ตอนที่ ๗ ท้าววิรุญมาศรบกับลักษณวงศ์ แล้วต้องศรสิ้นชีพ

๏ จะกลับกล่าวถึงท้าววิรุญมาศ เมื่อไสยาสน์หลับใหลในราชฐาน
ครั้นสุริย์ฉายสายส่องโพยมมาน กุมภัณฑ์พาลฟื้นกายค่อยคลายมนตร์
ทั้งสาวสรรค์แสนสุรางค์ในปรางค์มาศ ต่างประหลาดหลากจิตคิดฉงน
วิสูตรกั้นชั้นในไพชยนต์ เป็นรอยคนฟันขาดประหลาดใจ
ก็จอแจแซ่เสียงนางสาวสรรค์ ท้าวกุมภัณฑ์เพ่งพิศคิดสงสัย
ให้ดูนางโฉมฉายก็หายไป เสียพระทัยท้าวระทดระทวยกาย
แล้วลินลามายังห้องนางโฉมยง ไม่เห็นองค์อรไทยิ่งใจหาย
ทั้งความรักความแค้นแสนเสียดาย ทอดพระกายลงบนแท่นนางกัลยา
ยิ่งคิดยิ่งอาดูรพูนเทวษ ชลเนตรพรั่งพรายทั้งซ้ายขวา
ชิไฉนใครหนอบังอาจมา สะกดพาสายสวาทไปจากวัง
หรือลูกนางเทวีมันมีฤทธิ์ มาตามติดแก้ไขเหมือนใจหวัง
เหลือบเห็นสารที่บานพระแกลบัง ให้แค้นคั่งอ่านตามเนื้อความมี ฯ
๏ ในสาราว่าพระกาลมาผลาญยักษ์ ชื่อพระลักษณวงศ์อันเรืองศรี
มารับองค์พระมารดาในราตรี ให้ยักษีเร่งยกโยธาตาม
ไปทางทิศบูรพาป่าระหง ให้สิ้นโคตรญาติวงศ์ไม่เข็ดขาม
จะคอยรับสัประยุทธ์ในสงคราม แม้มิตามจะมาล้างให้วางวาย ฯ
๏ พอจบสารอ่านสิ้นให้แสนแค้น กระทืบแท่นดั่งฟ้าคะนองสาย
โอ้ลูกเท่าขี้ตามาท้าทาย กูนี้หมายว่าใครที่ไหนมา
จะตามล้างเสียให้วางชีวาวาตม์ แล้วจากอาสน์ออกพระโรงท้าวยักษา
สิงหนาทประกาศสั่งแก่เสนา จงกรีธาพลมารชาญสงคราม
ให้เร่งรัดจัดกันให้ทันแค้น สักสิบแสนที่ชำนาญชาญสนาม
อำมาตย์มารฟังสารรับสั่งความ มาเกณฑ์ตามเทวราชขึ้นฆาตกลอง
เภรีดังกังสดาลสะท้านเสียง สนั่นเพียงโลมหังส์[๑]หนังสยอง
พลพฤนท์ยินเสียงสำเนียงกลอง ก็กึกก้องเกลื่อนกลาดมากลางแปลง
ธรณินดินฟ้าโกลาหล สุริยนอ่อนอับพยับแสง
ล้วนเหี้ยมหาญชาญฤทธิเริงแรง สองมือแกว่งสาตราแลอาวุธ
ทั้งแหลนหลาวง้าวทวนธนูศร กั้นหยั่นโล่โตมรอุตลุด
ล้วนเริงร่านการณรงค์จะยงยุทธ์ ฤทธิรุทรกัดกรามคำรามรณ
เกณฑ์สลับทัพหลวงแลทัพหน้า ทั้งปีกซ้ายปีกขวาดังห่าฝน
เป็นหมู่หมวดตรวจเตรียมอลวน สลับพลเข้าเป็นกระบวนทัพ
พลหน้าดาดาษล้วนดาบดั้ง พลหลังล้วนปืนยืนขยับ
พลเขนเกณฑ์แซงทแยงรับ พลหอกกลอกกลับแล้วแกว่งโยน
พลทวนล้วนขี่สินธพชาติ ดูองอาจเข้าศึกสะอึกโผน
บ้างขี่แพะเลียงผาถลาโจน กระโดดโดนกับมาพลางกลางสงคราม
ได้สิบแสนแน่นนั่งอยู่คั่งคับ จะคอยรับอสุราหน้าสนาม
ผูกพญาคชสารชาญสงคราม ตระหง่านงามแกล้วกล้าสองงาเงย
งวงขยับจับหอกจะออกศึก คอยสะอึกเอาชัยจะไสเสย
ยืนทะยานไม่สะท้านชำนาญเคย มาเทียบเกยคอยเสด็จท้าวกุมภัณฑ์
อันโยธาหน้าหลังก็เสร็จสรรพ มนตรีกลับมาทูลขมีขมัน
ข้าเกณฑ์พวกพลรบไว้ครบครัน จะผายผันยาตราเวลาใด
พณาสูรฟังทูลว่าเสร็จสรรพ เสด็จกลับเข้าปราสาทอันสุกใส
ก็เป็นลางกุมภัณฑ์จะบรรลัย ให้อ่อนใจเซล้มลงกลางปรางค์
นางสาวสรรค์กัลยาบรรดาหญิง ก็หวีดวิ่งเข้าประคองทั้งสองข้าง
ท้าวกุมภัณฑ์พรั่นกายเพียงวายวาง สารพางค์สั่นระรัวดังตีปลา
แล้วแข็งจิตคิดไปใจจะขาด โอ้ประหลาดมาเป็นลางหลากหนักหนา
การณรงค์เห็นคงจะอัปรา ท้าวยักษาแสนสลดระทดใจ
พิศดูสาวสรรค์กำนัลนาฏ วิรุญมาศอสุรานํ้าตาไหล
ฝ่ายสนมกรมนางทั้งปรางค์ใน ก็ร้องไห้แซ่เสียงด้วยโศกี[๒]
พญามารลานโลมนางสาวสรรค์ อย่าโศกาจาบัลย์จงฟังพี่
จะเป็นลางกลางณรงค์เมื่อราวี ศึกเพียงนี้ยังไม่เป็นไรนัก
แต่นาคครุฑภุชงค์อันองอาจ ยังขยาดย่นย่อไม่ต่อศักดิ์
อยู่รักษาปรางค์ทองเถิดน้องรัก แล้วขุนยักษ์ทรงเครื่องอันเรืองพราย
ทั้งเกราะนวมสวมใส่สังวาลรัตน์[๓] พาหุรัด[๔]ทับทรวงประดับสาย
มงกุฎเก็จเพชรแจ่มแวมกระจาย ดูแพรวพรายพร่างพร่างกระจ่างตา
พระหัตถ์ซ้ายกรายแกว่งพระแสงศร คทาธรทรงข้างพระหัตถ์ขวา
พระขรรค์ขัดรัดองค์อลงการ์ ออกยืนหน้าเกยแก้วกุญชรชัย
ทั้งเถ้าแก่แซ่ซ้องนางสาวสรรค์ มาพร้อมกันส่งเสด็จอยู่ไสว
ช้างที่นั่งประทับกับเกยชัย พลไกรตระเตรียมกุมสาตรา
พญายักษ์หนักจิตให้คิดขาม จึงตรัสถามโหรครูรู้ฤกษ์ผา
อันไพรีหนีกูไปบูรพา จะกรีธาทัพตามปัจจามิตร
จะขัดข้องหรือจะคล่องไม่แคล้วคลาด โหราราชจงแสดงให้แจ้งจิต
โหรบังคมก้มกราบพระทรงฤทธิ์ แล้วคูณคิดตามโชคโฉลกวัน
ปีมะเส็งเดือนเก้าเป็นคราวเคราะห์ ถูกจำเพาะทิพมาสจะโศกศัลย์
แรมสบสามค่ำสงัดพฤหัสวัน แจ้งสำคัญเคราะห์กรุงกระษัตรา
จึ่งยอกรอ่อนอุตมางค์เกล้า พระเคราะห์ท้าวถึงสิ้นพระชันษา
ด้วยตกศูนย์คูณต้องชาดชะตา จงรอราหยุดยั้งระวังองค์
อันไพรีมีฤทธิ์เขาคอยรบ ตามจะพบกันที่ในไพรระหง
จะเสียทัพอัปรากลางณรงค์ เป็นมั่นคงคำข้าโหราทาย ฯ
๏ ปางอสุรินทร์ปิ่นภพพณาสูร ได้ฟังทูลคำโหรพระทัยหาย
ทั้งเป็นลางเห็นถูกกับโหรทาย ระทวยกายอยู่บนเกยระกำใจ
กอดพระหัตถ์ทัศนาบรรดาสนม เคยเชยชมแนบชิดพิสมัย
โอ้ตัวตายแล้วจะวายสวาทไป ชลนัยน์คลอเนตรเจ้ากรุงมาร
แต่อาลัยสาวสรรค์มิทันหาย ซํ้าเสียดายปรางค์มาศราชฐาน
ดูละม้ายเมืองแมนแดนวิมาน แก้วประพาฬมรกตทับทิมแกม
ดูเฉิดฉายลายจำลองทองจำหลัก พรหมพักตร์ยอดปรางค์สล้างแหลม
เราบรรลัยใครเลยจะซ่อมแซม จะโรยแรมรักร้างไปห่างเวียง[๕]
เสียดายวังทั้งท้องพระโรงรื่น เคยครึกครื้นแตรสังข์ประดังเสียง
เคยนั่งแท่นพร้อมแสนสุรางค์เรียง อำมาตย์มารหมอบเมียงอยู่มากมูล
ดุริยางค์วังเวงดังเพลงสวรรค์ เราอาสัญสารพัดจะขาดสูญ
ทั้งสาวสรรค์เสนาจะอาดูร จะเพิ่มพูนทุกข์เทวษทุกวันคืน
เสียดายแต่บัลลังก์ที่นั่งเย็น เคยนั่งเล่นลมเฉื่อยระเรื่อยรื่น
จะสูญสิ้นโศกเศร้าไม่ยาวยืน ไม่ครึกครื้นแฝกแขมขึ้นแซมรก
ยิ่งเศร้าหมองตรองตรมอารมณ์ตรึก คะนึงนึกแล้วก็น่านํ้าตาตก
โอ้นับวันแล้ววังจะร้างรก ใครจะยกเมืองยักษ์เห็นสุดคิด
เสียดายวังแล้วยังเสียดายยศ ครั้นจะงดสงครามมิตามติด
ก็อับอายเทวาสุราฤทธิ์ ทศทิศก็จะหมิ่นประมาทพลอย
เมื่อถึงกรรมจำวายชีวาวาตม์ เป็นชายชาติช้างงาไม่ราถอย
ขึ้นทรงคอคชสารตระหง่านลอย พยุหะคอยโห่ลั่นขึ้นสามลา
ได้ฤกษ์ดีตีฆ้องพิชัยฤกษ์ ท้าวก็เลิกกองทัพขึ้นเวหา
อากาศกลุ้มคลุ้มมืดในเมฆา ทั้งดินฟ้าเลื่อนลั่นสนั่นบน
ยมนาสาครบรรเลงคลื่น มัจฉาตื่นกลอกกลับอยู่สับสน
พญายักษ์ทรงช้างมากลางพล ก็เกลื่อนกล่นกลาดกลุ้มในเมฆี
ออกจากเมืองมยุราถึงป่าชัฏ ทุกสิงสัตว์ซอกซอนสัญจรหนี
ต้นยูงยางกลางดงเป็นผงคลี พวกยักษีแผลงฤทธิ์นิมิตกาย
บ้างเข่นเขี้ยวเคี้ยวกรามคำรามเสียง ดังเปรี้ยงเปรี้ยงเหมือนอสนีคะนองสาย
สาตราแกว่งแสงปลาบวะวาบพราย พลนิกายรีบไปในอัมพร
เที่ยวค้นคว้าหาไปในไพรสัณฑ์ มาเกือบใกล้เขาประจันตสิงขร
จะกล่าวถึงหน่อกระษัตริย์กับอัสดร ขึ้นหยุดหย่อนอยู่บนยอดคิรีวัน
เห็นมืดกลุ้มคลุ้มมาในอากาศ ดูเกลื่อนกลาดกลบแสงพระสุริย์ฉัน
กระหี่มเสียงเพียงลมสลาตัน ก็หมายมั่นแม่นแท้ว่าทัพชัย
บอกพญาม้าทรงอันองอาจ วิรุญมาศยกมาหรือไฉน
ม้าที่นั่งฟังสารแล้วแลไป เห็นธงชัยริ้วริ้วเป็นทิวมา
จึงทูลลักษณวงศ์ผู้ทรงโฉม กลางโพยมโน่นยักษ์มาหนักหนา
ริ้วริ้วทิวธงมันตรงมา อสุรานับแสนแน่นอัมพร
จงเตรียมองค์ทรงเครื่องอาวุธไว้ ประเดี๋ยวใจมันจะมาถึงสิงขร
พระฟังเตือนเยื้อนยิ้มกับอัสดร แล้วทรงศรพระขรรค์อันฤทธี
ขึ้นพญาม้าทรงอันองอาจ เผ่นผงาดยืนยอดคิรีศรี
ไม่หวาดหวั่นพรั่นใจด้วยไพรี จะต่อตีกุมภัณฑ์ประจัญบาน ฯ
๏ ฝ่ายทหารทัพหน้าพญายักษ์ ไม่หยุดพักรีบไปในไพรสาณฑ์
แลเห็นหน่อกระษัตราอาชาชาญ ยืนทะยานเหยียบยอดคิรีวัน
ก็โห่ร้องเรียกกันอุตลุด ปะมนุษย์แล้วระวังให้กวดขัน
ทั้งทัพหน้าทัพหลังประดังกัน ก็ล้อมรอบเขาประจันตคิรี ฯ
๏ ฝ่ายพญาอสุราวิรุญมาศ เผ่นผงาดมาถึงยอดคิรีศรี
แลเห็นหน่อกระษัตรากับพาชี อสุรีจำแน่ว่าลูกนาง
ให้แหวกทัพขับช้างเข้ามาใกล้ ดีพระทัยตบพระหัตถ์อยู่ผางผาง
แกล้งปราศรัยไถ่ถามเนื้อความพลาง ไหนเล่านางที่เจ้าไปพามา
นิจจาเจ้าเบาใจกระไรหนอ เสียแรงพ่อปลงรักเป็นหนักหนา
หรือน้อยใจว่าเข้าไปถึงพารา พ่อไม่มารับตามประเพณี
เมื่อหลับอยู่มิได้รู้จริงจริงเจ้า อย่าโศกเศร้าขัดข้องให้หมองศรี
ขอเชิญแก้วแววตาไปธานี อย่าราคีคิดแคลงระแวงความ ฯ
๏ ปางพระลักษณวงศ์ได้ทรงฟัง ให้แค้นคั่งตรัสตอบด้วยหยาบหยาม
ว่าเหวยเหวยอสุราไอ้บ้ากาม ช่างลวนลามพูดจาหน้าไม่อาย
พระชนนีมีศักดิ์ดั่งเหมราช มึงเหมือนชาติเช่นกาอย่ามาหมาย
แต่บาทาหน้ามึงมิได้กราย ไม่มีอายอาจเอื้อมอหังการ์
มึงถึงกรรมจำตายวันนี้แล้ว พระขรรค์แก้วกูจะตัดเอาเกศา
อีกแสนโกฏิโคตรมึงเร่งขับมา อสุรามิได้รอดไปเมืองมาร ฯ
๏ ปางพญาอสุรินทร์ได้ยินคำ ให้เจ็บช้ำหฤทัยดั่งไฟผลาญ
ตวาดก้องร้องเหม่ไอ้สามานย์ จองหองหาญฮึกเหี้ยมไม่เจียมตน
เมื่อเล็กเล็กสักเท่าเล็นทำเข่นเขี้ยว ดูแรงเรี่ยวเหมือนแมงวัน[๖]ไม่คันขน
พลางสั่งทัพขับพวกกุมภัณฑ์พล โจมประจญจับตัวกุมารา
พลมารผลาญแผลงสำแดงฤทธิ์ กระชั้นชิดแล่นโลดโดดถลา
เสียงพิลึกกึกก้องเป็นโกลา[๗] กุมาราทรงพระขรรค์เข้าฟันฟอน
เสียงฉับฉาดฟาดซ้ำเข้าเฉาะฉะ ตายระดะกลาดกลิ้งริมสิงขร
บ้างหันเหเซล้มระเนนนอน อัสดรโดดขึ้นโพยมบน
ยักษ์กระโจมโถมไล่ตะลุมล้อม เข้าพรั่งพร้อมสาตราดั่งห่าฝน
วลาหกผกโผนโจนประจญ ฤทธิรณแผดร้องคะนองโจน
เข้าโขกขบหลบโลดกระโดดดีด ไอ้ยักษ์กีดปากกัดสะพัดโผน
กระทืบถีบโถมถาถลาโจน กระโดดโดนพลมารไม่ทานฤทธิ์
บ้างเจ็บจุกถูกตายลงนับแสน บ้างขาแขนคอหักลงอักนิษฐ์
ยังทัพหนุนรุนกันกระชั้นชิด พระทรงฤทธิ์น้าวแผลงพระแสงทรง
ดั่งกระเดื่องเปรื่องเปรี้ยงเสียงสนั่น ผลาญกุมภัณฑ์พลมารเป็นผุยผง
บ้างตกตึงผึงผางลงกลางดง จัตุรงค์แตกยับทั้งทัพชัย
พญายักษ์คั่งแค้นแสนพิโรธ เห็นรากโษสพลขันธ์นั้นตักษัย
กระทืบไสคชสารอันชาญชัย เข้าโลดไล่บุกบั่นประจัญบาน
หน่อกระษัตริย์ชักอัสดรรับ ยืนขยับเหยียบงาคชสาร
ชักพระขรรค์ฟันฟาดเจ้ากรุงมาร ดังสะท้านตกสะท้อนธรณี
พญามารปานปิ้มจะม้วยมิด ค่อยแข็งจิตอ่านเวทของยักษี
ที่เจ็บกายหายสิ้นทั้งอินทรีย์ อสุรีกลับเหาะขึ้นเมฆา
ทรงพญาคชสารชาญกำแหง โก่งพระแสงศรทรงของยักษา
แผลงสนั่นลั่นโลกด้วยฤทธา เป็นนาคานับแสนแน่นอัมพร
จะขบกัดรัดรวบเอาสินธพ เลี้ยวตระหลบโลดลอยแลสลอน
แกว่งพระขรรค์กันองค์กับอัสดร แล้วน้าวศรวางแผลงพระแสงพลัน
เป็นครุฑราชผาดผยองทะยานจิก ขยับหยิกเหยียบแย่งขยับหัน
ปีกกระพือมือรวบภุชงค์พลัน นาคก็อันตรธานด้วยครุฑา
ราพณ์ร้ายน้าวสายแล้วแผลงศร เป็นเพลิงร้อนเริงรุ่งพระเวหา
วาบเปลวไฟไหม้โพลงในเมฆา กุมาราวางศรไปรอนราญ
เป็นฝนฟุ้งฟูมฟายกระจายสาด ดังฟ้าฟาดเปรี้ยงเปรี้ยงเสียงประหาร
ฝนระงับดับไฟบรรลัยลาญ เจ้ากรุงมารแสนแค้นแน่นพระทัย
ทะลวงโลดโดดด้วยกำลังยักษ์ ตีพระลักษณวงศ์สนั่นไหว
หน่อกระษัตริย์ปัดป้องด้วยว่องไว ฤทธิไกรแคล้วคลาดแก่สาตรา
พระขึ้นศรน้าวสายหมายประหาร แล้วแผลงผลาญถูกองค์ท้าวยักษา
ศรกระจายปรายปรุทั้งกายา ไอยราขาดใจบรรลัยลาญ
ตัวพญาอสุราวิรุญมาศ ก็เซพลาดจากคอคชสาร
กระเด็นผางตกกลางสุธาธาร แต่ขุนมารยังไม่ม้วยชีวาลา
ดำรงกายร่ายเวทวิเศษขลัง ก็ติดดั่งกายเดิมของยักษา
เสียดายช้างพระที่นั่งหลั่งนํ้าตา อสุราร่ำรักกุญชรชัย
นิจจาเอ๋ยเคยขี่เป็นคู่ชีพ สี่ทวีปย่อมขยาดอยู่หวาดไหว
ครั้งนี้กลับอัปราอรินภัย โอ้ที่ไหนจะชนะสงครามมัน
แล้วแข็งจิตคิดอายเป็นชายชาติ เผ่นผงาดด้วยกำลังดั่งกังหัน
เข้ายืนกลางพลมารชาญฉกรรจ์ ท้าวกุมภัณฑ์ตรัสสั่งแก่เสนา
มึงแปลงกายเปลี่ยนกูอยู่สู้รบ กูจะหลบหลีกไปในเวหา
เอ็งอยู่หลังเข้าประดังตีประดา แล้วล่อล่าเลิกทัพไปตามกัน
แต่ตัวกูจะเข้าอยู่กลีบอากาศ[๘] คิดพิฆาตข้าศึกให้อาสัญ
แล้วขุนมารอ่านมนตร์กำบังพลัน เหาะเข้าดั้นกลีบเมฆให้ลับตา
อำมาตย์มารลานแลจนลับเนตร จึงอ่านเวทแปลงรูปของยักษา
ไม่คลาดเคลื่อนเหมือนองค์อสุรา ทำศักดาขบฟันเข้าฟันฟอน
พลกุมภัณฑ์ให้ขยั้นขยาดฤทธิ์ ไม่อาจชิดใกล้องค์พระทรงศร
พระโฉมยงทรงสวัสดิ์กับอัสดร ฤทธิรอนไล่ล้างมากลางแปลง
เสียงศรแผลงแครงโครมโพยมมาศ ดั่งฟ้าฟาดเปรี้ยงปร้างสว่างแสง
พวกพหลพลมารไม่ทานแรง ก็พลัดแพลงหลีกหลบกระทบกัน ฯ
๏ ฝ่ายทหารมารร้ายรูปนิมิต เห็นสุดฤทธิ์โยธาจะอาสัญ
ก็เอิกเกริกเลิกทัพให้กลับพลัน เสียงสนั่นดินฟ้าพนาลี
ประเดี๋ยวใจไปลิบจนแลลับ ทั้งกองทัพพวกพลของยักษี
หน่อกระษัตริย์อัสดรก็ยินดี ลงหยุดยอดคีรีสำราญกาย
พระปรึกษาม้าทรงด้วยการศึก พี่ช่วยตรึกตรองการประมาณหมาย
อันยักษีหนีรอดไม่วอดวาย จะสูญหายหรือว่าทัพจะกลับมา
อัสดรสอนองค์พระทรงฤทธิ์ อย่าวางจิตกลศึกไอ้ยักษา
ประเดี๋ยวยักษ์มันจะหนักกว่าก่อนมา พ่ออุตส่าห์ตรึกการจะราญรอน
กุมารลักษณวงศ์ผู้ทรงโฉม ตรัสประโลมมิ่งม้าสโมสร
ทีนี้มาแล้วจะฆ่าให้ม้วยมรณ์ อัสดรอย่าได้พรั่นกุมภัพฑ์พาล
แล้วนั่งเล่นเย็นสบายพระพายพัด กับกัณฐัศว์แย้มสรวลเกษมศานต์
จะกล่าวถึงโยธาพญามาร อลหม่านเลิกทัพไปลับตา
มาพบองค์ทรงฤทธิ์วิรุญมาศ ก็เกลื่อนกลาดอยู่ในกลีบพระเวหา
เจ้ากรุงมารตรัสการแก่เสนา จะคิดฆ่าไพรินให้สิ้นปราณ
กูจะแกล้งแปลงกายเป็นโกสีย์ ขุนเสนีจงนิมิตเป็นคชสาร
พลกุมภัณฑ์นั้นแปลงเป็นบริวาร พนักงานขับรำระบำกราย
ทั้งหน้าหลังสั่งกันให้พร้อมจิต แม้นสมคิดวางศรประหารสาย
เห็นจะดีมีชัยด้วยง่ายดาย จงแปลงกายเสียให้ทั่วทุกตัวตน ฯ
๏ ขุนอำมาตย์รับราชบรรหาร ก็จัดการกองทัพอยู่สับสน
ข้างหน้าช้างให้มีนางระบำกล เข้าระคนกับเทเวศถวายกร
ทั้งสองข้างดุริยางคพิณพาทย์ เทวราชฤทธิรงค์องค์อัปสร
ต่างคนต่างนิมิตด้วยฤทธิรอน เป็นรูปเทพอัปสรกัลยา
แล้วมนตรีมีฤทธิ์นิมิตพลัน เป็นช้างเอราวัณอันเลขา
ทั้งสามเศียรสามหางสำอางตา อลังการ์เครื่องประดับมณีดี
เหมือนช้างทรงองค์ท้าวสหัสเนตร งามวิเศษใหญ่ยิ่งคิรีศรี
ในลำงาคชสารประมาณมี สระโบกขรณีในงางอน
ในสระศรีมีบัวขึ้นเจ็ดดอก ดอกหนึ่งออกเจ็ดกลีบทรงเกสร
กลีบหนึ่งมีนางฟ้าพะงางอน ร่ายรำฟ้อนอยู่ในกลีบทั้งเจ็ดองค์
องค์หนึ่งบริวารประมาณเจ็ด ก็พร้อมเสร็จสุดงามตามประสงค์
วิรุญมาศขุนมารชาญณรงค์ ก็แปลงองค์เหมือนอมรินทรา
ถือธำมรงค์ทรงสร้อยสังวาลย์สังข์ ขึ้นนั่งหลังคชสารด้วยหรรษา
สะพรั่งพร้อมล้อมล้วนแต่เทวา สาวสวรรค์กัลยาประคองเคียง
ก็ยกทัพกลับเกลื่อนมากลางเมฆ ฟังวิเวกแตรสังข์ประดังเสียง
ดุริยางค์วังเวงเพลงจำเรียง สอดสำเนียงขับร้องบำเรออินทร์
ถึงที่รบพบองค์พระทรงศักดิ์ พญายักษ์สมจิตคิดถวิล
ให้เทวาบริวารประสานพิณ จับระบำรำบินอยู่เบื้องบน ฯ
๏ ปางพระลักษณวงศ์พงศ์กระษัตริย์ กับกัณฐัศวแลแหงนแสนฉงน
เห็นเทเวศนางสวรรค์อยู่ชั้นบน ที่กลางพลองค์เพชรปาณี
ธำมรงค์ทรงข้างพระหัตถ์ขวา ทรงเอราวัณราชหัตถี
พระเคลิ้มองค์หลงอินทร์ด้วยยินดี แต่พาชีแสนฉลาดประหลาดใจ[๙]
ไม่วางจิตพิศดูหมู่เทเวศ ก็แจ้งเหตุกลศึกไม่สงสัย
เห็นเขี้ยวแก้วแวววาวราวกับไฟ ก็ตกใจทูลเตือนกุมารา
อย่าแลหลงมิใช่องค์พระอินทร์ดอก เขี้ยวมันงอกอยู่ในโอษฐ์ของยักษา
มันกลับแกล้งแปลงกายเป็นกลมา อย่านิ่งช้าเชิญแผลงพระแสงทรง ฯ
๏ พระฟังสารลานแลเห็นแน่นัก รู้ว่ายักษ์ล่อลวงให้ลุ่มหลง
ให้คั่งแค้นแน่นทรวงพระโฉมยง เอาศรทรงอธิษฐานประสานกร
เดชะคุณพ่อตามหาเมฆ อดิเรกเรืองฤทธิ์ประสิทธิ์ศร
แม้นองค์อินทร์ศิลป์ชัยอย่าราญรอน ขอให้ศรกลับกลายเป็นมาลา
แม้นยักษ์ร้ายกายแปลงอย่าแคลงคลาด ให้ตรึงตราดตรงทรวงท้าวยักษา
แล้วผาดแผลงศรทรงมหึมา ถูกอสุราราพณ์ร้ายกายกระดอน
กระเด็นจากคชสารสะท้านลั่น กายกุมภัณฑ์ตกผางกลางสิงขร
ลิ้นกำลังยังแต่ใจอยู่รอนรอน ยกพระกรตรัสเรียกเสนาใน
ฝ่ายสุรางค์นางรำบำเรอราช แลเห็นท้าววิรุญมาศจะตักษัย
บ้างหนีหายกลายกลับเป็นยักษ์ไป บ้างร้องไห้เหาะลงในพงพี
ที่พวกยักษ์รักเจ้าก็เศร้าจิต ประคองชิดพยุงองค์ท้าวยักษี
เจ้ากรุงยักษ์พักตร์เผือดไม่สมประดี พระอินทรีย์เลือดโซมชโลมองค์
จะสั่งพลมนตรีก็สุดสั่ง สิ้นกำลังสิ้นเสียงสุดประสงค์
สิ้นกุศลผลกรรมมาจำนง ก็ปลดปลงขาดใจบรรลัยลาญ
ฝ่ายพวกพลโยธาบรรดายักษ์ ร้องไห้รักอสุราน่าสงสาร
แล้วอำมาตย์มาตยาเสนามาร ก็ก้มกรานกราบหน่อกระษัตรา
ขอเชิญองค์ทรงฤทธิ์อิศเรศ ไปปกเกศครอบครองเมืองยักษา
เป็นปิ่นปักยักษ์มารทั้งพารา เป็นมหาเอกกระษัตริย์อสุรี ฯ


[๑] โลมหังส์ แปลว่า ขนพอง

[๒] สมุดไทยเลขที่ ๑๔ ว่า "ก็ร้องไห้แซ่เสียงทุกนารี

[๓] สมุดไทยเลขที่ ๒ ว่า “ทั้งเกราะนวมสวมใส่สังวาลช่วง

[๔] พาหุรัด แปลว่า ทองรัดแขน กำไลแขน

[๕] สมุดไทยเลขที่ ๒ ว่า “จะโรยแรมร้างไกลไปจากเวียง”

[๖] แมงวัน = แมลงวัน

[๗] สมุดไทยเลขที่ ๑๔ ว่า “เสียงพิลึกกึกก้องลั่นโลกา

[๘] กลีบอากาศ = กลีบฟ้า แปลว่า เมฆ

[๙] สมุดไทยเลขที่ ๒ ว่า “แต่พาชีแสนฉลาดให้หวาดใจ”

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ