๏ พระโคบุตรสุริยงยอดสงสาร |
ครองปราการบรรพตบูรีศรี |
พระนามเลื่องเมืองขึ้นหมื่นบูรี |
ดุษฎีน้อมกายถวายกร |
บ้างก็แต่งธิดามาประณต |
ก็ปรากฏตรีภพสยบสยอน |
พระครอบครองนัคราสถาวร |
ด้วยบังอรอัคเรศทั้งสองนาง |
โฉมมณีสาครบวรลักษณ์ |
พระทรงศักดิ์รักใคร่ไม่อางขนาง |
อำพันนั้นก็รักเป็นปานกลาง |
ทั้งสองนางก็เป็นที่ราคีกัน |
นางอำพันทรงครรภ์อยู่อ่อนอ่อน |
พระภูธรละเมินอยู่เหินหัน |
เฝ้าเคล้าคลึงฝ่ายขวาไม่ราวัน |
โฉมอำพันคิดแค้นแสนระกำ |
ด้วยไกลวงศ์พงศาคณาญาติ |
โอ้อนาถหนอใครจะอุปถัมภ์ |
ไม่มีชื่นกลืนเข้าไม่เต็มคำ |
นางปั่นป่วนครวญคร่ำระกำนาน |
ธรรมดานารีสามีร้าง |
เพราะจืดจางความรักสมัครสมาน |
จะหาผู้รู้เวทวิเศษฌาน |
มาแก้การพิสมัยมิให้วาง |
จึ่งเรียกนางสาวใช้ที่ไว้จิต |
มานั่งชิดปราศรัยมิให้หมาง |
นี่แน่เจ้าเรารักกันนะนาง |
ข้าอ้างว้างสุริยวงศ์มาองค์เดียว |
เป็นวาสนาคราวชะตานี้ตกอับ |
แสนอาภัพภูวไนยเธอไม่เหลียว |
ช่างต่ำต้อยน้อยหน้าไปตาเดียว |
จริงจริงเจียวนี่แน่เจ้าจึ่งเล่ากัน |
เหมือนตัวข้าหน้าที่จะเป็นใหญ่ |
เธอกลับให้น้อยหน้าเพียงอาสัญ |
แม้นไม่คิดถึงองค์ว่าทรงครรภ์ |
ไม่ขออยู่สู้กลั้นน้ำใจตาย |
ใครช่วยชูกู้หน้าเหมือนข้าคิด |
ถึงดวงจิตก็จะให้เหมือนใจหมาย |
ทั้งเงินทองของมีมิเสียดาย |
พอแก้อายให้เหมือนว่าไม่อาลัย ฯ |
๏ นางทาสีฟังสารให้หวานฉ่ำ |
สงสารคำกัลยาน้ำตาไหล |
จึ่งนบนอบตอบสนองให้ต้องใจ |
กลัวอะไรที่ตรงนั้นแม่ขวัญตา |
จะช่วยแม่แก้ไขให้เหมือนจิต |
ให้ทรงฤทธิ์หลงรักแม่หนักหนา |
ข้ารู้จักคนดีมีวิชา |
แต่ครั้งข้าไม่มาเป็นชาววัง |
เถรกระอำความรู้แกหลายเล่ห์ |
ทำเสน่ห์เล่ห์ลมอาคมขลัง |
พระโคบุตรสุริยวงศ์ดำรงวัง |
คงจะคลั่งเห็นไม่คลาดสวาทชม |
จะจัดของไปถวายภิปรายกล่าว |
ที่แม่เจ้าคิดไว้ให้ได้สม |
มิให้อายอัปราอย่าปรารมภ์ |
จงจัดที่ไว้บรรทมให้สำราญ |
ยุพาพินยินคำสาวใช้รับ |
สั่งกำชับอย่าให้แซ่กระแสสาร |
แล้วนางถอดธำมรงค์ของนงคราญ |
ยื่นประทานสาวใช้เป็นไมตรี |
ถ้าสมหมายแล้วไม่วายสวาทเจ้า |
จนสองเรามอดม้วยไปเมืองผี |
ทั้งสองสนทนาในราตรี |
จนรังสีรุ่งสางสว่างวัน |
นางสาวใช้คลาไคลออกจากห้อง |
มาจัดของเป็ดไข่แล้วใส่ขัน |
นุ่งสุหรัดซัดเพลาะดูเหมาะครัน |
กระแจะจันทน์น้ำอบตลบทา |
กระเดียดขันผันผายขยายย่าง |
ออกระหว่างข้างทวารด้วยหรรษา |
ถึงกุฎีเถรเฒ่าเจ้าตำรา |
ก็สอดตาหมอบเมียงเพียงบันได |
เถรกระอำถามว่าสีกาแม่ |
เจ้ามาแต่แห่งหนตำบลไหน |
เชิญสีกามานั่งที่ข้างใน |
นางสาวใช้วางขันแล้ววันทา |
จึ่งจัดของออกวางพลางถวาย |
ทั้งเป็ดไก่หมูมัจฉมังสา |
ตาเถรถามตามธรรมดามา |
เออสีกาชอบใจใครจะปาน |
จะตรวจน้ำรำลึกไปถึงญาติ |
หรือหมายมาดเป็นไฉนจงไขสาร |
นางชาววังวันทาพระอาจารย์ |
เหมือนลูกหลานแล้วจะเล่ากับเจ้าคุณ |
องค์อำพันมาลาให้มาถวาย |
ไม่สบายในพระทัยให้ว้าวุ่น |
ด้วยโกรธขึ้งหึงกันตามมีบุญ |
เฝ้าเคืองขุ่นขัดข้องกันสองนาง |
พระสามีทีจะรักข้างฝ่ายขวา |
ไม่นำพาท้าวน้องให้หมองหมาง |
มากราบเท้าเจ้าประคุณการุญนาง |
ประสิทธิ์แท้แล้วจะสร้างกุฎีทอง |
ทั้งรอดเสาจะเอาจันทน์เข้าสรรใส่ |
ให้กว้างใหญ่โตยาวสักเก้าห้อง |
มุงกระเบื้องเครื่องใช้ผ้าไตรครอง |
ได้ข้าวของสารพัดไม่ขัดเคือง |
เถรกระอำรู้แน่แต่แรกนั่ง |
อันชาววังแล้วไม่แกล้งมีแดงเหลือง |
เป็นไรมีที่ธุระของนางเมือง |
ถึงแค้นเคืองแก้ไขมิให้ชัง |
จะเป็นที่อุปถัมภ์เหมือนคำว่า |
กลัวคำหน้าจะไม่เหมือนกับคำหลัง |
ข้ารักคบอยู่ดอกเจ้านางชาววัง |
แม้นสัจจังแล้วจะทำให้ล้ำลึก |
อันกุฎีวิหารในการพระ |
มิใช่จะอยู่เป็นสงฆ์คงจะสึก |
แต่น้ำอบยาดมให้สมนึก |
กับเมื่อสึกแล้วอย่าเมินสะเทิ้นกัน |
จะสงเคราะห์เพราะเห็นกับหน้าน้อง |
ซึ่งเงินทองก็ไม่รักดอกใจฉัน |
แต่มิทจิตมิทใจอาลัยกัน |
ธุระนั้นรับได้มิให้นาน ฯ |
๏ นางสาวใช้ว่าไฮ้ฉันกลัวบาป |
ชราภาพแล้วยังหลงในสงสาร |
จงผูกพันหันหน้าหานิพพาน |
อย่าคิดการโลโภในโลกีย์ ฯ |
๏ อนิจจังอนิจจาสีกาน้อง |
พี่คิดครองโลกนิยมชมพูสี |
พระนิพพานค่อยไปเป็นไรมี |
แม้นถึงที่ใครจะหาญมาทานทัด |
แม้นได้เจ้าเนื้อเย็นเป็นประธาน |
ถึงจะไปนิพพานก็คงขัด |
แม้นได้เจ้าเนื้อเย็นเป็นบรรทัด |
เห็นเร็วรัดตรงที่พระนิพพาน ฯ |
๏ โอ้อะไรเหลวไหลไปเจียวนี่ |
เนื้อความมีเขามาหาไม่ว่าขาน |
แม้นโปรดเกศให้เหมือนเจตนาการ |
อย่าเนิ่นนานแก้ไขให้ไฉยา |
ให้พระองค์หลงรักนางร้อยชั่ง |
ให้ชิงชังโฉมฉายข้างฝ่ายขวา |
จะเป็นโยมปรนนิบัติอยู่อัตรา |
จะปรารถนาสารพัดไม่ขัดกัน ฯ |
๏ ตาเถรว่าช้าหน่อยหนึ่งเถิดเจ้า |
แล้วลุกเข้ากุฎีขมีขมัน |
น้ำมันพรายลงละลายน้ำมันจันทน์ |
แล้วลงยันต์มหาวราฤทธิ์ |
เสกคาถาอาคมตามสังเกต |
เดชะเวทเทพรำจวนปั่นป่วนจิต |
ครั้นเสกเสร็จเจ็ดครั้งกำลังฤทธิ์ |
มานั่งชิดยื่นให้สาวใช้พลัน |
จงเอายันต์นี้ไปใส่ไว้ใต้อาสน์ |
อย่าประมาทเขาจะจับเอาคับขัน |
สนธยาแล้วให้ทาน้ำมันจันทน์ |
ทาแต่วันละครึ่งเล็บแล้วเก็บไว้ |
พอยามสองก็จะย่องเข้าถึงอาสน์ |
แสนสวาทโฉมยงแล้วหลงใหล |
ให้แค้นเคียดเกลียดชังเมียหลวงไป |
อโณทัยพลบค่ำให้ทำการ |
นางสาวใช้ได้ยันต์น้ำมันหอม |
พลางนอบน้อมกราบไหว้ปราศรัยสาร |
เย็นแล้วจำจะลาพระอาจารย์ |
ไปแจ้งการทรามวัยที่ในวัง |
ออกจากวัดลัดเดินมาโดยด่วน |
เข้าฉนวนวังในเหมือนใจหวัง |
ถึงปรางค์มาศหมอบเมียงเคียงบัลลังก์ |
ประณตนั่งทูลความนางทรามวัย |
แล้วถวายกระแจะจันทน์ยันต์เสน่ห์ |
อุปเท่ห์บอกแจ้งแถลงไข |
นางฟังสารสาวศรีก็ดีใจ |
ดังหนึ่งได้ขึ้นสวรรค์ชั้นวิมาน |
เอายันต์พับใส่ไว้ในใต้อาสน์ |
สุดสวาทตั้งจิตแล้วพิษฐาน |
เดชะคุณวิทยาของอาจารย์ |
ให้เชี่ยวชาญได้สมอารมณ์คิด |
แล้วพูดจาปราศรัยกับสาวศรี |
สำราญรื่นชื่นฤดีที่สนิท |
ทินกรอ่อนแสงลงมืดมิด |
ขึ้นสถิตคอยท่าพระสามี ฯ |
๏ ปางพระองค์ทรงเดชเกศกระษัตริย์ |
ดังชั้นฉัตรในภพชมพูศรี |
ครั้นสิ้นแสงสุริยาเข้าราตรี |
ชวนมณีสาครเข้าห้องใน |
ขึ้นสู่แท่นแสนสุขเกษมศานต์ |
ทรงสำราญชื่นจิตพิสมัย |
เกิดเป็นลางร้างรักประจักษ์ใจ |
เผอิญให้เดือดดิ้นในวิญญาณ์ |
แมลงมุมเฝ้ากระทุ่มทรวงสะท้อน |
โดยอุดรเดินซ้ายมาฝ่ายขวา |
ปักษาแสกแถกบินไปบูรพา |
พระผวากอดนางพลางประคอง ฯ |
๏ จะกล่าวถึงเถรกระอำเมื่อยามค่ำ |
แกนั่งทำการใหญ่อยู่ในห้อง |
ขี้ผึ้งปิดปากพรายร้ายคะนอง |
ผ้าขาวรองพันรูปกระษัตรา |
รูปอำพันนั้นวางไว้ข้างซ้าย |
รูปมณีโฉมฉายอยู่ฝ่ายขวา |
ทั้งสามรูปเรียงกันเป็นหลั่นมา |
ภาวนาจิตตามความสำคัญ |
ปลุกผีพรายให้มีฤทธีกล้า |
รูปผวาลุกโลดกระโดดหัน |
รูปกระษัตริย์พลัดจากเมียหลวงพลัน |
เข้ากอดรูปอำพันไว้ทันที |
ฝ่ายรูปนางมณีศรีสวัสดิ์ |
กระเด็นพลัดจากรูปพระโฉมศรี |
ไปฝังไว้ป่าช้าในราตรี |
ยายกาลีตากะลารักษาไว้ |
เสกจำปากลายเป็นแมลงภู่ |
แล้วบินวู่ด้วยพระเวทข้างเพทไสย |
เสียงหึ่งหึ่งถึงปรางค์ปราสาทไชย |
เป็นดอกไม้ตกลงตรงอุรา ฯ |
๏ สงสารองค์ภูวนาถไสยาสน์หลับ |
อาคมวับหวาดฟื้นตื่นผวา |
พระทัยหวนหอมระรินกลิ่นจำปา |
ด้วยคาถาเถรทำให้รำจวน |
พระพลิกผลักนางมณีศรีสวัสดิ์ |
ให้กลุ้มกลัดเคืองในพระทัยหวน |
ให้ฉุกคิดถึงอำพันกระสันครวญ |
ให้หวนหวนเห็นเจ้าลำเพาพาน |
พระเห็นเงาเสาคล้ายหมายว่าน้อง |
หัตถ์ประคองรับขวัญแล้วบรรหาร |
พี่มิได้ไปหาเจ้าช้านาน |
นฤบาลลงยังบัลลังก์รัตน์ |
พระโอบอุ้มกุมกอดประคองเสา |
เห็นเป็นเงามิใช่นางระคางหัตถ์ |
โอ้ว่าเสานี้หรือเรามาเฝ้ารัด |
พระฮึดฮัดบ่นงึมพะพึมไป ฯ |
๏ นางโฉมยงนงลักษณ์อัคเรศ |
เห็นทรงเดชเคลิ้มองค์เฝ้าหลงใหล |
นางดำเนินมาเชิญพระภูวไนย |
เป็นไฉนจึ่งพระองค์เที่ยวหลงเดิน |
ได้ยินคำซ้ำเคืองชำเลืองค้อน |
ดูแสนงอนลวนลามไม่ขามเขิน |
แต่ก่อนไรเจ้าไม่เคยมาก้ำเกิน |
จะมาเชิญไปข้างไหนนางไฉยา |
แล้วเบือนพักตร์ผลักบานทวารเผย |
อย่ามาเลยดวงใจจะไปหา |
ลงจากปรางค์ย่างเยื้องชำเลืองมา |
พระลินลาขึ้นปรางค์นางอำพัน |
ค่อยดีดเดาะเคาะบานทวารรัตน์ |
โองการตรัสเรียกเหล่านางสาวสรรค์ |
นางสาวใช้เปิดบานทวารพลัน |
พระทรงธรรม์เข้าที่ศรีไสยา |
พลางอิงแอบแนบน้องประคองถนอม |
พระหวนหอมจันทน์เสกที่มังสา |
แล้วเชยปรางพลางปลอบปลุกพังงา |
เจ้าแก้วตาหลับใหลกระไรเลย |
ได้ยินแว่วแก้วตาผวาหวาด |
เห็นภูวนาถมาแอบแนบเขนย |
นางทรามชมก้มกราบพระทรามเชย |
แสนเสบยเห็นฤทธิ์ประสิทธิ์มนต์ |
ชื่นอารมณ์สมมาดปรารถนา |
จะร่ำว่าเสียให้แสบทุกเส้นขน |
เวลาดึกกำดัดสงัดคน |
ภูวดลยังเสด็จมาเคล้าคลึง |
วิปริตผิดอย่างแต่ปางก่อน |
แม่มณีสาครหล่อนจะหึง |
น้องเจียมตัวกลัวผิดคิดคะนึง |
ท่านโกรธขึ้งก็จะยับลงกับมือ ฯ |
๏ พระรับขวัญพลันตอบสนองสาร |
จะอาจหาญว่ากระไรพี่ได้หรือ |
พี่ผิดแล้วนฤมลแต่ต้นมือ |
แม่อย่าถือความด่วนควรระงับ |
ทีนี้รู้แล้วดูเอาเถิดเจ้า |
ไม่รักเท่าเทียมถึงเจ้างามสรรพ |
มาก้ำเกินก็จะเยินระยำยับ |
เศียรจะพับด้วยพระขรรค์อันมีคม ฯ |
๏ นางฟังอรรถตัดพ้อไม่ย่อหย่อน |
ถึงครั้งก่อนพระตรัสก็สัตย์สม |
ถ้าอยู่เมืองก็ไม่เคืองอารมณ์ตรม |
เพราะตามลมจึงได้ยากมาจากวัง |
อกน้องนี้ดังหนามมาแนมเหน็บ |
ไม่หายเจ็บยังจำที่คำหลัง |
ยามเบื่อก็เหมือนเมื่อร้างวัง |
อันสัจจังทรงภุชสุจริตจริง ฯ |
๏ ตามจะโปรดโทษพี่เห็นผิดแท้ |
มาละแม่งามปลอดแม่ยอดหญิง |
เจ้าว่าชั่วผัวคิดเห็นผิดจริง |
มาเห็นสิ่งหนึ่งว่ากรรมได้ทำมา |
ให้เคลิ้มตัวมัวเมาเพราะเขลาโฉด |
จึงลิงโลดหลงรักเขาหนักหนา |
ทีนี้จำแล้วไม่ทำเหมือนก่อนมา |
อย่าโกรธาเลยนะเจ้าลำเพาพาล |
ที่ความหลังเหมือนยังว่าตายแล้ว |
แม่น้องแก้วจงเอารักมาหักหาญ |
พระจุมพิตชิดโฉมประโลมลาน |
แสนสำราญอยู่จนรุ่งพระสุริยา ฯ |
๏ สงสารเจ้าเยาวมาลย์มิ่งสมร |
องค์มณีสาครเสน่หา |
อโณทัยไตรตรัสจรัสฟ้า |
เห็นจำปาอยู่บนอาสน์ประหลาดใจ |
เลขยันต์ลงประทับไว้กับกลีบ |
ดังจะดิ้นสิ้นชีพเพียงตักษัย |
เมื่อคืนนี้วิปริตเห็นผิดไป |
พระคลั่งไคล้ครวญคร่ำถึงอำพัน |
ชะรอยผู้รู้เวทวิเศษกล้า |
ใช้จำปาเชิญเสด็จเป็นแม่นมั่น |
เห็นแท้เที่ยงอยู่แต่เพียงนางอำพัน |
นอกกว่านั้นที่จะเป็นไม่เห็นมี |
จึ่งเรียกฝูงสาวสรรค์กำนัลนาฏ |
เดียรดาษมายังปราสาทศรี |
นางให้ดูดอกจำปาแล้วพาที |
เมื่อคืนนี้ยามสองสงัดคน |
พระทรงธรรม์บรรทมบนแท่นรัตน์ |
ให้ฮึดฮัดดิ้นโดยอยู่โหยหน |
ให้คลั่งไคล้ใหลหลงเที่ยววงวน |
พิไรบ่นพึมพำถึงอำพัน |
พระไปจากไสยาเวลาดึก |
ครั้นตรองตรึกเห็นจริงทุกสิ่งสรรพ์ |
ไม่เคยเห็นพึ่งจะเห็นจำปายันต์ |
ฝูงกำนัลรู้บ้างหรืออย่างไร ฯ |
๏ สนมนางต่างคนฉงนคิด |
แต่จนจิตที่จะทูลสนองไข |
พิเคราะห์ความตามกระแสเห็นแน่ใจ |
ด้วยทรามวัยสองนางระคางคอย |
แล้วนึกกลัวว่าตัวเป็นข้าบาท |
ไม่บังอาจที่จะพร้องสนองถ้อย |
ผู้ดีว่าขี้ข้าไม่ควรพลอย |
แต่พูดคล้อยมิให้เคืองในเรื่องความ |
อันเลขายันต์นี้วิปริต |
ผู้ประสิทธิ์ห้าวหาญชาญสนาม |
พระยุพินอย่าได้หมิ่นประมาทความ |
พยายามหยุดยั้งระวังภัย ฯ |
๏ นางฟังคำสาวใช้พระทัยหวาด |
เห็นพันพาดเคลือบแฝงแถลงไข |
ยิ่งตรอมจิตคิดถึงพระภูวไนย |
จำจะไปเฝ้าดูให้รู้การ |
จึ่งเรียกฝูงสาวสรรค์กำนัลนาฏ |
เดียรดาษพรั่งพร้อมล้อมขนาน |
มาถึงปรางค์นางอำพันมิทันนาน |
ยุพาพาลเยื้องย่องเข้าห้องใน |
เห็นอำพันมาลากับสามี |
สถิตที่แท่นทองอันผ่องใส |
นางประนมบังคมพระภูวไนย |
เห็นท้าวไทภัสดาไม่พาที ฯ |
๏ ปางพระองค์ทรงภุชมงกุฎเกศ |
ชำเลืองเนตรเห็นองค์นางโฉมศรี |
ให้เคืองขัดหัทยาเป็นราคี |
พระภูมีเมินพักตร์ไม่ทักทาย |
อำพันน้อยชม้อยชม้ายเนตร |
เห็นวิเศษอาคมก็สมหมาย |
จะแกล้งทำกำจัดให้พลัดพราย |
นางชม้ายเมินหน้าไม่พาที ฯ |
๏ แสนสงสารนางมณีศรีสวัสดิ์ |
จอมกระษัตริย์ภัสดาหันหน้าหนี |
ทั้งอำพันมาลาไม่พาที |
ไม่นอบนบเทวีเหมือนก่อนมา |
ให้แค้นคั่งดังแสงอัคคีสุม |
ยิ่งกลัดกลุ้มเจ็บจิตขนิษฐา |
สุดจะขืนกลืนกลั้นชลนา |
นางโศการ่ำไห้อาลัยลาน |
โอ้พระร่มโพธิ์ทองของน้องเอ๋ย |
ไม่ควรเลยที่จะร้างห่างสมาน |
หรือน้องนี้มีโทษไม่โปรดปราน |
ให้เมียกลับอัประมาณไม่เมตตา ฯ |
๏ พระฟังครวญหวนตั้งสติได้ |
ชลนัยน์พรั่งพรายทั้งซ้ายขวา |
มาโลมเล้าเอาใจนางไฉยา |
อย่าโศกาเลยนะน้องจะหมองนวล |
แล้วเคลิ้มองค์หลงลืมสมรมิตร |
ด้วยอาคมข่มจิตดังลมหวน |
เห็นพักตร์นางอำพันให้รัญจวน |
ทรงพระสรวลร่าเริงบันเทิงชม ฯ |
๏ นางอำพันกระสันเกษมชื่น |
สำราญรื่นปรีดิ์เปรมเกษมสม |
จึ่งเสแสร้งแกล้งซ้ำด้วยคำคม |
พระบรมนรินทร์ปิ่นสุรางค์ |
มาร่วมเรียงเคียงน้องประคองคู่ |
เธอไม่รู้จะว่าแกล้งอางขนาง |
เชิญเสด็จภูวไนยกลับไปปรางค์ |
ให้พี่นางคลายโศกโศกาลัย ฯ |
๏ นางมณีได้ฟังให้คั่งแค้น |
ยิ่งสุดแสนเคืองขัดให้ตัดษัย |
จึงตอบวาจาพลันด้วยทันใด |
ชะอะไรแม่อำพันขยันจริง |
ข้ามันจ้านร่านรักเขารู้จบ |
เหมือนดังกบสี่ตีนปีนตลิ่ง |
พระทรงศักดิ์เธอไม่รักอยู่แอบอิง |
จึ่งวางวิ่งมาตามพระทรามเชย |
สมคะเนแล้วกระไรไม่ไว้หน้า |
สารพัดที่จะว่าเจ้าข้าเอ๋ย |
ไม่คิดถึงความหลังนั้นบ้างเลย |
เจ้าไม่เคยแล้วอย่าเจิ้นให้เกินการ ฯ |
๏ อำพันฟังออกตั้งคารมรับ |
เที่ยวบังคับรุกราชอยู่ฉาดฉาน |
ลูกว่าไรกับแม่มาแหพาน |
ข้ามันจ้านร่านรักกระนั้นเอง |
สมคะเนเหมือนว่าก็ผาสุก |
ไม่สมคะเนแล้วก็ลุกขึ้นเต้นเหยง |
รู้ว่าท่านเจ้าผัวต้องกลัวเกรง |
อย่าครืนเครงไปเลยแม่ฉันแพ้แล้ว ฯ |
๏ ดูแสนงอนย้อนรอยทำลอยหน้า |
คารมกล้าท้าเสียงสำเนียงแจ้ว |
เขารู้เช่นเห็นลิ้นอยู่สิ้นแล้ว |
แม่ดวงแก้วนพเก้าถึงคราวรวย |
ข้าเจ้าชั่วผัวร้างไว้ห่างเหิน |
จึ่งเสาะเดินหาคู่มาชูช่วย |
จึ่งลอยหน้าขึ้นมาท้าคารมรวย |
เห็นงงงวยสมนึกฮึกวาจา ฯ |
๏ นางอำพันหวั่นไหวอกใจเต้น |
ด้วยตัวเป็นเหมือนหนึ่งคำเขาร่ำว่า |
เหมือนกับวัวหลังขาดชาติอีกา |
ได้เกินหน้าแล้วกล้าไปลองดู |
ต่างคนต่างก็ว่าต่อหน้าผัว |
เอาความชั่วมาประจานสะท้านหู |
ตัวใครเล่าสิว่าเที่ยวหาครู |
ทำไมรู้จึงไม่จับเอาฉับพลัน |
ยิ่งนิ่งแล้วก็ยิ่งกำเริบหนัก |
อย่าแต่งพักตร์ใส่สร้อยมาเสกสรร |
เหลือจะอดแล้วไม่ลดไม่ละกัน |
พระทรงธรรม์ฟังเอาอย่าเข้าใคร ฯ |
๏ นางมณีฟังสารให้ดาลเดือด |
ประหนึ่งเลือดอสุชลจะหล่นไหล |
อย่าพักทำสาระแนแก้ตัวไป |
ดอกจำปานี่ของใครนางอำพัน |
ทั้งสามีก็เห็นดีไปด้วยได้ |
กำลังแค้นขัดใจว่าถลัน |
ไปหาหมอปลุกเสกทำเลขยันต์ |
ให้ทรงธรรม์หลงกลนางคนดี |
เป็นผู้หญิงวิ่งตามพระทรงฤทธิ์ |
เขาแจ้งจิตเฟื่องฟุ้งทั้งกรุงศรี |
คุณบิดรมารดาเขาปรานี |
ถึงไม่มีก็มิให้อนาทร |
ยังขึ้นหน้าท้าทายหมายชนะ |
ไม่ลดละลิ้นลมดังคมศร |
คงจะทำเสียให้ยับลงกับกร |
เมื่อภูธรจะไม่เลี้ยงก็บรรลัย |
ให้เคืองขุ่นหุนหันตันโทโส |
กำลังโมโหผุดลุกขึ้นรุกไล่ |
อำพันน้อยถอยแอบพระภูวไนย |
ก็หวั่นไหวกึกก้องทั้งห้องปรางค์ |
ต่างคารมคมคำกระหน่ำหนัก |
โมโหหักมาแข็งทั้งสองข้าง |
พระโคบุตรผุดลุกขึ้นยืนกลาง |
พิโรธนางกัลยาแล้วว่าพลัน |
ยิ่งใจดีผีเข้าเจียวเจ้าเอ๋ย |
กระไรเลยมวยปล้ำทำขยัน |
จำปานี้วิปลาศทั้งเลขยันต์ |
ได้สำคัญมาแต่ไหนนางมณี |
แม้นใครเพลี่ยงก็ไม่เลี้ยงไว้เคียงแล้ว |
พระขรรค์แก้วจะประหารให้เป็นผี |
จะดูคนเจ้าเล่ห์เสน่ห์ดี |
ในวันนี้เห็นกันเป็นมั่นคง ฯ |
๏ โฉมอำพันพรั่นกายเห็นวายวุ่น |
คิดถึงคุณเถรกระอำนำประสงค์ |
นางไม่นิ่งชิงทูลพระโฉมยง |
น้องจากวงศ์จำจนมาทนอาย |
ทุกวันนี้เพราะรักสู้ทนเจ็บ |
ยังซ้ำเหน็บความใส่ไม่รู้หาย |
นั่นใครเล่าทำเสน่ห์เพทุบาย |
นางฟูมฟายชลนาโศกาลัย ฯ |
๏ นางมณีได้ฟังคั่งแค้นจิต |
ที่ชอบผิดมิได้รออารมณ์ได้ |
ใครเขาเป็นขี้ข้าหรือว่าไร |
จึ่งจะได้ล่วงรู้กับครูมึง |
พระทรงศักดิ์รักกูเขารู้แซ่ |
เพราะห่างแหมึงไว้จึ่งได้หึง |
พระคลุ้มคลั่งตั้งหน้ามาหามึง |
ต่อรุ่งจึ่งเห็นว่าจำปายันต์ |
ทั้งธานีมีใครมาร่วมผัว |
ช่างแก้ตัวลิ้นลมดูคมสัน |
ตัวมึงนั่นแลทำอีอำพัน |
อย่าเสกสรรท้าทายให้ตายใจ |
นางอำพันว่ามันทุกคำปาก |
มันมากมากมันจะข้นจนเป็นไข |
เมื่อเห็นจริงแล้วนิ่งมันทำไม |
มันเป็นไรจึ่งไม่จับเอาตัวมา ฯ |
๏ พระโคบุตรสุดแค้นกระทืบบาท |
ร้องตวาดนางมณีนี้หนักหนา |
เสียแรงถนอมเป็นจอมกัลยา |
แต่ต่อหน้าสิยังทำกระนี้เจียว |
เป็นผู้ใหญ่อารมณ์ไม่สมศักดิ์ |
ทำหาญหักอุกอาจมากราดเกรี้ยว |
เขาเป็นข้าหรือจะว่าแต่ข้างเดียว |
ช่างลดเลี้ยวลงคำเอาอำพัน |
ดอกจำปาว่าทำให้หลงรัก |
ครั้นสอบซักก็ไม่จริงทุกสิ่งสรรพ์ |
แล้วหยาบช้าไม่ว่าแต่เพียงกัน |
สารพันว่าผัวนี้ลำเอียง |
ถูกเสน่ห์เล่ห์ลมมางมหลง |
ห้ามแล้วก็ไม่ลงสงบเสียง |
ดูน้ำใจจะไม่ให้ลงจากเตียง |
บุญข้าน้อยแล้วจึ่งเลี้ยงไม่เที่ยงธรรม์ |
พระจับไม้เรียวรี่ไล่ตีหวด |
นางเจ็บปวดก็ทรงกันแสงศัลย์ |
เสียงกรีดก้องร้องเถียงพระทรงธรรม์ |
ไปฆ่าฟันเสียเถิดองค์พระทรงภุช ฯ |
๏ ดูดู๋ดื้อถือตัวว่าทำชอบ |
ยังโต้ตอบเสียงดังไม่ยั้งหยุด |
พระร่ำรันรอบองค์นางนงนุช |
อุตลุดหวั่นไหวทั้งไพชยนต์ |
นางสาวสรรค์กัลยาที่มาด้วย |
ครั้นจะช่วยเกรงกระษัตริย์ให้ขัดสน |
บ้างวิ่งวางมาถึงปรางค์นฤมล |
แจ้งยุบลบอกความกับสาลิกา |
ว่าพระจอมจักรพงศ์ทรงพิโรธ |
พระลงโทษแม่มณีเป็นหนักหนา |
สกุณินยินเรื่องก็รีบมา |
บินถลาเข้าห้องปราสาทพลัน |
ลงแทรกกลางพลางร้องเจ้าพ่อโปรด |
ประทานโทษเจ้าแม่อย่าหุนหัน |
พระเห็นนกยกไม้ยังไม่ทัน |
ไม้เรียวนั้นถูกปีกเจ้าสาลิกา ฯ |
๏ สาลิการาปีกแล้วแกล้งร้อง |
ปีกขุนทองหักแล้วเจ้าพ่อจ๋า |
พระตกใจลืมโมโหที่โกรธา |
ผวาอุ้มสาลิกาไว้ทันที |
กอดประทับรับขวัญขุนทองเอ๋ย |
ไม่ควรเลยจะเจ็บเจียวทีเดียวนี่ |
ไม่ทันยั้งกำลังเข้าคลุกคลี |
ต้องถูกตีเปล่าเปล่าไม่เข้าทาง |
ถูกที่ไหนเล่าลูกหรือถูกปีก |
เนื้อหนังฉีกไปถนัดหรือขัดขวาง |
สาลิกาฟังคำยิ่งทำคราง |
ถูกสีข้างริมท้องของลูกยา |
ถึงตีลูกถูกเจ็บสักร้อยแผล |
ทั้งพ่อแม่คงจักคิดรักษา |
ลูกสุดแสนสงสารพระมารดา |
ทั้งกายาย่อยยับระยำไป |
ถึงผู้คนกล่นเกลื่อนทั้งปรางค์มาศ |
ใครจะอาจทูลขอคุณพ่อได้ |
จงเห็นกับเจ้าตาเมื่อลาไป |
ความอาลัยฝากฝังไว้พรั่งพร้อม |
ทั้งเจ้าพ่อพระองค์น้อยจะสร้อยเศร้า |
ขอโทษเจ้าแม่คุณทูลกระหม่อม |
ถึงชอบผิดคิดงดจงอดออม |
แล้วนอบน้อมปราศรัยนางไฉยา |
เชิญเสด็จเจ้าแม่นางไปปรางค์รัตน์ |
อย่าเคืองขัดลูกขอโทษโปรดปักษา |
นางฟังคำนกขุนทองนองน้ำตา |
สาลิกาเจ้าไม่แจ้งแห่งดวงใจ |
อย่าว่าแต่ตีรันจะฟันฟาด |
ให้เศียรขาดก็ไม่ว่าอย่าสงสัย |
นางชุบเช็ดชลนาแล้วคลาไคล |
เสด็จไปปรางค์ทองของเทวี |
ถึงบัลลังก์พร้อมเหล่านางสาวสรรค์ |
เข้านวดฟั้นเล้าโลมนางโฉมศรี |
บ้างฝนยาทาทั่วทั้งอินทรีย์ |
นางโศกีคั่งแค้นแน่นพระทัย ฯ |
๏ พระโคบุตรสุดรักเจ้าปักษา |
เฝ้าถามว่าพ่อยังเจ็บอยู่ตรงไหน |
จะทายาเสียให้หายสบายใจ |
พระลูบไล้ไปทั่วทั้งอินทรีย์ |
สาลิกาว่าเมื่อยังกริ้วนัก |
กระดูกหักแทบจะพับลงกับที่ |
เมื่อเหือดหายวายกริ้วไม่โบยตี |
กระดูกดีเสียแล้วอย่าดูเลย ฯ |
๏ พระโฉมยงทรงพระสรวลสำรวลร่า |
ช่างมารยาเหลือทำนองขุนทองเอ๋ย |
ให้ตกเนื้อตกใจกระไรเลย |
แล้วชมเชยจูบกอดเจ้าสาลิกา |
ทั้งโฉมยงนงนุชอำพันนั้น |
เกษมสันต์สุดรักเจ้าปักษา |
แสนสบายสายแสงพระสุริยา |
ขุนทองลากลับหลังมายังปรางค์ ฯ |
๏ พระโคบุตรกับนางอำพันนาฏ |
สมสวาทเชยชิดไม่คิดหมาง |
ด้วยอาคมให้นิยมเสน่ห์นาง |
ไม่จืดจางคลาดคลาสักนาที |
ถึงเวลาออกหน้าพระโรงรัตน์ |
ซังตายตรัสราชการบูรีศรี |
ให้ป่วนปั่นพันผูกถึงเทวี |
เข้าสู่ที่แล้วค่อยคลายสบายองค์ |
ลืมสนมหลงชมแต่นางนาฏ |
ลืมประพาสลืมเสวยเลยลืมสรง |
พระพักตร์คร่ำดำซูบผิดรูปทรง |
เพราะทะนงหมายหมิ่นประมาทการ ฯ |
๏ นางอำพันหรรษากับทาสี |
กับข้าวมีมิให้เศร้าทั้งคาวหวาน |
ถวายเถรเพลเช้าทุกวันวาร |
เถรทำการเติมซ้ำกระหน่ำไป |
ที่คนลอดสอดแนมไม่รู้เท่า |
แต่เป็นเงาในกระจกไม่จับได้ |
ซุบซิบกันเล่าเรื่องออกเนื่องไป |
จนแจ้งถึงอรไทนางมณี |
ว่าอำพันนั้นคบกับเถรเฒ่า |
กระแสเล่านั้นว่าใช้ทาสี |
จะจับกุมไม่ถนัดเป็นสตรี |
นางเทวีคิดหมายไม่วายวัน |
จำจะอ้อนวอนวานเจ้าปักษา |
ให้สาลิกาลอบไปไอศวรรย์ |
บอกอรุณน้องยาให้มาพลัน |
จะจับมันให้ประจักษ์กับตาคน ฯ |
๏ เมื่อวันนั้นนกสาลิกาน้อย |
ออกบินลอยเที่ยวเล่นในเวหน |
รำลึกถึงนางมณีนฤมล |
ด้วยทุกข์ทนสร้อยเศร้าเปล่าอุรา |
จะไปเฝ้าโฉมฉายให้คลายร้อน |
แล้วลอยร่อนลงปรางค์ขนิษฐา |
จับพระแกลแลเห็นนางไฉยา |
เจ้าแม่จ๋าบรรทมเล่นหรือหลับแล้ว |
นางดีใจปราศรัยกับปักษี |
เข้ามานี่เจ้าสาลิกาแก้ว |
แต่วันนั้นจนวันนี้ไม่มีแวว |
นางกอดแก้วสาลิกาไว้กับทรวง |
ชลนัยน์ไหลโซมประโลมปลอบ |
แม่คิดขอบคุณเจ้าเท่าเขาหลวง |
พ่อมาเยือนเหมือนได้จินดาดวง |
เดี๋ยวนี้ทรวงแม่ช้ำระกำตรม |
พระภูมีตีแม่ถึงสาหัส |
สารพัดไม่มีผิดเท่าเส้นผม |
แม่อายชาวธานีบูรีรมย์ |
จะต้องก้มหน้าม้วยบรรลัยไป |
แต่คอยท่าหาเจ้าทุกเช้าค่ำ |
เป็นความขำลูกรักช่วยแก้ไข |
จะเขียนสารวานสาลิกาไป |
ช่วยส่งให้พ่ออรุณถึงพารา |
จงช่วยแม่อย่าให้แซ่ถึงสองหู |
ทั้งเจ้าพ่ออย่าให้รู้นะปักษา |
หนทางไปหลายคืนจะกลับมา |
ปดบิดาว่าไปชมพนมไพร |
ขุนทองฟังพลางตอบนางโฉมศรี |
เป็นไรมีจะช่วยแม่คิดแก้ไข |
ที่แถวทางกลางป่าพนาลัย |
สัจจังใจลูกก็นึกอยู่นานมา |
คิดจะลาองค์นรินทร์ผู้ปิ่นเกล้า |
ไปเยี่ยมเจ้าพ่ออรุณของปักษา |
เดี๋ยวนี้พระทรงศักดิ์ไม่พักลา |
ไม่เห็นมาปรางค์มาศปราสาททอง |
นางฟังสารนกสาลิกาแก้ว |
ให้ผ่องแผ้วยินดีไม่มีสอง |
จงเห็นกับพ่ออรุณเถิดขุนทอง |
นางจำลองสารลงแล้วทรงพลัน |
ครั้นเสร็จสรรพพับผูกกับคอนก |
ฝนจะตกไม่ต้องในไพรสัณฑ์ |
พ่อระวังเหยี่ยวกาในป่าวัน |
ให้จอมขวัญไปดีอย่ามีภัย ฯ |