กัณฑ์จุลพน
ความสมเด็จกรมพระปรมานุชิตชิโนรส
----------------------------
เอวํ เจตปุตฺโต พฺราหฺมณํ โภเชตฺวา ปาเถยฺยสฺสตฺถาย ตสฺส มธุโน ตุมฺพญฺเจว ปกฺกมิคสตฺถิญฺจ ทตฺวา มคฺเค ฐเปตฺวา ทกฺขิณหตฺถํ อุกฺขิปิตฺวา มหาสตฺตสฺส วสโนกาสํ อาจิกฺขนฺโต อาห
เดิน (๑) เอวํ เจตปุตฺโต อันว่าวนพเนจรเจตบุตรมฤคลุทธพรานไพร ใจนี่กวดเก่งกักขละกล้าแขงกำแหงห้าว ขัดห้างนอนในพนัศราวอรัญญิกประเทศ อันบรมรัญญาเจตราชดำรัสสั่งตั้งไว้ ให้ตรวจตระเวนระวังด่านประตูดงแดนไพร สุตฺวา เมื่อได้สดับมฤษาเถ้าชราชูชกทลีชาติ ไม่รู้กลที่ตะแกแสนฉลาดด้วยเล่ห์ลิ้นหลักแหลมในเชิงลวง บอกว่าเปนพระทูตหลวงอันฦๅชา นำซึ่งศุภลักษณสาราราชสาร แห่งพระผู้ผ่านพิภพสีพี ให้ออกมาเชื้อเชิญพระยาชีศรีบรมบพิตรพงศ์ทิพากร เข้าไปสู่พระนครกรุงไกร เจตบุตรก็สิ้นสงสัยไม่เคลือบแคลง สำคัญคะเนแจ้งว่าจริงดังวาจา พฺราหฺมณํ โภเชตฺวา จึงยังพราหมณ์ให้ภัตตากิจกินมธุรมังสังย่าง ต่างกระยาโภชน์พอกำเลาะแรง ปาเถยฺยํ ที่ยังเหลือเนื้อย่างแห้งก็ห่อหิ้วให้เปนพวง ทั้งน้ำผึ้งก็ตักตวงใส่เต้าเต็มบริบูรณ์ จัดให้ทชีไปเปนต้นทุนตามมรรคา ทกฺขิณหตฺถํ อุกฺขิปิตฺวา จึงพาพราหมณ์ไปสถิตย์ที่สถลต้นอรัญญวิถี แล้วก็ยกทักษิณหัตถ์ขึ้นชี้มรรคาพนาเวศ เบื้องจะแนะนำนิเทศทุมาไม้แลไพรเขา อันเปนที่สำนักเนาหน่อนฤเบศรเวสสันดรราช ก็กล่าวเปนบาทพระคาถา
เอส เสโล มหาพฺรหฺเม | ปพฺพโต คนฺธมาทโน |
ยตฺถ เวสสนฺตโร ราชา | สห ปุตฺเตหิ สมฺมติ |
ธาเรนฺโต พฺราหฺมณวณฺณํ | อาสทญฺจ มสญฺชฏํ |
จมฺมวาสี ฉมา เสติ | ชาตเวทํ นมสฺสตีติ |
เอเต นิลา ปทิสฺสนฺติ | นานาผลธรา ทุมา |
อุคฺคตา อพฺภกูฏาว | นิลา อญฺชนปพฺพตา |
ธวสฺสกณฺณา ขทิรา | สาลา ผนฺทนมาลุวา |
สมฺปเวเธนฺติ วาเตน | สกึ ปีตาว มานวา |
อุปริ ทุมปริยาเยสุ | สงคีติโยว สุยฺยเร |
นชฺชุหา โกกิลา สํฆา | สมปตนฺติ ทุมาทุมํ |
อวฺหยนฺเตว คจฺฉนฺตํ | สาขา ปตตฺสมีริตา |
รมยนฺเตว อาคนฺตุํ | โมทยนฺติ นิวาสนํ |
ยตฺถ เวสฺสนฺตโร ราชา | สห ปุตฺเตหิ สมฺมติ |
ธาเรนฺโต พฺราหฺมณวณฺณํ | อาสทญฺจ มสญฺชฏํ |
จมฺมวาสี ฉมา เสติ | ชาตเวทํ นมสฺสตีติ |
ขึ้น (๒) มหาพฺรหฺเม ดูกรมหาพราหมณ์พฤฒาเถ้าผู้ถือสาร เอส เมาะ เอโส ปพฺพโต อันว่าเขาพระหิมพานต์ภูมิพนัศบรรพตพิสัยสูงเสมอเมฆ เสโล เมาะ เสลมโย เทียรย่อมศิลาลายแลอดิเรกอร่ามรุ่งราวกับรายรัตนมณีนพเก้าแกมเกิดกับก้อนผา บ้างก็เรื่อเรืองเหลืองบุษโมราจรัสจรูญร่วงเปนสีรุ้งพุ่งพ้นเพียงอัมพรพื้นนภากาศ บ้างก็เด่นแดงเปนแสงดาษดุจดวงประพาฬเพ็ชร์ประภัศร ที่สีแสดก็สอดซ้อนสลับซับกับส่านเสน มรกฏภุกามแกมกับโกเมนมุกดาหารเห็นพิจิตรดังเจียรไนอุไรเรียบ ไพรฑูรย์ทับทิมประเทืองเทียบปัทมราชรัตนนิลแนม แกมพลอยผลึกเลื่อมเมลืองแสง ที่เขียวขาบก็คาบแข่งขจิตรขจาย บ้างเปนสีอัญชนะช่อวิเชียรฉายโชติช่วงชัชวาลวาว ประดุจดาวประกายพฤกษ์พรายพร้อยประพร่างพรับ เมื่อต้องแสงสุริยก็ระยับวับวาบเปนวุ้งแวววามวาวสว่างตา ที่ผุดเผินเปนแผ่นผาภูตระเพิงพอก บางแห่งเห็นนี่ก็เงื้อมงอกเปนแง่ง้ำงุ้มชะโงกชะงันหงาย ลางเหล่าก็ทะลายลิลั่นสะบั้นบิ่นหินเห็นกระเด็นเดาะ เหมือนบุทคลมาเข่นเคาะเราะร่อร่อนให้หรอร่อย เปนรอยร้าวรานระคายควรจะพิศวง ที่เวิ้งวุ้งชะวากวงเวียนไศลไตรตรวยห้วยหุบคูหาเหว เห็นเปนปล่องเปลวโปร่งปลอดตลอดแลละลิบละลานตา ที่ภาคพื้นเปนน้ำผาพุพุ่งฟุ้งขจายเปนสายโปรย ดุจไขสุหร่ายโรยร่วงเปนเรณูน่าสรงสนาน ที่หินห้อยย้อยยานเปนน้ำหยัดหยาดหยดยะเยือกเย็นอย่างอมฤตยวารี ในท้องถ้ำนั้นเปนแท่นที่รโหฐานกาญจนแก้วเก็จประกอบกันเปนหลั่นล้วนมโนศิลาลาด ย่อมเปนที่อาศรัยไกรสรสิงหราชเริงแรง แสนสนุกทุกหนแห่งห้องเหมหิรัญรัตนไพโรจน์ เปนที่ภิรมยปราโมทย์อมรพิมานมรุคณานิกรปีศาจสิง ทุกมิ่งไม้บรรดามีในคิรียประเทศ พิเศษทรงทศเสาวคนธ์คันธขจรขจายฟุ้งจรุงใจเปนอาจิณ คนฺธมาทโน จึงเรียกนามชื่อศิขรินทร์คันธมาทน์บรรพต เหตุปรากฎกอปรด้วยไม้หอมสิบประการมี เชิญทชีจงครรไลเลียบระเบียบไม้ละเมาะมุ่งภิมุขมาดหมายอย่าเหม่อเมิน โดยทิศอุดรเดินข้างเฉียงเหนือสำเหนียกไป น่าโน้นก็หมู่ไม้มีอยู่มากมายหลายพรรณเพียงประหนึ่งว่าพุ่มพนมฉัตร นีลา แลเขียวชะอุ่มอัดออกอรชรช่อผกาเกิดทุกกิ่งก้าน อุคฺคตา ยอดทยานเยี่ยมพโยมอย่างพยับเมฆมหิมา อญฺชนปพฺพตา ตละหนึ่งว่าเนินพนมนิล อัญชนะศิขรินทร์รายเรียงระดับดงดูสล้าง ธวสฺสกณฺณา น่าโน้นก็พฤกษาหูกวางยางยูงพยอมใหญ่ สรรพซึกซากโศกไทรมทรางสาดสีเสียดสนสะพรั่ง พรรณรุกขเต็งรังร่มเรียงเหียงหันมหาดเห็นรโหฐาน สมฺปเวเธนฺติ ครั้นต้องพายุรำเพยพานรำพายพัด พรรณพฤกษ์ก็พร้อมกันไกวกวัดสะบัดโบก ต้นลำยอดก็โยงโยกอยู่โยนเยนเอนอ่อนทะท่าวทบ อิว มานวา เสมือนหนึ่งว่ามานพหนุ่มน้อยที่หน้านวล ไม่เคยควรดื่มสุราเข้มคราวเดียวก็เสียวสร้านสิ้นสมปฤดี จะดำรงทรงซึ่งอินทรีย์ก็บ่มิได้ด้วยกำลังเมา อุปริ ทุมปริยาเยสุ บนยอดไม้นั้นเล่าก็ละเวงไปด้วยเสียงสกุณคณานิกร ก็เพรียกพร้องกับกิ่งพฤกษ์น่าพึงฟัง สํคีติโยว สุยฺยเร ระรี่เรื่อยราวกับเพลงขับอับศรสุรางค์สุราทิพยเทวโลก นชฺชุหา ล้วนคณานิกรโพรโดกดุเหว่าร้องสนั่นก้องอยู่ไม้โน้น แล้วก็โจนมาจับซึ่งไม้นี้ ร้องท้อกันซิกซี้จู๋จี๋จะจอแจ สุรสำเนียงนั้นเซ็งแซ่ประสานศัพท์ รับกับกิ่งรูกข์เมื่อมารุตรำเพย รมยนฺเต ดูกรทชีเอ่ยสุนทรภิรมย์ไพเราะเหมือนจะเรียกสัญจรบุรุษให้หยุดร่มสำราญเริง เมื่อท่านถึงจึงประทับให้บันเทิงบันเทาร้อน นอนเสียสักตื่นหนึ่งจึงค่อยไป ก็จะพบพระหน่อไทยธรรมาธิเบศรเวสสันดรราช กับด้วยพระนุชนาฏมเหษีสองดรุณโปดกดวงกระษัตริย์ ทั้งสี่ทรงพระโสมนัศในอมรินทรสุราศรม อุดมไปด้วยเพศพิธีบวชบรรพชากร จมฺมวาสี ทรงพยัคฆจัมมาภรณ์ผูกชฎาเกษกระหมวดมุ่นเปนมณฑล ถือขอเที่ยวเกี่ยวผลผลาพฤกษ์ประพฤติพรตพรหมจรรยา ฉมา เสติ ประธมเหนือใบไม้ปูปัถพีภูมิสถาน ชาตเวทํ ตั้งพิธีกองกูณฑ์กระทำนมัสการไม่ขาดวัน สำคัญว่าอริยธงไชยชายจีวร แห่งพระปัจเจกโพธิแต่ก่อนนั้นแล
อมฺพา กปิตฺถา ปนสา | สาลา ชมฺพู วิเภทกา |
หริตกี อามลกา | อสฺสตถา พทฺรานิ จ |
จารุติมฺพรุกขา เจตฺถ | นิโคฺรธา จ กปิตฺถนา |
มธุ มธุกา เถวนฺติ | นีเจ ปกฺกา จุทุมฺพรา |
ปาเรวตา ภเวยฺยา จ | มุทฺทิกา จ มธุตฺถิปา๑ |
มธุ อเนฬกํ ตตฺถ | สกมาทาย ภุญชเร |
อญเญตฺถ ปุปฺผิตา อมฺพา | อญฺเญ ติฏฺฐนฺติ โทวิลา |
อญฺเญ อามา จ ปกฺกา จ | ภิงควณฺณา ตทูภยํ |
อเถตฺถ เหฎฺฐา ปุริโส | อมฺพปกฺกานิ คณฺหติ |
อามานิ เจว ปกฺกานิ | วณฺณคนฺธรสุตฺตมา |
อเถว เม อจฺฉริยํ | หิงกาโร ปฏิภาติ มํ |
เทวานมิว อาวาโส | โสภติ นนฺทนูปโม |
วิเภทกา นาฬิเกรา | ขชฺชุรีนํ พฺรหาวเน |
มาลาว คนฺถิตา ฐนฺติ | ธชคฺคาเนว ทิสฺสเร |
นานาวณฺเณหิ ปุปฺเผหิ | นภํ ตาราจิตามิว |
กุธชี กุฏฺฐตครา | ปาตลิโย จ ปุปฺผิตา |
ปุณฺณาวา คิริปุณฺณาวา๒ | โกวิฬารา จ ปุปฺผิตา |
อุทฺธาลกา โสมรุกฺขา | อคฺคลูภลฺลิยา พหู |
ปุตฺตชีวา จ กุกฺกุธา | อสนา เจตฺถ ปุปฺผิตา |
กุฏชา สรลา นีปา | โกลมฺพลพุชา๓ ธวา |
สาลา จ ปุปฺผิตา ตตฺถ | ปลาลขลสนฺนิภา |
ตสฺสาวิทูเร โปกฺขรณี | ภูมิภาเค มโนรเม |
ปทุมุปฺปลสญฺฉนฺนา | เทวานมิว นนฺทเน |
อเถตฺถ ปุปฺผรสมตฺตา | โกกิลา มญฺชุภาณิกา |
อภิปฺปวาเทนฺติ ตํ วนํ | อุตุสํปุปฺผิเต ทุเม |
ภสฺสนฺติ มกรนฺเตหิ๔ | โปกฺขเร โปกฺขเร มธุ |
อเถตฺถ วาตา วายนฺติ | ทกฺขิณา อถ ปจฺฉิมา |
ปทุมกิญฺชกฺขเรณูหิ | โอกิณฺโณ โหติ อสฺสโม |
ถูลา สึฆาฏกา เจตฺถ | สสาทิยา ปสาทิยา |
มจฺฉกจฺฉปพฺยาวิธา | พหู เจตฺถ มูปยานกา |
มธุภึเสหิ สวติ | ขีรสปฺปิ มูฬาลิภิ |
สุรภิ ตํ วนํ วาติ | นานาคนฺธสมีริตํ |
สมฺโมทิเตว คนฺเธน | ปุปฺผสาขาหิ ตํ วนํ |
ภมรา ปุปฺผคนฺเธน | สมนฺตา มภินาทิตา |
อเกตฺถ สกุณา สนฺติ | นานาวณฺณา พหู ทิชา |
โมทนฺติ สห ภริยาหิ | อญฺญมญฺญํ ปกุชฺชิโน |
นนฺทิกา ชีวปุตฺตา จ | ปุตฺตชีวา ปิยาชิโน |
ปิยาปุตฺตา ปิยานนฺทา | ทิชา โปกฺขรณี ฆรา |
มาลาว คนฺถิตา ฐนฺติ | ธชคฺคาเนว ทิสฺสเร |
นานาวณฺเณหิ ปุปฺเผหิ | สกเลเหว๕ คนฺถิตา |
ยตฺถ เวสฺสนฺตโร ราชา | สห ปุตฺเตหิ สมฺมติ |
ธาเรนฺโต พฺราหฺมณวณฺณํ | อาสทญฺจ มสญฺชฏํ |
จมฺมวาสี ฉมา เสติ | ชาตเวทํ นมสฺสตีติ |
ขึ้น (๓) มหาพฺรเหฺม ดูกรมหาพราหมณ์พฤฒาจารย์จอมพระทูตหลวง อมฺพา กปิฏฺฐา ทางที่จะครรไลก็ไม้ม่วงหมู่มะขวิดแขวนทุกขั้วขวั้น ปนสา น่านั้นก็ขนนเปนขนัดแน่นอเนกผล ติดเต็มแต่โคนต้นตลอดยอดเยื่อยวงที่น้ำขังควรจะบริโภคผลพวาหว้าหวานวิเศษ วิเภทกา สมอพิเภทเทศไทยเปนทิวแถวที่เถื่อนทาง ทั้งรังเรียนตะเคียนคางแคข่อยมะค่าเคี่ยมขึ้นสะพรั่งพร้อม พรรณมะขามป้อมปู่เจ้าแจงจิกจันทน์ประจำป่า จารุติมฺพรุกฺขา เหล่ามะพลับพลองต้องแต้วมะตูมตาด มะเดื่อดกเด่นแดงดังแสงชาดประชุมช่อลออผล กทฺทลีโย ทั้งกล้วยกล้ายก็เกลื่อนกล่นดังแกล้งกลั่นสรรมาปลูกไว้ในดงดอน จังนวนนมนางไกรสรสรรพกล้วยสั้นทันตหัตถีก็มีอยู่มูลมอง หมู่โน้นก็หอมทองประเทืองปลี หวีเครือนั้นเต็มอ้อมเอมโอชารส ท่านไปอย่ากลัวอดที่เถื่อนทาง มธุ อเนฬกํ ทั้งผึ้งร้างว่างแม่ไม่แหหวง เจริญรวงมธุรศวารี เชิญทชีจงชิมฉันให้ชื่นใจ ดัพนั้นไปก็ไม้ม่วงหมู่อื่นอิกอยู่แออัด อยู่ริมรอบบริเวณวงวัดวนาศรม ดูอุดมไปด้วยดอกออกผลพื้นพรรณขบเผาะ บ้างก็กำเดาะดิบห่ามทรามสุกทุกลำต้น เภงฺควณฺณา อัมพผลมีพรรณเปนสองสถาน บ้างก็เขียวปานประหนึ่งว่าหลังปาด ที่เหลืองเล่ห์สุพรรณชาติชมพูนุท เหฏฺฐา ปุริโส ลำต้นแต่พอบุรุษหยุดยืนอยู่พื้นภาคภายใต้ ก็เอื้อมเก็บกินได้สดวกดาย ผลสวายหวานวิเศษทรงสุคนธรศเจริญพันธุ์ หึกาโร ปฏิภาติ มํ ตั้งจะอัศจรรย์ประจำดงดังอยู่หึ่งๆ ในหิมเวศ พนาสณฑ์สกลประเทศทิศาภาคภิรมย์ใจ ดังนันทวโนทยานในอมรแมน แสนสะพรั่งพร้อมไปด้วยพฤกษ์พร้าวตาลติดเต็มแต่ล้วนผล หล่นลงเดียรดาษที่ดินดาล เอตฺถ พฺรหาวเน ในห้องพระหิมพานต์ภูมิพนัศเนินแนว อเนกไปด้วยถ่องแถวทุมาชาติประชุมดอกดูนี่หลายหลาก ตละหนึ่งว่าช่างชาญฉลาดหากพิจิตรผจงร้อยห้อยไว้ในแดนดง ดูอดิเรกเฉกฉายดังชายธงประเทืองทั่วทุกราวป่า นานาวณฺเณหิ ปุปฺผิตา แต่ล้วนสรรพมาลาสลับแสง อร่ามรุ่งราวกับจะแข่งคัคณัมพรพื้นนภากาศ อันเด่นดาษไปด้วยดวงดาราราย ยังรุกขชาติที่ชายเชิงเขาเปนคันเขตร กอปรด้วยเบญจโกฏเกตกฤษณากรณิการ์แกมกับพุดดง เหล่ามะลุลีแลกาหลงกุหลาบล้วนลำดวนดอกดูสล้าง ปาตลิโย ทั้งแคฝอยแลอ้อยช้างชูช่อเปนชั้นๆ ประกวดกันทุกก้านกิ่ง โน่นก็บุนนาคกากทิงกถินทั้งกะทุ่มแลทองกวาว เหล่าทองหลางล้วนมะเกลือกลุ่ม ประคำไก่แลแก้วกุ่มมะรุมรัก ราชพฤกษ์สะพรั่งดอกดูดาษดา โกลมฺพลพุชา ธวา ทั้งขนุนสำมะลอโลดเลียบแลมูกหลวงหูทลวงเปนเหล่าๆ สรรพประดู่หมู่ตระเบาตระแบกเบญจบานไสว รังรุกขลำไยประยงคุ์แย้มสายหยุดแลยมโดย แต่ล้วนหล่นลงร่วงโรยรายดอกลงมูลมอง เหมือนบุทคลขนมากองไว้ตระการตา ปลาลขลสนฺนิภา เพียงประหนึ่งว่าฟ่อนเข้าอันเต็มไปด้วยฟางก็ปานกัน ในห้องพระหิมวันต์นั้นแล
ขึ้น (๔) มหาพฺรหฺเม ดูกรมหาพราหมณ์รามวิสัย ตสฺสาวิทูเร โปกฺขรณี เบื้องน่าแต่นี้ไปก็สระสนานนามชื่อว่าโบกขรณีเปนสี่เหลี่ยมเปี่ยมไปด้วยสินธุธารา ดังมณีมโนหรจินดาดวงดูสอาด ริมบริเวณอาวาสศิวาศรม มโนรเม ในภาพพื้นภูมิภิรมย์เจริญใจ ดังทิพยโบกขรณีในสุนันทา ปทุมุปฺปลสญฺฉนฺนา ดาดาษไปด้วยบัวเบญจพิธพรรณประไพสี โกมลจงกลนีอเนกแน่นในกระแสสินธุ์ สัตบุตกมุทหมู่ลินจงขจายบาน ในคิมหาเหมันตกาลกอปรด้วยดอกนี่ดาษดื่น กำหนดน้ำนั้นก็ตื้นแต่เพียงเข่าควรจะปราโมทย์ ด้วยเรณูเกสรสาโรชก็โรยรายร่วงลงในใบบัว ระคนด้วยน้ำค้างที่ขังกลั้วก็กลับข้นเข้าเปนก้อนปรากฎ นามชื่อว่าโบกขรมธุรศวารี วายนฺติ ดูกรทชี ยังมีพายุรำพายหลายจำพวกพัดกระพือหอบ กอบเอาลอองเกสรอุบลไปปนปรุงปรายไว้ในอาศรม หอมระงมไปด้วยกลิ่นรื่นจรุงใจ สึฆาฎกา อันว่าผลกระจับใหญ่ย่อมเยียดยัดอยู่ท้องธาร ที่ขอบฝั่งนั้นก็พืชเข้าสารสาลีลออรวง เมล็ดขาวราวกับเพ็ชร์รัตนหลวงจำรัสราย มจฺฉกจฺฉปพฺยาวิธา สรรพเต่าปลาทั้งหลายก็ลอยโลดโดดเล่นในมุจลินท์สินธุธารา ทั้งเทโพโลมาก็มาดหมายหมู่สวายแสวงวัง ตะโกกกาแกมกับกดคลั่งเที่ยวกินไคลแล้วเคล้าคู่ นวลจันทร์พรรณเนื้ออ่อนแอบอาศรัยอู่แอ่งกระอุกอาย คางเบือนก็บังกายกับโกมล หมู่กระดี่ชะโดดุกก็โดดด้นดำลงดาลดิน กระโห้กระแหหาอาหารกินทุกหนแห่ง คระคลับคลายก็ว่ายแว้งฉวัดเฉวียนตามเฉนียนนอง แมลงภู่พาพวกตะเพียนทองล่องเล่นสลอนลอย สรรพซิวซ่าปลาสร้อยก็สับสนระคนแข่งเคียงขนานเล่นเปนคู่ๆ อุปยานกา พวกพรรณเปี้ยวปูหมู่หอยก็คลานคล่ำเล็มไคลในวาริน ทั้งกุ้งกั้งมังกรกุมภิลก็ผุดเผ่นเล่นน้ำคะนองเชย ดูกรพราหมณ์เอ๋ย ประหลาดหลากด้วยรากอุบลบัวบังเกิดมีประมาณเท่างอนไถ เปนน้ำเปรียงประปริ่มไหลใสสอาดขาว ราวกับขีโรทกมธุรศเจริญหวาน เชิญธอาจารย์จงบริโภคให้พอครอง นานาคนฺธสมีริตา ยังหมู่ไม้ก็มูลมองมีอยู่ริมรอบขอบสระระดะดอกดูสลับสลอนต่างๆ คันธขจรขจาย กลิ่นรื่นรศระเหยหวนไม่หายหอมในหิมวันต์ สมฺโมทิเตว จะยังคนอันสัญจรไปถึงให้พึงเปรมเกษมใจ ด้วยสรรพบุบผาผกาไม้ที่เบิกบาน ระบุระบัดบนกิ่งก้านตระหลบอบอาบใจให้มัวเมา หมู่แมลงมาศภมรก็คลึงเคล้าเอาชาติเรณูนวลผกาเกสร หึ่งๆ บินวะวู่ว่อนร่อนร้องอยู่โดยรอบขอบจตุรัสโบษขรณี นานาวณฺณา พหู ทิชา เหล่าคณานิกรปักษีมีพรรณหลากหลายประหลาดเลิศ ล้วนกำเนิดเปนสองหน เปนฟองก่อนแล้วก็เกิดเปนตัวตนต่อภายหลัง อญฺญมญฺญํ ปกุชฺชิโน เสนาะไปด้วยสำเนียงสนั่นดงดังอยู่เพรงเพรียก เรียกกู่กันคลอแคลซ้อแซ้ประสานก นนฺทิกา คณานิกรพิหคประหิตหงส์เหมห่านก็เหินบิน ลงลอยเล่นมุจลินท์ชโลทกกกกินเกสรบัว ปิยาชิโน นกกระสาพากันเมียผัวแสวงภักษ์มาปักป้อนโปดกในเรือนรัง ประนังเสียงอยู่เซ็งเซียบ เหล่าอิลุ้มกระแลเลียบกะลิงลี้เข้าลับไม้ พรรณกาน้ำก็ดำไล่เหล่ามัจฉาในวารี สกุณชาติทั้งหลายเหล่านี้ก็ย่อมอาศรัยสระเสพภักษาหาร สำราญรังอยู่รุกขรอบติราเรียงร้องระงมไพร สกเลเหว คนฺถิตา ป่านั้นก็รุ่งอร่ามไปด้วยพรรณบุบผาผกาบานประสานสีสลับกลีบ ดังแกล้งจีบประจงตรงปานประหนึ่งว่าข่ายทองประเทืองทั่วทุกถิ่นแถว ควรจะทัศนาแนวในตำแหน่งวนาศรม แห่งพระเพสยันดรผู้เจริญพรหมประพฤติพรต พร้อมไปด้วยสองตรุณวโรรสราชชายา อันอยู่ในห้องหิมวานั้นแล
อิทญฺจ เม สตฺตุภตฺตํ | มธุนา ปฏิสํยุตํ |
มธุปิณฺฑิกา สุกตาโย | สตฺตุภตฺตํ ททามิ เต |
ตุเหฺยว สมฺพลํ โหตุ | นาหํ อิจฺฉามิ สมฺพลํ |
อิโตปิ พฺรเหฺม คณฺหาหิ | คจฺฉ พฺรเหฺม ยถาสุขํ |
อยํ เอกปที เอติ | อุชุํ คจฺฉติ อสฺสมํ |
อิสิปิ อจฺจุโต ตตฺถ | ปงกทนฺโต รชสฺสิโร |
ธาเรนฺโต พฺราหฺมณวณฺณํ | อาสทญฺจ มสญฺชฏํ |
จมฺมวาสี ฉมา เสติ | ชาตเวทํ นมสฺสติ |
ตํ ตฺวํ คนฺตฺวาน ปุจฺฉสฺสุ | โส เต มคฺคํ ปวกฺขตีติ |
เดิน (๕) เบื้องว่าเจตบุตรพรานไพร พร่ำพรรณาแนะแนวพนัศลำเนาเขาแลไม้ให้แก่ทชีชูชกชราจารย์ อันจะไปสู่อาศรมสถานที่สถิตย์ แห่งบรมบพิตรเพสยันดรดวงกระษัตริย์ พราหมณ์ก็โสมนัศเปรมปรีดิ์ จึงกล่าวสุนทรวาทีทางปฏิสันถาร ว่าดูกรเจตบุตรผู้เปนหลานสัลเลขดง สตฺตุภตฺตํ เข้าสัตตูผงสัตตูก้อนกวนด้วยน้ำผึ้งพิเศษหวาน อันอมิตตดาเยาวมาลย์ผู้มีภักตรผ่องใส แกล้งประเจียนจัดประจงให้มาเปนสะเบียงเลี้ยงท้องที่เถื่อนทาง ตาจะแบ่งให้เจ้าบ้างบริโภคเล่นหลากหลาก ประสายากที่กลางไพร ขึ้น เจตบุตรจึงตอบว่าขอบใจเจียวนะธอาจารย์ สมฺพลํ อันว่าขนมหวานวรวิเศษสะเบียงป่า ที่คุณตาจะให้หลานๆ ก็ไม่ประสงค์ เชิญธอาจารย์จงเอาไปกินในอรัญญวิถี ไปเถิดนะตรงนี้ตรงมือหลานชี้อย่าเลินเล่อ เปนทางน้อยรอยเร่อพอจุบาทบทจรเดินได้แต่ผู้เดียวไม่เคี้ยวคด ตรงไปสู่อาศรมบทพระนักบวชบำเพ็ญฌาน ชื่อพระอจุตจอมใจอาจารย์อุดมเพศ ปกงทนฺโต ฟันขาวพิเศษดังสีสังข์ รชสฺสิโร ผมเผ้านั้นนะรุงรังระคนข้องไปด้วยลอองธุลีผง ทรงพยัคฆจัมมาภรณ์ลายละเลื่อมกับทั้งเล็บ ถือขอเที่ยวเกี่ยวเก็บกินผลไม้ กระทำอัคคีวันทนบูชาไฟเปนเนืองนิตย์ โดยพิสัยพระนักสิทธิสืบโบราณ ย่อมสถิตย์ในสถานละแวกหว่างวนวิถี เมื่อท่านถึงจึงยอกรอัญชลีเคารพกราบกราน กระทำปฏิสันถารถามถึงมรรคา พระผู้เปนเจ้าก็จะพรรณาแนะนิเทศเถื่อนทางให้ท่านไป สู่สำนักบรมไทยทานาธิบดีศรีเวสสันดร อันอยู่ในอาศรมศิงขรนั้นแล
ตมตฺถํ ปกาเสนฺโต สตฺถา อาห | |
อิทํ สุตฺวา พฺรหฺมพนฺธุ | เจตํ กตฺวา ปทกฺขิณํ |
อุทคฺคจิตฺโต ปกฺกามิ | เยนาสิ อจฺจุโต อิสีติ |
เดิน (๖) ยํ อตฺถํ อันว่าอรรถอันใดยังมิได้แจ้งปรากฎ จุณฺณิยปเท ในจุณณิยบทปัจฉาภาคภายหลัง ตํ อตฺถํ อันว่าสมเด็จพระบรมนาถศาสดาจารย์ เมื่อจะโปรดประทานอรรถอันนั้นให้แจ้ง จึงตรัสว่า ขึ้น ภิกฺขเว ดูกรสงฆ์ผู้กลัวภัยในวัฏฏสงสาร พฺราหฺมพนฺธุ อันว่าเถ้าผู้เปนเผ่าภารทวาชโคตรทิชงควิสัย สุตฺวา เมื่อได้สดับสุนทรคดีสิ้นเสร็จสุด อันนายพเนจรเจตบุตรบอกแจ้งจำถนัด ในพนัศวิถีเถื่อนทุเรศ ขึ้น อุทคฺคจิตฺโต เถ้าทลิเชษฐก็ชื่นบานบันเทิงใจ ยกย่ามว้าขึ้นใส่ไหล่สะพักแล่งละล่าละลัง ปทกฺขิณํ กตฺวา เถ้าก็กระทำปทักษิณสิ้นตติยวารเวียนรอบชอบที อจฺจุโต อันว่าพระอจุตฤๅษีผู้สร้างพรต ยตฺถ ปเทเส สำเร็จอิริยาบถบำเพ็ญผลเพิ่มผนวชในประเทศที่ใด ปกฺกามิ เถ้าก็บ่ายภักตร์เฉภาะไป ตํ ปเทสํ สู่ประเทศที่นั้นแล
จุลวนวณฺณนา นิฏฺฐิตา
ประดับด้วยพระคาถา ๓๕ พระคาถา
----------------------------