ตอนที่ ๑๐ ลักษณวงศ์เสด็จกลับเมืองพาราณสี

๏ พระโอรสฟังอรรถที่ตรัสห้าม ก็เห็นงามตามเสาวนีย์ไข
จึ่งทูลตอบให้ชอบหฤทัย ลูกไม่ไปแล้วพระแม่อย่าเคืองเลย
พระโอรสทูลไท้อาลัยสมร โอ้แม่ทิพเกสรของที่เอ๋ย
จะตายเป็นพี่ไม่เห็นอย่างไรเลย โอ๋อกเอ๋ยสารพัดวิบัติเป็น
สองกระษัตริย์ตรัสปรึกษาสนอง[๑] จนแสงทองส่องสว่างกระจ่างเห็น
พงศ์กระษัตริย์เสด็จยังที่นั่งเย็น ท้าวไม่เป็นอันจะตรัสดำรัสความ
ดำรัสเรียกโหราพฤฒาเฒ่า ก็ตรัสเล่าความฝันแล้วซักถาม
โหรคำนวณด่วนคูณแล้วทูลความ ว่าโฉมงามอยู่ดีไม่มีภัย
โฉมสมรโศกเศร้าถึงเราหรือ ขอเดชะออกชื่อนํ้าตาไหล
เจ้าผอมซูบรูปร่างหรืออย่างไร ขอรับใส่เกล้ากระหม่อมเสมอตัว
พระน้องโศกเศร้าทุกข์หรือสุขบ้าง ขอรับนางโศกบ้างแต่ยังชั่ว
ทุกวันนี้นางคะนองหรือครองตัว ขอเดชะนางกลัวพระอัยกา
พระฤๅษีตีบ้างหรืออย่างไร หามิได้ฤๅษีเสน่หา
คงจะพบกับเราหรือเปล่านา ขอเดชะเบื้องหน้าจะพบนาง
อารามรักซักโหรเอาเจียนอยู่ โหรารู้ทูลไห้มิให้หมาง
พระทรงฟังเห็นชอบระบอบนาง ตบพระหัตถ์ผางผางประทานทอง
ค่อยวายโศกทรงแย้มสำรวลสรวล ก็ตรัสความตามควรเขาทูลสนอง
แล้วพระองค์ทรงนึกค่อยตรึกตรอง จะคืนครองนคราพระบิตุรงค์
จึงตรัสนึกถึงพญาอาขาชาญ อันสำราญอยู่ในโรงเรืองระหง
เป็นม้าศึกมีชัยในณรงค์ ซื่งพระองค์รักเคียงคู่ชีวา ฯ
๏ ฝ่ายพญามโนมัยที่ใช้ชิด ก็แจ้งจิตรู้ใจว่าให้หา
โผนทะยานผ่านพวกขุนนางมา เข้าหมอบแทบบาทาพระทรงธรรม์
พระทรงศรช้อนคางขึ้นวางเพลา จึ่งตรัสเล่าที่พระองค์เธอทรงฝัน
แล้วเล่าความมารดาที่วอนพลัน พระทรงธรรม์ปรึกษากับพาชี
สินธพฟังตอบความว่างามแล้ว เชิญพระแก้วไปบำรุงซึ่งกรุงศรี
จำต้องทำตามคำพระชนนี ครองบุรีแล้วจึงกลับมารับนาง
เออพญาพาชีพี่ว่าชอบ จำประกอบอย่าให้เคืองทั้งสองข้าง
เราทิ้งน้องไว้ในป่ากับตาพลาง ช่วยกันล้างกุลียุค[๒]เสียให้ยับ
เหวยมนตรีสี่พระยาเสนานาย จงบาดหมาย[๓]เกณฑ์กันให้เสร็จสรรพ
อีกเจ็ดวันจะยาตราโยธาทัพ ตัวเรากับมารดรจะจรลี
จะยกพลขึ้นพื้นโพยมเมฆ ไปเมืองเอกนคราพาราณสี
ครั้นสั่งเสร็จเสด็จเฝ้าพระชนนี ทูลคดีแจ้งข้อจรดล ฯ
๏ ฝ่ายพระยายศไกรบรรลัยกัป ก็กะเกณฑ์กองทัพอยู่สับสน
ทุกหมู่หมวดตรวจตราอลวน ประชุมพลพื้นพวกพลมาร
ให้ยักษ์ขุนคชสิทธิ์นิมิตเพศ เป็นช้างชัยไอยเรศพญาสาร
ทั้งรถบุษบกรัตน์ชัชวาล จัดแจงการพร้อมเสร็จในเจ็ดวัน ฯ
๏ ปางพระจอมเมืองมารชำนาญฤทธิ์ สำราญจิตปรีดิ์เปรมเกษมสันต์
ถึงคำรบครบถ้วนเข้าเจ็ดวัน เสียงสนั่นพลทัพประเทียบช้าง
พระบรรทมบนที่มณีแท่น สนมแน่นรายเรียงอยู่เคียงข้าง
พอเพลาจวนรุ่งขึ้นรางราง เดือนสว่างโพยมพยับก็อับนวล
เสด็จตื่นบรรทมแล้วเข้าที่ สรงสนานวารีอันหอมหวน
นางอยู่งานขานขับสำเนียงนวล กระหึ่มหวนโทนทับรับสีซอ
พระภูธรทรงนั่งบัลลังก์ราบ พระองค์อาบละอองปทุมท่อ
เป็นสายสาดปราดปรายกระจายปรอ ไหลเป็นช่อลงชโลมพระวรกาย
ครั้นเสร็จสรงทรงเครื่องอบสำอาง อนงค์นางน้อมทูลประเทียบถวาย
แล้วทรงเครื่องสุวรรณพรรณราย สนับเพลาพราวพรายกระจายเรียง
ภูษาทรงนํ้าทองเป็นของเทศ ช่อวิเศษลายเกี้ยวเลี้ยวเฉลียง
ดอกก้านแย่งช่อหกกระหนกเรียง มุกดาเคียงดาษดอกเป็นดวงดี
ชายแครงกรองทองมังกรเกี้ยว ฉลุเขี้ยวแมงทับ[๔]สลับลี
เจียระบาดคาดดวงสุวรรณมณี วาสุกรีกลีบเกล็ดล้วนกรองทอง
เข็มขัดคาดทองคำประจำยาม เป็นแวววามวิเชียรทุกช่อช่อง
ฉลององค์อลงกตด้วยยศทอง ทับทรวงกรองศอถมราชาวดี
กุดั่นดุนประดับพลอยล้วนย้อยหยด มรกตนิลแนมแอร่มสี
ทองพระกรฉลุหลังฝังมณี ทับทิมสีโมราเข้ารายเม็ด
ธำมรงค์รังแตนนพรัตน์ นิ้วพระหัตถ์สอดใส่ทั้งสิบเสร็จ
มรกตพิรอดล้วนยอดเพชร แต่ละเม็ดตีค่าถึงควรเมือง
ทรงมงกุฎโกเมนอร่ามขำ รายประจำไพฑูรย์ละเลื่อมเหลือง
กุณฑลเพชรแวววามอร่ามเรือง มลังเลืองเลื่อมจับกรรเจียกจอน
เหน็บพระขรรค์ชัยแก้วเป็นแวววับ พระหัตถ์ขวาคว้าจับพระแสงศร
เสด็จขึ้นเกยทรงอลงกรณ์ ดั่งอินทรในทิพพิมานทอง
ให้เชิญเสด็จมารดรบวรราช สนมนาฏไปทูลกิจจาสนอง
ฝ่ายโฉมยงองค์เอกนวลละออง พระทรงเครื่องเรืองรองระยับองค์
เสด็จจากห้องปรางค์สำอางสะอาด ดูลินลาศงามจำเริญดำเนินหงส์
สถิตยังเกยทองทั้งสององค์ ดั่งสุริยงเคียงกันกับจันทร
ฝ่ายสนมแต่งตัวตามเสด็จ ไม่ทันเสร็จสรรพวิ่งอยู่สลอน
บ้างคว้าผวยฉวยเพลาะไปห่มนอน หวีกระจกห่อซ่อนไปแก้จน
บ้างผัดหน้าทาแป้งแล้วแต่งจัด สารพัดเอาไปไม่ขัดสน
ไม้สอยผมซนเสือกอยู่เหลือกลน ห่อกระเหม่าติดตนไปตามมี
บ้างบอกเพื่อนเตือนว่าอย่าลืมแหนบ อุตส่าห์แอบผูกพันไปกับหวี
บ้างเก็บไรประจุบันพอทันที ที่ไม้สอยผมมีเอาซ่อนไป
บ้างไปยืมลายอย่างของนางเพื่อน ถ้าถ้วนเดือนจึ่งจะคิดค่าเช่าให้
บ้างได้สีทับทิมก็กริ่มใจ สอดซับในดำเพลาะหัวเราะเริง
ที่ไม่ทันแต่งตัวยังมัวการ น่าสงสารผมเฝ้าออกยุ่งเหยิง
ที่วิ่งส่องมองกระจกกระจะกระเจิง นํ้ามันแข็งลนเพลิงแล้วทาพลาง
เหล่าอนงค์หน้านวลแต่ล้วนสาว เนื้อดำขาวสองสีดูสล้าง
ตามเสด็จทูลกระหม่อมพระจอมปรางค์ พอสางสางแสงทองก็พร้อมกัน ฯ
๏ ฝ่ายนรินทร์ปิ่นกระษัตริย์ตรัสประภาษ กับโอรสวิรุญมาศที่อาสัญ
ชื่อท้าววิรุญวงศ์พงศ์กุมภัณฑ์ ให้เสวยไอศวรรย์ของบิดา
ฝ่ายพระยายศไกรบรรลัยกัป ก็แยกทัพเป็นพยุหะรถา
ให้กองท้าวกาลพักตร์กุมารา เป็นงอนงารถทรงแลธงชัย
ให้กาลวกยกแยกเป็นแอกรถ ให้กองทศคิรีเป็นทัพใหญ่
ให้กองทัพเทพวงศ์เป็นกงไก อินทชัยอินทศักดิ์เป็นกำดุม
ให้เพชกันเป็นเพลาเข้าสอดแทรก ให้เพชกรเป็นปะแหรกเข้าแทรกสุม
นาคชิตเป็นที่นั่งบัลลังก์กุม นาคชุมอุปถัมภ์เป็นท้ายงอน
ทัพหลวงเป็นเศวตฉัตรฉาย พรรณรายน่ารักประภัสสร
รถที่นั่งรถตามงามบวร อัสดรนำพักตร์พระจักรา
บรรลัยกัปแยกทัพแล้วสรรพเสร็จ เชิญเสด็จพระนรินทร์ปิ่นมหา
ฝ่ายพระองค์ทรงสวัสดิ์กระษัตรา เสด็จทรงไอยราคชาธาร
นางโฉมยงทรงรถบุษบก สินธพเทียมเตรียมยกยืนขนาน
รถเครื่องรถนางพนักงาน งอนตระหง่านธงปลิวเป็นทิวชาย ฯ
๏ ได้ฤกษ์ชั้นลั่นฆ้องถึงสามหน ขยายพลยกเขยื้อนเคลื่อนขยาย[๕]
พรายอากาศดาษโพยมพยับพราย เรียงรถรายท้ายรถระดะเรียง
ครึกครื้นเครงโครมประโคมครึก เสียงพิลึกเลื่อนลั่นสนั่นเสียง
เอียงพิภพสิงขรจะอ่อนเอียง พิมานเพียงพลาดทับกับพิมาน
ช่องพระแกลเทพแลอยู่ทุกช่อง ประสานเสียงกรีดร้องซ้องประสาน
มารแห่โห่ทั่วทุกตัวมาร ชลธารเป็นระลอกกระฉอกชล
นกตื่นแตกพรูทุกหมู่นก ฝนก็ตกฟ้าคลุ้มชอุ่มฝน
พลมารกลุ้มกลํ้าทั้งอำพน ตาลานลนแกว่งดาบออกปลาบตา
ช้างที่นั่งลอยเลิศประเสริฐช้าง หน้าสล้างดูงามทั้งสามหน้า
งาจะช้อนดาวตกทั้งหกงา งวงจะคว้าเดือนงามทั้งสามงวง
กระษัตริย์ทรงองค์เลิศประเสริฐกระษัตริย์ ช่วงชวัดแสงเครื่องดูเรืองช่วง
ดวงพระพักตร์ผ่องเหมือนกับเดือนดวง อินทร์ไม่ล่วงเลยท้าวเมื่อเทียบอินทร์
รถมณีสีสว่างกระจ่างรถ ฉินฉะอ้อนงอนชดดูเฉิดฉิน
ยุพินทรงเอกองค์พระยุพิน นางอัปสรทั้งสิ้นไม่เกินนาง
ที่นั่งช้างช้างล้อมอยู่พร้อมหมด ที่นั่งรถรถล้อมอยู่พร้อมสล้าง
พลกลาดกลาดกลบในนภางค์ ดูคว้างคว้างมืดคลุ้มในเมฆา
ครั้นเวลาสายัณห์ตะวันอ่อน ทิชากรบินไขว่ในเวหา
การเวกหัสดินรีบบินมา มยุเรศสัตวาแลโนรี
พระชมฝูงปักษาในอากาศ พิศวาสปรีดิ์เปรมเกษมศรี
ครั้นสุริยนสนธยาเข้าราตรี พระตรัสสั่งเสนีมิทันนาน
ให้นิมิตที่พักตำหนักยั้ง ลงรอรั้งอาศัยในไพรสาณฑ์
ครั้นเพลารุ่งศรีรวีวาร ก็ยกทัพเหาะทะยานไปทางบน
ปางพระหน่อสุริย์วงศ์ดำรงทวีป ให้เร่งรีบจัตุรงค์มากลางหน
ลางทีขี่พญากุญชรชน ลางทีจรดลด้วยอัสดร
ยกพหลเหาะระเห็จมาเจ็ดวัน ก็ลุถึงเขตขัณฑ์เขาสิงขร
ที่บิดาให้ฆ่าพระมารดร พระภูธรเคลือบแคลงไม่แจ้งใจ
พระชักพาชีเคียงเข้าเรียงรถ น้อมประณตชนนีแล้วทูลไข
ถึงแว่นแคว้นบิตุรงค์พระทรงชัย ที่นี่แล้วหรือไรเขาฆ่าเรา
พระเทพีพิศดูก็จำได้ พ่อสายใจของแม่นี่แลเจ้า
อนิจจาจอมจักรไม่รักเรา สั่งให้เขาฆ่าแม่กับลูกน้อย
ตรัสพลางทางกันแสงสะอื้นไห้ พระชลนัยน์ไหลหลั่งลงผ็อยผ็อย
นํ้าเนตรร่วงดังพวงมาลาลอย ยิ่งเศร้าสร้อยสุดแค้นแสนทวี
หน่อกระษัตริย์โศกาทรงพิลาป แล้วตรัสกราบทูลห้ามไปตามที่
อย่ากันแสงโศกศัลย์เลยพันปี อันครั้งนี้จะได้เห็นฝีมือกัน
พระทูนแล้วชักแก้วกัณฐัศว์ถอย ลินลาลอยมาในกลางพลขันธ์
ดำรัสสั่งบรรลัยกัปไปฉับพลัน ท่านจงร้องบอกกันทั้งกองทัพ
บรรดาพวกพลเราล้วนเหล่ายักษ์ จงเปลี่ยนพักตร์แปลงกายให้กลายกลับ
เป็นมนุษย์เนืองนองทั้งกองทัพ แล้วจงขับพลพร้อมเข้าล้อมเมือง
พระบิดาเธอเห็นว่าเป็นยักษ์ จะโศกหนักกำสรดไม่ปลดเปลื้อง
แล้วอย่าให้ใครทำให้ช้ำเคือง แก่ชาวเมืองถ้วนทั่วทุกตัวคน
บรรลัยกัปรับสารโองการตรัส ก็รีบรัดบอกทัพอยู่สับสน
พลมารรู้ทั่วทุกตัวคน นิมิตตนเป็นมนุษย์อเนกนันต์
ทัพกระทั่งถึงนครพอค่อนรุ่ง ก็แยกยุ่งพร้อมล้อมแล้วโห่ลั่น
เอิกเกริกเกลื่อนกลาดประกาศกัน ล้อมสำเร็จเจ็ดชั้นเป็นหลั่นลด
ที่มารมีเดชาบรรดาศักดิ์ นิรมิตตำหนักให้ปรากฏ
เป็นที่อยู่แห่งองค์พระทรงยศ ทั้งโรงรถรายเรียงอยู่เคียงกัน
เสียงช้างร้องก้องกึกโกญจนาท[๖] อาชาชาติคำรนคำรามลั่น
พลมารพร้อมเพรียกร้องเรียกกัน เสียงสนั่นดังเมืองจะเปรื่องทลาย
พลเมืองตื่นอึงตะลึงลุก ตะโกนปลุกเรียกกันจนขวัญหาย
บ้างเก็บของออกมากองอยู่วุ่นวาย สำคัญหมายว่าไฟมาไหม้เมือง
บ้างเรียกผัวมัวคว้าผวาฉุด จนผ้าหลุดทรุดนั่งลงทั้งเครื่อง
บ้างบอกเมียตัวสั่นว่าขวัญเมือง ถึงฝืดเคืองพี่ไม่ทิ้งเจ้ามิ่งเมีย
ที่นอนเศร้าเข้าปลุกก็ลุกเซ่อ ละเมอเพ้อหัวร่อร้องขอเบี้ย
ฝันว่าซื้อของกินเอาลิ้นเลีย อีนางเมียร้องตวาดก็ตกใจ
บ้างสำคัญว่ากบฏมันคดคิด ให้พรั่นจิตตกตะลึงไม่อึงได้
ที่ลูกอ่อนร้องอึงคะนึงไป บ้างตีอกตกใจตะโกนกัน
เจ้าเจ๊กตื่นวิ่งแหกเข้าแบกหมู แม่อีหนูอุ้มเป็ดระเห็จหัน
เจ้าเซ็นเต้นตีอกออกงกงัน พวกนางญวนป่วนปั่นไม่สมประดี
ครั้นรู้ว่าข้าศึกมาล้อมเมือง ก็จัดเครื่องของพร้อมจะด้อมหนี
พวกพระยาเสนาแลมนตรี ก็กรูกรีเตรียมตนทุกคนไป ฯ
๏ ปางบรมพรหมทัตกระษัตรา ตกประหม่าอกสั่นอยู่หวั่นไหว
พระทรงเผยพระแกลแล้วแลไป เห็นกองไฟลุกแดงกำแพงราย
แสงอาวุธวาววาบอยู่ปลาบแปลบ ดังฟ้าแลบเรืองรอบทั้งขอบค่าย
เห็นพวกพลคนหลากอยู่มากมาย มันตั้งรายล้อมรอบเป็นขอบคัน
พระดูดูรู้ว่าเป็นข้าศึก ตกพระทัยให้นึกประหวั่นขวัญ
เอะอะไรไพรีจึ่งมีพลัน อัศจรรย์อยู่ดีดีก็มีมา
เสด็จเดินในมนเทียรแล้วเวียนกลับ พระหัตถ์จับพระแสงขรรค์อันคมกล้า
ให้อัดอั้นตันในพระอุรา ดังปืนยายอกกายไม่วายคิด
สาวสนมกรมในทั้งวังหลวง ก็ตีทรวงตัวสั่นประหวั่นจิต
เสียงกรีดกรีดหวีดร้องดั่งต้องพิษ กลัวชีวิตวิ่งวุ่นออกขุ่นวัง
บ้างลุกทะลึ่งผ้าหลุดด้วยสุดกลัว ครั้นรู้ตัวแล้วก็หยุดลงทรุดนั่ง
ฉวยเอาผ้าพันพุงอยู่รุงรัง ด้วยกำลังขวัญบินจนสิ้นอาย
บ้างไม่มีผ้าห่มเปิดนมแร่ โดนลับแลงงงมจนล้มหงาย
บ้างไม่ทันตั้งตัวด้วยกลัวตาย เหยียบกระจกจนกระจายตะกายคลำ
บ้างตื่นคว้าหาประตูไม่รู้พบ หลงตลบเข้าไปโดนกระโถนควํ่า
บ้างเหยียบเครื่องแป้งแตกแหลกระยำ เอามือคลำเสียดายของร้องไห้รัก
บ้างตัวสั่นงันงกจนตกเตียง เอามือเหวี่ยงเข้าไปต้องคันฉ่องหัก
ที่เล่นเพื่อนเบือนกอดนางยอดรัก ครั้นกึกกักก็กระโดดหน้าต่างไป
บรรดาหม่อมจอมเจ้าแลท้าวนาง ก็วิ่งวางจากห้องแล้วร้องไห้
พากันขึ้นเฝ้าองค์พระทรงชัย แต่วิ่งไปวิ่งมาละล้าละลัง ฯ
๏ ฝ่ายอนงค์อสุรีศรีสมร ให้อาวรณ์วาบหวามถึงความหลัง
เป็นลางกรรมจะมาทำให้มรณัง ให้แต่ตั้งคิดถึงตัวด้วยกลัวตาย
นางกอดบาทภูธรแล้ววอนถาม อันสงครามครั้งนี้บุรีไหน
จะเป็นทัพสุริย์วงศ์พระองค์ใด แต่ก่อนไรเคยคะนึงหรือพึ่งมี
พวกท้าวนางพลางทูลขึ้นพร้อมพร้อม ทูลกระหม่อมเคราะห์เมืองกระไรนี่
กระหม่อมฉันเคยพึ่งพระบารมี อันครั้งนี้ศึกติดเห็นผิดใจ ฯ
๏ ได้ทรงฟังทูลความดั่งหนามยอก มิอาจออกโอษฐ์ตรัสดำรัสไข
พระเสด็จเยื้องย่องเข้าห้องใน กันแสงไห้รักองค์ด้วยสงคราม
แต่ก่อนไกลใครเลยจะต่อสู้ อันศัตรูรู้ฤทธิ์ก็คิดขาม
เห็นกูแก่จึ่งด่วนมาลวนลาม จะก่อความให้เป็นควันทั้งแขวงเมือง
ศึกกระษัตริย์นี้อนาถประหลาดนัก ไม่ประจักษ์แจ้งข่าวแลราวเรื่อง
อยู่อยู่หรือก็จู่เข้าล้อมเมือง ชะรอยเรืองฤทธิ์เลิศประเสริฐชาย
อันครั้งนี้กรุงไกรกระไรหรือ จะคงชื่อหรือจะควํ่าสลํ่าสลาย
ไม่เล็งเห็นเหล่าทหารที่ชาญชาย จะยักย้ายรบรับกับไพรี
จะสิ้นบุญเคยคงดำรงวัง หรือจะยังสืบทรงซึ่งกรุงศรี
ปัจจามิตรมาประชิดอยู่เต็มที อันครั้งนี้เป็นไฉนไม่รู้เลย
โอ้เจ้าลักษณวงศ์พระลูกแก้ว ถ้าอยู่แล้วจะได้พึ่งเจ้าพ่อเอ๋ย
เป็นเวรกรรมดลใจกระไรเลย ให้พ่อเฉยคิดชังเจ้าบังอร
ป่านฉะนี้แม่ลูกกระดูกขาด จะเกลื่อนกลาดทิ้งกลิ้งริมสิงขร
มิพอที่จะมาม้วยด้วยมารดร เป็นกรรมก่อนเจ้าได้ทำจึ่งจำตาย
ถ้าพ่ออยู่จะได้สู้ปัจจามิตร พ่อคิดคิดถึงเจ้าแล้วใจหาย
ถ้าพ่ออยู่หรือจะมีอันตราย นี่พ่อตายไพรีได้ทีปอง
จอมกระษัตริย์คิดคะนึงถึงโอรส ทรงกำสรดสะอื้นไห้พระทัยหมอง
แสนเทวษชลเนตรลงเนืองนอง จนแสงทองส่องสว่างในอัมพร
เสด็จเข้าที่สรงแล้วทรงเสวย ไม่เสบยในพระทัยสะท้อนถอน
ทอดพระเนตรดูสนมประนมกร ล้วนแต่ร้อนในอุรานํ้าตาคลอ
พระยิ่งพิศก็ยิ่งคิดสงสารนัก ผินพระพักตร์น้ำพระเนตรไม่ขาดสอ
แข็งพระทัยสติตั้งไม่รั้งรอ พระตรัสยอยกสนองประคองใจ
ไอ้ข้าศึกนี้มันฮึกไม่เห็นฤทธิ์ อันชีวิตมันจะคงอย่าสงสัย
พวกไอ้ชาติเชื้อพาลทะยานใจ จะบรรลัยด้วยผลกรรมมันทำมา
มานะกระษัตริย์ตรัสไปพระทัยหวาด แล้วยุรยาตรเสด็จยังที่ข้างหน้า
ขุนนางแน่นหมอบกลาดดาษดา เห็นแต่หน้าซูบเศร้าอยู่ทุกคน
เจ้าพระยาแลพระยาเสนามาตย์ บังคมบาททูลสนองอนุสนธิ์
ขอพระเดชปกเกศประชาชน อันพวกพลข้าศึกเห็นหนักครัน ฯ
๏ องค์พระจอมราเชนทร์นเรนทร์สูร ได้ฟังทูลว่าทัพนั้นขับขัน
จึงตรัสสั่งเสนาพระยาพลัน จงเกณฑ์กันรายประจำบนกำแพง
เอาปืนใหญ่ใส่ป้อมให้พร้อมไว้ ทั้งช่องน้อยช่องใหญ่ให้ขันแข็ง
จงรีบด่วนเร่งรัดไปจัดแจง ประตูแดงลั่นดาลอย่าไว้ใจ
ขุนนางรับพจมานโองการตรัส ก็รีบรัดจัดการสนั่นไหว
เที่ยวเกณฑ์คนวิ่งวุ่นออกขุ่นไป ทุกป้อมใหญ่ให้ฝรั่งขึ้นนั่งราย
มนตรีตรวจการเสร็จสำเร็จแล้ว ก็คลาดแคล้วเข้าไปทูลเนื้อความถวาย
เข้าเฝ้าพร้อมอยู่ทุกหน้าพระยานาย คอยอุบายโองการพระผ่านเมือง
จอมกระษัตริย์ท้าวตรัสปรึกษาศึก ตามบันทึกกิจการบุราณเรื่อง
ขุนนางทูลประเทียบตามเนื้อความเมือง ดำริเรื่องที่จะรับกับไพรี ฯ
๏ ปางพระลักษณวงศ์ผู้ทรงโฉม ครั้นโพยมรุ่งแจ้งอรุณศรี
สั่งให้หาแต่บรรดาหมู่มนตรี พระจึ่งมีพจนารถไปโดยจง
เราจะให้อสุรีเข้าตีประดัง ประเดี๋ยวก็จะพังเป็นผุยผง
แต่หากเกรงทรงฤทธิ์บิตุรงค์ จำจะคงคิดทำให้นํ้านวล
ท่านจงแต่งเรื่องราชอักษร ให้ภูธรเธอส่งอีองค์สงวน
แม้นไม่ส่งองค์นางสำอางนวล ออกมาชวนชนช้างกันกลางคัน
จงแต่งสารราบราบบำราบท้าว จงกลั่นกล่าวให้คารมนั้นคมสัน
ดูกำลังฟังลองทำนองกัน จงจัดสรรสี่ทูตให้จำทูล
มารมนตรีรับสั่งแล้วแต่งสาร ตามโองการภูเบนทร์นเรนทร์สูร
แล้วจัดขุนอสุรีสี่สกูล[๗] ให้จำทูลราชสารใส่พานทอง
แล้วส่งทูตทั้งสี่ออกจากทัพ พากันกลับเฝ้าท้าวแล้วทูลฉลอง
ฝ่ายราชทูตเชิญสารพานประคอง ตามทำนองในทำเนียบระเบียบการ
ถึงประตูเรียกผู้รักษาพลัน ใครอยู่นั่นรับเราผู้ถือสาร
เร็วเร็วเถิดเปิดเหวยเผยทวาร ตามบุราณราชกิจอย่าปิดทาง
นายประตูดูดูก็รู้แน่ ไขประแจเปิดบานทวารผาง
ราชทูตสี่นายไปตามทาง พวกขุนนางมารับไปฉับพลัน
จึงเชิญสารพานทองประคองถนอม เข้าเฝ้าจอมผู้ดำรงมไหศวรรย์
ทั้งสี่ทูตก็ประนมบังคมคัล หมอบอยู่ชั้นห้องกลางขุนนางเนือง
อำมาตย์ถวายสารนิพนธ์จนพระหัตถ์ จอมกระษัตริย์คลี่สารออกอ่านเรื่อง
ในศุภสารว่าพระผ่านบุรีเรือง พระนามเมืองมยุรามหานคร
เป็นปิ่นปักหลักโลกเฉลิมภพ ดิลกลบลือพระฤทธิ์ทุกทิศสยอน
มีพระยศจดฟ้าสถาพร ทุกนครเข็ดขยาดพระเดชา
ทั้งไตรจักรยักษ์มนุษย์สุดสถาน ถวายสารน้อมเศียรทุกทิศา
ใครบ่ต่อรอฤทธิ์อิศรา ทุกพระยาธานีถวายนาง
แต่เมืองนี้เป็นไฉนจึ่งไม่ถวาย พระทัยหมายแค้นเคืองระคางหมาง
บัดนี้มีพระประสงค์อนงค์นาง ที่เป็นอย่างยอดยิ่งสนมใน
จึ่งกรีธาพยุหะมาประชิด จะลองฤทธิ์กันให้เห็นว่าเป็นไฉน
หรือเกรงฤทธิ์จะไม่คิดออกชิงชัย จะยอมให้โฉมยงเร่งส่งมา
แม้นมิส่งองค์สุดาออกมาถวาย จะลอยชายจับนางมาล้างฆ่า
หรือมีฤทธิ์ถือองค์จงออกมา ขึ้นขี่คอไอยรามาชนกัน ฯ
๏ พระทรงสารอ่านสิ้นถวิลหวาด ตรัสประภาษสั่งทูตให้ผายผัน
ท่านจงไปกราบทูลกระษัตริย์พลัน อีกสามวันชนช้างกันกลางแปลง
พระตรัสไปด้วยพระทัยเธอมานะ ในอุระเสียวเสียวสยดแสยง
สะท้านทรวงความโศกนั้นสุดแทง ดั่งศรแย้งยิงเสียดสกนธ์กาย
ราชทูตทูลลาลินลากลับ ไปถึงทัพเข้าทูลเนื้อความถวาย
ว่าพระจอมโลกาเธอท้าทาย ว่าจะชนช้างพลายในสามวัน
ได้ทรงฟังทราบสารพระผ่านภพ คิดจะรบหลอกหลอนทั้งผ่อนผัน
จึ่งตรัสสั่งบรรลัยกัปไปฉับพลัน เมื่อถึงวันเราจะทรงคชาชาญ
จะล่อให้ท้าวไล่ในเชิงล่า ท่านจงพาพวกพหลพลทหาร
กลับเป็นยักษ์รีบเร่งเหาะทะยาน จับอีมารยักษ์มาอย่าฆ่าฟัน[๘]
พระสั่งเสร็จแล้วเสด็จเข้าสู่ที่ ทั้งสองศรีปรีดิ์เปรมเกษมสันต์
พระโอรสมารดาปรึกษากัน ถึงทรงธรรม์ธิบดินทร์นรินทร ฯ
๏ ปางบรมพรหมทัตขัตติเยศ คะนึงเหตุเรื่องราชอักษร
รักพระองค์เกรงด้วยจะม้วยมรณ์ รักสมรมเหสีก็สุดใจ
คิดจะส่งแล้วก็กลับจะคิดสู้ เป็นสุดรู้ที่จะทำอย่างไรได้
คิดจะตายก็เสียดายนางทรามวัย คิดจะให้ก็จะขาดสวาทชม
ให้เชิญโฉมวนิดาเจ้ามาเฝ้า จึ่งตรัสเล่าศุภสารแก่จอมสนม
นี่แลน้องมันทำเป็นเล่ห์ลม แม่ทรามชมเจ้าจะคิดประการใด
นางโฉมงามทูลไปด้วยใจยักษ์ แต่น้องรักก็จะสู้ศัตรูได้
ด้วยรู้มนตร์เชี่ยวชาญชำนาญใจ หัสนัยน์โปรดปรานประทานพร
สาอะไรกับมนุษย์เท่านี้นี่ แต่ยักษียังไม่ทานวิ่งซานซ่อน
น้องจะขอทำการไปแทนกร จะแปลงเป็นภูธรแล้วจรลี
จะทรงช้างชาญสมรกุญชรชาติ ไปตวาดข้าศึกให้แตกหนี
จะวิตกไปไยกับไพรี พระทรงศักดิ์จักรีอย่าตรอมใจ ฯ
๏ พระจอมเมืองฟังมิ่งมเหสี ความยินดีชื่นชอบอัชฌาสัย
ค่อยบรรเทาเบาทุกข์ในพระทัย ดั่งหนึ่งได้น้ำทิพมาสรงองค์
ถึงวันครบตามความสงครามนัด กรุงกระษัตริย์เสด็จออกพระโรงระหง
สั่งให้เตรียมพลรัตน์จัตุรงค์ ทั้งกุญชรช้างทรงที่นั่งพลาย
ประดับด้วยอาภรณ์บวรรัตน์ เศวตฉัตรลอยเลิศดูเฉิดฉาย
ทั้งช้างดั้งช้างเดียงออกเรียงราย พลนิกายคับคั่งทั้งวังใน
ส่วนโฉมยงองค์กัลยายักษ์ เอานํ้าสังข์สรงพักตร์ให้ผ่องใส
ทรงเกราะแก้วเพชรรัตน์อันอำไพ แล้วสอดใส่เครื่องทรงอลงกรณ์
ทรงมงกุฎมรกตอันสดสุก เป็นแววลุกจับพักตร์ประภัสสร
ล้วนแต่ทรงเครื่ององค์พระภูธร โฉมสมรงามเหมือนกระษัตรา
เสด็จเข้าเฝ้าองค์พระทรงราชย์ บังคมบาทอภิวันท์ด้วยหรรษา
ฝ่ายบรมพรหมทัตกระษัตรา พระบัญชารับขวัญไปทันที
แม่อาสาพี่ไปดังใจถวิล เหมือนพระอินทร์ทิ้งจักรมาให้พี่
ขอให้น้องมีชัยแก่ไพรี ระวังองค์จงดีเถิดดวงใจ
เขาเป็นชายฝ่ายน้องนี้เป็นหญิง การศึกยิ่งหลายกระบวนอย่าด่วนได้
อย่าชะล่าหลงละเลิงกระเจิงไป เราก็ใจเขาก็จิตจงคิดเกรง
เป็นมนุษย์เหมือนกันอย่าหมิ่นกัน เสียเชิงชั้นแก้ไขให้เหมาะเหม็ง
พี่จะออกไปประจัญกับมันเอง ไม่กริ่งเกรงฤทธิไกรไอ้ไพรี
พระตรัสพลางจูงนางขึ้นเกยรัตน์ นางโฉมยงทรงสวัสดิ์ขึ้นหัตถี
ทรงพระแสงง้าวงามอร่ามดี ดูท่วงทีเหมือนบุรุษเห็นสุดงาม
พลพร้อมน้อมก้มบังคมคัล โห่สนั่นถ้วนครบคำรบสาม
ได้ฤกษ์เลิกโยธาสง่างาม พฤฒาพราหมณ์แกว่งเคาะบัณเฑาะว์นำ
เสียงฆ้องกลองก้องกึกพิลึกลั่น พัลวันพลวุ่นออกขุ่นคลํ่า
พอทัพกึงพระทวารบันดาลกรรม เป็นลางทำฉัตรกั้นสะบั้นลง
อสุรีตกใจตะลึงนิก ถึงการศึกเศร้าจิตพิศวง
มานะยักษ์ฮักฮึกนึกทะนง ไสคเชนทร์ช้างทรงออกจากวัง ฯ


[๑] สมุดไทยเลขที่๕ ว่า “สองกระษัตริย์ตรัสตรึกปรึกษาสนอง”

[๒] กุลียุค = กลียุค

[๓] บาดหมาย = บัตรหมาย แปลว่า หนังสือเกณฑ์ของทางราชการ

[๔] แมงทับ = แมลงทับ

[๕] ตั้งแต่กลอนวรรคที่ว่า “ขยายพลยกเขยื้อนเคลื่อนขยาย” ถึง “นางอัปสรทั้งสิ้นไม่เกินนาง” แต่งเป็นกลบทครอบจักรวาล

[๖] สมุดไทยเลขที่ ๒ ว่า “เสียงช้างร้องกึกก้องกัมปนาท”

[๗] สกูล = สกุล

[๘] สมุดไทยเลขที่ ๒ ว่า “จับอีมารมัดมาอย่าฆ่าฟัน”

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ