หลักสำคัญของธนาคารชาติ

(คัดจากหนังสือพิมพ์ ‘ศรีกรุง’ วันที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๘)

ธรรมดาของธนาคารนั้น หลักการสำคัญควรจะทำตัวให้มีผู้เชื่อถือไว้วางใจอย่างเที่ยงตรง โดยเหตุที่ธนาคารต้องอาศัยจำนวนเงินฝาก เป็นกระแสรายวัน หรือรายปี หรือเป็นคลังใหญ่สำหรับเก็บเงินของผู้ฝาก จนกว่าจะถึงเวลาที่เขาจะต้องการกลับคืนไปใช้ เพื่อจะหากำไรมาแบ่งปันกันในระหว่างผู้ถือหุ้นส่วนนั้น ธนาคารจำเป็นจะต้องพยายามจำหน่ายเงินฝากนี้ออกค้ากำไรทุกทาง ค้ากำไรอยู่แต่ในวงการของธนาคาร หรือตามข้อบังคับซึ่งรัฐบาลจะได้ออกกฎหมายควบคุมธนาคารนั้น ไม่ให้จ่ายเงินทุนของธนาคารมากเกินไป การที่รัฐบาลจะต้องป้องกันไม่ให้ธนาคารเสียหายขาดทุนเพราะความโลภ เมื่อธนาคารต้องขาดทุนล้มละลายไปแล้ว ความขาดทุนนี้จะกระทบกระเทือนพลอยให้ราษฎรทั้งแผ่นดินล่มจมไปตามกัน ตามร่างของโครงการธนาคารชาติหรือธนาคารกลาง ที่พระยาสุริยายานุวัตรได้ร่างขึ้นไว้นั้น มีข้อบังคับไว้ในสัมปทานโดยฉะเพาะว่า จะค้าขายได้อย่างใดบ้าง และห้ามไม่ให้ค้าขายอย่างใดบ้าง กล่าวคือ ไม่ให้ธนาคารซื้อหุ้น หรือลงทุนเพื่อรับจำนอง หรือซื้อที่ดิน, บ้าน, ที่นา, พื้นที่ทำการเพาะปลูก, ป่าไม้, เหมืองแร่, การประมง หรือการค้าขายซึ่งอาจจะอับปางลงในทะเล กระทำให้ทุนก้อนใหญ่ของราคาเรือนั้นสาบสูนย์ไปได้ เมื่อมีข้อบังคับป้องกันความเสียหายของธนาคารลงไว้ดังที่กล่าวมาแล้ว ก็เป็นการที่จะเชื่อได้ว่าธนาคารแห่งชาติจะถาวรอยู่ได้ชั่วกัลปาวสาน.

นอกจากที่กล่าวมาแล้ว รัฐบาลจะต้องถือหุ้นด้วยกึ่งหนึ่ง หรือเกินกว่านั้นในจำนวนหุ้นทั้งสิ้น ข้อนี้ก็เป็นการรับประกันได้แน่นอนแล้วว่ารัฐบาลรับประกันอยู่เต็มที่ เว้นเสียแต่จะมีเหตุร้ายแรงที่พ้นวิสัยของมนุษย์จะป้องกันได้ เช่นความอิสสรภาพของเผ่นดินจะต้องศูนย์สิ้นไป เพราะสู้ข้าศึกปัจจามิตร์ไม่ได้ กรุงสยามเป็นประเทศเอกราช และมีอิสสรภาพอยู่ตราบใด ธนาคารของชาตินั้นก็อาจจะอยู่ไปได้ตราบนั้น เมื่อไปถึงการเช่นนี้แล้ว ก็จะต้องเป็นหน้าที่ของปวงชนราษฎรทั้งแผ่นดินช่วยกันป้องกันความอิสสรภาพได้จนสุดกำลัง และในการป้องกันอิสสรภาพของแผ่นดินนั้น ต้องอาศัยกำลังกองทัพบก กองทัพเรือ และกองอากาศยานเป็นอาวุธสำคัญที่ควรต้องมี และตระเตรียมขึ้นไว้อยู่เสมอ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหลายจำเป็นจะต้องผ่อนผันยินยอมพร้อมใจอนุญาตเงินให้รัฐบาลมีใช้สำหรับการป้องกันความอิสสรภาพของชาติโดยสะดวก เพราะถ้าเราป้องกันความอิสสรภาพของชาติไว้ไม่ได้แล้ว เราก็ป้องกันตัวของเราให้พ้นหายนะไปไม่ได้เหมือนกัน รัฐธรรมนูญของเราที่จัดตั้งให้กรุงสยามเป็นประเทศปรมิตตาญาสิทธิ พระมหากษัตริย์อยู่ใต้บังคับของรัฐธรรมนูญนั้น ผิดกับเมื่อครั้งสมบูรณาญาสิทธิที่พระมหากษัตริย์ทรงอำนาจเหนือกฎหมายแผ่นดิน จะทำอะไรก็ทำได้ตามพลการ ใจความแน่นอนมั่นคงของรัฐธรรมนูญมีเช่นนี้ นับวันต่อไปก็ยิ่งจะนำความเจริญมาสู่ปวงชนราษฎรให้ดียิ่งขึ้นเสมอไป.

เศรษฐกิจที่จะมีการเมืองมาปะปนอยู่ด้วยนี้ จึงเป็นเรื่องที่คนสามัญไม่ใช่นักเรียนเศรษฐกิจและการเมืองจะเห็นว่าสับสนยุ่งยากมาก.

ธนาคารทั้งหลายมีอำนาจตามกฎหมาย ที่จะใช้ความเชื่อหนี้ของเขาก่อสร้างเงินทุนใช้หมุนเวียนแทนเงินทองได้ในวงข้อบังคับของรัฐบาลเต็มที่ และโดยมากการค้าของธนาคารนั้น ก็จะมีอยู่เพียงที่จะช่วยส่งเสริมให้พวกพ่อค้าหรือธนบดีที่มีโรงงานอุตสาหกรรมได้รับเงินกู้ยืมไปใช้ในเวลาอย่างที่สั้นเท่านั้น เป็นต้นว่า พ่อค้าจะต้องการยืมเงินไปใช้ชั่วคราว เพื่อจะนำสินค้าจากที่แห่งหนึ่งไปส่งให้ถึงที่อีกแห่งหนึ่ง หรือในการอุตสาหกรรม เจ้าของโรงงานอุตสาหกรรมจะต้องกู้ยืมทุนไปซื้อของดิบมาใช้สร้างสินค้า ถ้าธนาคารไม่สงเคราะห์ให้กู้ยืม ก็จะไม่มีเงินซื้อสินค้านั้นได้ ฝ่ายข้างพ่อค้าก็ประดุจเดียวกัน ถ้าไม่ได้ความเกื้อกูลรับทุนไปจากธนาคารแล้ว ก็จะไม่มีเงินซื้อสินค้าได้เหมือนกัน นายธนาคารก่อนที่จะทดรองเงินให้คน ๒ จำพวกนี้จะต้องเพ่งเล็งดูเสมอว่า ทุนที่ให้เขายืมกู้ไปนั้น ผู้กู้ยืมจะเอาไปลงทุนค้ากำไรมาใช้คืนให้โดยเร็วหรือไม่ ถ้าผู้กู้ยืมเอาไปทำทุนมีกำไรต้องนำกำไรนี้มาใช้ธนาคารทันที เมื่อได้ชำระหนี้สินกันเสร็จสิ้นไปแล้ว ก็เป็นอันว่าเงินเชื่อหนี้ที่ธนาคารก่อสร้างขึ้นใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนแทนเงินนั้น จะลบล้างหมดสิ้นไปชั่วคราวเดียวนั้นเหมือนกัน ยกอุทาหรณ์ว่า พ่อค้าผู้หนึ่งสั่งสินค้าจากต่างประเทศเข้ามาขาย และสินค้าที่ส่งมาในเรือนั้นต้องมีตั๋วระวางเรือกำกับมาด้วย ผู้ใดเป็นผู้ถือตั๋วระวางเรือนั้นจึงจะมีอำนาจไปขนสินค้ามาไว้ได้ตามธรรมดาของการค้า เมื่อผู้ส่งสินค้าได้ลงทุนซื้อสินค้านั้นมาแล้ว และถ้าปรารถนาจะสั่งซื้อสินค้าอื่นต่อไปก็จะหามีเงินซื้อไม่ แต่ถ้าได้รับความเอื้อเฟื้อของธนาคารช่วยรับสินค้านั้นไปด้วยวิธีซื้อหนี้ หักดอกเบี้ยค่าดิสเคาน์ล่วงหน้าขึ้นไว้แล้ว นายธนาคารก็อาจจะนำใบกู้ยืมของพ่อค้านั้นไปขายขึ้นเอาต้นทุนกลับคืนมาได้ ข้างฝ่ายพ่อค้าเมื่อได้รับความสงเคราะห์ของนายธนาคารแล้ว ก็จะมีเงินซื้อสินค้ามาเพิ่มเติมได้ต่อไป การค้าขายของพ่อค้านั้นก็จะดำเนินไปได้เรื่อยไป หรืออีกนัยหนึ่ง เจ้าของโรงอุตสาหกรรมจะต้องการทุนซื้อของดิบมาสร้างสินค้าต่อไป ถ้าไม่มีเงินของตัวเองแล้วก็หามีทุนซื้อสินค้าดิบนั้นได้ไม่ แต่ถ้าได้เคยเป็นเจ้าจำนำของธนาคารมาก่อนแล้ว ธนาคารออกเอกสารเชื่อหนี้ทดรองทุนให้เจ้าของโรงงานอุตสาหกรรมเอาไปใช้ซื้อสินค้าดิบได้ ผู้ที่เป็นเจ้าของโรงอุตสาหกรรม ก็จะทำการสร้างสินค้าใหม่ขึ้นต่อเนื่องไปประดุจเดียวกัน.

ความเชื่อหนี้ของธนาคารในกรณีที่กล่าวนี้ จึงเป็นข้อสำคัญอย่างใหญ่ที่จะส่งเสริมให้การค้าขายในบ้านเมืองดำเนินไปได้โดยสะดวก.

ต่อไปนี้จะต้องหันหน้าไปดูการค้าขายอีกมุมหนึ่งว่า เมื่อเวลาการค้าดำเนินไปได้เป็นปกติ และเมื่อพวกพ่อค้านายห้างค้ากำไรได้ด้วยความเอื้อเฟื้อของนายธนาคารเรื่อยไปแล้ว ต่อไปคนทั้งหลายเห็นเยี่ยงอย่างก็จะต้องมาพยายามขอกู้ทุนทรัพย์แห่งความเชื่อหนี้ของธนาคารไปใช้บ้าง เมื่อมีผู้ค้ามากรายขึ้นแล้ว ในที่สุดคนเหล่านี้ก็มีแต่จะแข่งขันกันลดราคาสินค้าของเขาลง เพื่อจะเอาชะนะแก่กันให้จงได้ ในภาษาอังกฤษใช้ว่า “ต่างคนต่างก็ละเชือดคอกันลดราคาแข่งขันกันเป็นธรรมดา” เมื่อมาถึงตอนนี้ นายธนาคารจะเกิดความระแวงขึ้นแล้วว่า การค้าขายนั้นอาจจะกลายเป็นค้าขายเกินตัวได้ ทีนี้นายธนาคารจะต้องระวังที่จำกัดเงินกู้หนี้ให้แคบเข้า โดยวิธีจะเรียกเขาดอกเบี้ยเงินกู้ให้สูงขึ้นเป็นลำดับไป จนกว่าผู้ที่จะกู้ทุนไปนั้นจะไปค้าขายหากำไรไม่ได้เพราะต้องเสียดอกเบี้ยแพง การสร้างสินค้าเมื่อจะต้องหยุดยั้งลงเพียงนี้ ต่อไปนายธนาคารเมื่อไม่มีใครจะกล้ามากู้ยืมแล้ว ดอกเบี้ยที่เคยได้จะน้อยไป และเมื่อเวลาที่ยังตั้งดอกเบี้ยเป็นพิกัดสูงอยู่นั้น ธนาคารอื่นเช่นชาวต่างประเทศเป็นต้น ก็อาจส่งทุนของเขาเข้ามาแข่งขันให้ลูกค้ากู้ยืมไปบ้าง เมื่อถึงระยะนี้ นายธนาคารเห็นว่ามีผู้แข่งขันขึ้นแล้ว ก็จำเป็นจะต้องลดราคาเงินทุนเชื่อหนี้ของเขาให้น้อยลงเป็นลำดับไป เพื่อนายธนาคารจะได้ค้าดอกเบี้ยได้บ้าง.

ในขณะที่ต่างคนต่างก็ค้ากำไรได้มาก อย่างที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า boom นั้น จะค้าอะไรคงจะมีกำไรมากด้วยกันเสมอไป แต่เมื่อการค้าถึงคั่นนี้แล้วต่อนี้ไปก็จะกลายเป็น Slump แปลว่าการสร้างสินค้าทั่วไปนั้น จะทำให้สินค้าท่วมตลาด ตกราคาลงอย่างสินค้าในเมืองไทยทุกวันนี้

ต่อไปนี้ บรรดาผู้ที่สะสมสินค้าขึ้นไว้จะคอยขายเอากำไรให้มากขึ้นนั้นไม่สมความปรารถนา เพราะราคาตกต่ำมาก จะใช้หนี้เขาไม่ได้ก็จำเป็นจะต้องทุ่มเทสินค้าที่มีอยู่นั้นเพิ่มเติมเข้ามาในตลาดอีก มิฉะนั้นก็จะต้องล้มละลาย สินค้าเก่ากับสินค้าใหม่ เมื่อสมทบกันเข้าเช่นที่กล่าวนี้ การอุตสาหกรรมทั้งหลายจะต้องลดน้อยหรือเลิกล้มไปชั่วคราว กระทำให้กรรมกรว่างงานมีจำนวนมากขึ้น รัฐบาลจะต้องเลี้ยงคนพวกนี้แต่พอเพียงที่จะไม่ให้อดอาหารตาย ถึงเช่นนั้นก็ต้องเอาภาษีอากรที่เก็บจากราษฎรมาเจือจานให้อีก ถ้าเก็บภาษีหนักขึ้น เช่นตั้งพิกัดภาษีเงินได้มากขึ้น ความยากนี้ก็อาจจะไปหนักบ่าราษฎรผู้เสียภาษีหนักขึ้นกว่าเก่า ทำให้เป็นการเดือดร้อนทั่วไปทั้งแผ่นดิน.

ต่อไปจะต้องแบ่งลักษณะของนานาชาติออกเป็น ๒ จำพวก จำพวกหนึ่งมีทองและทุนสำรองอยู่มาก แต่ไม่กล้าจะจ่ายออกบำรุงการค้าขาย โดยเกรงว่าจะไม่ได้ทุนกลับคืน ต่างก็รวบรวมทุนของเขาเข้าเก็บสะสมนั่งทับไว้เฉยๆ

นานาประเทศอีกฝ่ายหนึ่ง ที่ไม่มีทองสำรองพอนั้น เมื่อจะต้องการเงินมาใช้หนี้เขา ก็จำเป็นจะต้องขายสินค้าส่งออกไปใช้หนี้เขานอกเมือง โดยราคาอย่างต่ำที่สุดที่จะต่ำได้ ไม่มีทองจะส่งก็ต้องส่งสินค้าไปใช้หนี้แทน สินค้านี้ถ้าไม่ได้ขายให้ราคาต่ำลง ก็ขายไม่ออก การเป็นเช่นนี้เมื่อรวมความเข้าแล้ว ก็เป็นอันว่า ฐานะของการค้าจะตกต่ำลง โดยที่มีสินค้ามากขึ้นเกินความต้องการอย่างทุกวันนี้

ทีนี้จะกล่าวถึงประเทศจีนที่ใช้ฐานมาตราเงินเป็นใหญ่ ประเทศสหปาลีรัฐอเมริกามีนโยบายที่จะค้ากำไรจากจีนเป็นข้อใหญ่ใจความ โดยเหตุที่สำมะโนครัวชาติจีนมีจำนวนคนถึง ๔๕๐ ล้าน เป็นส่วน ๑ ใน ๗ ของพลเมืองทั่วโลก สหปาลีรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่ขุดแร่เงินได้มาก ก็ตั้งกองขายธาตุเงินลดราคาลงเรื่อยไป ในประเทศจีนจะซื้อขายกันได้ก็โดยที่ตัดลิ่มเงินออกชั่งขาย แต่ราคาธาตุเงินต่ำลงราษฎรจีนฝ่ายที่อยู่ห่างชายทะเลออกไป ต่างก็ต้องการจะสะสมธาตุขึ้นไว้ให้พอใช้ และราคาธาตุเงินยิ่งตกต่ำลง ราษฎรจีนไม่มีเงินพอใช้ และจะต้องการเงินให้จงได้ ก็จำเป็นต้องขายสินค้าที่เขาทำขึ้นในบ้านเมืองให้ถูกราคาลงทุกที มีต้องขายสินค้า แพร ไหม หรือสินค้าดิบทั้งหลายที่มีในบ้านเมืองออกขายโดยราคาถูกที่สุด จึงจะได้เงินไปใช้ เป็นเหตุให้รัฐบาลจีนต้องห้ามไม่ให้ผู้ใดส่งธาตุเงินออกไปขายนอกประเทศ เหตุที่รัฐบาลสหปาลีรัฐอเมริกาขายธาตุเงินโดยราคาตกต่ำลงเสมอไปนั้น ก็กระทำให้ค่าแรงของกรรมกรจีนลดน้อยลงด้วย ราษฎรจีนต้องอุตส่าห์เขม็ดแขม่ลดอาหารการกินให้น้อยลงมิฉะนั้นก็จะต้องอดอาหาร ถึงกับต้องกินเนื้อมนุษย์ต่างอาหาร เช่นที่เคยเป็นมาแล้ว

การที่ราคาธาตุเงินถูกลงนั้น ช่วยกระทำให้สินค้าข้าวของเรากระเตื้องดีขึ้นกว่าเก่ามาก เมื่อ ๒-๓ ปีก่อนเราขายข้าวได้เพียงเกวียนละ ๑๒ บาท ทุกวันนี้เราขายได้ราคาข้าวบางชะนิดมากขึ้นถึงเกวียนละ ๓๐ บาท ราคาข้าวมากขึ้น ๒ เท่าตัว และเหตุที่ราคาข้าวเปลือกตกต่ำในเวลานี้ ก็โดยที่พวกเรือข้าวจีนทั้งหลายญาติดีกันที่จะกดราคาข้าวของชาวนาให้ต่ำลง เพื่อจะเอาค่าขนส่งให้มากขึ้น แต่ถึงอย่างไรก็ดีเมื่อดูตามลักษณะการที่เป็นอยู่ในเมืองจีนทุกวันนี้ ชาวนาของเราก็อาจจะทำนาได้พอคุ้มค่าแรงอย่างเก่า ขอให้ระวังที่จะมิให้คนกลางกดราคาข้าวชาวนาได้ ดังที่กล่าวมาแล้ว ข้อนี้จะกันได้ก็โดยอำนาจรัฐบาลจะต้องช่วยขนส่งกันคนกลางให้มีอำนาจน้อยลง

การตั้งไซโลยุ้งฉางและตั้งโรงสีข้าวนั้น ถ้าสีได้เพียงวันละ ๕๐๐ เกวียนและตั้งสแตนดาดประทับตราของรัฐบาลให้เที่ยงตรงว่า ข้าวชะนิดไหนเป็นอย่างไรแน่นอน พวกโรงสีทั้งหลายจำเป็นจะต้องหันเข้าเอาเยี่ยงอย่างรัฐบาล ช่วยให้ฐานะของชาวเมืองไทยกลับสูงขึ้นได้อย่างเก่า รัฐบาลมีแต่จะได้กำไรฝ่ายเดียว ไหนการตั้งไซโลจะพลอยให้เจ้าของข้าวพลอยได้ส่วนแบ่งปันกำไรด้วย ใน ๒-๓ ปีนี้ไม่ต้องกลัวว่า ประเทศจีนจะห้ามกันไม่ให้ข้าวไทยเข้าเมืองได้ ห้ามไม่ได้ เพราะในปีนี้อุทกภัยเกิดขึ้นภายในประเทศจีนมากมายหลายแห่ง เขื่อนพังน้ำท่วมแผ่นดินปลูกข้าวไม่ได้ ถึงอย่างใดใน ๒--๓ ปีต่อไปนี้ การทำนาของเราอาจจะฟื้นขึ้นได้มาก และถ้าราคาธาตุเงินจะยิ่งถูกลงเสมอไปแล้ว และประเทศจีนต้องได้รับผลอันร้ายแรงเช่นนี้แล้ว ก็เป็นอันจะเชื่อแน่ได้ว่า ใน ๒-๓ ปีนี้ชาวนาคงจะมีงานทำคุ้มค่าแรงได้บ้าง

ธรรมดาของการเมืองนั้น ต่างชาติต่างก็จะรักษาผลประโยชน์ของตนเป็นใหญ่ เมื่อฐานะของประเทศจีนตกต่ำลงเช่นนี้ ฐานะของเราก็จะพลอยดีขึ้นด้วย เพียงที่ได้ฟังคำกล่าวของผู้ที่ได้ออกไปประเทศจีนเข้ามาเล่าให้ฟังนั้น เชื่อได้ว่ารัฐบาลเซี่ยงไฮ้กับรัฐบาลกวางตุ้งไม่มีความคิดที่จะบอยคอต “Boycot” ข้าวของเราเลย หากแต่พวกยุแหย่จะให้ไทยอยู่ในอำนาจจีน กระทำให้พวกจีนที่ตั้งหน้าค้าขายสุจริตไม่เอาใจใส่ในการเมืองเขานั้น พลอยได้รับผลร้ายไปด้วย

วันหน้ายังจะมีเรื่องเศรษฐกิจ และการเมืองต่อไปอีก

----------------------------

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ