๏ จะกล่าวถึงบิตุรงค์องค์อาทิตย์ |
สำราญจิตอยู่ในราชรถา |
ทิพกรรณรู้แจ้งในกิจจา |
ว่าลูกยาคิดคะนึงถึงพระองค์ |
ได้นางแล้วจะสร้างนครด้วย |
จำจะช่วยให้ได้สมประสงค์ |
จึ่งแบ่งภาคจากราชรถทรง |
พระสุริยงลอยฟ้ามาธานี |
ครั้นถึงเมืองเยื้องย่างขึ้นนั่งอาสน์ |
โอรสราชก้มกราบพระสุริย์ศรี |
พรหมทัตขัตติยาเจ้าธานี |
กับบุตรีเมียแก้วบังคมคัล |
พฤฒามาตย์ราษฎรอ่อนศิโรตม์ |
ต่างมาโนชชมพระสุริยฉัน |
แต่สงสัยไม่รู้ว่าสุริยัน |
ต่างชวนกันสรรเสริญเจริญทรง |
พระโคบุตรเข้าชิดพระบิตุเรศ |
แล้วก้มเกศทูลความตามประสงค์ |
ซึ่งลูกรักหากคิดถึงบิตุรงค์ |
โดยจำนงจะให้สร้างพระพารา |
อุภิเษกเอกองค์อนงค์นาฏ |
เสวยราชย์สองฝ่ายเป็นซ้ายขวา |
ข้างมณีนี่ได้แต่แรกมา |
พระบิดาให้แต่เล็กยังเด็กนัก |
ได้ชื่นชมสมสองเหมือนน้องพี่ |
ก็ควรที่จะภิเษกเป็นเอกอัคร |
นางอำพันนั้นไซร้ได้ร่วมรัก |
ก็เป็นสักว่าที่หลังจะตั้งตาม ฯ |
๏ พระสุริยงทรงฟังโอรสราช |
จึงประภาษกล่าวกลอนสุนทรถาม |
ท่านท้าวพรหมทัตผู้จัดความ |
พยายามพันผูกกับลูกเรา |
ก็พร้อมจิตคิดยังเหมือนดังญาติ |
ท่านให้ราชธิดาโฉมเฉลา |
จะแต่งการไว้พานธุระเรา |
จะใช้ชาวชนบทปรากฏครัน |
จะสร้างเมืองเครื่องอุภิเษกเสร็จ |
ให้สำเร็จตามจริงทุกสิ่งสรรพ์ |
กับเมืองของท้าวไทอยู่ไกลกัน |
สิบห้าวันเดินทางเหมือนอย่างเป็น |
แต่จะย่นหนทางเข้าวางไว้ |
เมื่อแต่งงานนั้นใกล้พอแลเห็น |
ท้าวจะได้มาไปไม่ยากเย็น |
เมื่อเสร็จสรรพกลับเป็นสิบห้าวัน |
อันสององค์นงนุชสุดสวาท |
อนุญาตยอดมิ่งทุกสิ่งสรรพ์ |
ท่านจัดแจงแต่งตบให้ครบครัน |
ด้วยอำพันเทวีไม่มีใคร |
เรากับพระลูกยาจะลาก่อน |
จะไปสร้างพระนครให้สุกใส |
พรุ่งนี้เช้าเชิญพาธิดาไป |
เราจะได้เสกสองให้ครองกัน ฯ |
๏ พรหมทัตฟังสารแล้วก้มกราบ |
สิโรราบรับสั่งพระสุริย์ฉัน |
ถึงนวลนางโฉมยงองค์อำพัน |
จะแต่งให้เหมือนกันกับธิดา ฯ |
๏ พระสุริยฉานฟังสารกรุงกระษัตริย์ |
โสมนัสชวนองค์โอรสา |
จะช้านานการด่วนจวนเวลา |
เราไปสร้างพาราเถิดลูกรัก |
พระโคบุตรสั่งน้องทั้งสองศรี |
แล้วอัญชุลีลาองค์พระทรงศักดิ์ |
เสร็จสั่งสุริยฉายก็บ่ายพักตร์ |
กับลูกรักเหาะทะยานผ่านโพยม |
พระโคบุตรเหาะชิดกับบิตุเรศ |
ชาวนิเวศน์ชี้ชวนกันชมโฉม |
เจริญงามยามคล้อยลอยโพยม |
และประโลมลิ่วลิบจนลับตา |
พระสุริยงกับองค์โอรสราช |
ก็ผันผาดมาในห้องพระเวหา |
แล้วผันแปรแลดูในหิมวา |
ที่จะสร้างพารานิเวศน์วัง |
เห็นรุกขาป่าหนึ่งรโหฐาน |
งามตระการเห็นจะได้ดังใจหวัง |
มีคีรีล้อมรอบเป็นขอบบัง |
จะแต่งตั้งพระบูรีเห็นดีครัน |
พระสุริยาจึงพาราชโอรส |
ลงหยุดยอดบรรพตเกษมสันต์ |
อธิษฐานอ่านเวทพระสุริยัน |
หิมวันต์เรียบราบเหมือนปราบแล้ว |
เกิดสถานบ้านเมืองอันโอภาส |
สามปราสาทวาวแวมทองแกมแก้ว |
มีทางเดินจรดลถนนแนว |
เป็นแถวแถวตึกรามดูงามครัน |
ทั้งกว้างใหญ่ได้สามสิบห้าโยชน์ |
ภูเขาโขดล้อมรอบเป็นขอบขัณฑ์ |
กำแพงล้อมล้วนเพชรอยู่เจ็ดชั้น |
แล้วทรงธรรม์นิรมิตโรงพิทธี |
ราชวัติฉัตรฉายตั้งรายรอบ |
งามประกอบแก้วประดับสลับสี |
จัตุรมุขช่อฟ้าสง่าดี |
ทั้งบายศรีกองแก้วอันแพรวพราย |
ทั้งกองทองรองเรืองแลเครื่องแก้ว |
ดูเลิศแล้วล้วนสีมณีฉาย |
เป็นไพร่พลชนชาติทาสหญิงชาย |
ดูมากมายพร้อมพรั่งทั้งวังเวียง |
ในห้องปรางค์มีนางสนมนาฏ |
ทั้งพิณพาทย์ดุริยางค์ถวายเสียง |
มีโรงรถคชสารอยู่รายเรียง |
ได้พร้อมเพรียงพอเวลาจะราตรี ฯ |
๏ พระสุริยาพาลูกขึ้นปรางค์มาศ |
เดียรดาษด้วยสุรางค์นางสาวศรี |
เจ้าอยู่เถิดพ่อจะลาเป็นราตรี |
วันพรุ่งนี้พ่อจะลงมาแต่งการ |
จึงตั้งนามนัคราให้ปรากฏ |
ชื่อปราการบรรพตรโหฐาน |
แล้วโลมลูบจูบกอดพระกุมาร |
พระสุริยฉานรีบเหาะระเห็จมา |
ขึ้นทรงรถลดเลี้ยวพระเมรุมาศ |
ก็โอภาสส่องจำรัสในเวหา |
พระโคบุตรสุริยวงศ์ทรงศักดา |
ก็ไสยาอยู่ในปรางค์ทิพมณี ฯ |
๏ ขอหยุดยั้งครั้งนี้จะกลับกล่าว |
ถึงองค์ท้าวเจ้าเมืองพาราณสี |
ครั้นสองราคลาไคลไกลบูรี |
พระจึ่งมีพจนารถแก่เสนา |
ให้เทียมรถเรียงเรียบประเทียบรับ |
ที่สำหรับสองนางเสน่หา |
ทั้งม่านทองป้องปิดกำบังตา |
ให้โยธาล้อมรถบทจร |
รถสำหรับวงศาคณาญาติ |
เทียมด้วยพาชีชาติชาญสมร |
รถสาวสรรค์กัลยาสถาวร |
ผูกกุญชรช้างพังกระโจมทอง |
สั่งให้จัดคัดนางที่แรกรุ่น |
เนื้อละมุนงามดีไม่มีสอง |
เลือกเอาแต่เหล่าล้วนนวลละออง |
ให้ทั้งสองแจ่มจันทร์อำพันนาง |
สำหรับไปใช้สอยให้ร้อยชั่ง |
ได้พร้อมพรั่งสารพัดไม่ขัดขวาง |
ประทานให้นวลละอองทั้งสองนาง |
ทั้งสองข้างเหมือนกันไม่ฉันทา ฯ |
๏ ฝ่ายมนตรีดีใจไปจัดทัพ |
ให้เสร็จสรรพพร้อมหมดทั้งรถา |
มาเรียงเรียบเทียบไว้ดาษดา |
สุริยาสิ้นแสงก็เสร็จพลัน |
ข้างนอกในเตรียมไว้อยู่คับคั่ง |
ก็พร้อมพรั่งดีใจทั้งไอศวรรย์ |
จะกล่าวถึงเบื้องบาทพระสุริยัน |
เที่ยวส่องชั้นสามทวีปแล้วรีบมา |
สว่างแสงแหล่งโลกชมพูภพ |
ก็ปรารภจากราชรถา |
มาแต่งองค์ทรงเครื่องให้ลูกยา |
เสด็จพามาโรงราชพิธี |
ตะโกนก้องร้องด้วยเสียงสิงหนาท |
กู่ประกาศเทวาทุกราศี |
เทพอัปสรพยาธรแลมุนี |
ทุกถิ่นที่จงมาช่วยเราด้วยกัน ฯ |
๏ จะกล่าวถึงเทวาสุราฤทธิ์ |
ฤาษีสิทธิ์โกสีย์อัปสรสวรรค์ |
ยินสำเนียงเสียงองค์พระสุริยัน |
ต่างชวนกันทอดทัศนามา |
แลเห็นพระสุริยันอันทรงยศ |
จะแต่งงานโอรสร้องเรียกหา |
จะไปช่วยอวยไชยกุมารา |
ฝูงเทวาเสด็จจากวิมานจร |
ฝูงอัปสรมือถือปทุมชาติ |
มาโรงราชพิธีสโมสร |
ท้าวโกสีย์ชวนสุดาพากันจร |
นางอัปสรแวดล้อมมาพร้อมกัน |
ฤาษีสิทธิ์วิทยาพวกดาบส |
ต่างรู้หมดเหมือนหมายแล้วผายผัน |
ลอยละลิ่วปลิวฟ้าลงมาพลัน |
ประชุมกันยังโรงพิธีการ |
พวกมุนีชีป่ารักษากิจ |
นั่งสถิตตามพวกฤาษีสาร |
ฝูงเทวาอารักษ์ท้าวมัฆวาน |
นั่งขนานเป็นขนัดจัดบรรจง |
สุจิตรานั่งหน้าอัปสรสวรรค์ |
เป็นพวกกันคนละข้างนวลหง |
บายศรีทองกองแก้วอยู่กลางวง |
พระสุริยงชื่นในพระทัยครัน |
จึงย่อย่นมรรคาเข้ามาใกล้ |
ชิดเวียงไชยพรหมทัตเกษมสันต์ |
ให้ดีดสีตีกลองประโคมพลัน |
เสียงครื้นครั่นคอยรับกองทัพชัย ฯ |
๏ จะกล่าวกลับจับเรื่องพาราณสี |
ครั้นราตรีรุ่งแจ้งปัจจุสมัย |
เห็นบ้านเมืองเรืองโรจน์ลิงโลดใจ |
ปราสาทไชยแสงแก้วดูแพรวพราว |
บ้างชะแง้แลแหงนจนหน้าหงาย |
ทั้งหญิงชายบอกกันสนั่นฉาว |
ประชาชนเวียงไชยทั้งไทยลาว |
ตื่นเกรียวกราวมาดูทุกผู้คน ฯ |
๏ พรหมทัตกับพระมเหสี |
เห็นธานีเหมือนนัดไม่ขัดสน |
ก็จัดแจงแต่งสองนฤมล |
ทรงกุณฑลกาญจน์แก้วกรรเจียกจอน |
สะอิ้งสร้อยพลอยพรายสายระหง |
สองอนงค์ดังหนึ่งเทพอัปสร |
แสนสาวพระสนมประนมกร |
นรินทรชื่นชมภิรมยา |
พลางแต่งองค์ทรงเครื่องอันโอภาส |
กับนางนาฏมเหสีโอรสา |
พระนำสองทรามเชยมาเกยชาลา |
เชิญสุดาสององค์ชึ้นทรงรถ ฯ |
๏ สารถีตีเตือนอัศวราช |
คณาญาติแวดล้อมมาพร้อมหมด |
ถึงนครปราการที่บรรพต |
เสด็จลงจากรถบทจร |
พวกนางฟ้ามารับอยู่คับคั่ง |
ก็พร้อมพรั่งเข้าประคองสองสมร |
เข้านั่งโรงพิธีชุลีกร |
หมู่อัปสรนางสวรรค์เป็นชั้นเรียง |
พวกสนมพรหมทัตมเหสี |
นั่งอยู่ที่เบื้องซ้ายชายเฉลียง |
พระโคบุตรอยู่กลางสองนางเคียง |
เทวาเรียงรายรอบเป็นขอบคัน ฯ |
๏ พระอาทิตย์พรหมทัตหัสเนตร |
อยู่ท่ามกลางเทเวศอัปสรสวรรค์ |
ครั้นได้ฤกษ์ให้เบิกบายศรีพลัน |
พระสุริยันอุ้มองค์พระลูกยา |
ขึ้นนั่งเหนือกองแก้วอลงกรณ์ |
นางมณีสาครอยู่เบื้องขวา |
ให้นั่งเหนือกองทองทั้งสองรา |
นางอำพันมาลาเป็นฝ่ายซ้าย |
ท้าวอินทราภาณุมาศญาติวงศ์ |
ทุกทุกองค์ต่างอวยพระพรถวาย |
ทั้งสามองค์จงเจริญพระวรกาย |
อันตรายโรคาอย่าราวี |
แล้วจุดเทียนเวียนแว่นถวายเสียง |
ก้องสำเนียงดุริยางค์แลดีดสี |
ฆ้องหึ่งหึ่งเสียงโห่เป็นโกลี |
มโหรีครื้นเครงบรรเลงครัน |
ครั้นถ้วนเสร็จเจ็ดรอบพรประสิทธิ์ |
พระอาทิตย์ดับเทียนที่เวียนขวัญ |
หยิบสุคนธ์ปนปรุงกระแจะจันทน์ |
พระสุริยันเจิมพักตร์ให้ลูกยา ฯ |
๏ ฝ่ายว่าพวกมุนีฤาษีสิทธิ์ |
สวดประดิษฐ์ทิพมนต์บ่นคาถา |
ขัดสมาธิสาดน้ำเป็นโกลา |
ฝูงเทวาสาวสวรรค์เป็นผงคลี |
เจ้าบ่าวเสียดเบียดสีระรี้ริก |
นางฟ้าหยิกเอาที่ขาผินหน้าหนี |
พวกมนุษย์เห็นสนุกเข้าคลุกคลี |
พระฤาษีซัดน้ำกระหน่ำไป |
นางอัปสรกรกั้นเทวัญเบียด |
ออกยัดเยียดเบียดกันย่นทนไม่ได้ |
กระทั่งอาสน์บาตรน้ำจมคว่ำไป |
ฤาษีไพรต้องยั้งกำลังซัด |
เทวราชเพื่อนบ่าวเบียดสาวรุก |
ฤาษีลุกขึ้นป้องตาลปัตร |
จนสุดสิ้นวารีไม่มีซัด |
ค่อยสงัดเงียบเสียงในเวียงไชย |
พวกเทวินทร์อินทราพระดาบส |
ต่างประณตลาองค์พระสุริย์ใส |
แต่บรรดามาช่วยต่างอวยไชย |
แล้วกลับไปยังสถานสำราญกาย ฯ |
๏ พระสุริยันยินดีเป็นที่สุด |
ครั้นเทวบุตรชวนกันจะผันผาย |
พระยิ้มเยื้อนเอื้อนโอษฐ์โปรดภิปราย |
ให้โฉมฉายสองนางขึ้นปรางค์ปรา |
นางอำพันนั้นอยู่ปราสาทซ้าย |
นางมณีโฉมฉายอยู่ฝ่ายขวา |
ปราสาทกลางปรางค์มาศพระลูกยา |
อยู่เถิดพ่อจะลาครรไลไป |
แล้วฝากองค์โอรสกับพรหมทัต |
จงไพบูลย์พูนสวัสดิ์อันแจ่มใส |
อยู่ชมเมืองลูกชายให้คลายใจ |
เราจะไปฟากฟ้าจวนสายัณห์ |
พระสุริยงทรงตรัสกับโอรส |
แล้วทรงยศรีบเหาะระเห็จหัน |
ขึ้นทรงรถหมดเมฆวิเวกครัน |
พอสิ้นวันถึงเวลาเข้าราตรี ฯ |
๏ พระโคบุตรสุริยวงศ์ทรงสวัสดิ์ |
ลาบรมพรหมทัตขึ้นปรางค์ศรี |
สองกระษัตริย์ไปปรางค์พระบุตรี |
เสด็จตรงมาที่พระลูกยา |
ครั้นมาถึงแท่นทองอันผ่องใส |
พระภูวไนยเห็นองค์โอรสา |
พระชนนีเข้าชิดกับธิดา |
พรรณนาสอนสั่งนางบังอร ฯ |
๏ เจ้าโฉมงามทรามรักของแม่เอ๋ย |
อย่าลืมเลยจงจำคำแม่สอน |
ภัสดาอุปมาเหมือนบิดร |
จงโอนอ่อนฝากองค์พระทรงฤทธิ์ |
สรงเสวยคอยระวังอย่าพลั้งพลาด |
เมื่อไสยาสน์ผ่อนพร้อมถนอมจิต |
ถ้าท้าวโศกแม่อย่าสรวลจงควรคิด |
ระวังผิดอย่าให้ผ่านวรกาย |
ผัวเคียดแม่อย่าเคียดทำโกรธตอบ |
เอาความชอบมาดับให้สูญหาย |
ถึงท้าวรักก็อย่าเหลิงละเลิงกาย |
ครั้นระคายแล้วมักมีราคีคาว |
ความลับแม่อย่าแจ้งแถลงไข |
จงกล้ำกลืนกลบไว้อย่าให้ฉาว |
แม้นปากชั่วตัวจะดีก็มีคาว |
พระทัยท้าวเธอจะแหนงระแวงความ |
อันหญิงชั่วผัวร้างนิราศรัก |
อัปลักษณ์ถ้าคนจะหยาบหยาม |
มารดาพร่ำร่ำสอนจงทำตาม |
แล้วโฉมงามแต่งกายให้สายใจ ฯ |
๏ แล้วลินลาพานางมาปรางค์มาศ |
ขึ้นปราสาทโอรสพระสุริย์ใส |
แล้วจูงนางย่างย่องเข้าห้องใน |
พระหน่อไทเห็นองค์พระชนนี |
พระลดองค์ลงจากบัลลังก์แก้ว |
บังคมแล้วทูลเชิญพระโฉมศรี |
นางรับหัตถ์ตรัสฝากพระบุตรี |
พ่อปิ่นปัถพีสถาวร |
ขอฝากองค์อรไทไว้แก่เจ้า |
แม้นหนักเบาผิดพลั้งช่วยสั่งสอน |
เหมือนเอ็นดูมารดาช่วยว่าวอน |
จะจากจรลับไปอยู่ไกลกัน |
แม้นดวงจิตผิดพลั้งแต่ครั้งหนึ่ง |
พ่อคิดถึงมารดรจงผ่อนผัน |
ถึงสองสามแล้วก็ตามจะตีรัน |
สารพันตามแต่พ่อจะเมตตา ฯ |
๏ พระฟังสารมารดรแล้ววอนไหว้ |
อย่าห่วงใยถึงนางขนิษฐา |
ถึงผิดพลั้งสั่งสอนเหมือนน้องยา |
ไม่โทษาโทษทัณฑ์จนวันตาย |
พระชนนีปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ |
ประโลมขวัญลาลูกแล้วผันผาย |
นางขยับกลับจะตามด้วยความอาย |
พระฉวยชายภูษายุพาพาล |
ปิดทวารบานบังเข้านั่งใกล้ |
แล้วปราศรัยชวนนุชสุดสงสาร |
เจ้างามเลิศเฉิดโฉมประโลมลาน |
จะเปรียบปานพุ่มพวงดังดวงจันทร์ |
เหมือนดวงเดือนแจ่มจรัสรัศมี |
เจริญสุขโสภีดังนางสวรรค์ |
แม้นสวาทแล้วไม่คลาดเคลื่อนคลายวัน |
ไม่แรมขวัญเนตรนุชนสุดชีวา ฯ |
๏ นางเบือนบิดปิดปัดพระหัตถ์ป้อง |
มิให้กรทั้งสองต้องมังสา |
แล้วเสแสร้งแกล้งกล่าวสุนทรา |
จริงหรือดังพจนาไม่แรมจร |
ไม่ร้างจากพรากน้องไปครองคู่ |
ไปครองเมืองเรืองอยู่สโมสร |
เหมือนความสัตย์ตรัสกล่าวสุนทรกลอน |
สุนทรแกล้งจะมาวอนให้วางใจ |
น้องหวังจิตคิดถึงครั้งโปรดเกศ |
มาช่วยกู้นัคเรศให้เย็นใส |
น้องเป็นข้าไม่ควรคู่จะชูใจ |
จงชื่นจิตอยู่แต่ในอำพันนาง ฯ |
๏ โอ้ดวงนุชสุดสายสวาทจิต |
สวาทเจ้าหรือจะคิดอางขนาง |
สวาทน้องอย่าหมองเลยน้องนาง |
สวาทโน้นหรือจะร้างสวาทนุช |
สวาทไหนหรือจะเปรียบสวาทมิ่ง |
สวาทแม่นี่แน่ยิ่งเป็นที่สุด |
พี่หวังเสกเป็นเอกอนงค์นุช |
อนงค์ไหนมิได้สุดสวาทเรียม |
สวาทรักภคินีเป็นที่ยิ่ง |
เป็นยอดรักหนักจริงอย่าอายเหนียม |
หรืออายพักตร์ว่าศักดิ์พี่ไม่เทียม |
มานั่งแท่นเถิดเรียมจะกล่อมน้อง |
พระกล่อมนางพลางลอดเข้ากอดเคล้า |
พระสอดหัตถ์สัมผัสเต้าประสมสอง |
ประทับทรวงชมดวงมณฑาทอง |
มณฑาทิพที่พี่ปองสวาทนาง |
ถนอมมิตรจุมพิตสวาทชื่น |
สวาทสมภิรมย์รื่นเกษมศานต์ |
เกษมสุขอัศจรรย์ก็บันดาล |
เสียงสะท้านอสุนีคะนองครวญ |
น้ำค้างหยัดหยดย้อยประปรอยปริบ |
อาบละอองต้องทิพปทุมสงวน |
หอมระรื่นชื่นชูเรณูนวล |
ก็ชื่นชวนสัมผัสระบัดบาน |
ภุมเรศร่อนเคล้าเสาวรส |
เกสรสดสุดถนอมก็หอมหวาน |
เกษมสุขสองกระษัตริย์สัมผัสพาน |
ฤดีดาลแดดิ้นในวิญญาณ์ |
ต่างละโมบโลภลืมละลานจิต |
รักสนิทหลงเล่ห์เสน่หา |
อยู่เหนือแท่นบรรทมภิรมยา |
ทั้งสองรารื่นรสด้วยชมกัน ฯ |
๏ พระโคบุตรเบิกบานสำราญรื่น |
ฤทัยชื่นเชยสองประคองขวัญ |
ด้วยสองนางขนิษฐาวิลาวัณย์ |
ทั้งสาวสรรค์กัลยาในธานี |
ครั้นสายแสงสุริยาในอากาศ |
ตรัสประภาษชวนสองมเหสี |
จะนำน้องสองชนกชนนี |
ชมบูรีเวียงวังอลังการ์ |
แล้วเยื้องย่างจากปรางค์ปราสาทสูง |
พร้อมด้วยฝูงนักสนมขนานหน้า |
เชิญบรมพรหมทัตกับมารดา |
พระวงศาพร้อมเพรียงอยู่เรียงราย |
เที่ยวชมปรางค์เปรียบอย่างปราสาททิพ |
ลอยละลิบแลล้วนวิเชียรฉาย |
ยอดระยับวับวามอร่ามพราย |
ล้วนเรียงรายรูปเทพประนมใน |
ครุฑขยับจับพญาภุชงค์รัด |
กอดกระหวัดฉวยกระชากจับนาคได้ |
กระหนกกระหนาบกาบแก้วอยู่แววไว |
แลวิไลล้ำงามอร่ามเรือง |
ชมกำแพงแสงเพชรทั้งเจ็ดด้าน |
ดูทวารแก้วเก้าที่ขาวเหลือง |
เที่ยวชมเพลินเดินพลางมากลางเมือง |
ดูรุ่งเรืองดังสมบัติท้าวหัสนัยน์ |
หน้าพระลานลาดแล้วล้วนแก้วเลื่อม |
แลกระเพื่อมเหมือนดังวารีใส |
บรรดาฝูงสาวสรรค์กำนัลใน |
ต่างดีใจหมายจะเล่นให้เย็นกาย |
บ้างก็โผนโจนตามกันหวบหาบ |
เสียงฮวบฮาบล้มคว่ำคะมำหงาย |
บ้างขาฟกอกช้ำซ้ำตะกาย |
ลุกขยายนิ่วหน้าระอาใจ |
จะชมรอบขอบเมืองเห็นนานนัก |
ขอยกยักตัดความแต่ตามได้ |
ครั้นจบรอบขอบเขตนิเวศน์ใน |
กลับมาไพชยนต์รัตน์ชัชวาล |
พรั่งพร้อมพระวงศาบรรดากระษัตริย์ |
พรหมทัตลาบุตรพระสุริย์ฉาน |
แล้วสั่งสอนพังงายุพาพาล |
อยู่สำราญเถิดพ่อจะขอลา |
ต่างอวยไชยให้พรสั่งสอนเสร็จ |
พระเสด็จมาด้วยพระวงศา |
ขึ้นทรงรถเลิกทศโยธา |
มาพาราครู่หนึ่งก็ถึงพลัน |
ครั้นเหลียวกลับลับเหมือนไม่แลเห็น |
ก็โล่งเป็นที่ป่าพนาสัณฑ์ |
กำหนดทางมรคาสิบห้าวัน |
เหมือนสุริยันสาปเมืองในเรื่องมี ฯ |