พิธีศิวาราตรี

๏ ส่วนการพิธีของพราหมณ์ ซึ่งเรียกว่าศิวาราตรี ซึ่งเป็นพิธีมีมาแต่โบราณ จะขาดสูญเสียแต่ครั้งใดก็ไม่ปรากฏ ตั้งแต่ตั้งกรุงรัตนโกสินทรนี้มายังไม่เคยทำ พึ่งมามีขึ้นในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในหมู่กริ้วพระสงฆ์ว่าไม่ทำปวารณาและไม่ทำอุโบสถในวันอุโบสถ เป็นการละเลยข้อสำคัญตามวินัยบัญญัติเสีย ซึ่งจะได้กล่าวต่อไปในเดือนสิบเอ็ด

ส่วนพิธีศิวาราตรีนี้ เป็นพิธีลอยบาปของพราหมณ์คล้ายๆ มหาปวารณา จึงโปรดให้ทำตามธรรมเนียมเดิม พิธีนี้ทำในเดือนสามขึ้น ๑๕ ค่ำ คือเวลาค่ำพระมหาราชครูทำพิธีเริ่มแต่กระสูทธิ์อัตมสูทธิ์ตามแบบเหมือนพิธีทั้งปวง แล้วเอาเสาปักสี่เสา เชือกผูกคอหม้อโยงเสาทั้งสี่ ภายใต้หม้อตั้งพระศิวลึงค์ เจาะหม้อให้น้ำหยดลงมาได้ทีละน้อย เอาขลังสอดไว้ในช่องหม้อที่เจาะนั้นเฉพาะตรงพระศิวลึงค์ ให้น้ำหยดลงถูกพระศิวลึงค์ทีละน้อยแล้วไหลลงมาตามรางซึ่งรองรับพระศิวลึงค์ ซึ่งพราหมณ์ในประเทศอินเดีย ซึ่งข้าพเจ้าเคยไปเห็นเรียกว่าโยนิ แล้วมีหม้อรองที่ปากรางนั่น เติมน้ำและเปลี่ยนหม้อไปจนตลอดรุ่ง เวลาใกล้รุ่งทำพิธีหุงข้าวหม้อหนึ่งในเทวสถาน เจือน้ำผึ้งน้ำตาลนมเนยและเครื่องเทศต่างๆ สุกแล้วแจกกันกินคนละเล็กคนละน้อยทุกคนทั่วกัน พอได้อรุณก็พากันลงอาบน้ำในคลอง สระผมด้วยน้ำที่สรงพระศิวลึงค์ ผมที่ร่วงในเวลาสระนั้นเก็บลอยไปตามน้ำ เรียกว่า ลอยบาป เป็นการเสร็จพิธีศิวาราตรีในวันเดียวนั้น แต่การพิธีนี้ไม่มีของหลวงพระราชทาน เป็นของพราหมณ์ทำเอง เมื่อพิเคราะห์ดูการที่ทำนี้เห็นว่าจะเป็นการย่อมาเสียแต่เดิมแล้ว

ในเมืองเบนนารีส คือเมืองพาราณสี ซึ่งข้าพเจ้าเคยไปเห็นเองในที่นั้น เบื้องหน้าแต่เวลาจวนอรุณ พราหมณ์ทั้งปวงนับด้วยพันคน มีหม้อทองเหลืองคนละใบทูนศีรษะเดินลงไปริมฝั่งแม่น้ำคงคา นั่งที่แท่นก่อบ้าง ก้อนศิลาในน้ำบ้าง เอาหม้อทองเหลืองตักน้ำขึ้นมาเสกบ่นแล้วบ้วนปากล้างหน้า เสกอะไรต่อไปอีกหน่อยหนึ่ง แล้วโดดลงในน้ำดำศีรษะลงในน้ำสามครั้ง แล้วควักดินที่ท่านั้นมาถูตัวแทนสบู่ เวลาจะถูก็บริกรรมคาถาอะไรอีกแล้วอาบน้ำล้างตัวหมดจดนุ่งผ้าห่มผ้า เอาหม้อทองเหลืองตักน้ำทูนศีรษะเดินมาที่วัดพราหมณ์ ในวัดนั้นมีที่ไว้เทวรูป สัณฐานเหมือนปรางค์อย่างโบราณ มีมุขยื่นออกมา ที่มุขนั้นพราหมณ์หรือฤๅษีกลายๆ ยืนอยู่ มีพวงมาลัยดอกดาวเรืองร้อยสวมดอกกองอยู่เป็นอันมาก ที่รอบบริเวณเทวสถานนั้นมีเป็นระเบียงคล้ายพระระเบียงล้อมรอบ ในระเบียงนั้นมีโคสีเทาๆ คล้ายกับที่เชระนี[๑]เอามาเล่นเซอคัส ล่ามแหล่งไว้หลายตัว ในลานตั้งแต่เทวสถานถึงระเบียงรอบนั้นประมาณสัก ๑๐ วาโดยรอบ เต็มไปด้วยศิวลึงค์ตั้งอยู่บนฐานที่เรียกว่าโยนิ สูงตั้งแต่ ๕ นิ้ว ๖ นิ้วขึ้นไปจน ๒ ศอก เศษ ๒ ศอก หลายร้อยจนนับไม่ถ้วน ที่อย่างเล็กๆ เพียงนิ้วหนึ่งสองนิ้ว ตั้งไว้บนฐานบัทม์ของเทวสถานก็มีโดยรอบ หล่อด้วยทองเหลืองก็มี ทำด้วยศิลาก็มี เมื่อคนที่เข้าไปพอถึงประตูเทวสถาน ท่านฤๅษีหรือพราหมณ์ผู้ใหญ่ที่อยู่บนมุขเทวสถานนั้นโยนพวงมาลัยดอกดาวเรืองมาเฉพาะสวมคอทุกครั้ง เมื่อข้าพเจ้าไปนั้นไม่รู้ตัวว่าจะเล่นกันอย่างไร เป็นแต่บอกว่าถ้าจะเข้าไปดูต้องถอดรองเท้า ขุนนางอังกฤษที่เป็นผู้พาไปนั้นก็ต้องยอมถอดรองเท้าเข้าไปเหมือนกัน พอโผล่ประตูเข้าไปรู้สึกว่าอะไรหวิวลงมาที่หัว แลดูเห็นพวงมาลัยดอกดาวเรืองสวมคออยู่แล้ว ยังไม่รู้ว่ามาจากแห่งใด ต่อคนที่ตามเข้าไปภายหลังได้รับพวงมาลัยนั้นอีก จึงได้เห็นว่าท่านฤๅษีคนนั้นขว้างแม่นอย่างเอก ถี่เร็วฉับๆ ไม่ได้ขาดมือเลย เห็นคนที่เข้าไปก่อนๆ นั้น เอาน้ำในหม้อทองเหลืองที่ทูนศีรษะไปรดศิวลึงค์ แล้วเอาหม้อใบนั้นเองรองน้ำที่ไหลทางรางแล้วเดินทูนศีรษะกลับออกมา ในพื้นลานเทวสถานนั้นเป็นน้ำนองเปรอะไปทั้งสิ้น บางคนจึงจะไปไหว้วัว แต่ที่เข้าไปรดน้ำแล้วกลับนั้นมีโดยมาก ถามได้ความว่าศิวลึงค์ที่มากแน่นเต็มไปเช่นนี้ สุดแต่เกิดมาเป็นพราหมณ์พวกนั้นแล้วต้องสร้างศิวลึงค์รูปหนึ่งๆ ทุกคนสำหรับที่จะรดน้ำสระหัว วัดหรือเทวสถานเช่นนี้ในเมืองเบนนารีสมีหลายสิบแห่ง มักจะตั้งอยู่ริมๆ น้ำ กว้างบ้างแคบบ้าง สูงบ้างต่ำบ้าง แต่ท่วงทีคล้ายๆ กันทั้งนั้น ครั้นเมื่อกลับออกมาจากที่นั้นแล้ว เห็นตามทางกำลังหุงข้าวเกือบจะทุกแห่ง หุงด้วยหม้อทองเหลืองใบนั้นเอง คนหนึ่งก็หุงหม้อหนึ่ง กินคนเดียวไม่ปะปนกับผู้ใด เรื่องที่อาบในแม่น้ำนี้ ถึงตัวมหารายาเบนนารีสเอง และสนมกำนัลก็ต้องลงอาบเหมือนกัน ตัวท่านมหารายาได้เล่าให้ข้าพเจ้าฟังเอง ที่จะอาบนั้นใช้เรือขนานศีรษะเป็นรูปสัตว์ คล้ายกับที่รับข้าพเจ้าข้ามฟากไปที่รามนครซึ่งเป็นที่วัง แต่ฟังดูตามเล่านั้นเห็นจะเป็นการนุ่งกันได้บ้างดังโรเรไม่ทุกวัน หรือจะใช้หนี้คล้ายอัชชะมะยาได้บ้างอย่างไรไม่ทราบเลย พิธีศิวาราตรีนี้คงจะมาจากเรื่องนี้นี่เอง ถึงเรื่องหุงข้าวก็เป็นอาหารอร่อยของชาวอินเดีย ซึ่งข้าพเจ้าได้เคยไปกินเลี้ยงแล้วนั้นเอง ได้ถามดูรสชาติที่พระมหาราชครูก็บอกว่ากลืนไม่ใคร่ลง เพราะพราหมณ์พวกนี้เป็นไทยเสียแล้ว จึงต้องย่อพิธีด้วยความประพฤติแปลกกัน จึงได้กลายเป็นพิธีตามที่คนชั้นใหม่ๆ เช่นเราเข้าใจว่าเป็นการต่างว่าหรือย่อๆ ดังนี้ ๚

[๑] เป็นฝรั่งชาติอิตาลี เจ้าของละครม้า

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ