯ |
๏ พระพี่น้องชมป่าพฤกษาสัตว์ |
ตามจังหวัดราวป่าพนาสัณฑ์ |
บรรลุถึงเขาเขินเนินอรัญ |
ก็พากันเหาะตรงลงคีรี ฯ |
๏ จะกล่าวถึงเทพไทในไกรลาส |
กินรนาฏนางฟ้าทุกราศี |
ถึงเวลาก็พากันจรลี |
ลงเล่นโบกขรณีในไพรวัน ฯ |
๏ ฝ่ายพระองค์ทรงฤทธิ์อดิศร |
ก็ชวนพวกวิชาธรระเห็จหัน |
ลงเล่นน้ำสำราญพระทัยครัน |
เกษมสันต์รื่นเริงบันเทิงใจ ฯ |
๏ ฝ่ายฝูงนางเทพอัปสรบ้างขับขาน |
เป็นกังวานก้องเสียงสำเนียงใส |
พอเวลาสายัณห์ลงไรไร |
เทพไทกลับหลังยังวิมาน ฯ |
๏ ฝ่ายพระโคบุตรกับนุชน้อง |
สั่งพวกพ้องวิทยาศักดาหาญ |
ท่านจงอยู่อย่าเป็นทุกข์สุขสำราญ |
ไปถิ่นฐานที่สถิตแต่ก่อนมา |
เราพี่น้องจะไปชมพนาเวศ |
สีขเรศถ้ำเขาลำเนาผา |
วิชาธรได้ฟังหลั่งน้ำตา |
ต่างกอดบาทบาทาเข้าร่ำไร |
ด้วยจงรักภักดีมีพระเดช |
ชลเนตรแถวถั่งลงหลั่งไหล |
แล้วทูลว่าจะเดินทางในกลางไพร |
พระอย่าไปทางทิศบูรพา |
ประกอบด้วยยักขินีผีเสื้อน้ำ |
เลิศล้ำฤทธิแรงกำแหงกล้า |
ทั้งร้ายกาจสามารถด้วยมารยา |
จะเดินป่าระวังองค์ให้จงดี |
ต่างอวยพรให้องค์พงศ์นเรศ |
จงเรืองเดชฤทธิไกรชาญไชยศรี |
แล้วพากันเหาะเหขึ้นเมฆี |
กลับไปที่ถาวรเหมือนก่อนมา ฯ |
๏ พระโคบุตรสุริยงดำรงฤทธิ์ |
สำราญจิตเกษมสันต์ยิ่งหรรษา |
แล้วเชิญชวนโฉมยงองค์อนุชา |
จากเนินผาแล้วระเห็จเสด็จไป |
ไปตามทางข้างทิศบูรพา |
ที่บิดาบอกทิศหนทางให้ |
ทั้งสององค์ลอยฟ้ามาไรไร |
เกือบจะใกล้พระสมุทรแลสุดตา ฯ |
๏ จะกล่าวถึงอสุรีอันมีฤทธิ์ |
นามประสิทธิ์หัศกัณฐมัจฉา |
ตัวเป็นยักษ์พื้นล่างเป็นหางปลา |
ทั้งกายาโตพียี่สิบกร |
มีแว่นแคว้นแดนยาวสิบเก้าโยชน์ |
ตัวเป็นโสดยศยิ่งในสิงขร |
พระสยมภูวญาณประทานพร |
ใครราญรอนราพณ์ร้ายไม่วายปราณ |
ออกจากถ้ำสำราญชื่นบานจิต |
คะนึงคิดจะไปหาภักษาหาร |
ด้วยอดสัตว์มัจฉามาช้านาน |
จากสถานเที่ยวมาในวารี ฯ |
๏ พระโคบุตรสุริยาพาพระน้อง |
เที่ยวเลื่อนล่องลอยฟ้าในราศี |
ถึงฟากฝั่งยมนาท่านที |
เห็นยักษีว่ายวงในคงคา |
ดูน่ากลัวตัวพักตร์เป็นยักษ์ใหญ่ |
หางนั้นไซร้กลายเป็นเช่นมัจฉา |
ไม่เคยเห็นดูอนาถประหลาดตา |
ชวนน้องยาแลดูอสุรี |
หางนั้นเป็นหางปลาหน้าเป็นยักษ์ |
ดูโตนักเทียมเท่าคิรีศรี |
ทั้งสองสรวลสุขเกษมต่างเปรมปรีดิ์ |
ดูยักษีเวียนวงในคงคา ฯ |
๏ หัศกัณฐ์แหวกว่ายมาในน้ำ |
เที่ยวผุดดำวารินกินมัจฉา |
เห็นมนุษย์พี่น้องทั้งสองรา |
มันโกรธาโกรธนักดังอัคคี |
สิงหนาทผาดแผลงสำแดงฤทธิ์ |
ดังจะปิดบังแสงพระสุริย์ศรี |
หมายเขม้นเข่นฆ่าเข้าราวี |
อสุรีถาโถมกระโจมมา |
ยี่สิบหัตถ์รัดรวบพระทรงฤทธิ์ |
หมายให้คิดอยู่ในมือของยักษา |
พระโคบุตรสุริยวงศ์ทรงศักดา |
พระกรคว้ากอดน้องประคองไว้ |
พระหัตถ์ขวาถอดธำมรงค์ขว้าง |
หมายจะล้างขุนยักษ์ให้ตักษัย |
ถูกมารร้ายกายกรเป็นท่อนไป |
โลหิตไหลโซมลงในคงคา ฯ |
๏ อสุรินทร์มิได้สิ้นชีวาวาตม์ |
ด้วยอำนาจเจ้าดาวดึงส์ไตรตรึงษา |
พลางอ่านเวทแสนประสิทธิ์วิทยา |
กลับเป็นมาเจ็ดตนเหลือทนทาน |
เข้าโลดโผนโจนจับสัประยุทธ์ |
ท้องสมุทรเป็นระลอกกระฉอกฉาน |
พระโคบุตรหยุดถอดเอาสังวาล |
ขว้างประหารมารร้ายก็วายชนม์ |
สังวาลกลับเข้าองค์พระทรงศักดิ์ |
ประเดี๋ยวยักษ์เป็นกลับขึ้นสับสน |
มันตายหนึ่งกลับเกิดขึ้นเจ็ดตน |
เป็นยี่สิบเก้าคนเข้าชิงชัย ฯ |
๏ พระโคบุตรนิ่งคิดผิดประหลาด |
สะดุ้งหวาดจิตพรั่นคิดหวั่นไหว |
อันเทพศาสตรานี้เกรียงไกร |
สังหารใครตายแล้วไม่กลับมา |
ไฉนหนอไอ้นี่จึ่งมีฤทธิ์ |
ยิ่งม้วยมิดกลับเป็นขึ้นหนักหนา |
พระขว้างซ้ำไปต้องอสุรา |
พวกยักษาเกิดมากกว่าหมื่นพัน |
จนสิ้นเครื่องประดับองค์พระโฉมฉาย |
พวกมารร้ายชีวาไม่อาสัญ |
ยักษ์พิโรธโกรธใจดังไฟกัลป์ |
ต่างประจัญโถมไล่กันไปมา |
กำลังองค์ทรงเดชเจ็ดช้างสาร |
พญามารสิทธิศักดิ์ฤทธิ์หนักหนา |
ครั้นฆ่าตายมารร้ายกลับมากมา |
อสุรากลาดกลุ้มเข้ารุมรัน |
เสียงพิลึกครึกครื้นเป็นคลื่นซัด |
วายุพัดหอบหวนอยู่ป่วนปั่น |
ยักษาจะจับองค์พระทรงธรรม์ |
ด้วยเครื่องทรงป้องกันพระกายา ฯ |
๏ จะกล่าวถึงเทพไทอยู่ใกล้สมุทร |
สงสารพระโคบุตรเป็นหนักหนา |
สิ้นกำลังพลั้งพลาดจะอัปรา |
ด้วยยักษาพวกนั้นมันมากมาย |
องค์เทเวศแปลงเพศให้ผิดผัน |
เป็นแมงวันบินมาบอกพระโฉมฉาย |
ว่ายักษ์นี้มันเลิศประเสริฐชาย |
มนุษย์ฆ่ามันไม่ตายอย่าสงกา |
มันได้พรพระอิศวรผู้ทรงเดช |
ถ้าแจ้งเหตุแล้วจงจำคำเราว่า |
เร่งไปหาพญากบี่มา |
อยู่ที่เขาหิมวากลางพงไพร |
เป็นเชื้อชาติสัตว์ป่าพนาเวศ |
เขาเรืองเดชฆ่ายักษ์จึงตักษัย |
ครั้นบอกแล้วเทวาก็คลาไคล |
รีบคืนไปกลับหลังยังวิมาน ฯ |
๏ พระโคบุตรสุริยวงศ์ผู้ทรงเดช |
ครั้นแจ้งเหตุเทวามาว่าขาน |
จึ่งปลดเปลื้องเครื่องทรงสร้อยสังวาล |
พิษฐานขว้างไปมิได้ช้า |
เป็นฝูงเทพเทวาออกดาดาษ |
ดูเกลื่อนกลาดทั่วไปในเวหา |
ถือพระขรรค์ศักดิ์สิทธิ์เรืองฤทธา |
กุมาราร้องสั่งไปทันที |
ว่าดูก่อนฝูงเทพเทเวศ |
จงอยู่รอต่อเดชกับยักษี |
พระตรัสพลางชวนน้องจรลี |
รีบเหาะหนีเข้าป่าพนาลัย ฯ |
๏ ฝ่ายองค์ท้าวหัศกัณฐมัจฉา |
เห็นฝูงเทพเทวาอยู่ไสว |
มนุษย์นั้นหลบลี้หลีกหนีไป |
ก็กริ้วโกรธดังไฟประลัยกัลป์ |
จึงร้องว่าเหวยเหวยเทวราช |
ทำองอาจไม่กลัวจะอาสัญ |
ไยมารับรบรุกทำบุกบัน |
เข้าป้องกันสองมนุษย์ให้หนีไป |
แต่ก่อนมิเคยอวดศักดิ์มาหักหาญ |
กูจะผลาญชีพวิบัติให้ตัดษัย |
สิ้นทั้งหมดเมืองฟ้าสุราลัย |
ให้ฝูงปลาน้อยใหญ่กินเสียพลัน |
ว่าพลางต่างแผลงสำแดงฤทธิ์ |
เข้าต่อติดตามตีขมีขมัน |
บ้างหักโหมโรมรุกไล่บุกบัน |
ฝูงเทวัญกายสิทธิ์ฤทธิรอน |
ยิ่งตายยิ่งเป็นขึ้นเกลื่อนกล่น |
เข้าประจญต้านต่อไม่ย่อหย่อน |
เสียงสนั่นลั่นฟ้าริมสาคร |
กายสิทธิ์ต่อกรไม่พลาดพลั้ง ฯ |
๏ พระโคบุตรสุริยวงศ์องค์เชษฐา |
ทั้งสองรารีบไปเหมือนใจหวัง |
เหาะข้ามพระสมุทรไม่หยุดยั้ง |
ก็ถึงฝั่งฟากทะเลชโลทร |
ครั้นมาถึงที่เขาเหมราช |
สูงผงาดเงื้อมตลอดยอดสิงขร |
เห็นพวกพลโยธาล้วนวานร |
อยู่ริมฝั่งสาครนั้นมากมี |
แต่พญาวานรเป็นเผือกผู้ |
เข้านั่งอยู่ท่ามกลางกบี่ศรี |
ทั้งสององค์เหาะลงเนินคีรี |
เฉพาะหน้าขุนกบี่แล้วเดินมา |
พวกลิงไพรแลไปเห็นมนุษย์ |
อุตลุดต่างยืนขึ้นพร้อมหน้า |
บ้างสำแดงแผลงฤทธิ์ไล่ติดมา |
จะโจมเข้าเข่นฆ่าสองกุมาร |
พระโคบุตรโบกพระหัตถ์แล้วตรัสห้าม |
ปราศรัยถามด้วยสุนทรคำอ่อนหวาน |
เรามิใช่ไพรีมารบราญ |
จะสมานรักใคร่เป็นไมตรี |
ตัวเจ้าเป็นชาวป่าพนาเวศ |
อยู่ประเทศเขตเขาคิรีศรี |
จะแจ้งความตามข้อคดีมี |
ขุนกบี่ตนใดนั้นเป็นนาย ฯ |
๏ ฝ่ายพญาพานรินทร์ที่เผือกผู้ |
สถิตอยู่กลางพหลพลทั้งหลาย |
จึ่งร้องตอบข้อความตามภิปราย |
เราเป็นนายวานรสัญจรไพร |
ตัวท่านนี้เป็นมนุษย์หรือเทเวศ |
มาแต่เขตแห่งหนตำบลไหน |
ทั้งสององค์จะประสงค์สิ่งอันใด |
จงบอกให้เราแจ้งแห่งคดี ฯ |
๏ พระโคบุตรหยุดยั้งได้ฟังถาม |
จึงตอบความกับพญากบี่ศรี |
เราเป็นจอมจักรพรรดิสวัสดี |
จากบูรีพรหมทัตกระษัตรา |
มาเที่ยวชมพนมพนาสณฑ์ |
ถึงวังวนผ่อนพักพบยักษา |
อสุรีศักดิ์สิทธิ์มีฤทธา |
หางเป็นปลาหน้าเป็นอสุรี |
แต่เราฆ่ายักษ์ตายถึงเจ็ดหน |
ครั้นตายตนหนึ่งเกิดเจ็ดยักษี |
ฝูงเทพเทวานั้นปรานี |
บอกว่ายักษีได้พรชัย |
พระอิศวรทูลกระหม่อมจอมมงกุฎ |
แม้นมนุษย์เข่นฆ่าหาตายไม่ |
เทพเจ้าชี้แจงให้แจ้งใจ |
ว่าตัวท่านอยู่ในหิมวา |
เป็นชาติเชื้อขุนกบี่อันมีศักดิ์ |
จึ่งจะล้างขุนยักษ์ให้สังขาร์ |
เราตั้งใจเจาะจงรีบตรงมา |
ได้เมตตาเราด้วยไปช่วยกัน ฯ |
๏ ฝ่ายพญาพานรินทร์ได้ยินเหตุ |
ผิดสังเกตก็ชวนกันสรวลสันต์ |
จึ่งร้องตอบวาจามาด้วยพลัน |
ท่านพูดนั้นไม่จริงยังกริ่งใจ |
ซึ่งว่ามีฤทธามาฆ่ายักษ์ |
เห็นหนักนักเชื่อฟังยังไม่ได้ |
มนุษย์น้อยเหมือนฝอยเข้าใส่ไฟ |
ไม่มีใครเห็นจริงอย่าเจรจา |
ถ้ามีฤทธิ์เลิศล้ำดังคำเล่า |
ฆ่าแต่เราลิงไพรให้สังขาร์ |
จะเห็นดีมีฤทธิ์ดังวาจา |
ท่านจะมาเสี้ยมเขาให้ชนกัน |
ว่าพลางทางเรียกพลไพร่ |
มาจากในแนวป่าพนาสัณฑ์ |
สะพรั่งพร้อมล้อมองค์พระทรงธรรม์ |
ล้วนเข้มขันคึกคักทำศักดา ฯ |
๏ พระโคบุตรสุริยันไม่หวั่นไหว |
เห็นลิงไพรพร้อมพรักกันหนักหนา |
จึ่งเปลื้องเครื่องรัดองค์อลงการ์ |
แล้วร้องว่าดูก่อนวานรไพร |
เอ็งเป็นแต่เพียงสัตว์เดียรัจฉาน |
ทำโวหารไม่มีอัชฌาสัย |
กูเป็นจอมจักรพงศ์อันทรงไชย |
จะรบกับลิงไพรไม่ต้องการ |
อยากเห็นฤทธิ์หรือไรจะให้รู้ |
กำลังกูถึงเจ็ดเท่าช้างสาร |
จะทำไว้แต่พอให้ประมาณ |
ไอ้สาธารณ์อวดกำลังอหังการ์ |
ว่าพลางทางทิ้งเทพอาวุธ |
กลายเป็นภุชงค์ใหญ่ล้วนใจกล้า |
สักหมื่นแสนแน่นทั่วบรรพตา |
เข้าไล่มัดลิงป่าพัลวัน |
เสียงครึกครื้นตื่นเต้นทั้งไพรชัฏ |
พวกลิงกัดนาคกอดสอดกระสัน |
นาครัดลิงวิ่งร้องก้องอารัญ |
เข้าไล่พันมัดพหลพลวานร |
จะฟาดฟัดกัดทึ้งเข้าดึงฉุด |
นาคไม่หลุดมัดลิงกลิ้งสลอน |
สิ้นกำลังล้มลงในดงดอน |
พวกวานรร้องขอชีวาวัน |
ประทานโทษโปรดเถิดพระทรงฤทธิ์ |
ขอชีวิตไว้อย่าฆ่าให้อาสัญ |
จะเป็นข้าอยู่ในองค์พระทรงธรรม์ |
กว่าชีวันจะม้วยบรรลัยลาญ ฯ |
๏ พระโคบุตรยิ้มเยื้อนเอื้อนพระโอษฐ์ |
อันที่โทษเอ็งถึงซึ่งสังขาร |
แต่ครั้งนี้มิให้ถึงซึ่งวายปราณ |
แล้วกุมารเรียกรัดพระองค์มา |
ครั้นนาคหายคลายทุกข์ลุกขึ้นกราบ |
ศิโรราบกราบงามลงสามท่า |
พญาลิงวิ่งเข้ามาวันทา |
พระอิศรายกโทษได้โปรดปราน |
แต่ปางหลังพลั้งผิดด้วยคิดโกรธ |
สานุโทษข้าควรจะสังขาร |
ขอรองบาทโฉมฉายจนวายปราณ |
จงประทานโทษผิดที่ติดพัน |
ขอทูลความตามจริงทุกสิ่งสิ้น |
ซึ่งภูมินทร์จะให้ข้าพาผายผัน |
ไปเข่นฆ่าหมู่มารชาญฉกรรจ์ |
ข้าคิดพรั่นศักดาพญามาร |
แต่คงจะอาสาฝ่าพระบาท |
ตามพระราชประสงค์จำนงผลาญ |
จนสุดฤทธิ์กว่าชีวิตจะวายปราณ |
จะคิดอ่านฉันใดในณรงค์ |
พระยิ้มเยื้อนเอื้อนอรรถตรัสสนอง |
เราไม่ปองจะให้ท่านเป็นผุยผง |
อันเครื่องทิพย์ที่ประดับสำหรับองค์ |
ฤทธิรงค์แต่ล้วนเทพศาสตรา |
ด้วยยักษีมีพรประกาศิต |
มนุษย์ล้างชีวิตไม่สังขาร์ |
แม้นหาไม่ไหนจะรอดเป็นอสุรา |
ไม่พักมากวนท่านให้วุ่นวาย |
แม้นท่านไปเรามิได้ให้ลำบาก |
ต้องเหนื่อยยากเหมือนเขารบกันทั้งหลาย |
ไม่เหนื่อยเหน็ดเด็ดได้ด้วยสบาย |
จะให้นายถือธำมรงค์ไป |
เข้าต่อฤทธิ์รุกราชพิฆาตขว้าง |
คงจะล้างอสุราให้ตักษัย |
ถอดธำมรงค์ทรงยื่นให้ทันใด |
อย่านอนใจการด่วนจวนเวลา |
ขุนกบี่ดีใจเป็นที่สุด |
รับเอาเทพอาวุธทูนเกศา |
แล้วสั่งไพร่ให้อยู่ในหิมวา |
เชิญเสด็จสองราเหาะทะยาน |
คว้างคว้างมาในกลางโพยมมาศ |
ดังครุฑราชเรี่ยวแรงกำแหงหาญ |
รุกขมูลเมืองแมนแดนวิมาน |
สาธุการพร้อมพรั่งทั้งโลกา |
พระพิรุณโปรยปรายพระพายพัด |
ทุกจังหวัดเทวัญก็หรรษา |
เยี่ยมพระแกลแลดูกุมารา |
ด้วยจะฆ่ายักษ์ตายสบายใจ |
พระโคบุตรสุริยากับพานเรศ |
มาถึงเขตพระสมุทรอันสุดใส |
รูปนิรมิตเทวาสุราลัย |
เข้าลุยไล่รบรุมกับกุมภัณฑ์ |
ไม่พลาดเพลี่ยงเสียงระลอกกระฉอกฝั่ง |
เพียงจะพังโลกาสุธาลั่น |
จึ่งเรียกสร้อยเข้าองค์พระทรงธรรม์ |
ฝูงเทวัญรูปทิพก็หายไป ฯ |
๏ หัศกัณฐมัจฉาพญายักษ์ |
แลเห็นพักตร์ทรงฤทธิ์คิดสงสัย |
เทวราชกลับกลายก็หายไป |
ยังจำได้แต่พี่น้องสองกุมาร |
กับวานรหนึ่งเรียงมาเคียงชิด |
สำแดงฤทธิ์ร้องประกาศอยู่ฉาดฉาน |
เมื่อตะกี้เหาะหนีไปลนลาน |
ไปชวนอ้ายเดียรัจฉานที่ไหนมา |
ทั้งสามคนครึ่งคำไม่พอเคี้ยว |
ประเดี๋ยวเดียวชีวังจะสังขาร์ |
ไม่พอมือครือฤทธิ์อสุรา |
เท่าขี้ตาก็จะวิ่งมาชิงชัย ฯ |
๏ ฝ่ายพญาวานรสุนทรเย้ย |
ว่าเหวยเหวยยักษาอ้ายหน้าไพร่ |
มึงประมาทว่ากูชาติวานรไพร |
ตัวเองไซร้เป็นอะไรไม่พิศดู |
หางมึงเป็นหางปลาหน้าเป็นยักษ์ |
ทรลักษณ์อัปยศไม่อดสู |
สองพระองค์พงศ์กระษัตริย์ฉัตรชมพู |
จะต่อสู้เสื่อมเสียพระเดชา |
กูเป็นข้ารองละอองบาท |
จะพิฆาตอสุรศักดิ์อ้ายยักษา |
จงกราบองค์ทรงฤทธิ์อิศรา |
จะเมตตาชีวันไม่บรรลัย ฯ |
๏ พญามารฟังสารแสนพิโรธ |
ยิ่งกริ้วโกรธกัดฟันอยู่หวั่นไหว |
ประกาศก้องรองเหม่อ้ายลิงไพร |
แต่ก่อนไม่โอหังเหมือนครั้งนี้ |
มึงจะให้ใครนั่นไปนอบนบ |
พลางตลบโลดไล่กบี่ศรี |
ทั้งหมื่นแสนแน่นมาในเมฆี |
ขุนกบี่โจนโจมโถมประจัญ |
หางกระหวัดปากกัดสองมือกอด |
เอาเท้าสอดฟาดฟัดสะบัดหัน |
ดูกลมกลิ้งลิงกัดฟัดกุมภัณฑ์ |
ยักษ์ประจัญลิงขบต้นคอวาง |
พวกยักษ์ไล่ลิงจับสัประยุทธ์ |
อุตลุดลิงถีบตกน้ำผาง |
จมประดักยักษ์เจ็บลงร้องคราง |
ลิงไล่ล้างมารร้ายวายชีวา |
จนสิ้นรูปกายสิทธิ์ฤทธิเดช |
จะอ่านเวทไม่ชะงัดด้วยสัตว์ป่า |
ยังเหลืออยู่แต่ตัวอสุรา |
ลิงระอาอ่อนสิ้นกำลังครัน |
จึงขว้างเทพธำมรงค์ของทรงศักดิ์ |
ถูกอกอักอสุราจะอาสัญ |
ลงเซทรุดสุดแรงท้าวกุมภัณฑ์ |
หัศกัณฐ์ตกลงในคงคา |
ค่อยกระเดือกเสือกกายเข้าฝั่งสมุทร |
จะสิ้นสุดสูญชีพสังขาร์ |
เลือดชโลมโซมซาบอาบกายา |
ภาวนาทิพมนต์ประสานกาย |
ไม่คืนติดต่อได้เหมือนใจนึก |
หวนระลึกหวั่นไหวหทัยหาย |
ชลนัยน์ไหลหลั่งลงพรั่งพราย |
โอ้จะตายเสียวันนี้เป็นมั่นคง |
ระลึกถึงพรชัยเจ้าไกรลาส |
ซึ่งประสาทเคยประสิทธิ์ก็พิศวง |
มาแพ้ฤทธิ์ลิงไพรในณรงค์ |
เสียดายทรงฤทธิไกรดังไฟกัลป์ |
โอ้เสียดายชลสายกระแสเชี่ยว |
เคยมาเที่ยวปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ |
ยามสบายเคยเล่นไม่เว้นวัน |
ประพาสพรรณมัจฉากุมภาพาล |
โอ้นับปีนับเดือนจะเลื่อนลับ |
มิได้กลับมาชมกระแสสาร |
โอ้เสียดายคูหาในบาดาล |
เคยสำราญเช้าเย็นอยู่เป็นนิจ |
ยิ่งระลึกนึกไปก็ใจหาย |
ราพณ์ร้ายโหยหวนรัญจวนจิต |
พอสิ้นคำอสุรินทร์สิ้นชีวิต |
ก็ขาดจิตอยู่ยังฝั่งคงคา ฯ |
๏ พระอรุณขุนกบี่พระโคบุตร |
ทั้งสามหยุดอยู่บนห้องท้องเวหา |
เห็นกุมภัณฑ์ตกลงปลงชีวา |
ฝ่ายพญาพานรินทร์ก็ยินดี |
จึงทูลเชิญสององค์ผู้ทรงเดช |
กลับประเวศหิมวาพนาศรี |
แล้วเหาะด้นดั้นออกนอกเมฆี |
มาถึงที่เนินผาไม่ช้านาน |
ลงหยุดยั้งนั่งชะง่อนสิงขรเขิน |
งามเจริญเลิศลบจบสงสาร |
ขุนวานรอ่อนเกศลงกราบกราน |
บริวารน้อมกายถวายกร ฯ |
๏ พระตรัสทักสนทนาบรรดากบี่ |
เป็นไมตรีสุขเกษมสโมสร |
จนอัสดงลงลับยุคุนธร |
ขุนวานรเกณฑ์พลกบี่ไพร |
เที่ยวเก็บพรรณบุปผาผกามาศ |
มารองลาดต่างแท่นอันผ่องใส |
แล้วกะเกณฑ์ให้ตระเวนระวังภัย |
ทั้งกองไฟล้อมวงเป็นเวรนอน ฯ |
๏ พระโคบุตรชวนนุชพระน้องนาถ |
เข้าไสยาสน์อยู่บนเชิงเพิงสิงขร |
บุปผชาติอันสะอาดอรชร |
หอมขจรรสรื่นชื่นพระทัย |
กอดประคองน้องแนบเข้าแอบอก |
ฟังวิหคพลอดเสียงสำเนียงใส |
ยิ่งวังเวงเพลงเพลินเจริญใจ |
ก็หลับไปทั้งสองกระษัตรา |
เสนาะเสียงชะนีไพรแลไก่เถื่อน |
ทั้งดาวเดือนเลื่อนลับในเวหา |
รุ่งสว่างกระจ่างแจ้งในเมฆา |
เสียงปักษาแซ่ซุ้มทุกพุ่มพง |
พระฟื้นกายลิงถวายกระแสสินธุ์ |
หน่อนรินทร์พี่น้องทั้งสองสรง |
แสนสำราญบานใจอยู่ในดง |
ที่หว่างวงหิมวาพนาวัน ฯ |
๏ จะกล่าวถึงเทวาศักดาเดช |
ตามประเทศแถวป่าพนาสัณฑ์ |
ในแว่นแคว้นแดนจังหวัดหัศกัณฐ์ |
เห็นกุมภัณฑ์สิ้นชีวิตสว่างใจ |
บ้างสำรวลสรวลสันต์ประสานเสียง |
ส่งสำเนียงบอกกันอยู่หวั่นไหว |
แต่นี้เราจะเป็นสุขไม่ทุกข์ใจ |
ด้วยหน่อไทพระอาทิตย์ฤทธิรอน |
เราจะไปจับระบำรำถวาย |
พระโฉมฉายหยุดอยู่เนินสิงขร |
ต่างจับพิณโทนทับสำหรับกร |
ชวนอัปสรนางเทพกัลยา |
เที่ยวกู่ก้องร้องประกาศกันกลาดเกลื่อน |
แล้วลอยเลื่อนมาในพระเวหา |
ทุกห้วยเหวเปลวปล่องช่องศิลา |
มายังเขาเหมราพร้อมหน้ากัน |
สำแดงกายต่างถวายพรสวัสดิ์ |
มากำจัดพาลาให้อาสัญ |
ช่วยดับเข็ญเป็นสุขทุกเทวัญ |
แล้วชวนกันฟ้อนรำบำเรอเรียง |
เสียงครึกครื้นรื่นเริงบนเชิงผา |
ฝูงเทวากรีดกรายถวายเสียง |
ดุริยางค์เย็นเสนาะเพราะสำเนียง |
นางฟ้าเรียงขับขานประสานกร |
พวกเทวาคว้าหัตถ์กระหวัดกอด |
ประสานสอดฉวยฉุดยุดอัปสร |
นางฟ้าบิดปิดปัดสลัดกร |
ฝูงวานรดูนางสำอางองค์ |
พระโคบุตรชวนน้องประคองชื่น |
สำราญรื่นเชยชมสมประสงค์ |
เห็นเทวาคว้าไขว่กันเวียนวง |
พระสรวลทรงทอดพระเนตรทั้งสองรา |
เทวารำทำกระบวนชวนอัปสร |
ทำกรีดกรเปลี่ยนซ้ายแล้วย้ายขวา |
ตีวงเวียนเวียนไล่กันไปมา |
พวกลิงป่าดูงามตามกระบวน |
เสียงหน้าทับรับพิณประสานเสียง |
เสนาะล้ำสำเนียงร้องโหยหวน |
จับระบำรำถวายหลายกระบวน |
แล้วก็ชวนกันครรไลไปวิมาน ฯ |
๏ พระโคบุตรสุริยวงศ์องค์อรุณ |
ทั้งพวกขุนวานรเกษมศานต์ |
ครั้นเทวาคลาไคลไปวิมาน |
กบี่กรานก้มกราบกับบาทา |
เชิญเสด็จสององค์สรงสนาน |
ที่ในธารอมฤตบนเนินผา |
ประกอบด้วยโกสุมปทุมา |
ทั้งคงคาเย็นใสสะอาดครัน ฯ |
๏ พระฟังสารแสนภิรมย์ด้วยสมจิต |
ประคองชิดน้องชายแล้วผายผัน |
กับพวกลิงแวดล้อมไปพร้อมกัน |
จรจรัลเลียบเดินเนินคิรี |
เดินพลางทางชมเนินสิงขร |
ชะง้ำชะง่อนวุ้งเวิ้งคิรีศรี |
เป็นหุบห้องช่องหินคูหามี |
ดูเหมือนทีสัตว์สิงห์จะวิ่งโจน |
ที่เนินผาเป็นศิลาเวิ้งชะวาก |
ดูหลายหลากแลโปร่งดังโรงโขน |
ที่หน้าผาภูเขาเรียบเทียบไม้โคน |
ที่ใบโกร๋นแอบโกรกชะโงกชัน |
เสด็จถึงห้องธารละหานน้ำ |
วิไลล้ำกว้างใหญ่ในไพรสัณฑ์ |
จอกกระจับตับเต่าขึ้นเคียงกัน |
บุษบันโกสุมปทุมา |
ดูเด่นดอกออกผการะดาดาษ |
น้ำสะอาดใสเย็นเห็นมัจฉา |
บ้างว่ายเรียงเคียงกันเป็นหลั่นมา |
กุมาราเลียบดูอยู่ริมธาร |
แล้วปลดเปลื้องเครื่องทรงสร้อยสะอิ้ง |
พวกฝูงลิงต่างก็เล่นกระแสสาร |
ทั้งสององค์ลงสรงแสนสำราญ |
เสียงประสานสรวลสันต์สนั่นดัง |
บ้างไล่โลดโดดดำเที่ยวคลำหา |
เล่นปิดตาอยู่โยงให้ผินหลัง |
เที่ยวซุกซ่อนแอบตัวใบบัวบัง |
บ้างแอบฝั่งบ้างก็ดำกำบังกาย |
คงคาใสในกระแสแลถนัด |
เหมือนครุฑอัดแอ่นอกผงกหงาย |
ที่อยู่โยงไล่ขยำคลำตะกาย |
เขม้นหมายจับพลัดสะบัดไป |
พระสรงชลสุริยนลงบ่ายคล้อย |
ชวนน้องน้อยร่วมจิตพิสมัย |
ขึ้นจากน้ำลำธารสำราญใจ |
พวกลิงไพรพร้อมเพรียงอยู่เรียงรัน |
พระโฉมยงทรงเครื่องดังเทพบุตร |
ดังหนึ่งอัคนิรุทรนรังสรรค์ |
อยู่ที่เขาเหมราจวนสายัณห์ |
พระทรงธรรม์โลมลาฝูงวานร |
จงปกป้องครองกันให้ผาสุก |
อย่ามีทุกข์จงภิญโญสโมสร |
เราพี่น้องสองราจะลาจร |
ชมนครจักรพรรดิกระษัตรา ฯ |
๏ ฝ่ายพญาพานรินทร์ได้ยินสั่ง |
น้ำตาหลั่งไหลนองลงโซมหน้า |
ทั้งกระบี่รี้พลพวกโยธา |
ต่างโศการ่ำไห้อาลัยวอน |
ถึงเป็นตายไม่เสียดายแก่ชีวาตม์ |
ขอรองบาทสององค์พระทรงศร |
พระโลมเล้าเอาใจพวกวานร |
ท่านอย่าจรไปให้ยากลำบากกาย |
เมื่อนานไปคงจะได้มาพบพักตร์ |
จงอยู่รักษากันอย่าผันผาย |
อันตัวเราพี่น้องทั้งสองชาย |
ไม่สบายก็เที่ยวไปตามที |
ฝูงวานรอ่อนเกศลงกรานกราบ |
ศิโรราบอวยไชยพระโฉมศรี |
พระรับพรพานรินทร์ด้วยยินดี |
แล้วชวนน้องจรลีขึ้นเมฆา |
ลิ่วลิ่วปลิวมาเหมือนวายุพัด |
งามจรัสรุ่งเรืองพระเวหา |
ลิงชะแง้แลตามจนลับตา |
ต่างโศกาโศกเศร้าเปล่าฤทัย |
สองพระองค์เหาะตรงเข้ากลีบเมฆ |
เสนาะเสียงการเวกนั้นเย็นใส |
ดังปี่แก้วแว่ววับจับพระทัย |
สำราญใจลอยชมพนมวัน ฯ |