กัณฑ์มัทรี
ความเจ้าพระยาพระคลัง (หน)
----------------------------
ยํ ปน รญฺญา มหาปถวึ อุนฺนาเทตฺวา พฺราหฺมณสฺส ปิยปุตฺเตสุ ทินฺเนสุ ยาว พฺรหฺมโลกา เอกโกลาหลํ ชาตํ เตนาปิ ภิชฺชิตหทยา วิย หิมวนฺตวาสิโน เทวตาโย เตสํ พฺราหฺมเณน นิยฺยมานานํ ตํ วิลาปํ สุตฺวา พฺราหฺมณสฺส ทินฺนภาวํ สุตฺวา พลวสิเนเหน ปทานุปทํ ธาวิตฺวา มหนฺตํ ทุกฺขํ อนุภเวยฺยาติ
เดิน (๑) ยํ โกลาหลํ อันว่าโกลาหลอันใดเปนวิสัยแสนกัมปนาท รญฺญา เมาะ เวสฺสนฺตเรน อันพระมหาบุรุษราชชาติอาชาไนยเชื้อชินวงศ์ ทรงบำเพ็ญเพิ่มโพธิสมภาร ด้วยเดชะอำนาจทานโพธิสัตว์ เปนปัจฉิมปรมัตถบารมีอันหมายมั่น ตํ โกลาหลํ ก็บังเกิดมหัศจรรย์ในไตรภพจบจนพรหเมศร์ ทินฺเนสุ ปางเมื่อท้าวเธอยกสองดรุณเรศผู้ยอดรัก ราวกะว่าจะแขวะควักซึ่งดวงเนตรทั้งสองข้างวางไว้ในมือพราหมณ์ เถ้าก็พาสองพงางามไปในทางกันดาร ควรจะสงสารแสนอนาถา ด้วยพระลูกเจ้าเปนกำพร้าพรากพระชนนีแต่น้อย ๆ ยังมิวายนม พราหมณขู่ข่มเข่นเขี้ยวคำรามตีต้อนให้ด่วนเดิน ตามป่ารกระหกระเหินหอบหิวแล้วไห้โหย มีแต่เสียงเธอโอดโอยสอื้นร้องรำพันสั่งทุกเส้นหญ้า หวั่นวังเวงวิเวกป่าพระหิมพานต์ เตสํ ลาลปิตํ สุตฺวา ฝ่ายฝูงเทพยทุกสถานพิมานไม้ไศลเกริ่นเนินแนวพนาวาส ได้สดับคำประกาศสองกุมาร ก็ทรงพระกรรแสงสงสารสุดที่จะกลั้น ภิชฺชิตหทยา วิย ปิ้มประหนึ่งว่าดวงหทัยจะประทุทะลุลั่นเลอียดออกทุกอกองค์ ด้วยทรงพระอาลัยนั้นใหญ่หลวง ก็พากันข้อนทรวงทรงพระกรรแสงโศกอยู่ซบเซา จึงปรารภว่าชาวเราเอ่ยจะคิดไฉนดี ถ้าแม้นสมเด็จพระมัทรีเธอกลับเข้ามาแต่กาลยังวันมิทันเย็น อทิสฺวา เมื่อท้าวเธอมิได้เห็นพระเจ้าลูกเธอก็จะทูลถาม ครั้นแจ้งว่าพราหมณ์มันพาไป นางก็จะอาลัยโลดแล่นไปตามติดไม่คิดตาย มหนฺตํ ทุกฺขํ คิดไปแล้วใจหายเห็นน่าน้ำตาตก โอ้อกมัทรีเอ่ย จะเสวยพระทุกข์แทบถึงชีวิตจะปลิดปลง ด้วยพระลูกรักทั้งสององค์นี้แล้วแล
ตมตฺถํ ปกาเสนฺโต สตฺถา อาห | |
เตสํ ลาลปิตํ สุตฺวา | ตโย พาฬา วเนมิคา |
สีโห พฺยคฺโฆ จ ทีปิ จ | อิทํ วจนมพฺรวุํ |
มา เหว โน ราชปุตฺตี | สายํ อุญฺฉาโต อาคตา |
มา เหวมฺหากํ นิพฺโภเค | เหฐยิตฺถ วเน มิคา |
สีโห เจนํ วิเหเฐยฺยุํ | พฺยคฺโฆ ทีปิ จ ลกฺขณํ |
เนว ชาลิกุมารสฺส | กุโต กณฺหาชินา สิยา |
อุภเยเนว ชิยฺเยถ | ปตึ ปุตฺเต จ ลกฺขณาติ |
ขณิตฺติกํ เม ปติตํ | ทกฺขิณกฺขี จ ผนฺทติ |
อผลา ผลิโน รุกฺขา | สพฺพา มุยฺหนฺติ เม ทิสา |
ตสฺสา สายณฺหกาลมฺหิ | อสฺสมาคมนํ ปติ |
อตฺถงคตมฺหิ สุริเย | พาลา ปนฺเถ อุปฏฺฐหุํ |
นีเจ โวลมฺพเก สุริเย | ทูเร จ วต อสฺสโม |
ยญฺจ เนสํ อิโต หาสํ | ตนฺเต ภุญฺเชยฺยุํ โภชนํ |
โส นูน ขตฺติโย เอโก | ปณฺณสาลาย อจฺฉติ |
โตเสนฺโต ทารเก ฉาเต | มมํ ทิสฺวา อนายตึ |
เต นูน ปุตฺตกา มยฺหํ | กปณาย วรากิยา |
สายํ สํเวสนากาเล | ขีรํ ปิตาว อจฺฉเร |
เต นูน ปุตฺตกา มยฺหํ | กปณาย วรากิยา |
สายํ สํเวสนากาเล | วารึ ปิตาว อจฺฉเร |
เต นูน ปุตฺตกา มยฺหํ | กปณาย วรากิยา |
ปจฺจุคฺคตา มํ ติฏฺฐนฺติ | วจฺฉา พาลาว มาตรํ |
เต นูน ปุตฺตกา มยฺหํ | กปณาย วรากิยา |
ปจฺจุคฺคตา มํ ติฏฺฐนฺติ | หํสาวปริ ปลฺลเล |
เต นูน ปุตฺตกา มยฺหํ | กฺปณาย วรากิยา |
ปจฺจุคฺคตา มํ ติฏฺฐนฺติ | อสฺสมสฺสาวิทูรโต |
เอกายโน เอกปโถ | สรา โสพฺภา จ ปสฺสโต |
อญฺญํ มคฺคํ น ปสฺสามิ | เยน คจฺเฉยฺย อสฺสมํ |
มิคา นมตฺถุ ราชาโน | กานนสฺมึ มหพฺพลา |
ธมฺเมน ภาตโร โหถ | มคฺคํ เม เทถ ยาจิตา |
อวรุทฺธสฺสาหํ ภริยา | ราชปุตฺตสฺส สิรีมโต |
ตญฺจาหํ นาติมญฺญามิ | รามํ สิตาวนุพฺพตา |
ตุเมฺห ปุตฺเต ปสฺเสถ | สายํ สํเวสนํ ปตึ |
อหญฺจ ปุตฺเต ปสฺเสยฺยํ | ชาลึ กณฺหาชินญฺจุโภ |
พหุญฺจิทํ มูลผลํ | ภกฺโข จายํ อนปฺปโก |
ตโต อุปฑฺฒํ ทสฺสามิ | มคฺคํ เม เทถ ยาจิตา |
ราชปุตฺตี จ โน มาตา | ราชปุตฺโต จ โน ปิตา |
ธมฺเมน ภาตโร โหถ | มคฺคํ เม เทถ ยาจิตาติ |
เดิน (๒) ภิกฺขเว ดูกรสงฆ์ผู้ทรงศีลสังวรญาณ เทวสํฆาโย ฝ่ายฝูงเทพยทุกสถานพิมานไม้ไพรพนม มีอารมณ์อันร้อนเร่า ส่วนเทพยเจ้าจอมสากล จึงมีเทวยุบลบังคับ แก่เทพยอันดับทั้งสามองค์ อันทรงมหิทธิ์ฤทธิศักดา ว่าท่านจงพากันนฤมิตรบิดเบือนกายกลายอินทรีย์ เปนพระยาราชสีห์สองเสือสามสัตว์สกัดหน้านางพระยามัทรีไว้ ต่อทิพากรคลาไคลคล้อยเย็นเห็นดวงพระจันทร์ขึ้นมาอยู่ราง ๆ ท่านจึงลุกหลีกหนทางให้แก่นางงาม ตโย เทวปุตฺตา ส่วนเทพยเจ้าทั้งสามก็อำลาลีลาศ ผาดแผลงจำแลงเปนพระยาไกรสรราชผาดแผดเสียงสนั่น ดังสายอัสสนีลั่นตลอดป่า องค์หนึ่งเปนพยัคฆพระยาเสือโคร่งคำรนร้อง อิกองค์หนึ่งเปนเสือเหลืองเนื่องคนองย่องหยัดสบัดบาท ต่างองค์กระทำสีหนาทน่าแสยงขน พากันจรดลไปนอนคอยที่ช่องแคบขวางมรรคา ที่พระนางเธอจะเสด็จสู่พระบรรณศาลานั้นแล
ขึ้น (๓) สา มทฺที ปางนั้นส่วนสมเด็จพระมัทรีศรีสุนทรเทพกัญญา จำเดิมแต่พระนางลีลาล่วงลับพระอาวาส พระไทยเธอหวั่นหวาดพะวงหลัง ตั้งแต่จะเปนทุกข์ถึงพระเจ้าลูกมิลืมเลย เดินพลางทางเสวยพระโศกพลาง พระไนยเนตรทั้งสองข้างไม่ขาดสายพระอัสสุชล พลางพิศดูผลาผลในกลางไพร ที่นางเคยอาศรัยทรงสอยอยู่เปนนิตย์ผิดสังเกต เหตุไฉนไม้ที่มีผลเปนพุ่มพวง ก็กลายกลับเปนดอกดวงเดียรดาษอนาถเนตร แถวโน้นนั่นแก้วเกษพิกุลแกมกับกาหลง ถัดไปก็สาวหยุดประยงคุ์แลยมโดย ยามพระพายพัดเคยร่วงโรยรายดอกลงมูลมอง แม่ยังได้เก็บเอามาร้อยกรองไปฝากลูกเมื่อวันวาน ก็เพี้ยนผิดพิสดารเปนพวงผล สพฺพา มุยฺหนฺติ เม ทิสา ทั้งแปดทิศก็มืดมนมัวทั่วทุกหนแห่ง ทั้งขอบฟ้าก็ดาษแดงเปนสายเลือด ไม่เว้นวายหายเหือดเปนลางร้ายไปรอบข้าง ทกฺขิณกฺขี ไนยตาขวาก็พร่าง ๆ อยู่พรายพร้อย ดูจิตรใจของแม่นี้ยังน้อยอยู่นิดเดียว ทั้งอินทรีย์ก็เสียว ๆ สั่นระรัวริก สาแหรกคานบันดาลพลิกพลัดลงจากบ่า ทั้งขอน้อยในหัตถาที่เคยถือ ก็หลุดหล่นลงจากมือไม่เคยเปนเห็นอนาถ เอ๊ะประหลาดหลากแล้วมิเคยเลย โอ้อกเอ๋ยช่วงอัศจรรย์จริง ยิ่งคิดก็ยิ่งกริ่ง ๆ ตรอมพระไทยเปนทุกข์ถึงพระลูกรักทั้งสององค์ เดินพลางนางก็รีบทรงเก็บผลาผลแต่ตามได้ ใส่กระเช้าสาวพระบาทบทจรดุ่มเดินมาโดยด่วน พอประจวบจวนพระยาพาลมฤคราช สดุ้งพระไทยไหวหวาดวะหวีดวิ่งวนแวะเข้าข้างทาง พระทรวงนางสั่นระรัวริกเต้นดังตีปลา นางพระยาทรงพระกรรแสงไห้พิไรร่ำ จึงตรัสว่ากรรมเอ๋ยกรรมกรรมของมัทรี โอ้เวลาปานนี้พระลูกน้อยจะคอยหา อนึ่งมรรคาก็ช่องแคบหว่างคิรี เปนตรอกน้อยรอยวิถีที่เฉภาะจร ทั้งสามสัตว์ก็มาเนื่องนอนสกัดหน้า ครั้นจะลีลาหลีกลัดตัดไปทางใดก็เหลือเกิน ทั้งสองข้างเปนโขดเขินขอบคันขึ้นกั้นไว้ นีเจ โวลมฺพเก สุริเย ทั้งเวลาก็เย็นลงรำไรใกล้จะค่ำแล้ว ยังไม่เห็นหน้าพระลูกแก้วของแม่เลย อกเอ๋ยจะทำไฉนดี จึงจะได้วิถีทางที่จะครรไล พระนางจึงปลงหาบก่อนลงวอนไหว้แล้วอภิวาท ว่า ข้าแต่พระยาพาลมฤคราชอันเรืองเดช ท่านก็เปนพระยาสัตว์ในหิมเวศวนาสณฑ์ จงผินภักตร์ปริมณฑลทั้งสามรา มารับวันทนาน้อมด้วยทัศนัขเบ็ญจางค์ เม เมาะ มทฺทิยา แห่งน้องนางนามชื่อว่ามัทรี ราชปุตฺตี น้องเปนกัลยาณีหน่อกระษัตริย์มัททราชสุริย์วงศ์ อนึ่งน้องก็เปนเอกองค์อรรคบริจาริกาจอมนเรศร์เวสสันดร อันจำจากพระนครมาอยู่ไพร น้องนี้ตั้งใจสุจริตติดตามมาด้วยกตเวที อนึ่งพระสุริยศรีก็ย่ำสนธยาสายัณห์แล้ว เปนเวลาพระลูกแก้วจะอยากนมกำหนดเสวย พระพี่เจ้าของน้องเอ๋ยทั้งสามรา ขอเชิญกลับไปยังรัตนคูหาห้องแก้ว แล้วจะได้เชยชมซึ่งลูกรักแลเมียขวัญ อนึ่งน้องนี้จะแบ่งปันผลไม้ให้สักกึ่ง ครึ่งหนึ่งนั้นน้องจะเอาไปฝากพระหลานน้อย ๆ ทั้งสองรา มคฺคํ เม เทถ ยาจิตา พระพี่เจ้าจงมีจิตรคิดกรุณาสังเวชบ้าง ขอเชิญล่วงควรไลให้หนทางพนาวันอันสัญจร แก่น้องร่วมอุทรนี้เถิด
ตมตฺถํ ปกาเสนฺโต สตฺถา อาห | |
ตสฺสา ลาลปฺปมานาย | พหุการุญฺญสญฺญิตํ |
สุตฺวา เนลปตึ วาจํ | พาฬา ปนฺถา อปกฺกมุนฺติ |
อิมมฺหิ นํ ปเทสมฺหํ | ปุตฺตกา ปํสุกุณฺฐิตา |
ปจฺจุคฺคตา มํ ติฏฺฐนฺติ | วจฺฉา พาลาว มาตรํ |
อิมมฺหิ นํ ปเทสมฺหิ | ปุตฺตกา ปํสุกุณฺฐิตา |
ปจฺจุคฺคตา มํ ติฏฺฐนฺติ | หํสาวูปริ ปลฺลเล |
อิมมฺหิ นํ ปเทสมฺหิ | ปุตฺตกา ปํสุกุณฺฐิตา |
ปจฺจุคฺคตา มํ ติฏฺฐนฺติ | อสฺสมสฺสาวิทูรโต |
เต มิคา วิย อฺกฺกณฺณา | สมนฺตามภิธาวิโน |
อานนฺทิโน ปมุทิตา | วตฺตมานาว กมฺปเร |
ตฺยชฺซ ปุตฺเต น ปสฺสามิ | ชาลึ กณฺหาชินญฺจุโภ |
ฉคิลีว มิคี ฉาปํ | ปกฺขี มุตฺตาว ปญฺชรา |
โอหาย ปุตฺเต นิกฺขมฺม | สิหิวามิสคิทฺธินี |
ตฺยชฺช ปุตฺเต น ปสฺสามิ | ชาลึ กณฺหาชินญฺจุโภ |
อิทํ เนสํ ปรกฺกนฺตํ | นาคานมิว ปพฺพเต |
จิตกา ปริกิณฺณาโย | อสฺสมสฺสาวิทูรโต |
ตฺยชฺช ปุตฺเต น ปสฺสามิ | ชาลึ กณฺหาชินญฺจุโภ |
วาลุกายปิ โอกิณฺณา | ปุตฺตกา ปํสุกุณฐิตา |
สมนฺตามภิธาวนฺติ | เต น ปสฺสามิ ทารเก |
เย มํ ปุเร ปจฺจุเทนฺติ | อรญฺญา ทูรมายตึ |
ตฺยชฺช ปุตฺเต น ปสฺสามิ | ชาลึ กณฺหาชินญฺจุโภ |
ฉคิลีว มิคี ฉาปา | ปจฺจุคฺคนฺตฺวาน มาตรํ |
ทูเร มํ ปฏิวิโลเกนฺติ | เต น ปสฺสามิ ทารเก |
อิทญฺจ เนสํ กีฬนํ | ปติตํ ปณฺฑเวฬุวํ |
ตฺยชฺช ปุตฺโต น ปสฺสามิ | ชาลึ กณฺหาชินญฺจุโภ |
ถนา จ มยฺหิเม ปูรา | อุโร จ สมฺปทาลิภิ |
ตฺยชฺช ปุตฺเต น ปสฺสามิ | ชาลึ กณฺหาชินญฺจุโภ |
อุจฺจงเก เม โก วิจินติ | ถนา เมกา วิลมฺพติ |
ตฺยชฺช ปุตเต น ปสฺสามิ | ชาลึ กณฺหาชินญฺจุโภ |
ยสฺสา สายณฺหสมยํ | ปุตฺตกา ปํสุกุณฺฐิตา |
อุจฺจงเก เม วิวตฺตนฺติ | เต น ปสฺสามิ ทารเก |
อยํ โส อสฺสโม ปุพฺเพ | สมฺมชฺโช ปฏิภาติ มํ |
ตฺยชฺช ปุตฺเต อปฺปสฺสนฺตฺยา | ภมเต วิย อสฺสโม |
กิมิทํ อปฺปสทฺโทว | อสฺสโม ปฏิภาติ มํ |
กาโกลาปิ น วสฺสนฺติ | มตา๑ เม นูน ทารกา |
กิมิทํ อปฺปสทฺโทว | อสฺสโม ปฏิภาติ มํ |
สกุณาปิ น วสฺสนฺติ | มตา เม นูน ทารกา |
กิมิทํ ตุณฺหีภูโตสิ | อปิ รตฺเตว เม มโน |
กาโกลาปิ น วสฺสนฺติ | มตา เม นูน ทารกา |
กิมิทํ ตุณหีภูโตว | อปิ รตฺเตว เม มโน |
สกุณาปิ น วสฺสนฺติ | มตา เม นูน ทารกา |
กจฺจิ นุ เม อยฺยปุตฺเต | มิคา ชาทึสุ ทารเก |
อรญฺเญ อิริเณ วิวเน | เกน นีตา เม ทารกา |
อาทู เต ปหิตา ทูตา | อาทู สุตฺตา ปิยํวทา |
อาทู พหิ โน นิกฺขนฺตา | ขิวิฑฺฑาสุ ปสุตา นุ เต |
เนวสฺส เกสา ทิสฺสนฺติ | หตฺถปาทา จ ชาลิโน |
สกุณานญฺจ โอปาโต | เกน นีตา เม ทารกาติ |
เดิน (๔) ตโย เทวปุตฺตา ส่วนเทพยเจ้าทั้งสามองค์ได้ทรงฟังพระเสาวนี พระมัทรีเธอไหว้วอนขอหนทาง เห็นพระภักตร์นางนองไปด้วยน้ำพระเนตร เทพยเจ้าก็สังเวชในวิญญาณ จึงพากันอุฎฐาการคลาไคลให้มรรคาแก่นางพระยามัทรี พอแจ่มแจ้งแสงศรีสสิธร นางก็ยกหาบคอนขึ้นใส่บ่า เอาพระภูษาคาดพระเต้าเข้าให้มั่นคง วิ่งพลางนางทรงกรรแสงพลาง ยะเหยาะเหย่าทุกฝีย่างไม่หย่อนหยุด พักหนึ่งก็ถึงที่สุดบริเวณพระอาวาส ที่พระลูกเจ้าเคยประพาศแล่นเล่น ประหลาดแล้วแลไม่เห็นก็ใจหาย ปิ้มประหนึ่งว่าชีวิตนางจะวางวายลงทันที จึงตรัสเรียกว่า ขึ้น แก้วกัณหาพ่อชาลีแม่มาถึงแล้ว เหตุไฉนไยพระลูกแก้วจึงมิมาเล่าหลากแก่ใจ แต่ก่อนแต่ไรสิพร้อมเพรียง เจ้าเคยวิ่งระรี่เรียงเคียงแข่งกันมารับพระมารดา ทรงพระสรวลสำรวลร่าระรื่นเริงรีบรับเอาขอคาน แล้วก็พากันกราบกรานพระชนนี พ่อชาลีเจ้าเลือกเอาผลไม้ แม่กัณหาชอ้อนวอนไหว้ว่าจะเสวยนม ผธมเหนือพระเพลาพลาง ฉอเลาะแม่นี้ต่าง ๆ ตามประสาทารกเจริญใจ วจฺฉา พาลาว มาตรํ มีอุปไมยเสมือนหนึ่งลูกทรายทรามคะนอง ปองที่ว่าจะชมแม่เมื่อสายัณห์ โอ้พระจอมขวัญของแม่เอ่ย เจ้ามิเคยได้ความยากย่างเท้าลงเหยียบดิน ริ้นก็มิได้ไต่ไรก็มิได้ตอม เจ้าเคยฟังแต่เสียงพี่เลี้ยงเขาขับกล่อมบำเรอรับกับดนตรี ยามบรรธมลมธุลีก็มิได้พัดมาแผ้วพาน แม่สู้รักษาพยาบาลบำรุงเจ้าแต่เยาว์มา เจ้าไม่เคยห่างพระมารดาสักราตรี โอ้ความเข็ญใจในครั้งนี้นี่เหลือขนาด สิ้นสมบัติพลัดญาติยังแต่ตัว ต้องไปหามาเลี้ยงลูกแลผัวค่ำเช้าทุกเวลา แม่มาสละเจ้าไว้เปนกำพร้าทั้งสององค์ หํสาว เสมือนหนึ่งลูกหงส์เหมราชปักษินทร์ ปราศจากมุจลินท์ไปตกคลุกในโคลนหนอง สิ้นสีทองอันผ่องแผ้ว แต่ก่อนแม่กลับมาถึงแล้วได้เชยชมชื่นจิตรสบาย ที่เหนื่อยยากก็เสื่อมหายคลายทุกข์ทุเลาลง ลืมสมบัติขัตติยวงศ์ในวังเวียง โอ้แต่ก่อนเอ๋ยแม่เคยได้ยินเสียงเจ้าเจรจาแจ้ว ๆ อยู่ตรงนี้ อิทํ ปทวลญฺชํ นั่นก็รอยเท้าพ่อชาลี นี่รอยเท้าของกัณหาแม่ยังแลเห็น โน่นก็กรวดทรายเจ้ารายเล่นเปนกอง ๆ สิ่งของทั้งนี้เปนเครื่องเล่นยังเห็นอยู่ น ทิสฺสเร แต่ลูกรักของแม่ทั้งคู่ไปอยู่ไหนไม่เห็นเลย อยํ โส อสฺสโม โอ้พระอาศรมเจ้าเอ๋ย ก็น่าอัศจรรย์ใจ แต่ก่อนดูนี่สุกใสด้วยสีทอง เสียงนกก็ร่ำร้องสำราญรังเรียงเคียงคู่แล้วคูขัน ทั้งจักกระจั่นพรรณลองไนเรไรร้องอยู่หนึ่ง ๆ ระเรื่อยโรย โหยสำเนียงดังเสียงสังคีตขับประโคมไพร โอ้เหตุไฉนจึงเหงาเงียบเมื่อยามนี้ ทั้งอาศรมก็หมองสีเสมือนหนึ่งว่าจะเศร้าโศก เออชรอยว่าพระเจ้าลูกจะวิโยกพลัดพรากจากอกของมารดาเสียจริงแล้วกระมังในครั้งนี้ นางก็เข้าไปทูลถามพระราชสามีด้วยสงสัย ว่าพระพุทธิเจ้าข้า ประหลาดใจกระหม่อมฉัน อันสองกุมารนั้นไปอยู่ไหนไม่แจ้งเหตุ ๆ ฤๅพากันไปเที่ยวลับพระเนตรนอกตำแหน่ง สิงห์สัตว์ที่ร้ายแรงคะนองฤทธิ์ มาพานพบขบกัดตัดชีวิตพระลูกข้าพาไปกินเปนอาหาร ถึงกระนั้นก็จะพบพานซึ่งกเฬวระร่าง มิเลือดก็เนื้อจะเหลืออยู่บ้างสักสิ่งอัน แต่พอได้รู้สำคัญว่าเปนตาย นี่สุดที่จะมุ่งหมายพ้นประมาณแล้ว โอ้เจ้าแว่นแก้วส่องสว่างอกของแม่เอ่ย แม่เคยได้รับขวัญทุกเวลา เปนไรเล่าเจ้าจึงไม่มาเหมือนทุกวัน มตา ฤๅว่าพระลูกเจ้าอาสัญสูญสิ้นพระชนมาน อยู่ในป่าพระหิมพานต์นี้แล้วแล
อิทํ ตโต ทุกฺขตรํ | สลฺลวิทฺโธ ยถา วโณ |
ตฺยชฺช ปุตฺเต น ปสฺสามิ | ชาลี กณฺหาชินญฺจุโภ |
อิทํปิ ทุติยํ สลฺลํ | ภมฺเปติ หทยํ มม |
ยญฺจ ปุตฺเต น ปสฺสามิ | ตฺวญฺจ มํ นาภิภาสสิ |
อชฺเชว เม อิมํ รตฺตึ | ราชปุตฺต น สํสสิ |
มญฺเญ โอกฺกนฺตสตฺตํ มํ | ปาโต ทุกฺขสิ โน มตํ |
นนุ มทฺทิ วราโรหา | ราชปุตฺตี ยสสฺสินี |
ปาโต คตาสิ อุญฺฉาย | กิมิทํ สายมาคตา |
นนุ ตฺวํ สทฺทมสฺโสสิ | เย สรํ ปาตุมาคตา |
สีหสฺส วินทนฺตสฺส | พฺยคฺฆสฺส จ นิกุชฺชิตํ |
อหุ ปุพฺพนิมิตฺตํ เม | วิจรนฺตฺยา พฺรหาวเน |
ขณิตฺโต เม หตฺถา ปติโต | อุคฺคิวญฺจาปิ อํสโต |
[อภูตปุพฺพํ เม การณํ | ทกฺขิณกฺขี จ ผนฺทติ]๒ |
ตทาหํ พฺยธิตา ภีตา | ปุถุํ กตฺวาน ปญฺชลึ |
สพฺพา ทิสา นมสฺสิสฺสํ | อปิ โสตฺถี อิโต สิยา |
มา เหว โน ราชปุตฺโต | หโต สีเหน ทีปินา |
ทารกา วา ปรามฏฺฐา | อจฺฉโก กตรจฺฉภิ |
สีโห พฺยคฺโฆ จ ทีปิ จ | ตโย พาฬา วเน มิคา |
เต มํ ปริยาวรุํ มคฺคํ | เตน สายมฺหิ อาคตา |
อหํ ปติญฺจ ปุตฺเต จ | อาจริยมิว มาณโว |
อนุฏฺฐิตา ทิวารตฺตึ | ชฏินี พฺรหฺมจารินี |
อชินานิ ปริทหิตฺวา | วนมูลผลาหาริยา |
วิจรามิ ทิวาราตฺตึ | ตุยฺหํ กามา หิ ปุตฺตกา |
อิทํ สุวณฺณหาลิทฺทํ | อาภตํ ปณฺฑุเวฬุวํ |
รุกฺขปกฺกานิ จาหาสึ | อิเม โน ปุตฺตกีฬนา |
อิทํ มูลาลิวตฺตกํ | สาลุกํ ชิญฺชโรทกํ |
ภุญฺช ขุทฺเทน สํยุตฺตํ | สห ปุตฺเตหิ ขตฺติย |
ปทุมํ ชาลิโน เทหิ | กุมุทํ ปน กุมาริยา |
มาลิเน ปสฺส นจฺจนฺเต | สิวิปุตฺตาติ อวฺหยํ |
ตโต กณฺหาชินายาปิ | นิสาเมหิ รเถสภ |
มญฺชุสฺสราย วคฺคุยา | อสฺสมํ อุปคจฺฉนฺติยา |
สมานสุขทุกฺขมหา | รฏฺฐา ปพฺพาชิตา อุโภ |
อปิ สิวิปุตฺเต ปสฺเสสิ | ชาลึ กณฺหาชินญฺจุโภ |
สมเณ พฺราหฺมเณ นูน | พฺรหฺมจริยปรายเน |
อหํ โลเก อภิสฺสสึ | สีลวนฺเต พหุสฺสุเต |
ตฺยชฺช ปุตฺเต น ปสฺสามิ | ชาลึ กณฺหาชินญฺจุโภติ |
เดิน (๕) เมื่อสมเด็จพระมัทรี เธอกราบทูลพระราชสามีสักเท่าใดๆ ท้าวเธอมิได้ตรัสปราไสจำนรรจา นางยิ่งกลุ้มกลัดขัดอุราผะผ่าวร้อน ข้อนพระทรวงทรงพระกรรแสง ขึ้น ว่า เจ้าแม่เอ่ย แม่มิเคยได้เคืองแค้นเหมือนหนึ่งครั้งนี้ เมื่อจากบุรีทุเรศมา ก็พร้อมหน้าทั้งลูกผัวเปนเพื่อนทุกข์ สำคัญว่าจะเปนสุขประสายากเมื่อยามจน ครั้นลูกหายทั้งสองคนก็สิ้นคิด ทูลพระสามีก็มิได้ปรานีสักนิดสักหน่อยหนึ่ง ท้าวเธอกลับนิ่งขึงตึงพระองค์ ดูเหมือนทรงขัดเคืองด้วยเรื่องอันใด อนิจจาน่าน้อยใจมาจำจน อุปมาเหมือนคนไข้หนักแล้วมิหนำ แพทย์ยังซ้ำเอายาพิษมาวางให้เวทนา ไหนชีวานี้จะรอดไปสักกี่วัน พระคุณเอ่ย เมื่อแรกจากไอสวรรย์มาอยู่ดง ข้าพระบาทก็จำนงปลงจิตรมิได้คิดเปนใจสอง หวังว่าจะเปนเกือกทองฉลองบาทยุคลพระทูลหัว ไปกว่าจะสิ้นบุญตัวตายไปเมืองผี อนิจจาเอ๋ยวาสนามัทรีไม่สมคะเนแล้ว พระทูลกระหม่อมแก้วจึงชิงชังไม่นำพา ทั้งลูกรักดังแก้วตาก็หายไป อกเอ๋ยจะอยู่ไปไยให้ทนเวทนา อุปมาเสมือนหนึ่งพฤกษาลดาวัลิ ย่อมจะอาสัญลงเพราะลูกเปนแท้เที่ยง ถ้าแม้นพระองค์ไม่ทรงเลี้ยงมัทรีไว้ จะเฝ้านิ่งมัธยัตตัดเยื่อใยไม่โปรดบ้าง ก็จะเห็นแต่กเฬวระร่างทรากศพของมัทรี อันวายชีวีโทรมกลิ้งอยู่กลางดง เสียเปนมั่นคงในครั้งนี้แล้วแล
เดิน (๖) อถ มหาสตฺโต สมเด็จพระราชสมภาร เมื่อได้สดับสารพระมัทรีเธอแสนวิโยคโศกศัลย์สุดกำลัง ถ้าแม้นจะมิตรัสแก่นางมั่งจะมิเปนการ จะเอาโวหารการหึงหวงเข้ามาหักโศกให้เสื่อมลง พระองค์จึงเอื้อนอรรถตรัสประภาษว่า นนุ มทฺทิ ดูกรนางนาฎพระน้องรัก ภทฺเท เจ้าผู้มีภักตร์อันผุดผ่อง เสมือนหนึ่งน้ำทองทาบทับประเทืองผิว ราวกะว่าลอยลิ่วเลื่อนลงมาจากฟ้า ใครได้เห็นเปนขวัญตาก็ละเลิงหลงละลายทุกข์ ปลุกปลื้มอารมณ์ชายให้เชยชื่น จะนั่งนอนเดินยืนก็ต้องอย่าง วราโรหา พร้อมด้วยเบญจางคจริตรูปเจริญโฉม ประโลมโลกล่อแหลมวิไลยลักษณ์ ราชปุตฺตี ประกอบไปด้วยเชื้อศักดิ์สมมุติวงศ์พงศ์กระษัตรา เออก็เมื่อเช้าเจ้าจะเข้าป่าน่าสงสาร ปานประหนึ่งว่าจะไปมิได้ ทำร้องไห้ฝากลูกมิรู้แล้ว ครั้นคลาศแคล้วเคลื่อนคล้อยเข้าสู่ดง ปานประหนึ่งว่าจะหลงลืมลูกสละผัว ต่อมืดมัวสิจึงกลับเข้ามา ทำเปนบีบน้ำตาตีอกว่าลูกหาย ใครจะไม่รู้แยบคายความคิดหญิง ถ้าแม้นเจ้าอาลัยอยู่ด้วยลูกจริงเหมือนวาจา ก็จะรีบกลับเข้ามาแต่ตวันไม่ทันรอน เออนี่เจ้าเธอเจ้าเที่ยวพเนจรตามสนุกใจ ชมนกชมไม้ในไพรวัน สารพันที่จะมี ทั้งฤๅษีสิทธิ์วิทยาธรคนธรรพ์เทพารักษ์ ผู้มีภักตร์อันเจริญ เห็นแล้วก็น่าเพลิดเพลินไม่เมินได้ ถ้าเจ้าปะผลไม้ประหลาดรสสดสุกทรามเสวยไม่เคยกิน เจ้าฉวยชิมชอบลิ้นก็หลงฉันอยู่จึงช้า อุปมาเสมือนหนึ่งภุมรินบินวะว่อน เที่ยวซับทราบเอาเกสรสุคนธมาเลศ พบดอกไม้อันวิเศษต้องประสงค์หลงเคล้าคลึงรสจนลืมรัง เข้าเถื่อนเจ้าลืมพร้า ได้หน้าแล้วลืมหลังไม่เหลียวกลับ เที่ยวทอดประทับมากลางทาง อันว่าพระยานางสิเปนหน่อกระษัตรีย์ จะไปไหนก็เคยมีแต่กลดกั้น พานจะเกรงแสงพระสุริยันไม่คลาเคลื่อน เจ้ารักเดินด้วยแสงเดือนชมดาวพลาง ได้น้ำค้างกลางคืนชื่นอารมณ์สมคะเน พอมาถึงก็ทำเสขึ้นเสียงเลี่ยงพาโลว่าลูกหาย เออนี่เจ้ามิหมายว่าใคร ๆ ไม่รู้ทันกระนั้นกระมัง ฤๅเจ้าเห็นว่าพี่นี้ปลงจิตรคิดอนิจจังทิ้งพยศ เพราะว่าเปนดาบสอดอารมณ์เสีย ขึ้น เจ้าเปนแต่เพียงเมียควรฤๅมาหมิ่นได้ ถ้าแม้นพี่อยู่ในกรุงไกรเหมือนแต่ก่อนเก่าเจ้าทำเช่นนี้ กายของมัทรีก็จะขาดสะบั้นลงทันตา ด้วยพระกรเบื้องขวาของพี่นี้แล้วแล
เดิน (๗) สา มทฺที ส่วนสมเด็จพระยอดมิ่งเยาวมาลย์มัทรี เมื่อได้สดับคำพระราชสามีปริภาสนานาง ที่ความโศกก็เสื่อมส่างสงบจิตรเพราะเจ็บใจ จึงก้มพระเศียรลงกราบไหว้วันทนาพลาง นางจึง ทูลสนองพระราชบัญชาว่า ขึ้น พระพุทธิเจ้าข้า ควรมิควรสุดแท้แต่จะทรงพระกรุณาโปรด ที่โทษานุโทษเปนล้นเกล้า ด้วยข้าพระพุทธเจ้ากลับมาเวลาค่ำทั้งนี้ เพราะเปนกลีขึ้นในไพรวัน พฤกษาทุกสิ่งสารพันก็แปรปรวนไปทุกประการ ทั้งพื้นป่าพระหิมพานต์ก็พัดผันหวั่นไหวอยู่วิงเวียน เปลี่ยนเปนพะยับมืดไม่เห็นหน ข้าพระบาทนี้ก็ร้อนรนไม่หยุดหย่อนแต่สักย่าง แต่เดินมาก็บังเกิดประหลาดลางขึ้นในกลางพนาลี พบพระยาราชสีห์สองเสือทั้งสามสัตว์สะกัดหน้าไม่มาได้ ต่อสิ้นแสงอโณทัยจึงได้คลาเคลื่อน ใช่จะเปนเหมือนพระองค์ทรงดำริห์นั้นก็หามิได้ พระพุทธิเจ้าข้า ตั้งแต่เกล้ากระหม่อมฉันไซ้ตกมาเปนข้าน้อย พระองค์ทรงเห็นพิรุธร่องรอยที่ตรงไหน ได้ทอดพระเนตรสังเกตไว้แต่ปางก่อน จึงเคืองค้อนด้วยคำหยาบให้เจ็บจิตรจนเหลือกำลัง พระคุณเอ่ย จะคิดดูมั่งเปนไรเล่า ว่ามัทรีนี้เปนข้าเก่าแต่ก่อนมา ดังเงาตามพระบาทาก็เหมือนกัน นอกกว่านั้นที่แน่นอนคือนางใด อันสนิทชิดใช้แต่ก่อนกาล ยังจะติดตามพระราชสมภารมาบ้างและฤๅ ได้แต่มัทรีที่แสนดื้อผู้เดียวดอก ไม่รู้จักปลิ้นปลอกพลิกไพล่เอาตัวหนี มัทรีสวามิภักดิ์รักผัวเพียงบิดาก็ว่าได้ ถึงจะยากเย็นเข็ญใจก็ตามกรรม วนมูลผลาหาริยา อุสาหะกรากกรำเกร็ดเกร่เร่หาผลไม้ ถึงที่ไหนจะรกเรี้ยว ก็ซอกซอนอุส่าห์เที่ยวไม่ถอยหลัง จนเนื้อหนังเปนริ้วรอย โลหิตไหลย้อยทุกหย่อมหนาม ด้วยอารามจะใคร่ได้ ผลาผลไม้มาปฏิบัติลูกแลเจ้าประคุณผัว ถึงกระไรจะคุ้มตัวก็ทั้งยากน่าหลากใจ ออกของใครจะอาภัพยับพิกลเหมือนอกของมัทรีไม่มีเนตร น่าที่จะทรงสงสารสังเวชโปรดปรานี ว่ามัทรีนี้เปนเพื่อนยากอยู่จริง ๆ ช่างค่อนติงบริภาษได้ลงคอไม่คิดเลย พระคุณเอ่ย ถึงพระองค์จะสงสัย อันน้ำใจของข้านี้กัตเวที เปนไม้ท้าวก้าวเข้าสู่ที่ทางทดแทน รามํ สิตาวนุพฺพตา อุปมาแม้นเหมือนนางสิดาอันภักดี ต่อสามีรามบัณฑิต ฤๅประหนึ่งว่าศิษย์กับอาจารย์ พระคุณเอ่ย เกล้ากระหม่อมฉานทำผิดแต่เพียงนี้ เพราะว่าล่วงราตรีจึงมีโทษ ขอพระองค์จงทรงพระกรุณาโปรด ซึ่งโทษานุโทษแห่งข้ามัทรี แต่ครั้งเดียวนี้เถิด
อิเม เต ชมฺพุกา รุกฺขา | เวทิสา สินฺธุวาริตา |
วิวิธานิ รุกฺขชาตานิ | เต กุมารา น ทิสฺสเร |
อสฺสตฺถา ปนสา เจ เม | นิโครฺธา จ กปิตฺถนา |
วิวิธานิ ผลชาตานิ | เต กุมารา น ทิสฺสเร |
อิเม ติฏฺฐนฺติ อารามา | อยํ สีตูทกา นที |
ยตฺถสฺสุ ปุพฺเพ กีฬึสุ | เต กุมารา น ทิสฺสเร |
วิวิธานิ ปุปฺผชาตานิ | คสฺมึ อุปริ ปพฺพเต |
ยานสฺสุ ปุพฺเพ ธารึสุ | เต กุมารา น ทิสฺสเร |
วิวิธานิ ผลชาตานิ | อสฺมึ อุปริ ปพฺพเต |
ยานสฺสุ ปุพฺเพ ภุญฺชึสุ | เต กุมารา น ทิสฺสเร |
อิเม เต หตฺถิกา อสฺสา | พลิพทฺธา จ เต อิเม |
เยหิสฺสุ ปุพฺเพ กีฬึสุ | เต กุมารา น ทิสฺสเร |
อิเม สามา สลาลุกา | พหุกา กทฺทลีมิคา |
เยหิสฺสุ ปุพฺเพ กีฬึสุ | เต กุมารา น ทิสฺสเร |
อิเม หํสา จ โกญฺจา จ | มยูรา จิตฺรเปกฺขณา |
เยหิสฺสุ ปุพฺเพ กีฬึสุ | เต กุมารา น ทิสฺสเร |
อิมา ตา วนคุมฺพาโย | ปุปฺผิตา สพฺพกาลิกา |
ยานสฺสุ ปุพฺเพ กีฬึสุ | เต กุมารา น ทิสฺสเร |
อิมา ตา โปกฺขรณี รมฺมจ | จากวากุปกุชฺชิตา |
มณฺฑาลเกหิ สญฺฉนฺนา | ปทุมุปฺปลเกหิ จ |
ยตฺถสฺสุ ปุพฺเพ กีฬึสุ | เต กุมารา น ทิสฺสเร |
น เต กฏฺฐานิ ภินฺนานิ | น เต อุทกมาภตํ |
อคฺคีปิ เต น หาสิโต | กินฺนุ มนฺโทว ฌายสิ |
ปิโย ปิเยน สงคมฺม | สมฺโมหํ พฺยปหญฺญติ |
ตฺยชฺช ปุตฺเต น ปัสสามิ | ชาลึ กณฺหาชินญฺจุโภ |
น โข โน เทว ปสฺสามิ | เยน เต นิหตา มตา |
กาโกลาปิ น วสฺสนฺติ | มตา เม นูน ทารกา |
น โข โน เทว ปสฺสามิ | เยน เต นิหตา มตา |
สกุณาปิ น วสฺสนฺติ | มตา เม นูน ทารกาติ |
ตมตฺถํ ปกาเสนฺโต สตฺถา อาห | |
สา ตตฺถ ปริเทวิตฺวา | ปพฺพตานิ วนานิ จ |
ปุนเทวสฺสมํ คนฺตฺวา | สามิกสฺสนฺติ โรทติ |
น โข โน เทว ปสฺสามิ | เยน เด นิหตา มตา |
กาโกลาปิ น วสฺสนฺติ | มตา เม นูน ทารกา |
น โข โน เทว ปสฺสามิ | เยน เต นิหตา มตา |
สกุณาปิ น วสฺสนฺติ | มตา เม นูน ทารกา |
น โข โน เทว ปสฺสามิ | เยน เต นิหตา มตา |
วิจรนฺตี รุกฺขมูเลสุ | ปพฺพเตสุ คุหาสุ จ |
อิติ มทฺที วราโรหา | ราชปุตฺตี ยสสฺสินี |
พาหา ปคฺคยฺห ปกฺกนฺทิตฺวา | ตตฺเถว ปติตา ฉมาติ |
เดิน (๘) เมื่อสมเด็จพระยอดมิ่งเยาวมาลย์มัทรี กราบทูลพระราชสามีสักเท่าใด ๆ ท้าวเธอจะได้ปราไสก็ไม่มี พระนางก็ยิ่งหมองศรีโศกกำสรดสอื้น ถวายบังคมคืนออกมาเที่ยวแสวงหาพระลูกรักทุกหนแห่ง กระจ่างแจ้งด้วยแสงพระจันทร ส่องสว่างพื้นอัมพรประเทศวิถี นางเสด็จจรลีไปหยุดยืน ในภาคพื้นปริมณฑลใต้ต้นหว้า จึงตรัสว่า ขึ้น อิเม เต ชมฺพุกา รุกฺขา ควรจะสงสารเอ่ยด้วยต้นหว้าใหญ่ใกล้อาราม งามด้วยกิ่งก้านประกวดกัน ใบชอุ่มประชุมช่อเปนชั้นชั้นดังฉัตรทอง แสงพระจันทร์ดั้นส่องต้องน้ำค้างที่ขังใบไหลลงหยดย้อย เสมือนหนึ่งน้ำพลอยพร้อยอยู่พราย ๆ ต้องกับแสงกรวดทรายที่ใต้ต้น อร่ามวามวาววนดูเปนแวว ดังบุคคลเอาแก้วมาระแนงแกล้งปรายโปรย โรยรอบปริมณฑลก็เหมือนกัน งามดังเอาไม้ปาริกชาติในเมืองสวรรค์มาปลูกไว้ ลูกรักเจ้าแม่เอ่ย เจ้าเคยมาอาศรัยได้นั่งนอน ประทับร้อนสำราญร่มรื่น ๆ สำรวลเล่นเย็นสบาย พระพายรำเพยพัดมาฉิวเฉื่อย เรไรระรี่เรื่อยร้องอยู่หริ่ง ๆ โอ้ลูกรักของแม่ทั้งชายหญิงไปอยู่ไหนไม่เห็นเลย มหานิโคฺรธชาตํ อนิจจาเอ่ย ต้นไทรทองที่ถัดไป กิ่งก้านใบรากห้อยเปนระย้า เจ้าเคยมาห้อยโหนโยนชิงช้าชวนกันแกว่งไกว แล้วเล่นไล่ปิดตาหาเร้น แทบหลังปริเวณพระอาวาส อิมา ตา โปกฺขรณี รมฺมา เจ้าเคยไปประพาศสรงสนานในสระศรี โบกขรณีตำแหน่งนอกพระอาวาส นางเสด็จลีลาศไปเที่ยวเวียนรอบ จึงตรัสว่าน้ำเอ่ยเคยเปี่ยมขอบเปนไรจึงขอดข้นลงขุ่นหมอง พระพายเจ้าเอ่ยเคยพัดมาต้องกลีบอุบล พากลิ่นสุคนธ์ขจรรสมารวยรื่น เปนไรจึงเสื่อมหอมหายชื่นไม่เฉื่อยฉ่ำ ฝูงปลาเจ้าเอ่ยเคยผุดคล่ำดำแฝงฟอง บางก็ขึ้นล่องแล้วลอยเลื่อน ชมแสงเดือนอยู่พราย ๆ เปนไรจึงไม่มาว่ายเวียนวง ฝูงนกเจ้าเอ่ยเคยบินลงไล่จิกเหยื่อทุกเวลา วันนี้ช่างแปลกเปล่าตาไม่แลเห็น พระลูกเอ่ยเจ้าเคยมาเที่ยวเล่นไม่เห็นแล้ว โอ้แลเห็นแต่สระแก้วอยู่อ้างว้างวังเวงใจ นางก็เสด็จครรไลล่วงตำบลเที่ยวค้นพระลูกตามลำเนาเนินป่า ทุกสุมทุมพุ่มพฤกษาป่าสูงยูงยางใหญ่ไพรระหง พนัศแดนดงเย็นยะเยียบเงียบสงัดเหงา ได้ยินแต่เสียงดุเหว่าละเมอร้องก้องพนาเวศ พระกรรณเธอสังเกตว่าสองดรุณเยาวเรศเจ้าร้องขานอยู่แว่ว ๆ ให้หวาดว่าสำเนียงเสียงพระลูกแก้วเจ้าขานรับพระมารดา นางเสด็จลีลาเข้าไปดู เห็นแต่หมู่สัตว์จัตุบาทกลาดกลุ้มเข้าสุมนอน นางก็ยิ่งสะท้อนถอนพระไทยเทวศครวญ เสด็จด่วนดะดุ่มเดินเมินมุ่งละเมาะไม้แล้วมองหมอบ แต่ย่างเหยียบเกรียบกรอบก็เหลียวหลัง พระโสตฟังให้หวาดแว่ว ว่าสำเนียงเสียงพระลูกแก้วเจ้าบ่นอยู่งึม ๆ พุ่มไม้ครึ้มเปนเงา ๆ ชะโงกเงื้อม พระเนตรเธอแลเหลือบให้ลายเลื่อมเห็นเปนรูปตะคุ่ม ๆ อยู่คล้าย ๆ แล้วหายไป สมเด็จอรไทยเธอเที่ยวตระโกนกู่ก้อง พระภักตรเธอฟูมฟองนองไปด้วยน้ำพระเนตรที่โศกา จึงตรัสว่าโอ้โอ๋เวลาป่านฉนี้จะมิดึกดื่น จวนจะสิ้นคืนข้อนรุ่งแล้วหรือกะไรไม่รู้เลย พระพายรำเพยพัดมารี่เรื่อยอยู่เฉื่อยฉิว อกแม่นี้ให้อ่อนหิวสุดละห้อย ทั้งดาวเดือนก็เคลื่อนคล้อยลงลับไม้ สุดที่แม่จะติดตามเข้าไปในยามนี้ ฝูงลิงค่างบ่างชนีที่นอนหลับ ก็กลิ้งกลับเกลือกตัวอยู่ยั้วเยี้ย ทั้งนกหกก็งัวเงียเหงาเงียบทุกรวงรัง แต่แม่เซซังเสาะแสวงทุกแห่งห้องหิมเวศ ทั่วประเทศทุกราวป่า สุดสายนัยนาที่แม่จะตามไปเล็งแล สุดโสตแล้วที่แม่จะทรับทราบฟังสำเนียง สุดสุรเสียงที่แม่จะเรียกพิไรร้อง สุดฝีเท้าที่แม่จะเยื้องย่องยกย่างลงเหยียบดิน เปนสุดสิ้นสุดปัญญา สุดจะหาสุดค้นเห็นสุดคิด จะได้พานพบประสบรอยพระลูกน้อยแต่สักนิดไม่มีเลย จึงตรัสว่าเจ้าดวงมณฑาทองทั้งคู่ของแม่เอ๋ย หรือว่าเจ้าทิ้งขว้างวางจิตรไปเกิดอื่น เหมือนแม่ฝันเมื่อคืนนี้แล้วแล
เดิน (๙) ภิกฺขเว ดูกรสงฆ์ผู้ทรงพรหมจารี เมื่อสมเด็จพระมัทรีทรงพระกำสรดแสนกัมปนาท เพียงพระสันดานจะขาดจะดับสูญ ปริเทวิตฺวา นางเสวยพระอาดูรภูลทเวศในพระอุรา น้ำพระอัสสุชลนาเธอไหลนองคลองพระเนตร ทรงพระกรรแสงแสนทเวศพิไรร่ำ ตั้งแต่ปฐมยามค่ำไม่หย่อนหยุดแต่สักโมงยาม นางเสด็จไต่เต้าติดตามทุกตำบล ละเมาะไม้ไพรสณฑ์ศิขรินทร์ ทุกห้วยธารละหานหินเหวหุบห้องคูหาวาศ ทรงพิไรร้องก้องประกาศเกริ่นสำเนียง พระสุรเสียงเธอเยือกเย็นระย่อทุกอกสัตว์ พระพายก็มิได้รำเพยพัดผกากร รัศมีพระจันทรก็มัวหมองเหมือนเศร้าโศก แสนวิโยคเมื่อยามปัจจุสสมัย แสงพระสุริโยทัยพอเรื่อเรืองเหลืองขึ้นขอบฟ้า เสียงชนีเหนี่ยวไม้ไห้หาละห้อยโหย พระกำลังนางก็อิดโรยยังร่ำร้อง พระสุรเสียงเธอกู่ก้องกังวานดง เทพยเจ้าทุกพระองค์กอดพระหัตถ์เงี่ยโสตสดับสาร พระเยาวมาลย์เธอเที่ยวหาพระลูก พระนางเธอเสวยทุกข์นั้นแสนเข็ญ ตั้งแต่ยามเย็นจนรุ่งเช้าก็สุดสิ้นที่จะเที่ยวค้น ทุกตำแหน่งแห่งละสามหนเธอเที่ยวเวียนหา ปณฺณรสโยชนมคฺคํ ถ้าจะคลี่คลายขยายมรรคาก็ได้สิบห้าโยชน์โดยนิยม นางจึงเซซังเข้าไปสู่พระอาศรมบังคมบาทพระภัศดา ประหนึ่งว่าชีวาจะวางวายทำลายล่วง สองพระกรเธอข้อนทรวงทรงพระกรรแสงครวญคร่ำ แล้วรำพัน ว่า ขึ้น โอ้เจ้าดวงสุริยันจันทรทั้งคู่ของแม่เอ่ย แม่ไม่รู้เลยว่าเจ้าจะหนีพระมารดา ไปสู่ภาราใดไม่รู้ที่ หรือว่าเจ้าข้ามนทีทเลวนหิมเวศประเทศแดนใด ถ้ารู้แจ้งประจักษ์ใจแม่ก็จะตามเจ้าจนสุดแรง นี่ก็เหลือที่แม่จะเที่ยวแสวงสืบเสาะหา เมื่อเช้าแม่จะเข้าไปสู่ป่า พ่อชาลีแม่กัณหายังวอนสั่ง แม่ยังกลับหลังมาโลมลูบ จูบกระหม่อมจอมเกล้าทั้งสองรา กลิ่นยังจับนาสาอยู่รวยรื่น โอ้พระลูกข้านี้จะไม่คืนเสียแล้วกระมังในครั้งนี้ กัณหาชาลีลูกรักแม่ นับวันแต่ว่าจะแลลับล่วงไปเสียแล้วแลหนอ ใครจะกอดพระศอเสวยนมผธมด้วยแม่เล่า ยามเมื่อแม่จะเข้าสู่ที่บรรจฐรณ์ เจ้าเคยเคียงเรียงหมอนนอนแนบข้างทุกราตรี แต่นี้แม่จะกล่อมใครให้นิทรา โอ้แม่อุ้มท้องประคองเคียงเลี้ยงเจ้ามาก็หมายมั่น สำคัญว่าจะได้อยู่เปนเพื่อนยากฝากพี่พึ่งลูกทั้งสองคน มิรู้ว่าจะไม่เปนผลมาอาเภทผิดประมาณ เจ้าเอาแต่ห่วงสงสารนี่หรือมาสวมคล้อง ให้แม่นี้ติดต้องข้องอยู่ด้วยอาลัย เจ้าทิ้งแต่ชื่อแลโฉมไว้ให้ปรากฏในแววตา เมื่อเช้าแม่จะเข้าไปสู่ป่ายังได้เห็นหน้าเจ้าอยู่หลัด ๆ ควรแลหรือมาพรากพลัดสลัดแม่นี้ไว้ เหมือนจะเตือนให้แม่นี้บรรไลยเสียจริงแล้ว ควรจะสงสารเอ่ยด้วยนางแก้วกัลยาณี น้อมพระเกษีลงทูลความ หวังจะตามพระลูกรักทั้งสองรา กราบถวายบังคมลาแล้วลุกเลื่อน เขยื้อนยกพระบาทบทจรเยื้องย่าง พระกายนางให้เสียวสั่นหวั่นไหวไปทั้งองค์ ดุจชายธงอันต้องกำลังลมอยู่ริ้ว ๆ สิ้นแรงโรยเธอโหยหิวรหวยทรวง พระศอเธอหงุบง่วงดวงพระภักตร์ผิดเผือดไม่แปรผัน จะทูลสั่งก็มิทันที่ว่าจะทูลเลย ตรัสว่าพระคุณเจ้าเอ๋ยได้คำเดียวเท่านั้นก็หายเสียง เลี้ยงพระกายบ่ายศิโรเพศ พระเนตรหลับหับพระโอษฐลงทันที วิสญฺญี หุตฺวา นางก็ถึงวิสัญญีสลบลงตรงหน้าฉาน ปานประหนึ่งว่าฉัตรทองอันต้องสายอัสสนีฟาด ขาดระเนนเอนแล้วก็ล้มลง ตรงหน้าพระที่นั่งนั้นแล
เดิน (๑๐) อถ มหาสตฺโต ปางนั้นสมเด็จพระเพสสันดรอดุลยดวงกระษัตรีย์ ทอดพระเนตรเห็นพระอรรคเรศถึงวิสัญญีภาพสลบลงวันนั้น พระไทยท้าวเธอสำคัญว่าพระนางเธอวางวาย สดุ้งพระไทยหายว่าโอ้อนิจจามัทรีเจ้าพี่เอ๋ย บุญพี่น้อยแล้วนะเจ้าเพื่อนยาก เจ้ามาตายจากพี่ไปในวงวัด ขึ้น เจ้าจะเอาป่าชัฏนี่หรือมาเปนป่าช้า จะเอาพระบรรณศาลานี่หรือเปนบริเวณพระเมรุทอง จะเอาแต่เสียงสาลิกาอันร่ำร้องมาเปนกลองประโคมใน จะเอาแต่เสียงจักกระจั่นแลเรไรต่างแตรสังข์แลพิณพาทย์ จะเอาแต่เมฆหมอกในอากาศกั้นเปนเพดาน จะเอาแต่ยูงยางในป่าพระหิมพานต์มาต่างฉัตรเงินแลฉัตรทอง จะเอาแต่แสงพระจันทร์อันผุดผ่องมาต่างประทีปแก้วงามโอภาส อนิจจามัทรีเอ่ย มาตายเอน็ดอนาถไร้ญาติอยู่กลางดง เดิน ครั้นท้าวเธอค่อยคลายลงที่โศกศัลย์ จึงผันพระภักตร์มาพิจารณา ก็รู้ว่ายังไม่อาสัญ จึงเข้าไปยังพระคันธกุฎี จับเอาคนทีอันเต็มไปด้วยน้ำมาทันใด ตั้งแต่พระองค์ทรงผนวชไพรมาได้ถึงเจ็ดเดือนปลาย จะได้ต้องพระกายนางมัทรีนั้นหามิได้ เมื่อมีความทุกข์พ้นวิสัยมิอาจที่จะกำหนด ว่าอาตมานี้เปนดาบสฤๅษี เธอยกพระเศียรพระมัทรีขึ้นใส่ตัก วักเอาวารีมาโสรจสรงลงที่อุระพระมัทรี หวังว่าจะให้ชุ่มชื่นฟื้นสมประฤๅดี แห่งนางพระยามัทรีเจ้านั้นแล
ตมตฺถํ ปกาเสนฺโต สตฺถา อาห | |
ตมชฺช ปตฺตํ ราชปุต์ตึ | อุทเกนาภิสิญฺจถ |
อสฺสตฺถนฺนํ วิทิตฺวาน | อถ นํ เอตทพฺรวีติ |
อาทิเยเนว เต มทฺทิ | ทุกฺขํ นกฺขาตุมิจฺฉิสํ |
ทลิทฺโท ยาจโก วุฑฺโฒ | พฺราหฺมโณ ฆรมาคโต |
ตสฺส ทินฺนา มยา ปุตฺตา | มทฺทิ มา ภายิ อสฺสสิ |
มํ ปสฺส มทฺทิ มา ปุตฺเต | มา พาฬฺหํ ปริเทวยิ |
ลจฺฉาม ปุตฺเต ชีวนฺตา | อโรคา จ ภวามเส |
ปุตฺเต ปสุญฺจ ธญฺญญฺจ | ยญฺจ อญฺญํ ฆเร ธนํ |
ทชฺชา สปฺปุริโส ทานํ | ทิสฺวา ยาจกมาคเต |
อนุโมทาหิ เม มทฺทิ | ปุตฺตเก ทานมุตฺตมนติ |
อนุโมทามิ เต เทว | ปุตฺตเก ทานมุตฺตมํ |
ทตฺวา จิตฺตํ ปสาเทหิ | ภิยฺโย ทานํ ทโท ภว |
โย ตฺวํ มจฺเฉรภูเตสุ | มนุสฺเสสุ ชนาธิป |
พฺราหฺมณสฺส อทา ทานํ | สิวีนํ รฎฺฐวฑฺฒโน |
นินฺนาทิตา เต ปถวี | สทฺโท เต ติทิวงคโต |
สมนฺตา วิชฺชุตา อาคู | คิรีนํว ปติสฺสุตา |
ตสฺส เต อนุโมทนฺติ | อุโภ นารทปพฺพตา |
อินฺโท จ พฺรหฺมา จ ปชาปติ จ | โสโม ยโม เวสฺสวโณ จ ราชา |
สพฺเพ เทวา อนุโมทนฺติ | ตาวตึสา สอินฺทกา |
อิติ มทฺที วราโรหา | ราชปุตฺตี ยสสฺสินี |
เวสฺสนฺตรสฺส อนุโมทิ | ปุตฺตเก ทานมุตฺตมนฺติ |
เดิน (๑๑) ภิกฺขเว ดูกรสงฆ์ผู้ทรงศีลวิสุทธิสิกขา เมื่อสมเด็จพระมัทรีเธอได้สมปฤๅดีคืนมา นางพระยาละอายแก่เทพยดานัก ด้วยเห็นว่านอนอยู่บนตักพระราชฤๅษีมิบังควร อุฏฐาย จึงอุฏฐาการโดยด่วนเลื่อนพระองค์ลงจากตักพระราชสามี พระมัทรีจึงทูลถามว่า พระพุทธิเจ้าข้า พระลูกรักทั้งสองราไปอยู่ไหนนะฝ่าพระบาท ท้าวเธอจึงตรัสประภาษว่าดูกรเจ้ามัทรี อันสองกุมารนี้พี่ให้เปนทาน แก่พราหมณ์แต่วันวานนี้แล้ว พระน้องแก้วเจ้าอย่าโศกศัลย์ จงตั้งจิตรของเจ้านั้นให้โสมนัศศรัทธา ในทางกฤดาภินิหารทานบารมี ลจฺฉาม ปุตฺเต ชีวนฺตา ถ้าเราทั้งสองนี้ยังมีชีวิตสืบไป อันสองกุมารนี้ไซร้ก็คงจะได้พบกันเปนมั่นแม่น ถึงสรรพสิ่งแสนสัตตรัตนอลังการให้ทานไป เราก็คงจะได้ด้วยผลทาน ทชฺชา สปฺปุริโส ทานํ มัทรีเอ่ย อันอริยสัปรุษเห็นปานดังตัวพี่ ถึงจะมีเข้าของสักเท่าใด ๆ ทิสฺวา ยาขกมาคเต ถ้าเห็นยาจกเข้ามาใกล้ไหว้วอนขอ ก็ย่อมไม่ย่อท้อในทางทาน จนแต่ชั้นลูกรักยอดสงสารพี่ยังยกให้เปนทานได้ อันสองกุมารนี้ไซร้เปนแต่พาหิรกทานภายนอกไม่อิ่มหนำ พี่จะใคร่ให้ซ้ำซึ่งอัชฌัติกทานอิกนะเจ้ามัทรี ถ้าแม้นมีบุทคลผู้ใดใครปราถนา ซึ่งเนื้อหนังมังสาโลหิตดวงหทัยไทยเนตรทั้งนั้นไซร้ พี่ก็จะแหวะผ่าเอามาให้เปนทานไม่ย่อท้อถึงเพียงนี้ มัทรีเอ่ย จงศรัทธาด้วยช่วยอนุโมทนาทาน ในกาลบัดนี้เถิด
เดิน (๑๒) สมเด็จพระมัทรีทูลสนองพระโองการว่า พระพุทธิเจ้าข้า แต่วันวานนี้เหตุไฉนจึงไม่ตรัสแจ้งยุบลสารให้ทราบเกล้า ท้าวเธอจึงตรัสเล่าว่าพระน้องเอ่ย พี่จะเล่าให้เจ้าฟังก็สุดใจ ด้วยเจ้ามาแต่ป่าไกลยังเหนื่อยนัก พี่เห็นว่าความร้อนความรักจะรุมอก ด้วยสองดรุณทารกเปนเพื่อนไร้ เจ้ามัทรีเอ่ย จงผ่องใสอย่าสอดแคล้ว ด้วยสองพระลูกแก้วไปไกลตา พระนางจึงตรัสว่า พระพุทธิเจ้าข้า อันสองกุมารนี้ไซ้ เกล้ากระหม่อมฉันได้อุส่าห์ถนอม ย่อมพยาบาลบำรุงมา ขอถวายอนุโมทนาด้วยปิยบุตรทานบารมี ขอพระองค์จงเปรมปรีดิ์ปราศจากมัจฉริยธรรมอกุศล อย่ามาปะปนในน้ำพระไทยของพระองค์เลย ท้าวเธอจึงตรัสว่าพระน้องเอ๋ย ถ้าพี่มิได้ให้ด้วยเลื่อมใสศรัทธาแท้ในทางทาน ที่ไหนเลยแผ่นดินดาลจะกัมปนาทหวาดหวั่นไหวจลาจล ท้าวเธอจึงนำอนุสนธิ์มหัศจรรย์อันมีในกัณฑ์กุมารบรรพ กลับมาเล่าให้พระมัทรีฟัง ตามกาลหนหลังนั้นแล
ขึ้น (๑๓) สา มทฺที ส่วนสมเด็จพระมัทรีศรีสุนทรบวรราชธิดา มหาสมมุติวงศ์วิสุทธิสืบสันดานมา วราโรหา ทรงพระภักตราผิวผ่องเนื้อทองไม่เทียมศรี ยสสฺสินี มีพระเกียรติยศอันโอฬารล้ำเลิศวิไลยลักษณ์ยอดกระษัตริย์ อันทรงพระศรัทธาโสมนัศนบนิ้ว ประนมน้อมพระเศียรเคารพทาน พระนางเธอก็ชื่นบานบริสุทธิ์ ด้วยปิยบุตรมกุฎทานอันพิเศษ ฝ่ายฝูงอมรเทเวศทุกวิมานมาศก็ปราโมทย์ ต่างองค์ก็แย้มพระโอษฐตบพระหัตถ์อยู่ฉาดฉาน ซ้องสาธุการสรรเสริญเจริญทานบารมี ทั้งสมเด็จอมรินทร์ปิ่นโกสีย์เจ้าฟ้าสุราลัย อันเปนใหญ่ในดาวดึงส์สวรรค์ ก็โปรยปรายทิพยบุบผาลาวรรณวิไลยกรอง ทั้งพวงแก้วแลพวงทองก็โรยร่วงลงจากกลีบเมฆกระทำสักการบูชา แก่สมเด็จนางพระยามัทรีเจ้า ด้วยท้าวเธอทรงกระทำอนุโมทนาทาน เวสฺสนฺตรสฺส แห่งพระราชสมภารเพสสันดรราชฤๅษีผู้เปนพระภัศดา อิติ เมาะ อิมินา นิยาเมน โดยนิยมมาดังนี้แล
มทฺทิปพฺพํ นิฏฐิตํ
ประดับด้วยพระคาถา ๙๐ พระคาถา
----------------------------