๏ จะกล่าวถึงขัตติยวงศ์พงศ์กระษัตริย์ |
พรหมทัตธิบดินทร์ปิ่นสนม |
ครองพาราณสีบูรีรมย์ |
มีเมืองขึ้นมาบังคมไม่ขาดปี |
มีเอกองค์ทรงนามประทุมทัศ |
เสวยราชสมบัติเกษมศรี |
มีพระราชธิดาล้ำนารี |
ชื่อมณีสาครฉะอ้อนองค์ |
มีพระราชกุมารเสน่หา |
อนุชาน้องถัดนวลหง |
ชื่ออรุณกุมารชาญณรงค์ |
ทั้งสององค์ลูกเจ้ายังเยาว์ครัน |
พระพี่ยาชันษาได้สิบทัศ |
กุมารถัดเจ็ดขวบเกษมสันต์ |
บิตุรงค์ทรงรักดังชีวัน |
สารพันมิได้ขัดเคืองระคาย |
ครั้นอยู่มาตาพราหมณ์ประโรหิต |
ครองโลภจิตนึกเจตนาหมาย |
เฒ่าชรามีบุตรบุรุษชาย |
เมียนั้นตายจากอกไปหลายปี |
คิดการศึกนึกจะเป็นกระษัตริย์ |
ผ่านสมบัติบ้านเมืองให้เรืองศรี |
ทั้งลูกจะครองนุชพระบุตรี |
ได้แทนที่พรหมทัตกระษัตรา |
จึงมั่วสุมซุ่มคนไว้คับคั่ง |
ได้พร้อมพรั่งหลายพันก็หรรษา |
ธนูง้าวหลาวโล่แลปืนยา |
เครื่องศาสตราครบถ้วนแลทวนแทง |
ถึงวันดีเตรียมทัพเวลาดึก |
อึกทึกฮึกหาญชาญกำแหง |
เอาปืนใหญ่ยิงประดังพังกำแพง |
จุดคบแดงให้ประดังเข้าวังใน |
จับกระษัตริย์ตัดเศียรสิ้นชีวิต |
ทวารปิดมิให้คนลอบหนีได้ |
จับพวกเหล่าสาวสรรค์กำนัลใน |
มาคุมไว้กลางชาลาหน้าพระลาน |
แสนสังเวชนางในใจจะขาด |
ร้องกรีดกราดแซ่เสียงสำเนียงขาน |
ผ้านุ่งห่มลุ่ยหลุดกระเซอซาน |
บ้างคลำคลานออกมาทุกหน้านาง ฯ |
๏ สงสารองค์อัคเรศเกศกระษัตริย์ |
สองพระหัตถ์ข้อนทรวงเข้าผางผาง |
เขาไล่จับสับสนอยู่บนปรางค์ |
นุชนางอุ้มสองกุมารา |
แล้ววิ่งวงลงจากปราสาททิพ |
ค่อยกระซิบสั่งสองโอรสา |
อย่าร้องดังฟังแม่นะแก้วตา |
แล้วก็พาลูกเลี้ยวเที่ยวเวียนวง |
ชำเลืองดูที่ทวารบานก็ปิด |
ดังชีวิตนางจะม้วยเป็นผุยผง |
เห็นไม้พุ่มอุ้มลูกเข้าแอบองค์ |
กระซิบทรงเศร้ากำสรดระทดใจ |
สายสมรสอนสั่งพระลูกแก้ว |
พอรุ่งแล้วถ้าเขาจับแม่ไปได้ |
ทั้งพี่น้องสองราอย่าอาลัย |
พากันไปเถิดนะลูกอย่าอยู่เลย |
ตามกุศลผลบุญของลูกแก้ว |
แม่นี้ไม่อยู่แล้วหนาลูกเอ๋ย |
พากันไปอย่าอาลัยถึงแม่เลย |
แล้วทรามเชยกอดลูกเข้าโศกี |
สามพระองค์ทรงโศกกันแสงไห้ |
จนอุทัยจวนรุ่งจำรัสศรี |
นางชาววังวุ่นวิ่งเป็นสิงคลี |
พระชนนีกอดลูกเข้าร่ำไร |
เอาทรายฝุ่นมุนมอมพระลูกรัก |
ให้ผิวพักตร์มัวหมองไม่ผ่องใส |
รุ่งแล้วสองแก้วตาจงคลาไคล |
เขาจับได้ก็จะม้วยด้วยชนนี |
แล้วผันแปรมิได้แลดูลูกรัก |
นางตั้งพักตร์วิ่งวางขึ้นปรางค์ศรี |
เข้าสวมสอดกอดศพพระสามี |
นางเทวีกลั้นใจบรรลัยลาญ |
น่าสงสารสองกุมารมาลับแม่ |
สุดชะแง้แล้วโศกาน่าสงสาร |
กลั้นสะอื้นขืนใจอาลัยลาน |
สองกุมารเดินเรียงมาเคียงกัน |
นางมณีสาครจูงกรน้อง |
สงสารสองบุตรีไม่มีขวัญ |
เห็นผู้คนปนปลอมไปพร้อมกัน |
ใครไม่ทันแจ้งจิตว่าธิดา |
พ้นทวารบ้านเมืองชำเลืองเหลียว |
ยิ่งเปล่าเปลี่ยวเศร้าสร้อยละห้อยหา |
เจ้ารีบรัดตัดเนินดำเนินมา |
ไม่รู้ว่าจะไปหนตำบลใด |
กันแสงพลางเหลียวพลางดูปรางค์รัตน์ |
หน่อกระษัตริย์สองราน้ำตาไหล |
ทุกเทวาช่วยรักษาทั้งสองไป |
ดลพระทัยให้เข้าป่าพนาวัน ฯ |
๏ ประโรหิตสมคิดขึ้นปรางค์มาศ |
สิงหนาทตั้งปึ่งทำขึงขัน |
ท้าวพระยาหาตัวมาพร้อมกัน |
ใครแข็งขันสั่งซ้ำให้จำจอง |
ที่ยินยอมพร้อมใจให้สมบัติ |
เอาความสัตย์อย่าให้หมายเป็นฝ่ายสอง |
แล้วแต่งตั้งที่ขุนนางตามทำนอง |
ทั้งพวกพ้องพร้อมจิตก็คิดการ |
ให้ค้นหาธิดากรุงกระษัตริย์ |
จบจังหวัดพระนิเวศน์เขตสถาน |
มิได้พบพี่น้องสองกุมาร |
ตาพราหมณ์พาลจับยามตามตำรา |
ก็รู้ว่าไม่อยู่ในนิเวศน์ |
สุดสังเกตที่จะเสาะแสวงหา |
ก็นิ่งไว้ในใจไม่เจรจา |
สั่งให้หาช่างสุวรรณมาทันใด |
ทำโกศทองรองศพสองกระษัตริย์ |
ประจงจัดไว้ปรางค์ทองอันผ่องใส |
เที่ยวเลือกชมนางสนมกำนัลใน |
สำราญใจพ่อลูกทุกคืนวัน ฯ |
๏ แสนสงสารพระกุมารสองสมร |
ลับนครเข้าป่าพนาสัณฑ์ |
กันแสงส่งสุรเสียงมาเคียงกัน |
ได้สามวันเดินไพรไปไกลวัง |
อดเสวยเนยนมยิ่งตรมอก |
แสนวิตกคิดคะนึงถึงความหลัง |
สงสารสองทรงศักดิ์ในนัครัง |
บรรลัยแล้วหรือยังไม่รู้เลย |
เมื่อครั้งบุญทูลกระหม่อมยังครองภพ |
เธอเวียนรบตักเตือนให้สรงเสวย |
ยามวิบากจากสบายไม่วายเลย |
ที่การเคยผาสุกมาทุกข์ทน |
เพราะสิ้นบุญทูลกระหม่อมจึงตรอมจิต |
เอาชีวิตออกไว้อยู่ไพรสณฑ์ |
เอาเสือสางกวางเถื่อนเป็นเพื่อนตน |
ทั้งผู้คนเงียบสงัดล้วนสัตว์พาล |
พระพี่น้องสององค์ทรงกันแสง |
จนสุดแรงที่จะไปในไพรสาณฑ์ |
สิ้นกำลังล้มลงในดงดาล |
สองกุมารนิ่งซบสลบลง ฯ |
๏ เทพไททุกวิมานบันดาลเงียบ |
เย็นยะเยียบทุกหย่อมหญ้าป่าระหง |
ทุกก้านกอช่อไม้ในไพรพง |
สงสารองค์อรุณราชเพียงขาดใจ |
ลมรำพายชายพัดมารื่นรื่น |
ทั้งสองฟื้นสมประดีขึ้นโหยไห้ |
พระพี่ชวนอนุชาลีลาไป |
โศกาลัยเลียบเดินเนินคีรินทร์ |
บรรลุถึงสระหนึ่งน้ำสะอาด |
เดียรดาษด้วยอุบลชลสินธุ์ |
ทั้งฝักดอกจอกกระจับในวาริน |
ระรื่นกลิ่นเกสรขจรจาย |
ทั้งสององค์ลงนั่งกำลังหอบ |
พระกรกอบดื่มกินกระสินธุ์สาย |
แล้วชวนน้องลงในสระชำระกาย |
เที่ยวแหวกว่ายเลือกหักฝักอุบล |
พี่แหวกจอกปอกเสวยกระจับสด |
น้องว่ารสโอชาผลาผล |
จะกล่าวถึงยักษ์ร้ายในสายชล |
ทั้งสี่ตนฤทธิไกรดังไฟกาฬ |
พระเวสสุวัณสาปสรรให้เฝ้าสระ |
ด้วยโมหะฤทธิ์แรงกำแหงหาญ |
ได้ยินเสียงพี่น้องสองกุมาร |
ลงลอยเล่นชลธารสะเทื้อนไป |
แสนพิโรธโดดทะลึ่งเสียงอึงอัด |
ไล่สกัดเรียกกันอยู่หวั่นไหว |
แสนสงสารสุดสวาทเพียงขาดใจ |
เห็นยักษ์ไล่ติดพันกระชั้นมา |
สองพี่น้องร้องหวีดกราดกรีดเสียง |
ชีวิตเพียงจะพินาศด้วยยักษา |
เจ้าแหวกว่ายเวียนวงในคงคา |
อสุรากั้นกางไว้กลางชล ฯ |