กัณฑ์กุมาร

ความเจ้าพระยาพระคลัง (หน)

----------------------------

๏ ชูชโกปิ อจฺจุตตาปเสน กถิตมคฺเคน ยาว จตุรสฺสโปกฺขรณีตีรํ ปตฺวา จินฺเตสิ อชฺชาติสายเณฺห อิทานิ มทฺที อรญฺญโต อาคมิสฺสติ มาตุคาโม หิ นาม ทานสฺส อนฺตรายกโร โหติ เสฺว ตสฺสา อรญฺญคตกาเล อสฺสมปทํ คนฺตฺวา เวสฺสนฺตรํ อุปสงฺกมิตฺวา ทารเก ยาจิตฺวา ตาย อนาคตาย เอวนฺเต คเหตฺวา ปกฺกมิสฺสามีติ ฯ

เดิน (๑) อสฺสโม อันว่าพระอาศรมบรมนิเวศวงกฏ เปนที่เจริญพรตพรหมวิหาร แสนสนุกรัมณิยรโหฐานทิพาวาส ดังชะลอบัณฑุกัมพลศิลาลาดมาลอยลง สี่กระษัตริย์เสด็จดำรงสำรวมกิจ เอาเพศผนวชเปนนักสิทธิ์สืบโบราณ โดยอุปนิสสัยสมภารหน่อพุทธางกูร ท้าวเธอสู้เสียสละละซึ่งมไหศูรย์สวรรยางค์ ออกมาก่อสร้างซึ่งพระสมดึงษบารมี น้ำพระไทยท้าวเธอโปร่งเปรมปรีดิ์ปราโมทย์ ชูชโกปิ แม้อันว่าเถ้าหฤโหดหินชาติทาสเมถุน คนฺตฺวา ตะแกก็มุมุ่นมุ่งเขม้น ถ่อกายเก่นตะเกียกเดิน โดยพนัศแถวเถินทางเฉภาะ ตามคำพระอจุตเจ้าเจาะแจ้งคดี พอล่วงวิถีระยะโยชน์ ถึงสโรชโบษขรณีแนวพนัศแน่นหนาป่าระหง พอพระสุริยงค์เธอเยื้องรถ บทจรเย็นยอแสงสั่งทวีป ฝูงทิชากรก็ร่อนรีบเข้ารังเรียง ได้ยินเสียงผีป่าโป่งโป้งเปิ่งกู่กระหึม ผีผิ่วพึมฟังขนพอง เสียงชนีร้องอยู่โหวยโหวยวิเวกวะหวามอก พราหมณก็หยุดยืนตื่นตกตลึง นึกว่านี่กูมาถึงไหนแล้วสิหว่า เหลียวซ้ายแลขวาเห็นช่อฟ้าอยู่ลิบๆ สองตาตะแกไม่กระพริบเพ่งเลงแล หมายแน่ว่าโน่นแล้วสิหนออ่อพระอาศรม ทชีก็มีมโนภิรมย์ปรารภรำพึงการ ว่าเวลาป่านฉนี้น่าที่จะมิลุ ดังจุใจกูเจตน์จง ด้วยสมเด็จอนงค์นาฎมัทรี เธอคงจรลีกลับจากแสวงหาผลาผล เสด็จรีบร้นเข้ามายังพระอาศรมสถาน อนึ่งก็เปนคำบุราณท่านย่อมว่า ว่าช้าช้าจะได้พร้าสองเล่มงาม ด่วนได้ด้วยสามผลามมักพลิกแพลง มาตุคาโม ธรรมดาว่าสัตรีนี้เปนเกาะแก่งกีดกระแสกุศล มีมัจฉริยะมืดมนคือตัวมาร ยามเมื่อสามีจะทำทานมักทำลาย ด้วยแยบคายเข้าค้อนติง เข้าทักท้วงให้ทอดทิ้งเสียศรัทธาผล มาตรแม้นว่าอาตมะจะรุกร้นโลภเข้าไปขอ ซึ่งพระปิยะบุตรน้อยหน่อผู้แนบอก ที่ไหนพระนางเธอจะยอมยกซึ่งพระปิยบุตรทานบารมี น่าที่จะเสียทีทั้งสองทาง ฝ่ายพระองค์ผู้ทรงสร้างก็จะเสียศรัทธาผล ทั้งตัวกูผู้แสนจนก็จะปราศจากลาภคว้าน้ำเหลวอยู่ลังเล เสฺว เออต่อวันรุ่งพรุ่งนี้เถิดสินะ คอยให้พระนางเธอหลีกละพระเจ้าลูกทั้งคู่เข้าสู่ดง ยังแต่องค์สมเด็จพระชินวงศ์วรราช อุปสงกมิตฺวา เราจึงจะลีลาศลอดเลาะ เข้าไปสู่เฉภาะพระเพ็ญภักตร์ จะทูลขอพระยอดรักปิโยรส ได้แล้วก็จะบทจรมุ่งไปหาเมีย เห็นจะไม่เสียทีที่ถ่อร่างมาหอบรวน คิดแล้วเถ้าก็หันหวนหาที่นอน พอจะปลิ้นปลอกซอกซอนให้พ้นสัตว์จัตุบาท เถ้าก็ปีนทลุดทลาดขึ้นสู่ชะง่อนเขา พราหมณ์ก็นั่งซบเซาคำนึงนึก เสียงสกุณร้องก้องกึกให้หวั่นหวาด พระพายชายพัดบุบผชาติหอมระรวยมา เถ้าก็เหวี่ยงย่ามละว้าลงต่างหมอน นอนไขว่ห้างทางสาธยายมนต์ ตะแกก็กรนอยู่ครืดครอกบนซอกผา พระพายชายพัดมาอยู่ฉิวเฉื่อย พราหมณ์ก็นอนหลับเรื่อยบัดเดี๋ยวใจ เหนือศิงขรเนินไศลนั้นแล

เดิน (๒) ตํ ปน รตฺตึ ในเมื่อราษตรีทชีนอนเหนือศิงขรขอบเขตรพระอาวาส ส่วนสมเด็จพระนางนาฎมัทรีเสด็จบรรธม ในห้องพระอาศรมบรรณศาลา ยังมิทันที่จะนิทราระงับพอหลับพระเนตร เกิดอาเภทเปนลางหลาก ยามเมื่อจะจำจากพระลูกรักทั้งสองศรี พระอินทรีย์เธอสั่นระรัวริก สะดุ้งพระองค์พลิกดังใครผลักให้พลัดแพลง เสียวๆ สยะแสยงยะเยือกเย็น ว่าเอ๊ะจะเปนพิกลฉันใด ฤๅว่าภัยจะบังเกิดมี เธอก็แผ่ไมตรีลงสู่ที่นิทรารมณ์บรมไสยาศน์ พระนางให้หวาดๆ จนเพลาปัจจุสมัยจึงม่อยผอยหลับสนิท เสวยพระสุบินนิมิตรผิดประหลาดลามกธรรมว่า เอโก ปุริโส ยังมีบุรุษผู้หนึ่งนั้นเติบโตดำล่ำสันเห็นพิลึก ผิวกายดำเปนหมอกหมึกมืดดังมหาเมฆ ดูนิโกกเกกเก่งฉกาจ ปริทหิตฺวา นุ่งผ้าย้อมฝาดคาดกาสาว์สักกระสัน พันเปนเกลียวเหนี่ยวเหน็บรั้ง คาดพุงจั้งมั่งทมัดทะแมง ปิลนฺธิตฺวา ทัดดอกไม้แดงทั้งสองหูดูสง่า อาวุธหตฺโถ มีหัตถ์เบื้องขวานั้นถือดาบ คมเขียวเปนมันปลาบละเลื่อมแสง แกว่งกวัดฉวัดเฉวียนวิ่งวู่จู่เข้ามาถึง ถีบทวารตึงทำลายลู่ ตชฺเชนฺโต กระทืบเท้าตะคอกขู่คำรามสำราก ฉวยชฎานางกระชากฉุดให้หลุดพลัด รวบพระกรกระหวัดทั้งซ้ายขวา ให้พระนางเธออุตตานภาพ ฟาดด้วยดาบเหวี่ยงลงตรงพระพาหา ทั้งสองซ้ายขวาขาดเปนสิน พระกรกระเด็นดิ้นอยู่แดดาน แล้วมิหนำซ้ำแขวะคว้านควักพระนัยเนตรทั้งสองปลิ้นให้วิ่นหวะ อุรํ ภินฺทิตฺวา เอาดาบฉะเชือดพระทรวงล้วงชำแหละ แหวะหาพระหทัยพระนางนั้น ตสฺสา วิรวนฺติยา ในลักษณฝันว่าพระนางเธอมิได้ต่อเถียง แต่ร้อง ๆ จนสุดสิ้นพระสุรเสียงสำเนียงกรี๊ดกรีดวะหวีดหวาด ชายนั้นก็ประลาตแล่นไป มีหยาดพระโลหิตไหลละลุมลง สะดุ้งพระองค์ออกพระโอษฐ โลดลอยพลอยผวาตื่นขึ้นทันที ในปัจฉิมราตรีนั้นแล

เดิน (๓) สา ปพุชฺฌิตฺวา เมื่อนางพระยาผวาตื่นตระหนกตกประหม่าไม่มีขวัญ พระไทยนางเธอไหวหวั่นหวีดหวาด เจียนหัวใจจะขาดอยู่ร่อแร่ สำคัญว่าเปนแม่นแท้เหมือนความฝัน จึงสอดพระกรพัลวันลูบไล้หา พระกายายังปรากฎ จึงกำหนดแน่ว่านิมิตร เอ๊ะอัศจรรย์จิตจริงเจียวสิหว่า จึงทรงพระจินตนาโดยเหตุ ว่าโอ้โอ๋อาเพศช่างผิดผวน มิบังควรเคยนิมิตร ก็มาวิปริตผิดประหลาด จนตกไร้นิราศรัตนบุรีเรือนจันทน์ ออกมาโศกศัลย์แสนทรพล เข็ญใจจนเหลือลำบาก แล้วมิหนำซ้ำจะยากระยำยับไปถึงไหน จะยื่นหน้าไปหาใครในกลางป่า ที่จะเปนโหรารู้ทำนายทายทัก ให้แจ้งประจักษ์ว่าร้ายฤๅดีไม่มีเนตร เห็นแต่พระปิ่นปกเกษผู้เพื่อนเข็ญ ท้าวเธอก็เปนมิ่งมงคลฆราวาศ คิดแล้วก็ลุกขึ้นจากอาศน์โอบอุ้มประคอง พระเจ้าลูกทั้งสองสายสุดสวาท ประโลมให้ไสยาศน์หลับสนิทแล้ว นางแก้วก็เสด็จมายังพระอาศรมบรมราชสามี น้อมพระเกษีสมาโนชญ์ ขออธิกรณโทษทางคำนับ ขยับยกพระกรกรายกรีดดีดเคาะ ดังกะเกาะก้องกึง ศัพทสำเนียงสนั่นลั่นถึงพระกรรณตระหนัก ท้าวเธอจึงตรัสออกมาว่า โก เอโส ใครนั่นสิหว่าใครนั่นหนา พระพุทธิเจ้าข้า เกล้ากระหม่อมฉันมัทรี เอ๊ะเจ้ามาไยเวลาป่านฉนี้พระน้องเอ่ย ผิดเวลากาล ฤาเจ้าลืมคำปฏิญาณแรกนิยม ว่าจะไม่คบหาสมาคมกันเปนเชิงชั้นฉันฆราวาส เวลานี้นี่ก็ผิดประหลาดอยู่แล้วนะเจ้า ไยเล่าจึงล่วงมา พระพุทธิเจ้าข้า เกล้ากระหม่อมฉันฝันพิกล จึงร้อนรนเปนธุระ ครั้นว่าจะนิ่งเฉยเลยละก็เกรงว่าจะลืมหลง หวังว่าจะให้พระองค์ทรงทำนายทายทัก อ้อกระนั้นดอกฤๅพระน้องรัก เจ้าฝันเปนประการใด อย่าเข้ามาข้างในนั่งอยู่แต่นอก บอกความฝันเข้ามาเถิดพี่จะช่วยทำนาย สมเด็จพระมัทรีเธอก็ทูลถวายพระสุบินสิ้นทุกประการ แก่พระราชสมภารนั้นแล

เดิน (๔) โส โพธิสตฺโต ปางนั้นสมเด็จพระหน่อชินวงศ์องค์โพธิสัตว์ เงี่ยพระโสตสดับอรรถตั้งแต่ต้นจนอวสาน ก็ทรงทราบด้วยพระอนุมานปัญญาบารเมศ ว่า เสฺว วันรุ่งพรุ่งนี้จะมีเหตุด้วยปฏิคาหก ยาจกจะมารับพระราชทาน โอ้สงสารด้วยสองพระเจ้าลูกผู้เพื่อนยาก พรุ่งนี้เช้าเจ้าจะพลัดพรากพราหมณจะพาไป ไกลจากอกพระบิดาแล้ว สงสารด้วยนางแก้วเกษกระษัตรีย์มัทรีเอ่ย จะเสวยพระทุกข์เพียงพินาศ ด้วยสองดรุณราชปิโยรสร่วมฤทัย ครั้นอาตมะจะอาลัยหลงอยู่ด้วยความรัก ไหนจะหักเสนหาให้เหือดหาย ด้วยอาตมะจะมุ่งหมายพระโพธิญาณ ทานธุระจะเริศร้าง แม้อาตมะจะทำนายทางบุพนิมิตรแต่ตามจริง ไหนนางจะทอดทิ้งพระลูกเล่าด้วยอาลัย ก็จะเปนพาหิรกภัยแก่โพธิญาณ จำจะทำนายด้วยโวหารให้เหตุหาย จึงมีสุนทราธิบายด้วยพระปัญญา ว่า ดูกรมัทรี เปนเหตุทั้งนี้ด้วยเจ้าเปนนางกระษัตริย์ เคยเสวยไอสุริยสมบัติอันอุดม เจ้าเคยสถิตย์บรรธมพระยี่ภู่อ่อนลออสำอางองค์ ยามเมื่อเจ้าจะโสจสรงเสวยล้วนแต่เครื่องสุพรรณภาชน์ ยามเมื่อเจ้าเยื้องยุรยาตรก็มิได้ย่างลงเหยียบดินกระเดื่องใจ บัดนี้เจ้ามาตกไร้นิราศปราศจากที่อันเจริญ ออกมาโศกศัลย์แสนกันดารเดินในดงดอนต้องแดดลม เสวยแต่ผลไม้อันเปรี้ยวขมเฝื่อนฝาด นอนเหนือใบไม้ลาดล้วนลอองทราย เทพยเจ้าย่อมยักย้ายซึ่งราษี ธาตุทั้งสี่นั้นวิปริต จึงเสวยสุบินนิมิตผิดประหลาดลามก เจ้าจะสดุ้งตกพระไทยไปไยมี จงกลับไปยังคันธกุฎีโดยสำราญ ขึ้น ส่วนสมเด็จพระมัทรีรับสุนทรสารใส่เกษา ถวายบังคมลามายังพระอาวาส พออรุณโอภาศรุ่งเรืองจำรัสฟ้า ฝูงสกุณาออกหากินบินเกริ่นก้องร้องอยู่แจ้วๆ พระนางก็ประโลมปลุกพระลูกแก้วทั้งสองราเยาวเรศ ว่าเจ้าผู้ดวงนัยเนตรทั้งคู่ของแม่นี่นา ลุกขึ้นเถิดอย่านอนสายพระภักตราจะหมองศรี เธอจึงอุ้มแก้วกัณหาชาลีขึ้นใส่ตัก วักเอาวารีมาโสจสรงสำอางองค์เอี่ยมลออง ทรงชะโลมขมิ้นทองประเทืองผิวให้ผ่องผัด มุ่นพระเกษจุไรรัดร้อยสุมาลี มาสอดแซมพระเกษีตามประสายาก น้ำพระชลไนยเธอไหลลงพรากๆ แล้วก็พร่ำเล่า ว่าโอ้พระทูลเกล้าของแม่เอ่ย คืนนี้แม่ฝันร้ายผิดประหลาด ไปทูลถามพระบิตุราชท้าวเธอก็ตรัสว่ามิเปนไร แม่นี้ยังไม่ไว้ใจเลยนะพ่อๆ ชาลี เจ้าอยู่หลังระวังน้องให้จงดี ผิดชอบอย่าด่าตีฟังแม่ว่า แม่กัณหาเอ่ย เจ้าอย่าหลงละเลิงเลยเล่นไปนักนะแม่ๆ จงเสงี่ยม อย่าตะลีตะเลียมชะล่าไปให้ไกลพี่ พ่อชาลีเล่าก็อย่าเลินเล่อละพระน้องให้แล่นเล่นแต่ลำพัง จงฟังคำแม่พร่ำสอนพร่ำสั่งทุกสิ่งอัน เธอก็รับมิ่งรับขวัญพระลูกรักทั้งสองรา ว่ามาเถิดมาพ่อมาแม่มา แม่จะพาเจ้าไปเฝ้าฝากเสียยังแล้ว ตรัสพลางนางก็อุ้มแก้วกัณหา พระหัตถ์เบื้องขวาจูงพระชาลี มาสู่สำนักพระราชสามีแล้วทูลฝากพระเจ้าลูกผู้เพื่อนยาก ว่าพระพุทธิเจ้าข้า ได้โปรดกระหม่อมฉันด้วย ช่วยเผื่อแผ่พระบารมีปกเกษลูก เอาพระไทยผูกตรัสประภาษเรียกหา ให้เล่นแต่ใกล้ๆ พระบาทาทั้งพี่น้อง เจ้าสิทรามคะนองปองแต่ที่จะแล่นเล่นลีลาศ เหมือนโปดกมฤคมาศอันอ่อนแอ ครั้นพลัดแม่อยู่แต่ลำพัง แล้วก็จะตั้งแต่พากันผาดโผนโจนเล่นตามประสาสัตว์ ไม่รู้ว่าภัยพาลพิบัติจะมาเบียดเบียนเมื่อปางใด กระหม่อมฉันมิไว้ใจเหมือนทุกคราวครั้ง พระคุณเอ่ย ได้โปรดด้วยช่วยระวังในครั้งนี้ เหมือนหนึ่งเห็นแก่ข้าพระบาทมัทรีเถิดนะว่าเปนเพื่อนยาก พระนางเธอทูลฝากพระลูกแก้วแล้วถวายบังคมลา มาจัดหาขอเสียมกระเช้าสาน สาแหรกคานขึ้นใส่พระอังษาเสด็จจร น้ำพระไทยเธอข้อนๆ คิดไม่ขาด เสด็จนิวัติลีลาศคืนหลัง กลับมาทรงกรรแสงสั่งสองบังอรอิกเล่า ว่าทูลเกล้าของแม่เอ่ย ถ้าอกแม่นี้แล่ได้ออกเปนภาคพอที่จะแบ่ง แม่ก็จะจักแจงแล่งออกไว้ ภาคหนึ่งถึงจะไปภาคหนึ่งจะอยู่ จะได้ประโลมเลี้ยงพระลูกรักทั้งคู่มิให้เคืองพระไทย โอ้ความเข็ญใจในครั้งนี้นี่เหลือขนาด เจ้าเกิดมากำพร้าญาติไร้พระประยูรวงศา แต่จะได้เห็นหน้ามารดาเล่าก็ไม่เต็มวัน ต่อเพลาสายัณห์เย็นระย่อย่ำ แม่จึงจะได้กลับเข้ามาอุปถัมภ์ถนอมเชยให้ชื่นชู ครั้นเช้าตรู่แล้วก็พลัดแม่เปนกำพร้า จะมีใครเลี้ยงรักษาพระลูกเล่า เลี้ยงกันเองเถิดสินะเจ้าแต่พี่กับน้อง เห็นหน้ากันแต่สองตามประสายาก เพราะมีกรรมแล้วจึงจำจากด้วยจำเปน ใจแม่นี้จะเด็ดกระเด็นออกไปเสียแล้ว นะทูลกระหม่อมแก้วจงค่อยอยู่ โอ้เจ้าดวงเนตรทั้งคู่ของแม่เอ่ยแม่นี้จะขอลา พระนางก็ยาตราตรึกพลางทางเหลียวมาแลดู พระลูกทั้งคู่น้อยๆ ละห้อยไห้ น้ำพระชลไนยเธอไหลลงหลั่งๆ กลับหน้าสั่งกลับหลังสั่ง จนลับบังพระไนยเนตร ยิ่งสงสารสองดรุณเยาวเรศมิลืมเลยจนลับล่วงเข้าสู่ป่า เพื่อจะแสวงหาผลไม้ที่ในดง มาปฏิบัติกระษัตริย์ทั้งสามพระองค์นั้นแล

เดิน (๕) โส ปาโตว ครั้นอรุณรุ่งจำรัสพระเวหน พฤฒาเถ้าหลับกรนอยู่ในซอกผา ได้ยินเสียงสกุณโกกิลาพะเพรียกเรียกร้องก้องพนาเวศ เถ้าก็สังเกตว่าเอ๊ะเพลานี้รุ่งแล้วกระมัง ลุกขึ้นยืนหยัดดัดหลังอยู่เครียดๆ บิดขี้เกียจอยู่อึดอัด ฉวยย่ามละว้าสลัดซัดขึ้นใส่ไหล่ หมายมุ่งไปยังพระอาศรมบรมศิวาวาส บทจรมุ่งมาตรโดยมรรคา อถ มหาสตฺโต ปางนั้นสมเด็จพระมหาสัตว์เสด็จออกนั่งน่าพระอาศรมบท งามปรากฎดุจรูปทองทั้งแท่ง อันบุคคลแกล้งหล่อแล้วมาตั้งไว้ จินฺเตสิ มีน้ำพระไทยรำพึงหา ยาจกอันจะมารับพระราชทาน สุราโสณฺโฑ ปิ้มปานประหนึ่งว่านักเลงสุราบานคอยหาเจ้าเหล้า ปุตฺตาปิ แม้อันว่าพระโอรสเจ้าทั้งคู่ เล่นอยู่มิได้ห่างพระบิตุเรศร์ ส่วนพระโพธิสัตว์ทอดพระเนตรเห็นทชีก็ชื่นชม เชื้อเชิญภิรมย์เรียกพราหมณ์ด้วยความปรีดา ว่า เอหิ วต โภ พราหมณ์เอ่ย เชิญท่านผู้เปนมหามงคลนิมิตร อันจะนำเราไปยังทิศพระนิพพาน เชิญเถิดพฤฒาจารย์มาช่วยเรายกปิยบุตรทานบารมี เมื่อท้าวเธอจะตรัสเรียกพระชาลีให้ออกไปรับพราหมณ์พฤฒา จึงกล่าวเปนบาทพระคาถาดังนี้

อุฏฺเฐหิ ชาลิ ปติฏฺฐ โปราณํ วิย ทิสฺสติ
พฺราหฺมณํ วิย ปสฺสามิ นนฺทิโย มาภิกีรเรติ
อหํปิ ตาต ปสฺสามิ โย โส พฺรหฺมาว ทิสฺสติ
อตฺถิโก วิย อายาติ อติถิ โน ภวิสฺสตีติ

ขึ้น (๖) ตาต พ่อเอ่ย พ่อชาลีศรีสุริยรู้พระไทยของพระบิดา เจ้าจงยืนขึ้นตรงหน้าโน่นพราหมณ์หรือไร โปราณํ วิย เหมือนเมื่อเราอยู่ในพระภารา หมู่วรรณิพกทั่วทิศามารับพระราชทาน นันฺทิโย เมาะ โสมนสฺสา ความพระบิดาเกษมสานต์ภิรมย์โสมนัศจนถึงมหิทธิสิโรเพศ ดังบุทคลเดินประเทศทางกันดารแดดร้อน มีผู้เอาชโลธรมาทุ่มเทรดให้เย็นใจ เออกระนั้นฤๅกระไรพระลูกแก้ว เดิน พระชาลีฟังรับสั่งแล้วทูลฉลองด้วยพระปัญญา ซึ่งโปรดมาทั้งนี้ก็ชอบด้วยเกล้า แต่พราหมณ์ผู้เถ้านี้ถือเพศเปนดาบสพาเหียร ดีร้ายจะมาเบียดเบียนขออะไรสักสิ่ง ทูลแล้วพระชาลีรับ ๆ สั่งวิ่งออกไปรับพราหมณ์ ครั้นถึงจึ่งถามว่าท่านตาท่านลุงถุงไถ้อะไรหนัก ส่งมาเถิดหลานรักจะช่วยรับเอาไป ชูชกเฉลียวใจจุปากอยู่เจาะ ๆ ว่าฉะกุมารนี้ช่างฉอเลาะคมสันนี่สิ้นที น่าที่จะเปนเจ้าชาลีลูกกระษัตริย์แล้ว ธรรมดาว่านกยูงย่อมมีแววไม่รู้หาย ดังหนามไม้ไม่เสี้ยมปลายก็แหลมเอง แม้นขอได้จะโฉงเฉงใช้จะยาก ทั้งรู้หลักนักปราชญ์มากปากจะกล้า จำจะสำทับด้วยวาจาแต่แรกพบ อจฺฉรํ ปหริ ตาชีก็ดีดนิ้วมือดังถะถบถะถับ ร้องสำทับด้วยวาจา ว่าฮ้าเฮ้ยลูกใครนี่หวาใจแขง เข้ามาเดินเคียงแข่งผู้ใหญ่ อปฺเปหิ จงหลีกออกไปไปเสียอย่าอยู่วา ว่าแล้วยังแลดูตาอยู่อิกเล่า กูเหวี่ยงลงด้วยไม้เท้านี่เถิดฤๅ ตาแกก็ทำฮึดฮือฮึกฮักยกเท้าแยกขาทำท่าจะตี พระชาลีก็หลีกออกไป เธอคิดว่าพราหมณ์ผู้นี้ใฉนหนอจึงร้ายกาจ ดูก็เห็นรูปชั่วชาติหฤโหด ประกอบด้วยบุรุษโทษแทบทุกสิ่ง เออมันชั่วกระนี้จริงเจียวสิหว่า พระชาลีผู้ปรีชาก็นิ่งไว้แต่ในพระไทย ส่วนเถ้าจรรไรตะแกได้ช่อง ก็เหยาะย่องยอบกายหมายภิมุขหมอบประนม มือถวายบังคมพระเวสสันดร เอื้อนโอษฐ์ถวายพระพรศรัทธาผล ทูลถามถึงกังวลแต่วันท้าวเธอนิราศพระราไชย มาผนวชในพนาวาส กล่าวเปนบาทพระคาถาว่า

กจฺจินุ โภโต กุสลํ กจฺจิ โภโต อนามยํ
กจฺจิ อุญฺเฉน ยาเปถ กจฺจิ มูลผลา พหู
กจฺจิ ฑํสา จ มกสา อปฺปเมว สิรึสปา
วเน พาลมิคากิณฺเณ กจฺจิ หึสา น วิชฺชตีติ
กุสลญฺเจว โน พฺรเหฺม อโถ พฺรเหฺม อนามยํ
อโถ อุญฺเฉน ยาเปม อโถ มูลผลา พหู
อโถ ฑํสา จ มกสา อปฺปเมว สิรึสปา
วเน พาลมิคากิณฺเณ หึสา มยฺหํ น วิชฺชติ
สตฺต โน มาเส วสตํ อรญฺเญ ชีวิโสกินํ
อิทํปิ ปฐมํ ปสฺสามิ พฺราหฺมณํ เทววณฺณิกํ
อาทาย เวฬุวํ ทณฺฑํ อคฺติหุตฺตํ กมณฺฑลุํ
สฺวาคตนฺเต มหาพฺรเหฺม อโถ เต อทุราคตํ
อนฺโต ปวีส ภทฺทนฺเต ปาเท ปกฺขาลยสฺสุ เต
ติณฺฑุกานิ ปิยาลานิ มธุเก กาสมาริโย
ผลานิ ขุทฺทกปฺปานิ ภุญฺช พฺรเหฺม วรํ วรํ
อิทํปิ ปานิยํ สีตํ อาภตํ คิริคพฺภรา
ตโต ปิว มหาพฺรเหฺม สเจ ตฺวํ อภิกงขสีติ
อถ ตฺวํ เกน วณฺเณน เกน วา ปน เหตุนา
อนุปฺปตฺโตสิ พฺรหารญฺญํ ตํ เม อกฺขาหิ ปุจฺฉิโตติ
ยถา วาริวโห ปูโร สพฺพกาลํ น ขียติ
เอวนฺตํ ยาจิตาคญฺฉึ ปุตฺเต เม เทหิ ยาจิโตติ
ททามิ น วิกมฺปามิ อิสฺสโร นย พฺราหฺมณ
[สนฺตํ น ปฏิคุยฺหามิ ทาเน เม รมฺมตี มโน]
ปาโต คตา ราชปุตฺตี สายํ อุญฺฉาโต เอหิติ
เอกรตฺตึ วสิตฺวาน ปาโต คจฺฉสิ พฺราหฺมณ
ตสฺสา นฺหาเต อุปสึฆาเต อถ เม มาลธาริเน
เอกรตฺตึ วสิตฺวาน ปาโต คจฺฉสิ พฺราหฺมณ
นานาปุปฺเผหิ สญฺฉนฺเน นานาคนฺเธหิ ภูสิเต
นานามูลผลากิณฺเณ คจฺฉิสฺสาทาย พฺราหฺมณาติ
น วาสมภิโรจามิ คมนํ มยุหํว รุจฺจติ
อนฺตราโยปิ เม อสฺส คจฺฉญฺเญว รเถสภ
นเหตา ยาจโยคีนํ อนฺตรายสฺส กีริยา
อิตฺถิโย มนฺตํ ชานนฺติ สพฺพํ คณฺหนฺติ วามโต
สทฺธาย ทานํ ททโต มา สมทฺทกฺขิ มาตรํ
อนฺตรายํปิ สา กิริยา คจฺฉญฺเญว รเถสภ
อามนฺตยสฺสุ เต ปุตฺเต มา เต มาตรมทฺทสุํ
สทฺธาย ทานํ ททโต เอวํ ปุญฺญํ ปวฑฺฒติ
อามนฺตยสฺสุ เต ปุตฺเต มา เต มาตรมทฺทสุํ
มาทิสสฺส ทานํ ทตฺวา ราช สคฺคํ คมิสฺสตีติ
สเจ ตฺวํ นิจฺฉสฺเส ทฏฺฐุํ มม ภริยํ ปติพฺพตํ
อยฺยกสฺสปิ เม เทหิ ชาลี กณฺหาชินญฺจุโภติ
อิเม กุมาโร ทิสฺวาน มญฺชุเก ปิยภาณิเน
ปีติโต สุมโน จิตฺโต พหุํ ทสฺสติ เต ธนนฺติ
อจฺเฉทนสฺส ภายามิ ราชปุตฺต สุโณหิ เม
ราชทณฺฑาย มํ ทชฺชา วิกิเณยฺย หเนยฺย วา
ฉินฺโน ธนญฺจ ทาเส จ คาเรเยฺสฺสํ พฺราหฺมณฺพนฺธุยาติ
อิเม กุมาเร ทิสฺวาน มญฺชุเก ปิยภาณิเน
ธมฺเม ฐิโต มหาราชา สิวีนํ รฎฺฐวฑฺฒโน
ลทฺธา ปีติโสมนสฺสํ พหุํ ทสฺสติ เต ธนนฺติ
นาหนฺตมฺปิ กริสฺสามิ ยํ มํ ตฺวํ อนุสาสสิ
ทารเกว อหํ เนสฺสํ พฺราหฺมณิยา ปริจาริเกติ
ตมตฺถํ ปกาเสนฺโต สตฺถา อาห
ตโต กุมารา ภยภีตา สุตฺวา ลุทฺธสฺส ภาสิตํ
เตน เตน ปธาวึสุ ชาลี กณฺหาชินา จุโภติ

เดิน (๗) เมื่อชูชกทชีเข้าไปถึงแล้ว เถ้าใจแกล้วกระทำประพฤติปราไสยเปนสัมโมทนียนัยกถาธรรมสวัสดิ์ พระบรมโพธิสัตว์ก็เปรมปรีดิ์ปราไสยตอบโดยระบอบประเพณี เชิญทชีฉันผลไม้อันโอชา เถ้าชราได้โอกาศ ด้วยตะแกฉลาดในเชิงภิกขาจาร เมื่อจะทูลขอสองดรุณราชกุมาร เถ้าก็พูดหว่านล้อมด้วยคำยอ ชักเอาแม่น้ำทั้งห้าเข้ามาล่ออุปมาถวายเสียก่อน แล้วจึงหวนย้อนขอต่อเมื่อภายหลัง ขึ้น ว่าพระพุทธิเจ้าข้า วาริวโห เมาะ ปญฺจ มหานทิโย พระคุณเจ้าเอ่ย อันว่าแม่น้ำทั้งห้ากระแสสายชลชลา ไหลมาจากห้วงคงคาเปนห้าแถว นองไปด้วยน้ำแนวเต็มฝั่งฝา นามชื่อว่าคงคายุมนาอจิรวดี สรภูนทีมหิมหาสาคเรศ จึงแตกเปนนิเทศกุนทีน้อย ๆ ประมาณห้าร้อยโดยสังขยา ปูโร ไหลหลั่งถั่งมาลบล้นกระทบกระทั่งฟากฝั่งเปนฝอยฝน บ้างก็เปนวังวนวุ้งชะวากเวิ้ง บ้างก็เปนกะพักกะเพิงกะพังพุ บ้างก็ดั้นดุกระเด็นดาษดังดวงแก้ว ตามทางแถวแนวท่อธาร ไหลส้าส้าซ่านสะเซาะโทรม เสียงระระระโรมโครมครื้นครั่น พิฦกลั่นบันฦๅหฤหรรษ์ บ้างก็เลี้ยวลัดดัดดั้นชลาไหล บ่าไปสู่บ่อบึงบางน้อยใหญ่นับอเนกอนันต์ เปนคลื่นหมื่นมหันต์มไหไหลฟุ้งซ่านสุดที่จะพรรณา ย่อมเปนที่อาศรัยทั่วไปแก่ฝูงปลานานาสรรพสัตว์ ในภูมิพื้นจังหวัดมงคลทวีป ฝูงชนได้เลี้ยงชีพก็ชุ่มชื่น ถึงจะวิดวักตักตวงทุกค่ำคืนทิวาวัน ถึงจะทดท่อระหัดหันเข้าทุ่งนาป่าแลดง น้ำในสาครจะน้อยลงก็หามิได้ เสมือนหนึ่งน้ำพระไทยพระทูลกระหม่อมแก้ว อันยาจกมาถึงแล้วไม่เลือกหน้า ตามแต่จะปราถนาทุกยวดยาน กาญจนอลงกฏรถรัตน์ อัศวสรรพสารพัดพิพิธโภไค จนกระทั่งถึงภายในปัญจมหาบริจาค อันเปนยอดยากยิ่งทานไม่ท้อถอย ด้วยพระองค์หมายมั่นพระสร้อยสรรเพชญ์ดาญาณ พระคุณเจ้าเอ่ย ข้าพระราชสมภารนี่เปนคนจนทุพลภาพสุดเข็ญ จะหาเช้าได้กินเปนก็ทั้งยาก ครั้งนี้อุส่าห์บ่ายบากบุกป่าผ่าพงพนัศแสนกันดาร หวังจะรับพระราชทานพระชาลีกัณหา ไปเปนทาสาทาสี ขอพระองค์จงทรงยกยอดปิยบุตรทานบารมี ให้แก่ข้าทชีนี้เถิด

เดิน (๘) โส โพธิสตฺโต ปางนั้นสมเด็จพระบรมนราพิสุทธิ์พุทธางกูร ได้ฟังพราหมณ์อธิบายทูลขอสองกุมาร มีน้ำพระไทยชื่นบานเอิบอาบ ด้วยกุศลลาภอันเลิศฟ้า อุปมาเหมือนบุรุษอันยากไร้ มีผู้นำทรัพย์มานับให้พันตำลึงถึงมือแล้วเมื่อใด น้ำพระไทยท้าวเธอปราโมทย์เหมือนฉนั้น เมื่อจะยังเขาวงกฏให้บันฦๅลั่นกัมปนาท ท้าวเธอจึงตรัสประภาษว่า พราหมณ์เอ่ย ท่านมาออกปากขอสองกุมารพระลูกรักเราดังดวงตา เราก็จะตัดห่วงเสน่หาให้แก่พราหมณ์ แต่ทว่าเราขอทุเลาเลื่อนสักราตรี พอให้ทันพระมัทรีเธอตามสนอง เสียแรงนางได้อุ้มท้องทนเทวศ ถนอมเลี้ยงบังเกิดเกษสองกุมารมา อนึ่งนางจะได้อนุโมทนาสามิภักดิ์บำเพ็ญเพิ่มพระบารมี แล้วจะได้ขัดสีสระสรงสองดรุณมุ่นจุกไร ร้อยมาไลยประดับเกษแก้วกุมาร จะได้มอบให้เปนทานถึงมือทชี เราเห็นว่าจะดีสดวกงาม งดก่อนเกิดฤๅนะพราหมณ์พรุ่งนี้จึงไป หามิได้พระพุทธิเจ้าข้า ซึ่งพระองค์แนะสนองชักช่องมาหนักหน่วงถ่วงให้อยู่ช้าคอยท่าพระมัทรี ข้อนี้ยังติดใจอยู่จริง ๆ อิตฺถิโย มนฺตํ ขึ้นชื่อว่ามารยาหญิงนี้แสนแยบ ดีแต่ว่าจะคิดแอบเสียดายของ เคยครอบครองภิรมย์รื่น ยากที่จะยกหยิบเอาออกยื่นเปนยอดทาน ชื่อว่าสามาญมัจฉริยะเกิดกันกั้นกุศล หมื่นแสนจะได้ดีแต่ละคนนี่ยากแล้ว อันสมเด็จพระนางแก้วมิ่งมัทรี จะเหมือนดังสัตรีทั้งปวงก็หามิได้ เกลือกว่าพระนางจะอาลัยด้วยพระลูกรัก จะมิหักเสนหาให้เหือดหาย จะมุ่งหมายพระบารมีเปนแม่นมั่น เสมอเหมือนพระองค์ผู้จำนงค์ซึ่งทางสวรรค์แล้วแลฤๅพระพุทธิเจ้าข้า แม้พระองค์ทรงพระศรัทธาแท้แล้ว จงโปรดเรียกพระลูกแก้วมาพระราชทาน กระหม่อมฉานจะพาไปเปนทาสช่วงใช้ ให้นางอมิตตดาผู้โฉมตรู เห็นว่าจะดีกว่าอยู่นี่แล้วแล

เดิน (๙) โส โพธิสตฺโต ปางนั้นสมเด็จพระบรมโพธิสัตว์ ได้ฟังคำพราหมณ์ทูลทัดขัดแข็งโต้แย้งด้วยวาจา จึงตรัสว่าพราหมณ์เอ่ย ท่านมิอยู่ช้าท่ามัทรีแล้วก็ทำเนา แต่ทว่าจงพาสองกุมารเจ้าเข้าไปสู่สำนักพระไอยกา ให้ท้าวเธอทราบว่าพระนัดดาดวงสวาทเข้าไปสู่พระราชธานี ท้าวเธอก็จะพระราชทานเงินทองของดี ๆ หลากเหลือหลาย ทั้งวัวควายช้างม้าข้าใช้สร้อยศฤงคารเครื่องบริโภค ตะแกจะมีโชครวยฉุยเสียอิกนะทชี เถ้าก็ทูลตอบคดีในทันใด ว่าไม่ได้ไม่ได้พระพุทธิเจ้าข้า ซึ่งจะทรงพระกรุณาไม่เห็นด้วย ฉวยว่าเสียทีสิมิเปนการ คำบุราณท่านกล่าวไว้แต่ก่อนปลาย ขุนนางใช่พ่อแม่หินแง่ใช่ตายาย อันจะให้พาสองกุมารถ่อกายเข้าไปยังสำนักพระเจ้าปู่ ท้าวเธอก็จะให้มีพระกระทู้ซักถามซ้ำ จะละลักละล่ำว่าหน้าเปนหลังตกตลึงลืมตัว ด้วยความกลัวใช่พอดี เธอก็จะลงเอาว่าข้าทชีนี่ลักพระเจ้าหลานหลวง แล้วจะให้กระทำตามกระทรวงพระราชกิจ สมเด็จบพิตรท้าวเธอจะลงพระราชทัณฑ์เฆี่ยนด้วยหวาย ถ้ารอดตายตาเถ้าก็จะยับเยินเปนฟันสี ไปเมื่อน่าอีปากกล้าตามันแสนคม มันจะขู่ข่มด่าเอาเปรี้ยง ๆ ตาเถ้าก็ไม่อาจจะเถียงสักคำเดียว จะเหลียวหน้าไปหาใคร เมื่อลาภที่จะได้ก็จะกลับเปนเสียเมียนี้ก็จะด่า กระหม่อมฉันมาทั้งนี้ด้วยว่ารักนาง หวังจะเอาชีวามาวางไว้ใต้ฝ่าพระบาท แม้มาตรว่าพระองค์ทรงพระราชศรัทธาแท้แล้ว จึงเรียกสองพระลูกแก้วมาพระราชทาน ในกาลบัดนี้เถิด

ขึ้น (๑๐) เต กุมารา ควรจะสงสารเอ่ย ด้วยพระชาลีแลนางกัณหา สุตฺวา เมื่อได้ฟัง ผรุสวจนํ ซึ่งถ้อยคำอันหยาบช้า ภีตา เจ้าก็สดุ้งกระหนกตกประไทยไหวหวั่นขวัญไม่มี ดังโปดกมฤคีอันอ่อนแอ ได้ยินเสียงพยัคฆ์คำรามแฮ่เร่งกระหนกหนี ปลายิตฺวา เจ้าก็พาพระน้องจรลีลาศลงจากอาศนพระอาศรม เข้าไปซ่อนอยู่ในสุมทุมพุ่มไม้ร่มอันรกชัด ยังกลัวว่าจะไม่ผิดพราหมณ์จะแลเห็น อกใจนี่ฤๅเต้นอยู่ทึกทัก พระพักตรสองกุมารเผือดผัน พระกายสั่นระรัวริกดังตีปลา พระชาลีจึงกระซิบบอกแก้วกัณหา ว่า กัณหาเอ่ย เจ้าค่อย ๆ ย่อง ครั้นเหยียบต้องใบไม้ไหวกริบ เจ้าขยิบตาให้แล้วกัณหาหมอบ ครั้นเหยียบต้องใบไม้ไหวกรอบ เจ้าก็พากันหมอบอยู่แน่นิ่ง เตน เตน ปธาวึสุ สองเจ้าก็วิ่งวนจนถึงมงคลสระศรี สองกุมารกุมารีทรงผ้าคากรองเข้าให้มั่นคง แล้วเสียรอยถอยหลังลงสู่สระศรี เอาวารีนั้นบังองค์ เอาใบบุษบงบังพระเกษ หวังจะซ่อนพระบิตุเรศกับพราหมณ์ด้วยความกลัว อยู่ในสระบัวนั้นแล

เดิน (๑๑) โส ชูชโก ส่วนชูชกใจจองหอง อทิสฺวา มิได้เห็นสองกุมารในสถานที่นั้น เถ้าอาธรรม์ให้นึกแหน่งในดำริห์ จึงกล่าวติเตียนตัดพ้อด้วยลมพาลอยู่ฉานฉะ ว่า โภ เวสฺสนฺตร ดูกรพระมหาเวสสันดร เขาขึ้นชื่อฦๅขจรว่าใจบุญบริสุทธิ แต่เดิมทียุติจริงใจศรัทธาไม่ย่อท้อ เรามาเอ่ยออกปากขอคำเดียวก็ให้ลูก ถูกกับคำเขาฦๅเล่าว่าเลิศกระษัตริย์ บัดเดี๋ยวสิผัดจะให้อยู่ท่าพระมัทรี ครั้นว่าทชีมิยอมอยู่ กลับจะให้พาไปสู่สำนักพระเจ้ากรุงสญชัย ครั้นว่ารู้เท่าเขามิไปเหมือนใจคิด ก็จนจิตรนั่งนิ่งทำหน้าเฉย ขยิบตาชำเลืองเลยลอบแลลอด สอดพยักหน้าให้ลูกหนี ฉะออชาลีก็ไวเหลือลูกประสม เห็นพ่อทำตาคมคอยขยับ พอเบือนหงับก็ไปเงียบไม่ทันเงย ตยา สทิโส เจ้าข้าเอ่ย บุทคลผู้ใดเลยในโลกนี้ ที่จะเจรจาตลบเลี้ยวลดสด ๆ ร้อน ๆ เหมือนเจ้าพระยาเวสสันดรชีไพร เปนว่าหามิได้นี้แล้วแล

เดิน (๑๒) โส โพธิสัตฺโต ปางนั้นสมเด็จพระบรมโพธิสัตว์ ตรัสได้ทรงฟังพราหมณ์บริภาษ กฺมปมาโน ตกพระไทยไหวหวาดไปทั้งพระองค์ ทรงพระจินตนาในเหตุว่าสองดรุณเรศนี้กลัวภัย จึงทรงตรัสประภาษไปว่าพราหมณ์เอ่ย อย่าเพ่อเลยน้อยใจแก่เราก่อน เราจะพาสองกุมารบังอรมาให้จงได้ ตรัสแล้วก็เสด็จไปมนิมมนา ตามรอยบทวลัญชาสองกุมาร จนถึงสถานโบกขรณี ก็แจ้งว่ากัณหาชาลีอยู่ในสระสรง เมื่อพระองค์จะตรัสเรียกพระลูกยา ก็กล่าวเปนสารพระคาถาดังนี้

เอหิ ตาต ปิยปุตฺต ปูเรถ มม ปารมึ
หทยํ เมภิสิญฺเจถ กโรถ วจนํ มม
ยานนาวาว เม โหถ อจลา ภวสาครา
ชาติปารํ ตริสฺสามิ สนฺตาเรสฺสํ สเทวกนฺติ
เอหิ อมฺม ปิยา ธีตา ปิยา เม ทานปารมี
หทยํ เมภิสิญฺเจถ กโรถ วจนํ มม
ยานนาวาว เม โหถ อจลา ภวสาครา
ชาติปารํ ตริสฺสามิ อุทฺธริสฺสํ สเทวกนฺติ
ตมตฺถํ ปกาเสนฺโต สตฺถา อาห
ตโต กุมาเร อาทาย ชาลึ กณฺหาชินญฺจุโภ
พฺราหฺมณสฺส อทา ทานํ สิวีนํ รฎฺฐวฑฺฒโนติ
ตโต กุมาโร อาทาย ชาลึ กณฺหาชินญฺจุโภ
พฺราหฺมณสฺส อทา จิตฺโต ปุตฺตเก ทานมุตฺตมํ
ตทาสิ ยํ ภึสนกํ ตทาสิ โลมหํนนํ
ยํ กุมาเร ปทินฺนมฺหิ เมทนี สมกมฺปถ
ตทาสิ ยํ ภึสนกํ ตทาสิ โลมหํสนํ
ยํ ปญฺชลีกโต ราชา กุมาเร สุขวจฺฉิเต
พฺราหฺมณสฺส อทา ทานํ สิวีนํ รฎฺฐวฑฺฒโนติ
ตมตฺถํ ปกาเสนฺโต สตฺถา อาห
ตโต โส พฺราหฺมโณ ลุทฺโธ ลตํ ทนฺเตหิ ฉินฺทิย
สตาย หตฺเถ พนฺธิตฺวา ลตาย อนุมชฺชถ
ตโต โส รชฺชุมาทาย ทณฺฑญฺจาทาย พฺราหฺมโณ
อาโกฏยนฺโต เต เนติ สิวิราชสฺส เปกฺขโตติ
ตมตฺถํ ปกาเสนฺโต สตฺถา อาห
ตโต กุมารา ปกฺกามุํ พฺราหฺมณสฺส ปมุญฺจิย
อสฺสุปุณฺเณหิ เนตฺเตหิ ปิตรํ โส อุทิกฺขติ
เวธมสฺสตฺถปตฺตํว ปิตุ ปาทานิ วนฺทติ
ปิตุปาทานิ วนฺทิตฺวา อิทํ วจนมพฺรวิ
อมฺมา จ ตาต นิกฺขนฺตา ตวญฺจ โน ตาต ทสฺสสิ
ยาว อมฺมาปิ ปสฺเสมุ อถ โน ตฺวํ ตาต ทสฺสสิ
อมฺมา จ ตาต นิกฺขนฺตา ตวญฺจ โน ตาต ทสฺสสิ
มา โน ตฺวํ ตาต อททา ยาว อมฺมาปิ เอติ โน
ตทา ยํ พฺราหฺมโณ กามา วิกิณาตุ หนาตุ วา
พลงกปาโท อนฺธนโข อโถ โอพทฺธปิณฺฑิโก
ทีโฆตฺตโรตฺโถ จปโล กฬาโร ภคฺคนาสโก
กุมฺโภทโร ภคฺคปิฏฺฐิ อโถ วิสมจกฺขุโก
โลหมสฺสุ หริตเกโส วลฺลีนํ ติลกาหโก
ปิงคโล จ วินโต จ วิกโฏ จ พฺรหา ขโร
อชินานิ จ สนฺนทฺโธ อมนุสฺโส โส ภยานโก
มนุสฺโส อุทาหุ ยกฺโข มํสโลหิตโภชโน
คามา อรญฺญมาคมฺม ธนนฺตํ ตาต ยาจติ
[ยกฺโข พฺราหฺมณวณฺเณน ขาทิตุํ ตาต เนติ โน]
นิยฺยมมาเน ปิสาเจน กินฺนุ ตาต อุทิกฺขสิ
อสฺมา นูน เต หทยํ อยสา ทฬฺหพนฺธนํ
โย โน พนฺเธ น ชานาสิ พฺราหฺมเณน ธเนสินา
อจฺจายิเกน ลุทฺเธน โย โน คาโวว สุมฺภติ
อิเธว อจฺฉตุ กณฺหา น สา ชานาติ กิสฺมิจิ
มิคีว ขีรสมฺมตฺตา ยูถา หีนาวกนฺทตีติ
น เม อิทํ ตถา ทุกฺขํ ลพฺภา หิ ปุมุนา อิทํ
ยญฺจ อมฺมํ น ปสฺสามิ ตํ เม ทุกฺขตรํ อิโต
น เม อิทํ ตถา ทุกฺขํ ลพฺภา หิ ปุมุนา อิทํ
ยญฺจ ตาตํ น ปสฺสามิ ตํ เม ทุกฺขตรํ อิโต
สา นูน กปณา อมฺมา จีรํ รตฺตาย รุจฺจติ
กณฺหาชินํ อปสฺสนฺตี กุมาริญฺจารุทสฺสนึ
โส นูน กปโณ ตาโต จีรํ รตฺตาย รุจฺจติ
กณฺหาชินํ อปสฺสนฺโต กุมาริญฺจารุทสฺสนึ
สา นูน กปณา อมฺมา จีรํ รุจฺจติ อสฺสเม
กณฺหาชินํ อปสฺสนฺตี กุมาริญฺจารุทสฺสนึ
โส นูน กปโณ ตาโต จีรํ รุจฺจติ อสฺสเม
กณฺหาชินํ อปสฺสนฺโต กุมาริญฺจารุทสฺสนึ
สา นูน ปณา อมฺมา จีรํ รตฺตาย รุจฺจติ
อฑฺฒรตฺเตว รตฺเต วา นทีว อวสุสฺสติ
โส นูน กปโณ ตาโต จีรํ รตฺตาย รุจฺจติ
อฑฺฒรตฺเตว รตฺเต วา นทีว อวสุสฺสติ
อิเม เต ชมฺพุกา รุกฺขา เวทิสา สินฺธุวาริตา
วิวิธานิ รุกฺขชาตานิ ตานิ อชฺช ชหามเส
อสฺสตฺถา ปนสา เจ เม นิโคฺรธา จ กปิตฺถนา
วิวิธานิ ผลชาตานิ ตานิ อชฺช ชหามเส
อิเม ติฏฐนฺติ อารามา อยํ สีตูทกา นที
ยตฺถสฺสุ ปุพฺเพ กีฬาม ตานิ อชฺช ชหามเส
วิวิธานิ ปุปฺผชาตานิ อสฺมึ อุปริ ปพฺพเต
ยานสฺสุ ปุพฺเพ ธาเรม ตานิ อชฺช ชหามเส
วิวิธานิ ผลชาตานิ อสฺมึ อุปริ ปพฺพเต
ยานสฺสุ ปุพฺเพ ภุญฺชาม ตานิ อชฺช ชหามเส
อิเม โน หตฺถิกา อสฺสา พลิพทฺธา จ โน อิเม
เยหิสฺสุ ปุพฺเพ กีฬาม ตานิ อชฺช ชหามเสติ
ตมตฺถํ ปกาเสนฺโต สตฺถา อาห
นิยฺยมมานา กุมารา เต ปิตรํ เอตมพฺรวุํ
อมฺมํ อาโรคฺยํ วชฺชาสิ ตวญฺจ ตาต สุขี ภว
อิเม โน หตฺถิกา อสฺสา พลิพทฺธา จ โน อิเม
ตานิ อมฺมาย ทชฺชาสิ โสกนฺเตหิ วิเนสฺสติ
อิเม โน หตฺถิกา อสฺสา พลิพทฺธา จ โน อิเม
ตานิ อมฺมา อุทิกฺขนฺตี โสกํ ปฏิวิเนสฺสตีติ

ขึ้น (๑๓) ตาต พ่อเอ่ย เจ้าชาลีศรีสุริยวงศ์เยาวเรศ เจ้าเกิดในมกุฎเกษกรุงสีวิราฐ ไยพ่อไม่องอาจยอมย่อท้อทิ้งพระบิดา ให้พราหมณ์มันจ้วงจาบหยาบช้า เจ้าเห็นชอบอยู่แล้วฤๅหนาพ่อสายใจ เราก็เปนขัตติยมไหมหาสมมุติวงศ์วิเศษสุทธิ์กระษัตริย์ ไม่มีใครที่จะมาพ้อตักติเตียนเลย พระลูกเอ่ย เจ้าไม่รู้ฤๅคือพระบิตุรงค์บรรจงรักพระโพธิญาณ หวังจะยังสัตว์ให้ข้ามห้วงมหรรณพภพสงสารให้ถึงฝั่งฟาก เปนเยี่ยงอย่างยอดยากที่จะข้ามได้ สำเภาลำใดของพาณิช ซึ่งตกแต่งต่อติดเปนกงวาน ประกอบประกับกระดานตอกตึง ตะปูตะปริงยิงกรึงกระชับชิด พืชเหล็กตีติดตอกหมันโซมน้ำมันชันเขี้ยวแล้วเยียวยา กระดานดาษเปนดาษฟ้าจังกอบกว้านสมอขัน เสากระโดงยืนยันยึดด้วยพืชพวนผูกขึง รัดรึงตายติดกับเสารอกดูนี่เรียวแรง เสากระโดงสายระโยงระยางแย่งอยู่มั่นคง ปักทวนธงอยู่ริ้ว ๆ ธงตขาบปลิวสะบัดปลาย นายช่างจำลองจำหลักลายรายด้วยรูปสัตว์ ราชสีห์สิงห์อัดยืนแอ่นอก กอดกระหนกกระหนาบคาบแก้วกุม ครั้นได้ฤดูเดือนมรสุมแล้วก็แซ่ซ้อง บรรทุกสิ่งของลงต่าง ๆ ไว้ระวางทางวิดน้ำทำเปนโชงโลง อับเฉากันโคลงประจุเรียบ สำเภานิก็พาบเพียบเพียงราโท ครั้นได้ฤกษ์แล้วให้เลิกโห่ขึ้นสามลา ยิงปืนปากปลาเสียงผางผึงตึงตัง คนการยืนสะพรั่งอยู่พร้อมเพรียง ศัพทสำเนียงเสียงเฮโลแลเฮล่า เข้าฉุดคร่าสายสมอตีม้าล่ออยู่ฉ่าง ๆ โบกธงอยู่คว้าง ๆ แล้วแกว่งกวัด พอพระพายชายพัดติดใบบน ล้าต้าแลต้นหนก็มุ่งมอง ตั้งเข็มส่องกล้องสลัด โดยกำหนดขนัดคะเนหมาย นายท้ายก็ยักย้ายบ่ายเบี่ยงเฉลียงแล่นออกชเลลึกไม่เห็นฝั่ง ครั้นบังเกิดลมสลาตันตั้งตีเปนลูกคลื่นอยู่ครื้นเครง สำเภาก็โคลงเคลงไปตามคลื่นตื่นเต้น เสากระโดงหักกระเดนกระดานแตก คลื่นใหญ่โยนกระทบกระแทกกระทั่งผะผังผาง สำเภาก็อับปางลงในท่ามกลางชเลหลวง ฝูงมนุษย์ทั้งปวงไม่หลอเหลือล้วนเปนเหยื่อแก่เต่าปลา ด้วยเปนโลกิยนาวาไม่จิรังเลย พระลูกเอ่ย พอเห็นแต่หน้าเจ้าพระพี่น้อง เจ้าจงมาเปนสำเภาทองธรรมชาติ อันนายช่างชาญฉลาดจำลองทำ ด้วยกงแก้วประกำตรึงด้วยเพ็ชร์แน่นหนา แก้วประพาฬแผ่เปนดาษฟ้าฝาระเบิดเปิดช่องน้ำ แก้วไพรฑูรย์กระทำเปนราโท โมราประทับสลับสลัก กรอบลายรายดอกรักเนาวรัตน์ ฉลุฉลักเปนรูปสัตว์ภาพเพ็ชรนิลแนม แกมหงส์วิหคกระหนกคาบลดารัด มังกรกัดกอดแก้วเกี่ยวเปนก้านขดดูสดใส ครั้นสำเร็จแล้วเมื่อใด พระบิดาจะทรงเครื่องต้นมงคลพิไชยสำหรับกระษัตริย์ จะเอาพระสมาบัติกระหวัดทรง เปนสร้อยสังวาลย์วงอยู่สรรพเสร็จ จะเอาพระขันตีต่างพระขรรค์เพ็ชร์อันคมกล้า สุนทรจะย่างเบื้องลงเภตราสู่ที่นั่งท้ายอันสูงระหง ปักทวนธงเสวตฉัตร ครั้นเวลาวายุพัดมาเฉื่อยฉิว สำเภาทองก็จะล่องลิ่วไปตามลม สรรพสัตว์ก็จะชื่นชมโสมนัศ ถึงจะเกิดลมกาฬพานกระพือพัดคือโลโภ ถึงจะโตแสนโตตั้งตีเปนลูกคลื่นอยู่ครื้นโครมโถมกระแทก สำเภานี้ก็มิได้วอกแวกวายหวั่นไหว ก็จะแล่นระรี่เรื่อยเฉื่อยไปจนถึงเมืองแก้ว อันกล่าวแล้วคืออมตมหานครนฤพาน พระลูกเอ่ย เจ้าจะนิ่งนานอยู่ไยในสระศรี จงขึ้นมาช่วยยกยอดปิยบุตรทานบารมี แต่ในครั้งเดียวนี้เถิด

เดิน (๑๔) ชาลี กุมาโรปิ แม้อันว่าพระชาลีราชกุมาร เมื่อได้สดับวโรงการพระบิตุราช จึงคิดว่าอาตมะนี่เปนลูกกระษัตริย์ขัตติยยอดยิ่ง อะไรจะมานั่งนิ่งให้พระบิดาเรียกถึงสองคำมิบังควรนัก ถึงว่าอ้ายเถ้าทรลักษณ์มันจะตีด่าฆ่าเสียก็ตามเถิด คิดแล้วเธอก็เปิดใบบัวขึ้นมา กอดพระบาทเบื้องขวาพระบิตุรงค์ทรงพระกรรแสงเศร้า ท้าวเธอตรัสถามว่าพระน้องอยู่ไหนเล่าพ่อชาลี เธอก็กราบทูลคดีโดยคำกลาง ว่าพระพุทธิเจ้าข้า อิเม สตฺตา เยี่ยงอย่างสัดว์ทั้งหลาย ภัยจะมาถึงกายย่อมเอาตัวหนี ท้าวเธอก็ทราบคดีด้วยปรีชา จึงตรัสเรียกแก้วกัณหาดุจตรัสเรียกพระชาลี พระเจ้าน้องก็คิดเหมือนพระพี่ไม่ผิดเพี้ยน ขึ้นมาซบพระเศียรกอดพระบาทเบื้องซ้ายสมเด็จพระบิดา ขึ้น เต กุมารา ควรจะสงสารเอ่ย ด้วยสองดรุณทรามรักน้อย ๆ ทั้งคู่ พิศแลดูหน้ากันแล้วก็ตั้งแต่ว่าจะร้องไห้ น้ำพระอัสสุชลไนยเธอไหลลงหลั่ง ๆ ตกต้องหลังพระบาทพระบรมราชฤๅษี ดังกลีบบุษมาลีประทุมเมศ มารองน้ำพระชลเนตรสองกุมารพระเจ้าลูกท้าวเธอไว้ สมเด็จพระนราธิปไตยพิสุทธิชินวงศ์ ท้าวเธอก็พลอยทรงกรรแสงไห้ จนพระอัสุชลไนยไหลลงริน ๆ โทรมพระภักตร์ ตกต้องพระปฤษฎางค์พระลูกรักทั้งสอง ดุจแผ่นกระดานทองมารองรับไว้ทั้งคู่ กมฺปมานมานโส น้ำพระไทยเธอห่อหู่ยู่ย่นสลดลง ประหนึ่งว่าจะดำรงพระทานนั้นมิได้ ปรามสนฺโต เธอลูบหลังสองอรดไนยพระลูกแก้วแล้วก็รับขวัญ กุมพระกรพระลูกรักทั้งสองนั้นให้ทรงยืนประดิษฐาน พลางประโลมปลอบปิยกุมารทั้งสองว่า พระลูกเอ่ย ยืนขึ้นเถิดสินะเจ้าฟังบิดาว่า กัณหาเอ่ย เงยหน้าขึ้นเถิดนะแม่ แลดูหน้าพระบิดาเสียยังแล้วให้ชื่นมื่น ว่าจะมัวสอึกสอื้นไปว่าไร พระบิดานี่มีฤๅหาไม่ เจ้าก็ย่อมแจ้งอยู่แก่ใจเจ้าแล้วทั้งสอง มาทว่าบิดานี้มีเงินแลทองเล่าเถิดรา มิให้ลูกกำพร้าต้องระเห็นระหกตกไปไกล โอ้ครั้งนี้บิดานี่ยากไร้สิ้นร้ายเสียที่สุด เห็นแต่พระปิยบุตรเจ้าทั้งสอง ยิ่งกว่าเงินแลทองได้ร้อยเท่าพันทวี เดิน พระบรมราชฤๅษีเธอจึงคาดคำสองกุมาร เหมือนนายโคบาลอันสันทัดคาดค่าโค โส กิร ปุตฺโต จึงตรัสว่าพระลูกเอ่ยเจ้าจงจำคำของบิดาไว้ สเจ ภุชฺชิโส มาตรว่าเจ้าอยู่มิได้จะใคร่พ้นทาสวิสัยให้พ้นทชี พ่อชาลีจงเพียรพยายาม หาทองทุนทรัพย์ตามให้ถ้วนถึง นับตำลึงได้พันเท่า นั่นแลส่วนค่าตัวเจ้านะชาลี ส่วนของพระน้องกัณหานี้พระเจ้าอย่าลืมหนา หตฺถินาทิสเตน วา บิดาจะคาดค่าแก้วกัณหาไว้มิได้น้อย สิ่งละร้อยละร้อยทั้งโคอุสุภราชทาสทาสีรัถพาหนาลงกตคชสารม้ามิ่ง ครบทุกสิ่งสินสุวรรณทางร้อยตำลึง ยื่นให้ถึงมือทชีแล้วเมื่อใด กัณหาพระน้องเจ้าจึงจะได้เปนไทยขึ้นเมื่อนั้น อย่าโศกศัลย์เศร้าสร้อยน้อยพระไทยไปนักเลย พระลูกเอ่ย อย่าว่าบิดานี้ลำเอียง รักลูกเล่าก็ไม่เที่ยงเสมอกัน ใช่กระนั้นดอกหนาพ่อชาลี พระบรมราชฤๅษีเธอจึงตรัสประโลมเล้าว่า พระลูกเอ่ย มาเถิดนะเจ้าอย่าช้านักพราหมณ์จะคอย เธอก็จูงกรพระลูกน้อยพาเข้ามาสู่อรัญญิกาวาส นั่งเหนือศิลาอาสน์น่ามุขพระอาศรม ทรงพระเต้าอันอุดมเต็มด้วยวารี จึงตรัสเรียกทชีชราจารย์ว่า เอหิ วต โภ พราหมณ์เอ๋ย จงมารับพระราชทานสองกุมารแต่โดยดี เธอก็หล่อหลั่งอุทกวางลงในมือพราหมณ์ ตั้งพระไทยไว้ให้งามดังดวงแก้ว แล้วก็ออกอุทานวาจาอันแจ่มใส ว่า พราหมณ์เอ่ย ลูกทั้งสองของเรานี้ไซ้เรารักดังดวงใจไนยเนตร เหตุว่าเรารักพระโพธิญาณยิ่งกว่าสองกุมารได้ร้อยเท่าพันทวี ขึ้น อิทํ ทานํ เดชะผลทานในครั้งนี้จงสำเร็จ แด่พระสร้อยสรรเพชญ์พุทธรัตนอนาวรณญาณ ในอนาคตกาลโน้นเถิด

เดิน (๑๕) ภิกฺขเว ดูกรสงฆ์ผู้ทรงศีลสมาธิปัญญา เวสฺสนฺตโร ราชา อันว่าพระมหาเวสสันดรอดุลยดวงดิลก เมื่อพระองค์ทรงยอยกปิยบุตรทานมิทันช้า จึงหล่อหลั่งอุทกธาราให้ตกลงเหนือมือทิชาจารย์ อัศจรรย์ก็บันดาลบังเกิดมี ขึ้น อยํ มหาปถวี อันว่าภาคพื้นพระธรณีอันหนาแน่นได้สองแสนสี่หมื่นโยชน์ เสียงอุโฆษครื้นครั่น ดังไฟบรรลัยกัลป์จะผลาญโลกให้ทำลายวายวินาศ ฝูงสัตว์จัตุบาทก็ตื่นเต้นเผ่นโผนโจนดิ้น ประหนึ่งว่าปัถพินจะพลิกคว่ำพล้ำแพลงให้พลิกหงาย อกนางพระธรณีจะแยกแตกกระจายอยู่รอน ๆ สะท้อนสะเทือนเลื่อนลั่นอยู่ครืน ๆ ดุจหนึ่งว่าปืนสักแสนนัดมากระหน่ำ ซ้ำยิงอยู่เปรี้ยง ๆ เสียงฉะฉาดฉาน ทั้งพระยาคชสารชาติฉัททันต์ ทะลึ่งถลันร้องวะแหวแหวประแปร๋แปร้นแล่นทะลวงงวงคว้างาเงย ประหนึ่งว่าจะสรอยเสยเอาดวงดาว เหี้ยมห้าวกระหึมตกมันอยู่ฮัด ๆ ดังว่าใครมายุแยงแกล้งผัดพาน เดือดทยานอยู่ฮักฮึก สะอึกเข้าไล่แทงเงาอยู่ผลุงผลัง ไม้ไล่พังผะผางโผงล้มพินาศ ทั้งพระยาพาลมฤคราชเสือโคร่งคำรามครึมกระหึ่มเสียงสำเนียงก้อง ร้องปะเปิบปีบถีบทยานย่องแยกเขี้ยวเคี้ยวฟันตัวสั่นอยู่ริก ๆ ประหนึ่งว่าจะถาโถมโจมจิกจับเอาสัตว์ในไพรวัน มาคายคั้นกินเสียคำเดียวเปนภักษา ทั้งพระยากาษรตัวกล้าก็ลับเขาโขยดโลดลองเชิง เริงฤทธิไกรไล่ขวิดควิ้วอยู่ฉาน ๆ ประหนึ่งว่าจะควานควักตักแผ่นดินดอน สิเนรุปพฺพตราชา ทั้งพระยาเขาพระสุเมรุก็เอนอ่อนอยู่ทบเทา แก้วเก้าเนาวรัตน์แสนสัตตรัตนเรืองรองซ้องสาธุการอยู่อึงมี่ ทั้งพระยาครุธราชปักษีก็โผผินบินขึ้นเวหน เล่นลมบนอยู่ลิบลิ่ว เมฆหมอกปลิวอยู่เกลื่อนกลาด บนอากาศก็วิกลเปนหมอกกลุ้ม อัมพรชรอุ่มอับอนเลวง เสียงคระโครมเครงครื้นครั่น ฝนสวรรค์ก็เฟื่องฟุ้งเปนฟองฝอย เมขลาเหาะลอยล่อแก้วอยู่แวววับ รามสูรขยับขยิกขยี้ แสงสายมณีแวบวาบวาวสว่าง อสูรก็ขว้างขวานประหารอยู่เปรี้ยงๆ เสียงสนั่นลั่นโลกวิจลจลาจล นาคราชในเบื้องบนก็เบือนบิดนฤมิตรกาย ชูเศียรถวายสักการบูชา เทพยดานิกรนับโกฏิ ต่างน้อมศิโรตม์อยู่ไสว ยอพระกรไหว้อยู่แออัด ว่าเจ้าประคุณของสัตว์ผู้ยากเอ่ย อันทานนี้ยากที่บุคคลผู้ใดเลยจะทำได้ เว้นไว้แต่หน่อพระชินสีห์อันทรงสร้างพระบารมีมามากแล้ว ขอให้พระทูลกระหม่อมแก้วจงสำเร็จ แก่พระวิสุทธิสร้อยสรรเพชญ์พุทธอรรคอนาวรณญาณ ในอนาคตกาลโน้นเถิด

เดิน (๑๖) ภิกฺขเว ดูกรสงฆ์ผู้ทรงศีลสมาธิปัญญา โส พฺราหฺมโณ อันว่าเถ้าชราทิชาชาติ เมื่อได้รับพระราชทานสองกุมารได้แล้ว เถ้าใจแกล้วก็ฉุดลากกระชากสองกุมารมา เอกโต พนฺธิตฺวา ผูกพันพระพาหาพี่น้องสองกระสันเข้าให้มั่นกับมือ ปลายเชือกข้างหนึ่งนั้นถือตามที่ต้อนสองบังอรมา ต่อหน้าสมเด็จพระบิดาไม่ปราณี ฝ่ายพระชาลีจึงกราบบังคมทูล ขึ้น ว่าข้าแต่นเรนทรสูรย์สมเด็จพระบิดาเจ้าข้าเอ่ย กระไรเลยไม่ปราณี ว่าพระแม่มัทรีนี้เปนเพื่อนยาก เมื่อเช้าพระแม่เจ้าจะจากไปสู่ป่า ก็พาลูกทั้งสองรามาฝากฝัง ทรงพระกรรแสงสั่งแสนเทวศ ควรแลฤๅพระบิตุเรศรมานิ่งได้ ให้เถ้าจรรไรตะแกมาตีด่าไปต่อหน้าพระที่นั่ง ฝีไม้กระไรดังอยู่ขวับเขียวเสียวแสบแทบจะบรรไลย เจ้าประคุณของลูกเอ่ย ลูกนี้ยกมือขึ้นไหว้ตะแกยิ่งโกรธ ลูกร้องขอโทษตะแกยิ่งตี แตกทุกทีทุกทีทุกฝีไม้ เลือดนี่ไหลลงหยดย้อย พระบิดาเจ้าเอ่ย โปรดทอดพระเนตรหลังลูกน้อย ๆ นี้บ้าง ถูกที่ขัดที่ขวางตะแกช่างไม่คิดเลย เจ้าประคุณของลูกเอ่ย สุดที่ลูกนี้จะกลั้นจะทนพ้นกำลังแล้ว แต่คอย ๆ พระชนนีจะวี่แววมาก็หามิได้ พระบิดาเจ้าเอ่ย ช่วยโปรดห้ามพราหมณ์ไว้ให้สงบอยู่ท่าพระมารดา ทั้งเวลานี้เล่าก็บ่าย ดีร้ายพระแม่จะมาทัน เออก็นี่ยังวันอยู่ อโข ยาว อมฺมาปิ เอติ โน โอ้เวลาปานนั้นพระแม่มัทรีจะมิกลับมาแล้วแลฤๅถึงกลางทาง แม้นพระบิตุรงค์ทรงแย้มพระโอษฐโปรดประภาษบ้างก็จะยังชั่ว ตะแกจะได้เกรงกลัวพระราชอาชญา ถึงจะตีจะด่าก็จะอัชฌาสัย นี่ตะแกทำเล่นตามอำเภอใจของตะแกเอง พราหมณ์จะกลัวจะเกร่งใครมีเล่า ด้วยพระทูลเกล้ามานิ่งเฉย กัณหาพระน้องเอ่ย จะเอาพระคุณของใครมาปกเกล้า จะพึ่งพระบิดาเล่าก็หลากแล้ว เจ้าประคุณทูลกระหม่อมแก้วของลูกเอ่ย มิโปรดข้าชาลีแล้วก็ทำเนา จงโปรดเกล้าแต่เจ้ากัณหา พระน้องของข้ายังเยาว์นัก ทรามรักพระมารดา มิได้ทรงพระกรุณาทำนิ่งขึงดุจแผ่นกระดานอันตรึงกระหน่ำแน่นมิได้หวาดไหว ทูลพลางทางพิไรร่ำว่า กัณหาพระน้องเอ่ย ที่ไหนเลยจะได้กลับมาเห็นหน้าสมเด็จพระบิดาแลมาตุเรศ จะต้องทนทุกข์เทวศมอดม้วยด้วยอาญา ของทชีชรานี้แล้วแล

เดิน (๑๗) เมื่อพระชาลีศรีดรุณราชโอรส ทรงพระกำสรดทูลพระบิตุราช ท้าวเธอตั้งสมาธิมัธยัตมิได้ตรัสจำนรรจา สงสารพระชาลีเหลียวมาดูพระน้องแก้วกัณหา แล้วก็ทรงพระโศภาพิไรร่ำ ว่า ขึ้น กเณฺห ดูกรเจ้าแก้วกัณหาเอ๋ย หญิงชายผู้ใดเลยเกิดมาในห้วงมหรรณพภพสงสาร ยังมิถึงซึ่งพระนิพพานตราบใด ก็ย่อมต้องทุกข์โพยภัยประหาร ปานประหนึ่งว่าตัวเรานะเจ้าพี่ ตถา ทุกฺขํ ทุกข์ทั้งนี้ก็มิสู้ทุกข์เท่าทุกข์ถึงพระแม่เจ้าจะกลับเข้ามาแต่ป่า เมื่อมิได้เห็นหน้าเราพี่น้องแล้วก็จะทรงกรรแสงไห้ ด้วยว่าลูกเพื่อนไร้มาจากอก จะทรงพระวิตกมิวายเลย พระคุณเจ้าเอ่ย พระคุณเคยได้เชยชมแก้วกัณหาชาลีทุกเวลา กปณา จะเปนกำพร้าพลัดพระลูกแล้วนะพระแม่เจ้า โส นูน กปโณ ตาโต ทั้งสมเด็จพระปิตุนรินทร์ปิ่นเกล้าของเรา อปฺปสฺสนฺโต เมื่อมิได้เห็นเจ้าแก้วกัณหาในอาศรม ท้าวเธอก็จะทรงพระปรารมภ์ละห้อยหา อิเม โน หตฺถิกา อสฺสา โอ้คิดขึ้นมาก็น่าเสียดาย แต่รูปสัตว์ทั้งหลายคือกระต่ายโตโคถึกเถื่อน ใส่ล้อลากเลื่อนเขยื้อนยัน พระบิตุรงค์บรรจงปั้นให้เราเล่น โอ้ที่นี้จะนานเห็น เมื่อใดจะได้กลับมาเล่นของเราอิกเล่า กัณหาเอ่ย เราพี่น้องนี้ตั้งแต่ว่าจะโศกเศร้าไปเปนข้าพฤฒาจารย์ ในมรรคากันดารนั้นแล

ตมตฺถํ ปกาเสนฺโต สตฺถา อาห
ตโต เวสฺสนฺตโร ราชา ทานํ ทตฺวาน ขตฺติโย
ปณฺณสาลํ ปวิสิตฺวา กลูนํ ปริเทวยีติ
กนฺวชฺชจฺฉาตา ตสิตา อุปรุจฺเฉนฺติ ทารกา
สายํ สํเวสนากาเล โก เน ทสฺสติ โภชนํ
กนฺวชฺชจฺฉาตา ตสิตา อุปรุจฺเฉนฺติ ทารกา
สายํ สํเวสนากาเล อมฺม ฉาตมฺห เทถ โน
กถนฺนุ ปถํ คจฺฉนฺติ ปตฺติกา อนุปาหนา
สนฺตา สูเณหิ ปาเทหิ โก เน หตฺเถ คเหสฺสติ
กถนฺนุ โส น ลชฺเชยฺย สมฺมุขา ปหรํ มม
อทูสกานํ ปุตฺตานํ อลชฺชี วต พฺราหฺมโณ
โยปิ เม ทาสีทาสสฺส อญฺโญ วา ปน เปสิโย
ตสฺสาปิ สุวิหีนสฺส โก ลชฺชี ปหริสฺสติ
วาริชสฺเสว เม สโต พนฺธสฺส กุมฺมิโน มุเข
อกฺโกสติ ปหรติ ปิเย ปุตฺเต อปสฺสโตติ
อาทู จาปิ คเหตฺวาน ชคฺคํ พนฺธิตฺวา วามโต
อาเนยฺยามิ สเก ปุตฺเต ปุตฺตานํ หิ วโธ ทุกฺโข
อฎฐานเมตํ ทุกฺขรูปํ ยํ กุมารา วิหญฺญูเร
สตญฺจ ธมฺมมญฺญาย โก ทตฺวา อนุตปฺปตีติ
สจฺจํ กิเรวมาหํสุ นรา เอกจฺจิยา อิธ
ยสฺส นตฺถิ สกา มาตา ยถา นตฺถิ ตเถว โส
เอหิ กเณฺห มริสฺสาม นตฺถตฺโถ ชีวิเดน โน
ทินฺนมฺหาปิ ชนินฺเทน พฺราหฺมณสฺส ธเนสิโน
อจฺจายิกสฺส ลุทฺธสฺส โย โน คาโวว สุมฺภติ
อิเม เต ชมฺพุกา รุกฺขา เวทิสา สินฺธุวาริตา
วิวิธานิ รุกฺขชาตานิ ตานิ กเณฺห ชหามเส
อสฺสตฺถา ปนสา เจเม นิโคฺรธา จ กปิตฺถนา
วิวิธานิ ผลชาตานิ ตานิ เกเณฺห ชหามเส
อิเม ติฏฐนฺติ อารามา อยํ สีตูทกา นที
ยตฺถสฺสุ ปุพฺเพ กีฬาม ตานิ กเณฺห ชหามเส
วิวิธานิ ปุปฺผชาตานิ อสฺมึ อุปริ ปพฺพเต
ยานสฺสุ ปุพฺเพ ธาเรม ตานิ กเณฺห ชหามเส
อสฺมึ อุปริ ปพฺพเต วิวิธานิ ผลชาตานิ
ยานสฺสุ ปุพฺเพ ภุญฺชาม ตานิ กเณฺหํ ชหามเส
อิเม โน หตฺถิกา อสฺสา พลิพทฺธา จ โน อิเม
เยหิสฺสุ ปุพฺเพ กีฬาม ตานิ กเณฺห ชหามเสติ
ตมตฺถํ ปกาเสนฺโต สตฺถา อาห
นิยฺยมานา กุมารา เต พฺราหฺมณสฺส ปมุญฺจิย
เตน เตน ปธาวึสุ ชาลี กณฺหาชินา จุโภติ

เดิน (๑๘) โส โพธิสตฺโต ปางนั้นสมเด็จพระบรมโพธิสัตว์ ตรัสได้ทรงฟังพระลูกน้อย ทรงพระกรรแสงทูลลห้อยวันนั้นกลั้นพระโศกมิได้ ลอายพระไทยแก่เทพยดา ปณฺณสาลํ ปวีสิตฺวา เสด็จเข้าสู่ภายในพระบรรณศาลา ซบพระภักตราทรงพระกรรแสงสอื้นไห้ ขึ้น ว่าไอ้เจ้าเพื่อนเข็ญใจของพ่อเอ่ย เจ้าเคยกระทำกรรมไว้เปนไฉน จึงมาตกเข็ญใจได้ยากอนาถา ให้พราหมณ์ชราร่างร้ายกาจ ตะแกมาทำสีหนาทโถยโบยตี โอ้เวลาปานฉนี้ก็สายัณห์ คนทั้งหลายเขาเรียกกันกินอาหาร บ้างก็เล้าโลมลูกหลานให้อาบน้ำแล้วหลับนอน แต่สองบังอรของพ่อนี้ใครจะปราณีให้นมน้ำ ก็จะตรากตรำลำบากใจ ที่ไหนจะเดินได้ด้วยพระบาทเปล่า ทั้งอายแดดจะแผดเผาให้พุพอง จะชอกช้ำคล้ำเปนหนองลงลามไหล สองสุริยวงศ์ตั้งแต่ว่าจะทรงกรรแสงไห้ สุดอาลัยของพ่อแล้วที่จะติดตาม จะบ่ายหน้าไปหาพราหมณ์เมื่อยามเย็น เถ้าจรรไรไหนเลยจะเห็นแก่สองเจ้า มีแต่จะรุกเร้าคำรามตี เดิน ทชีเอ่ย กระไรเลยไม่เกรงขามเราบ้างเมื่อยามจน จะคิดดูบ้างเปนไรว่าลูกทั้งสองคนคู่ชีวาตม์ ยังตัดใจให้ขาดมิให้เสียประโยชน์ แต่ก่อนโสดถึงข้าสินไถ่ได้สี่ต่อ ผู้อื่นรู้ก็ยังย่อท้อกลัวเกรง ใครไม่ข่มเหงเหมือนพราหมณ์ผู้นี้ วาริชสฺเสว เม สโต เสมือนหนึ่งพรานเบ็ดมาตีปลาที่น่าไซ บรรดาปลาจะเข้าไปให้แตกฉาน ตัวเราผู้ทำทานเหมือนตัวปลา พระโพธิญาณในภายน่านั้นคือไซ ปราถนาจะเข้าไปจึงยกพระลูกให้เปนทานบารมี พระลูกรักทั้งสองศรีดังกระแสสินธุ์ พราหมณ์ประมาทหมิ่นมาด่าตี เสมือนกระทุ่มวารีให้ปลาตื่น น้ำพระไทยท้าวเธอฟื้นจากอุเบกษา บังเกิดอวิชชามาห่อหุ้ม พระปัญญานั้นกลัดกลุ้มไปด้วยโมโหให้ลุ่มหลง โทโสเข้าซ้ำส่งให้บังเกิดวิหิงษาขึ้นทันที ว่าอุเหม่อเหม่พราหมณ์ผู้นี้อาจองทนงหนอ มาตีลูกต่อหน้าพ่อไม่เกรงใจ ทชีเอ่ยกูมาอยู่ป่าเปล่าเมื่อไร ทั้งพระขรรค์ศิลป์ไชยก็ถือมา ธนุจาปิ คเหตฺวา ก็ทรงคว้าพระแสงธนูศรกระสันมั่นกับมือ ฆ่าพราหมณ์ผู้นี้เสียเถิดฤๅ เธอฮึดหื้ออยู่แต่ในพระไทย ภายหลังจึงตั้งจิตรพิจารณาในพระอริยประเพณีหน่อพุทธางกูร ก็รู้ว่าอาตมานี่เพิ่มภูลมหาปุตตบริจาคเจียวสิหว่า เมื่อพระปัญญาบังเกิดมี พระบรมราชฤๅษีเธอจึงตรัสสอนพระองค์เอง ว่า โภ เวสฺสนฺตร ดูกรพระมหาเวสสันดร อย่าอาวรณ์โว้เว้ทำเนาเขา ข้ากับเจ้าเขาจะตีกันไม่ต้องการ ให้ลูกเปนทานแล้วยังมาสอดแคล้วเมื่อภายหลัง ท้าวเธอก็ตั้งสมาธิระงับดับพระวิโยค กลั้นพระโศกสงบแล้ว พระภักตร์ผ่องแผ้วแจ่มใส ดุจทองอุไรทั้งแท่ง อันบุคคลแกล้งหล่อแล้วมาวางไว้ในพระอาศรม ตั้งแต่จะเชยชมพระปิยบุตรทานบารมี แห่งหน่อพระชินสีห์นั้นแล

เดิน (๑๙) เมื่อชูชกพฤฒาจารย์พาสองกุมารไปวันนั้น เถ้าอาธรรม์ล้มแล้วลุกขึ้นได้ ตะแกฉวยเรียวไม้ไล่ตีต้อนสองบังอรมาต่อหน้าพระที่นั่งสมเด็จพระบิดาไม่ช้าที ขึ้น ควรจะสงสารเอ่ยด้วยพระชาลีศรีอรุณเยาวลักษณ์ ผันพระภักตรมาทูลลาพระมาตุเรศอยู่แจ้ว ๆ แล้วก็ทรงพระกรรแสงลห้อย ทรงปรึกษาพระน้องน้อยกนิษฐาว่า กเณฺห ดูกรแก้วกัณหาเอ๋ย พี่ได้ยินเนื้อความท่านเล่าสืบกันมา ว่ากำพร้าสองประการสืบสันดานโดยประเพณี นรา เอกจฺจิยา กุมารกุมารีใดไร้นิราศปราศจากพ่อยังแต่แม่ผู้เดียว ก็พอแลพอเหลียวชื่อว่าอยู่พร้อมทั้งบิดาแลมารดา ทารกา ทารกผู้ใดได้นิราศปราศจากแม่ยังแต่พ่อผู้เดียว ก็เปล่าเปลี่ยวได้ชื่อว่าสูญสิ้นทั้งบิดาแลมารดา ถึงจะประโลมเลี้ยงรักษาเล่าก็ไม่ถึงใจ ถึงจะได้ทุกข์ภัยสักร้อยสิ่ง อันบิดาแล้วก็นิ่งได้ไม่นำพา อันคุณของพระมารดาท่านพรรณาไว้ว่าเปนที่ยิ่ง สจฺจํ คำที่ว่ามานั้นก็จริงสมอยู่แล้วนะพระน้องแก้วกัณหา เหมือนหนึ่งเราทั้งสองราในครั้งนี้ พระชนนีไม่อยู่ อ้ายพราหมณ์มันจึงข่มขู่เขี้ยวเข็ญกระทำโทษ นตฺถตฺโถ ชีวิเตน โน โอ้จะประโยชน์อันใดกับด้วยชีวิตเราเท่านี้นี่นาพระน้องเอยกัณหาเจ้าพี่ผู้เพื่อนไร้ จะอยู่ไปไปให้ทนทุกข์ทรมาน เมื่อมาได้ความรำคาญเคืองแค้น พราหมณตะแกตีให้แล่นแสนลำบากยากแต่น้อย ๆ นมนิดหน่อยหนึ่งก็มิได้เสวย กัณหาพระน้องเอ่ยมาเถิดนะเจ้า มาเราจะสร้วมสอดกอดคอกันเข้าให้มั่นกลั้นใจตาย เสียให้พ้นเถ้าแสนร้ายนี้เถิด

เดิน (๒๐) เมื่อชูชกพฤฒาจารย์พาสองกุมารมาเต็มพัก ถึงทางตะกุกตะกักก้อนศิลา เถ้าชราเดินทลุดทลาดเหยียบพลาดล้มผลุง เครือเขาสดุ้งหลุดออกจากข้อพระกร สองบังอรณีวิ่งมาสู่สำนักพระบิดา เถ้าชราฉวยได้เรียวไม้ไล่ขบฟัน ฉุดลากกระชากรันด้วยโทสะ อากฑฺฒนฺโต เสมือนหนึ่งจะเชือดเนื้อหนังกินเสียทั้งเปนเห็นเวทนา เข้าฉุดคร่าพาลากสำรากขู่ ว่าดูดู๋เด็กน้อย ๆ ทั้งคู่นี้รู้แต่ว่าจะหนี ครั้นพราหมณ์ตีสิว่าพราหมณ์ร้าย เออเมื่อชุนลมุนวุ่นวายไปก่อนพราหมณ์นั้นไม่ว่า ตะแกก็เหลียวมาตีพระชาลีเข้าต้ำผาง แล้วก็เหลียวมาตีนางกัณหาให้ร้องอยู่กรี๊ดกรี๊ดหวีดหวาดดูเวทนา ขึ้น ควรจะสงสารเอ่ยด้วยแก้วกัณหา พระชลนาลงผอย ๆ ชะม้อยแลดูไม้ที่พราหมณ์ตี แล้วก็ตั้งแต่จะทรงกรรแสงโศกีวอนว่าให้พระบิดาช่วย ว่าชีวิตลูกนี้จะม้วยเสียจริงแล้ว เปนไฉนพระทูลกระหม่อมแก้วจึงนิ่งเฉยเสียได้ในครั้งนี้ โอ้น่าเวทนาด้วยนางกัณหากุมารีเธอทรงพระโศกีกรรแสงไห้ น้ำพระชลไนยไหลลงหลั่ง ๆ พลางก็ร้องทูลสั่งอยู่แจ้ว ๆ ว่าเจ้าประคุณทูลกระหม่อมแก้วของลูกเอ่ย ตัดลูกเสียแล้วฤๅจึงนิ่งเฉยเสียได้ ปล่อยให้พราหมณจรรไรแกตีด่า คร่าไปต่อหน้าพระที่นั่ง ฆเร ชาตํ ดังว่าข้าครอกเกิดในเรือนเบี้ย โบยตีประดาเสียสุดกำลัง น จายํ พฺราหฺมโณ มิใช่พราหมณ์แล้วนะพระพ่อเจ้า ตาเถ้านี้แกร้ายกาจ ยกฺโข ชรอยว่าผีปีศาจมันแกล้งแปลงมาขอท่าน ตีประจานให้เจ็บใจจะขาด ขู่ต้อนตวาดกระทำเข็ญ จะฉีกเนื้อลูกกินเสียทั้งเปนนั้นมิได้ จึงแกล้งตีด้วยฝีไม้ไปให้ลับพระเนตรพระบิตุเรศเจ้าแล้ว ก็จะหักคอลูกแก้วลงกลางดิน จะฉีกเชือดสูบเลือดกินเปนภักษา พระพุทธิเจ้าข้า ไม่โปรดแล้วลูกแก้วจะขอลา พระบิดาอย่าได้น้อยพระไทยเลย เจ้าประคุณของลูกเอ่ย อย่าว่าลูกนี้ดูถูก ที่จะได้กลับมาเปนพ่อลูกกันสืบไปนั้นอย่าสงกา ด้วยว่าเลือดแลเนื้อจะเปนภักษาของตาพราหมณ์ ลูกนี้กราบทูลความสักเท่าใดใดไม่เชื่อเลย ชรอยว่ากรรมกัณหาน้อยนี้ได้เคยกระทำไว้แต่ชาติปางหลัง จึงให้พะเอิญพระพ่อเจ้าชิงชังไม่ดูหน้ามาเมินเฉย โอ้กรรมเอ๋ยเห็นจะสิ้นวาศนา ของแก้วกัณหานี้เสียจริง ๆ ลูกหญิงขอถวายบังคมลา เปนไปตามเวรานั้นแล้วแล

ตมตฺถํ ปกาเสนฺโต สตฺถา อาห
ตโต โส รชฺชุมาทาย ทณฺฑญฺจาทาย พฺราหฺมโณ
อาโกฏยนฺโต เต เนติ สิวิราชสฺส เปกฺขโตติ
ตมตฺถํ ปกาเสนฺโต สตฺถา อาห
ตํ ตํ กณฺหาชินาโวจ อยํ มํ ตาต พฺราหฺมโณ
ลฏฺฐิยา ปฏิโกฏติ ฆเร ชาตํว ทาสิยํ
น จายํ พฺราหฺมโณ ตาต ธมฺมิกา โหนฺติ พฺราหฺมณา
ยกฺโข พฺราหฺมณวณฺเณน ขาทิตุํ ตาต เนติ โน
นิยฺยมาเน ปิสาเจน กินฺนุ ตาต อุทิกฺขสีติ
อิเม โน ปาทุกา ทุกฺขา ทีโฆ จทฺธา สุทุคฺคโม
นีเจ โวลมฺพเก สุริเย พฺราหฺมโณว ตเรติ โน
โอกนฺทามฺหเส ภูตานิ ปพฺพตานิ วนานิ จ
สรสฺส สิรสา วนฺทาม สุปติตฺเถ จ อาปเก
ติณลตานิ โอสโถฺย ปพฺพตานิ วนานิ จ
อมฺมํ อาโรคฺยํ วชฺชาถ อยํ โน เนติ พฺราหฺมโณ
วชฺชนฺตุ โภนฺโต อมฺมญฺจ มทฺทึ อสฺมากมาตรํ
สเจ อนุปฺปติตุกามา ขิปฺปํ อนุปฺปเตยฺย โน
อยํ เอกปที เอติ อุชุํ คจฺฉติ อสฺสมํ
ตเมว อนุปฺปเตยฺยาสิ อปิ ปสฺเสสิ โน ลหุํ
อโห วต เร ชฏินี วนมูลผลาหาริยา
สุญฺญ์ ทิสฺวาน อสฺสมํ ตนฺเต ทุกฺขํ ภวิสฺสติ
อติเวลํ นูน อมฺมาย อุญฺฉาลทฺธํ อนปฺปกํ
ยา โน พนฺเธ น ชานาติ พฺราหฺมเณน ธเนสินา
อจฺจายิเกน ลุทฺเธน โย โน คาโวว สุมฺภติ
อปิชฺช อมฺมํ ปสฺเสมุ สายํ อุญฺฉาโต อาคตํ
ทชฺชา อมฺมา พฺราหฺมณสฺส ผลํ ขุทฺเทน มิสฺสกํ
ตทายํ อสิโต ฉาโต น พาฬฺหํ ตรายยฺย โน
สูณา จ วต โน ปาทา พาฬฺหํ ตเรติ พฺราหฺมโณ
อิติ ตตฺถ วิลปึสุ กุมารา มาตุคิทฺธิโนติ

เดิน (๒๑) โส โพธิสตฺโต ส่วนสมเด็จพระบรมโพธิสัตว์ ได้ทรงฟังพระสุรเสียงแก้วกัณหา เสียวพระสกลกายาเย็นระย่อ เศร้าสลดระทดท้อพระหฤทัยเธอถอยหลัง พระนาสิกอึดอัดคั่งอัสสาสปัสสาส น้ำพระเนตรเธอไหลหยาดหยดเปนสายเลือด ไม่เว้นวายหายเหือดซึ่งโศกา จึงเอาพระปัญญาวินิจฉัยเข้ามาข่มโศก ว่า บุตรวิโยคทั้งนี้บังเกิดมีเพราะความรัก จำจะเอาพระอุเบกขาเข้ามาประหานหักให้เสื่อมหาย ท้าวเธอกลับสุขเกษมเปรมสบายพระกายก็ใสสด ดังพระจันทร์ส่องกลดนั้นแล

เดิน (๒๒) คิริทฺวารํ อสมฺปตฺตา เมื่อพราหมณ์ชูชกชราพาสองดรุณลำเภาพงศ์ เกือบจะออกประตูดงพระหิมเวศ ขึ้น ควรจะสงสารเอ่ย ด้วยนางกัณหากุมาเรศเธอทรงพระกรรแสง จนสุดสิ้นกำลังแรงระหวยอ่อน เจ้าก็สอึกสอื้นอ้อนวอนพระพี่ยา ว่าข้าแต่พระเชษฐาชาลีของน้องเอ๋ย น้องนี้หิวอ่อนด้วยอดนม วิงเวียนเจียนจะล้มเสียจริงแล้ว พระชาลีจึงปลอบแก้วกัณหา ว่ากัณหาเอ่ยอุส่าห์เดินเถิดนะแม่ อย่าระย่อท้อแท้ทางนี้ก็ยังไกล ใครจะช่วยเราได้ไม่มีเลย เจ้าเพื่อนยากของพี่เอ่ย มาตรว่าพระน้องเจ้าจะวอดวาย ตัวพี่ก็จะขอตายไปตามเจ้า จะอยู่ไปไยเล่าให้ทนทุกข์ทรมาน ควรจะสงสารด้วยสองกุมารพร่ำปฤกษากัน ว่าเราจะอภิวันท์ไหว้แก่เทเวศร์ สั่งให้ช่วยบอกเหตุทูลถึงพระมารดา ว่าพลางทางก็แอบพระอังษาซบพระเศียร ถวายต่างประทีปธูปเทียนประทุมชาติ พระพี่น้องก็ร้องประกาศด้วยวาจา ขึ้นสูง ว่า โภนฺโต เทวสํฆาโย ข้าแต่เทพยดาเจ้าทั้งหลายเอ่ยอันศักดิ์สิทธิ์ สถิตย์ในเครือหญ้าลดาวัลิ อันทรงทิพกรรณแลทิพเนตร ได้โปรดเกษเกล้ากระหม่อมฉันด้วยช่วยบอกพระมารดา ว่ายังมีพราหมณ์ชราบุรุษโทษ พาลูกทั้งสองโสดมาทางนี้ ชื่อว่ากัณหาชาลีได้สั่งความ ให้พระมารดาเร่งติดตามมาให้จงได้ โดยมรรคาไลยไพรระหง ตรงตลอดทอดเดียวกระทั่งถึงประตูป่า แต่พอลูกได้เห็นพระภักตราฝ่าพระบาท อโห วต เร ชฏินี โอ้พระชนนีศรีศุภมาตุของลูกเอ่ย เวลาปานฉนี้แล้วมิตามมา เออก็เกือบจะพ้นประตูป่าไปเสียยังแล้ว ที่ไหนเลยจะได้เห็นหน้าพระลูกแก้วทั้งสองรา มาตุคิทฺธิโน โอ้สงสารเอ่ยด้วยสองดรุณทรามสวาท เมื่อนิราศร้างห่างพระมารดา พราหมณ์ชราตะแกตีพระพี่น้อง เทพยเจ้าก็ร้องหวีดหวาดไม่เว้นองค์ ครั้นพราหมณ์ตะแกตีพระพี่ลงเจ้าก็ร้องอยู่กรี๊ด ๆ เทพยเจ้าก็ร้องหวิดขึ้นพร้อมกัน เสียงสนั่นทุกอกสัตว์ วายุพานพัดมาเฉื่อยฉิว ใบพฤกษาปลิวร่วงระรุบเย็นทุกเส้นหญ้า พอโพล้เพล้เวลาพลบค่ำย่ำสนธิเบศ พราหมณ์ก็พาสองดรุณเยาวเรศลับล่วงประตูป่า อิติ เมาะ อิมินา ปกาเรน โดยประการดังแสดงมาฉนี้แล

กุมารปพฺพํ นิฏฺฐิตํ

ประดับด้วยพระคาถา ๑๐๑ พระคาถา

----------------------------

  1. ๑. ในวง ยุ. ไม่มี

  2. ๒. อุปฆาเต

  3. ๓. ยุ. พุยธิตา

  4. ๔. ยุ. วิตฺโต

  5. ๕. ยุ ปิตุปาทภิวนฺทติ

  6. ๖. ในวง ยุ. ไม่มี

  7. ๗. ยุ. อทฺธา หิ เมตํ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ