ภาค ๔ การจับกุมคณะ ร.ศ. ๑๓๐

กอปรด้วยหัวข้อย่อดังนี้:-

- ทูลกระหม่อมฯ เรียกประชุมวางแผนปราบ

- จือ ทำลายแผนการปฏิวัติและกระโจนกลาโหม

- เปิดการจับกุมคณะปฏิวัติพร้อมกันทุกสายทุกแห่ง

- เหตุการณ์ใน ร. ๑๑ ก่อนถูกจับ

- เหรียญ ศรีจันทร์ ถูกส่งเรือนจำ และเหตุการณ์ในคุก

- เหตุการณ์ในกองปืนกลก่อนถูกจับกุม

- นายทหารปืนกลถูกเชิญตัวเวลากลางคืน หลังจากทำลายหลักฐานการปฏิวัติสิ้นแล้ว

- เหตุการณ์ระหว่างผู้ต้องหาในกลาโหม และกระทรวงทบวงกรม

- ส่งตัว “ผู้หักหลัง” ลี้ภัยคณะ ร.ศ. ๑๓๐

- พระราชารับสั่งบนรถพระที่นั่ง “ข้าเลิกเฆี่ยนหลังแล้ว”

 

ณ วันรุ่งขึ้นที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ เวลา ๙ นาฬิกาตรง ทูลกระหม่อมจักรพงษ์ เสนาธิการทหารบก และทำการแทนเสนาบดีกระทรวงกลาโหมอยู่ในเวลานั้น (เนื่องจากเสด็จในกรมหลวงนครไชยศรี ฯ ทรงประชวรพระโรคภายใน และเสด็จไปรักษาพระองค์ ณ ประเทศยุโรป ตั้งแต่เดือนธันวาคม ร.ศ. ๑๓๐ พร้อม ๆ กับการปฏิวัติเริ่มขึ้น) ได้ออกคำสั่งลับเฉพาะด่วนมาก เรียกประชุมนายทหารชั้นผู้ใหญ่ตั้งแต่ผู้บังคับการกรมขึ้นไป ณ ห้องประชุมกระทรวงกลาโหม ซึ่งเป็นห้องโถงใหญ่ อยู่หน้าห้องเสนาบดี ทูลกระหม่อมทรงเป็นประธานดำเนินการประชุมเอง ประตูห้องประชุมทุกบานปิดลงกลอนหมด แต่กระนั้นก็ดี ชาวคณะ ร.ศ. ๑๓๐ ก็แอบจับเค้าเรื่องประชุมได้ โดย ร.ท. จือ ควกุล นายทหารเสนาธิการประจำกองทัพที่ ๑ เกิดรู้สึกสนเท่ห์ใจเป็นอย่างยิ่ง ในเมื่อได้เห็นคำสั่งลับเฉพาะด่วนมากของผู้รักษาราชการแทนเสนาบดีฉบับนั้น ผิดสังเกตกว่าปรกติเป็นอันมาก ด้วยว่าไม่เคยพบเห็นคำสั่งฉบับใดที่เคย ๆ สั่งมาแล้วจะรวดเร็วด่วนจี๋ถึงปานนั้นเลย นอกจากนี้ยังตกมาถึงมือผู้รับคำสั่งในเวลาเดียวพร้อม ๆ กันอีกด้วย เพราะเท่าที่เคย ๆ มาเมื่อผู้บัญชาการกองพล หรือแม่ทัพจะเข้าประชุม จะต้องได้เตรียมหลักฐานเรื่องราวเสียก่อนโดยพร้อมเพรียงจากเสนาธิการ หรือนายทหารคนสนิทล่วงหน้าไว้ เพื่ออภิปรายโต้เถียงกัน แต่สำหรับครั้งนั้น มิได้เตรียมสิ่งใดไปเลย ผิดกับทุก ๆ คราวมาก

พอผู้บัญชาการกองพล และแม่ทัพไปเข้าประชุมแล้ว ร.ท. จือ ก็ตัดสินใจทันที ยอมเสียมรรยาทอันดีของสังคม เพราะกำหนดวันที่คณะ ๑๓๐ จะลงมือทำงานได้ใกล้วันเข้ามาแล้ว ฉวยพลาดท่าเสียทีก็จะได้หาทางแก้หรือสั่งการชนิดตกบรรไดพลอยโจนเสียโดยฉับพลัน จึงจำต้องลอบติดตามเข้าไปสืบเรื่องราวให้จนได้ พอถึงห้องประชุมก็สิ้นท่า เห็นประตูปิดหมดทุกบาน แม้แต่ทหารยามหน้าห้องก็ไม่มีเฝ้า เสียงประชุมภายในแผ่วเบา ยากที่จะสำเหนียกเอาเนื้อถ้อยกระทงความได้ มีอยู่ก็แต่รูกุญแจประตู ที่พอจะอาศัยประทับหูและลอดสายตาเข้าไปดูได้บ้าง ร.ท. จือ จึงพยายามจนสุดความสามารถอย่างไม่เกรงขาม แต่ก็หาได้ยินอะไรถนัดถนี่เลยไม่ เพียงสังเกตได้ด้วยสายตาว่า องค์ประธานรับสั่งอย่างไม่พักจังหวะแต่องค์เดียวเท่านั้น พอเสร็จแล้วก็ลุกไปจากโต๊ะตรงไปยังแผนที่กรุงเทพฯ แผ่นใหญ่ที่แขวนอยู่กับฝาผนัง ทรงถอนธงคันเล็กที่ปักไว้บนแผนที่ ย้ายไปย้ายมา พลางรับสั่งไปพลาง

ทันทีนั้น จือเข้าใจเอาเองว่าเห็นจะเป็นพวกจีนสะไตร๊ค์อีกเช่นเมื่อ ร.ศ. ๑๒๙ ในปลายรัชกาลที่ ๕ แต่ก็มิเคยมีข่าวกระเส็นกระสายมาเข้าหูเลย หรือจะเคยผ่านทางราชการก็ไม่มี การที่จะประชุมกันเพื่อรอสถานะการณ์เช่นนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้แน่ ๆ เรื่องที่กำลังประชุมกันนั้นจะต้องเป็นเรื่องใหญ่ สำคัญและด่วนที่ต้องใช้ทหารด้วย อาจเป็นเรื่อง “คอขาดบาดตาย” ก็ได้ หาใช่เรื่องในอนาคตเป็นแน่แท้ ฉะนั้น จือจึงหวนไปนึกถึงเรื่องของตนขึ้นมาทันที ซึ่งมีเหตุผลรับกันได้สนิทกว่าเรื่องอื่นใด จือจึงไม่ยอมทรมานตนให้เสียมารยาทต่อไปอีก รีบผละออกจากที่นั่น กลับไปยังห้องทำงานของเขาโดยขมีขมัน และจะสั่งการชนิดตกบรรไดพลอยโจนเห็นท่าจะไม่ทันท่วงที หรือจะโทรศัพท์สั่งไปก็มองเห็นอันตรายมากกว่าคุณ เขาถึงคว้างานที่อยู่ใกล้มือเสียก่อน คือ รีบเปิดตู้นิรภัยที่เก็บหนังสือลับ นำเอาแผนการปฏิวัติและหลักฐานทั้งสิ้นออกมาฉีกทำลายอย่างรีบร้อน จนเป็นชิ้นละเอียดแล้วยัดลงตะกร้าผง แม้กระนั้นก็ยังหาทันเวลาไม่

พอได้เวลา ๑๑ นาฬิกาตรง นายทหารผู้ใหญ่ที่ประชุมก็โพล่เข้ามาในห้องโดยปุปปับ ตรงเข้าจะรวบ ร.ท. จือ จือก็สายฟ้าแลบพอดู ยัดหนังสือลับชิ้นสำคัญฉบับสุดท้ายเข้าปาก โผออกไปทางหน้าต่าง พอตัวหลุดออกไปได้ครึ่งเอวก็ถูกรวบขาไว้แน่น และถูกลากถูลู่ถูกังเข้ามาในห้อง แต่หนังสือลับฉบับนั้นได้ไหลลงไปอยู่ในกะเพาะเสียแล้ว

การกระโจนหน้าต่างของ ร.ท. จือ เป็นการเสี่ยงภยันตรายที่สุด หากจือคิดจะหนีความตายจากการจับ ก็คงจะคอหักตายจากการตกหน้าต่าง ซึ่งตึกชั้นสามของกลาโหมนั้นสูงพอจะหักคอคนได้ การที่นายทหารผู้ใหญ่ต้องการจะจับเป็น ร.ท. จือ ก็เพื่อต้องการจะไขเอาแผนการ และหลักฐานสำคัญ ๆ มาประกอบคดี หรือสืบสาวราวเรื่องจนถึงจุดดั้งเดิมของการคิดก่อการจะปฏิวัติ ซึ่งจุดนั้นพันเอิญพุขึ้นในเวลาใกล้ ๆ กับเมื่อเสด็จในกรมหลวงนครไชยศรี ฯ เสด็จไปพักรักษาพระองค์ในประเทศยุโรปนั้นเสียด้วย

แต่ ร.ท. จือ ก็ชาติชายแท้ เมื่อได้ให้สัตยะสาบานแก่คณะผู้รักชาติแล้ว จึงไม่ยอมให้การแต่อย่างใดอันจะเป็นภัยต่อคณะ ผู้จับกุมได้พยายามตรวจค้นหลักฐานใด ๆ ในห้องทำงานของจือก็คว้าน้ำเหลว ตลอดจนไปตรวจค้นที่บ้าน ร ท จือ ก็หาได้สิ่งที่เป็นประโยชน์แก่คดีไม่ (ทางราชการจึงนำตัว ร.ท. จือ ส่งไปฝากขังยังคุกนักโทษต่างประเทศตามแผนการปราบมิรั้งรอ (คุกนักโทษต่างประเทศ สำหรับขังคนต่างประเทศ หรือสับเย็กต่างประเทศ ตั้งอยู่ในบริเวณคุกใหญ่ กองมหันตโทษ ถนนมหาชัย เวลานี้เป็นกองลหุโทษ จังหวัดพระนครฯ)

หนังสือสำคัญชิ้นสุดท้ายที่ ร.ท. จือ เคี้ยวอย่างอาหารกลืนลงท้องนั้น คืออะไร ประวัติศาสตร์จำต้องสืบค้นมาบันทึกไว้ด้วยจึงจะสมบูรณ์

หนังสือชิ้นนั้นเป็นกระดาษจดหมายตัวพิมพ์ดีด เพื่อนำถวายทูลกระหม่อมจักรพงษ์ในเมื่อถึงโอกาส มีใจความว่า บรรดาชาวไทยย่อมทราบว่าเวลานั้นทูลกระหม่อมจักรพงษ์เป็นผู้เรืองอำนาจในกองทัพบก และนายทหารทั่วหน้าได้ถวายความจงรักภักดีในพระองค์ ทั้งในด้านวิชาและองค์ความดีมานับประการ คณะปฏิวัติจึงใคร่ทูลขอพระวิจารณะญาณ ได้ทรงเห็นอกเห็นใจประชาชาติไทย ซึ่งกำลังจะหาที่พึ่งเพื่อระงับทุกข์บำรุงสุขให้สมด้วยอารยสมัย เพราะขวัญของทหารกำลังจะเสื่อม เศรษฐกิจกำลังจะทรุดโทรม หากขืนปล่อยไว้ การเมืองก็จะถูกแทรกแซงได้โดยง่าย แล้วจะแก้ไขได้โดยยาก จึงถึงเวลาแล้วที่จะต้องเข้าช่วยแก้ไขเสียแต่เมื่อยังไม่ทันสาย และผู้ที่สามารถจะแก้ไขได้นั้น หากมิใช่ทหาร ก็เห็นจะไม่มีผู้ใดที่มีสมรรถภาพพอ ฉะนั้น คณะทหารผู้เห็นแก่ชาติจึงจำต้องรวบรวมกันขึ้นเป็นกลุ่มเป็นก้อน เข้าแก้ไขสถานะการณ์ของบ้านเมือง ซึ่งทูลกระหม่อมทรงทราบอยู่แก่พระทัยแล้ว และก็หวังในพระกรุณาของทูลกระหม่อมด้วย จึงจะนำความสำเร็จมาสู่ประเทศชาติด้วยดี เพราะทูลกระหม่อมเป็นพระราชอนุชาที่ทรงไว้วางพระราชหฤทัยในองค์พระประมุขตลอดมา

เนื่องด้วยหนังสือฉบับนั้นยังเป็นความลี้ลับอยู่ ไม่เคยทราบถึงพระเนตรพระกรรณของทูลกระหม่อมเลย และ ร.ท. จือ ก็ยังไม่เคยเสนอขอความเห็นชอบจากคณะ เนื่องด้วยความเห็นของสมาชิกในเวลานั้นยังแตกต่างกันดังได้กล่าวมาแล้ว หนังสือนี้จึงเป็นหนังสือที่เกิดจากความคิดของ ร.ท. จือ เพื่อความประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่ง ร.ท. จือ จึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ มิยอมให้แพร่งพรายแก่ผู้ใดเป็นอันขาด ถ้าขืนปล่อยให้มันถูกค้นไปได้ ก็อาจจะเป็นความบาปหนักแก่ทูลกระหม่อมได้ ค่าที่การเมืองภายในขณะนั้นกำลังแตกเป็นก๊กเป็นเหล่าอย่างไรชอบกล การตีหน้าเข้าหากันเท่านั้นที่ยังตรึงจิตใจให้รวมกันอยู่ได้ และถ้านอกจากทูลกระหม่อมจักรพงษ์เสียแล้วก็เกรงว่าจะปราศจากหลักของประเทศ

ณ เวลา ๑๑ นาฬิกาตรงวันนั้น ฉากจับกุมคณะปฏิวัติก็เปิดออกพร้อมกันทุกสาย ทุกแห่ง โดยทูลกระหม่อมเป็นผู้วางแผนการและตั้งเวลาให้ ผู้จับกุมก็ล้วนเป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่ออกนำขบวน พร้อมด้วยอาวุธปืนพก เมื่อรวบผู้ใดได้ก็ค้นตัวและเครื่องใช้ ส่วนอีกทางหนึ่ง ก็ส่งนายทหารชั้นผู้ใหญ่ไปค้นบ้านของผู้นั้นพร้อม ๆ กันทันที

แผนการปราบปราม ได้แบ่งผู้ถูกจับกุมออกเป็น ๓ ประเภท ประเภทที่ ๑ ส่งตัวไปฝากขังคุกต่างประเทศแบบ ร.ท. จือ ประเภทที่ ๒ ฝากขังไว้ในกระทรวงกลาโหม และประเภทที่ ๓ ฝากขังหรือกักบริเวณไว้ในบริเวณกรมกองทหาร หรือตามกระทรวงทบวงกรมที่ผู้ถูกจับสังกัดอยู่ ดังจะได้บรรยายเป็นส่วนรวมแต่ละประเภทไว้บ้างพอสมควร

ประเภทที่ ๑ มี ๑๐ คน คือ ร.อ. ขุนทวยหาญพิทักษ์ (เหล็ง ศรีจันทร์ ) ร.ท. จรูญ ณ บางช้าง ร.ท. จือ ควกุล ร.ต. หม่อมราชวงศ์ แช่ รัชนิกร ร.ต. เขียน อุทัยกุล ร.ต. ทวน เธียรพิทักษ์ ร.ต. บุญ แตงวิเชียร ร.ต. วาส วาสนา ร.ต. เหรียญ ศรีจันทร์ และนายอุทัย เทพหัสดิน ณ อยุธยา (ล่ามกระทรวงยุติธรรม)

ผู้ต้องหาในคดีก่อการจะปฏิวัติทั้ง ๑๐ คน ที่ส่งไปฝากขังคุกต่างประเทศนั้น มี ร.ต. หม่อมราชวงศ์แช่ คนเดียวที่มิได้ถูกจับกุมและนำตัวมาจากที่ทำงานในเมืองหลวง อีก ๙ คนได้ถูกจับกุมในขณะปฏิบัติราชการอยู่โดยมาก ได้กล่าวแล้วว่าหม่อมแช่กำลังขึ้นไปเกลี้ยกล่อมทหารมณฑลอยุธยา เช่นคนอื่น ๆ แต่ใคร ๆ ก็กลับมาพร้อมด้วยส่งรายงานแก่คณะหมดแล้ว ยังเหลือหม่อมแช่ผู้เดียวที่ตกค้างอยู่ ณ อยุธยา เพราะเขาตั้งใจว่าจะอยู่ที่นั่นจนถึงวันพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา โดยส่งใบลากิจต่ออีกช่วงเวลาหนึ่งเดือนเศษ ๆ เท่านั้นเอง ทั้งนี้ก็เพราะหม่อมแช่ เล็งผลเลิศว่า ฉวยเอะอะตึงตังขึ้น ก็จะได้คุมทหารกองพลที่ ๑ ไว้ช่วยเหลือให้ทันท่วงที ให้เห็นว่าทหารในต่างจังหวัดได้เป็นกำลังของคณะปฏิวัติแล้ว รัฐบาลจะได้มิสามารถติดต่อเป็นทางลับ ข้ามมณฑลอยุธยาไปได้โดยทางเรือ เพราะทางรถไฟทุกสายถูกควบคุมด้วยหน่วยกล้าตายของคณะไว้พร้อมสรรพแล้วไม่ต้องห่วงใย ความรอบคอบแห่งสมองปฏิวัติของหม่อมแช่นี้แหละ มิได้พ้นจากการหักหลังของหลวงสินาดฯ ไปได้ ที่เรียกว่า “กำแพงมีรูประตูมีช่อง” ความลับทั้งหลาย ย่อมหาทางที่จะเลื้อยคลานออกมาเสมอ

ฉะนั้นฝ่ายปราบปราม หรือที่บางเสียงเรียกกันว่า ฝ่ายปราบกบฏ ได้ส่งนายทหารชั้นผู้บังคับการขึ้นไปเชิญตัวหม่อมแช่ ลงมาจากอยุธยาด้วยกุญแจสวมข้อมือ นำมาโดยรถไฟในเย็นวันนั้นเอง แล้วส่งตัวเข้าคุกต่างประเทศเลยทีเดียว เขาเล่าว่าทุกคนในรถไฟต่างซุบซิบและจ้องจับสายตาอยู่ที่หม่อมแช่ด้วยลักษณาการต่าง ๆ กัน เพราะแปลกใจที่เห็นผู้ควบคุมตัวคนร้ายหาใช่ตำรวจของรัฐบาลไม่ หากแต่เป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่ของชาติและทหารในเครื่องแบบติดอาวุธ บางคนที่รู้เรื่องจากผู้ที่เดินทางไปอยุธยาในบ่ายวันนั้น ว่าทางกรุงเทพ ฯ ได้เกิดกบฏหรือเก๊กเหม็งขึ้นแล้ว ก็แสดงความเห็นกันนานาประการ คือที่สงสารเพราะเห็นแก่บ้านเมืองก็มี ที่เป็นฝ่ายเจ้าหรือรัฐบาลก็สำแดงอากัปกิริยาตรงกันข้าม ส่วนหม่อมแช่เอง รู้สึกภูมิใจมาตลอดทาง ไม่มีสีหน้าเศร้าสลดแต่ประการใดเลย

คณะปฏิวัติที่ถูกจัดเป็นประเภทที่ ๑ ส่งตัวเข้าคุกต่างประเทศนั้น เฉพาะอีก ๙ คนก็ส่งตัวจากที่ทำงานของตน ๆ เยี่ยง ร.ท. จือ โดยรถยนต์ส่วนตัวของผู้จับกุมบ้าง ใช้รถยนต์ของกรมทหารพาหนะบ้าง เช่น หมอเหล็งก็ถูกจับกุมจากโรงเรียนนายร้อยชั้นมัธยม ถนนราชดำเนินนอก ขณะที่พักรับประทานอาหารกลางวัน ร.ท. จรูญ ถูกจับจากสำนักงานทนายความ สามยอด ขณะไปพักกลางวันดุจกัน ร.ต. เขียน กับ ร.ต. ทวน ถูกจับกุมจากกองโรงเรียนนายสิบ ในกระทรวงกลาโหม ร.ต. บุญ ถูกจับกุมจากกองรักษาการณ์ (การ์ด) ณ พระที่นั่งจักรี ในพระบรมมหาราชวัง ขณะแต่งกายเต็มยศ กระทำหน้าที่รักษาการเป็นกองเกียรติยศอยู่ ร.ต. วาสถูกจับกุมขณะขี่จักรยานไปเที่ยวแจ้งข่าวตามกรมกองทหารทั่วพระนคร เพื่อให้เตรียมพร้อมและระมัดระวังตัว รอฟังอาณัติสัญญาณของคณะต่อไป ร.ต. เหรียญ ศรีจันทร์ ถูกจับกุมจากกรมทหารราบที่ ๑๑ ท่าพระจันทร์ และนายอุทัย เทพหัสดิน ณ อยุธยา ถูกจับกุมจากห้องทำงานล่ามกระทรวงยุติธรรม

ส่วนเหตุการณ์ภายในกรมทหารราบ ๑๑ ก่อนเวลาถูกจับกุม จนกระทั่งถึงเวลาถูกเชิญตัว กับพฤติการณ์ภายในเรือนจำกองมหันตโทษ และคุกต่างประเทศ ได้ปฏิบัติแก่ผู้ต้องหาในคดีการเมืองสถานใดบ้าง ในขณะที่ทางเรือนจำรับตัวไว้ในครั้งแรกและควบคุมตัวต่อไปนั้น เราได้ทราบจากคำบรรยายของ ร.ต. เหรียญ ศรีจันทร์ แทนเพื่อนร่วมตายทุกคนในที่นั้นเป็นอย่างดี เพราะในขณะนี้ ยังมีชีวิตรอดอยู่เพียง ๒ คน คือ ร.ต. เหรียญ ศรีจันทร์ กับ ร.ต. บุญ แดงวิเชียร ซึ่งอยู่ในจำพวก ๑๐ คน ที่ถูกส่งเข้าคุกในวันจับกุม แต่ ร.ต. บุญ ก็กำลังเป็นโรคอัมพาตขณะที่เขียนประวัตินี้อยู่เสียด้วย จึงเล่าเรื่องให้ฟังได้ไม่สู้มากนัก

ก่อนถูกจับกุมได้ ๒ วัน พวกเพื่อนร่วมตายที่ได้เข้าร่วมคณะ โดย ร.ต. เหรียญ เป็นผู้ชักนำ ได้กระตือรือร้นเข้าไปหา ร.ต. เหรียญ ในกรมทหารราบ ๑๑ พร้อมด้วยสีหน้าถมึงทึง และพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เรื่องของพวกเรามันกระจายแพร่หลายออกไปแทบทุกกรมกองทหารแล้ว ถ้าไม่รีบลงมือดำเนินการเสียให้ทันท่วงทีตามแผนการฉุกละหุก พวกเราก็คงจะเป็นผีหัวขาดไปตาม ๆ กัน ร.ต. เหรียญตอบอย่างสั้น ๆ ว่า เขาก็มีความเห็นเช่นเดียวกัน ต่อจากนี้ ร.ต. เหรียญ ก็ปราดไปหา ร.ท. จรูญ กับ ร.ท. จือ. และรุกเขาว่า เรื่องของเรามันกระพือกันไปเป็นไฟลามทุ่งเสียแล้ว เวลานี้มีแผนการเตรียมพร้อมไว้เผื่อเกิดเหตุกระทันหันแล้วหรือ ร.ท. จรูญ ตอบอย่างเฉียบขาดว่า “คอยรับคำสั่ง! ระหว่างนี้พวกเราต้องเตรียมพร้อมทุกๆ คน อย่าไปไหนทั้งกลางวันและกลางคืน ต้องอยู่ประจำในกรมทหารโดยพร้อมเพรียง เตรียมกระสุนไว้ให้พร้อม คำสั่งอาจจะถึงได้ ไม่ว่าในวินาทีใด หรือถ้าได้ยินเสียงปืนใหญ่ ๑ (สนามหลวง) หรือปืนใหญ่ ๒ บางซื่อ ยิงให้สัญญาณเมื่อใด ให้นำทหารพร้อมด้วยกระสุนปืน มาชุมพลรอรับคำสั่งเด็ดขาดที่ท้องสนามหลวงโดยเร็วที่สุดที่จะเร็วได้”

ร.ต. เหรียญ ก็มั่นใจว่า คำสั่งเสนาธิการของเรากำลังจะออกอยู่แล้ว จึงนึกถึงแต่หน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติตามคำสั่งอย่างว่องไวที่สุด แล้วก็รีบกลับกรมทหาร บอกให้พรรคพวกทราบโดยทั่วกัน ระหว่างนี้เขาได้แต่ครุ่นคิดอยู่ว่าแผนการ ๑๐ ปี ที่ได้ใช้หัวคิดดำเนินการมาเป็นเวลาเกือบ ๒ ปี มันตกอันดับไปเสียหมดสิ้นแล้ว ตลอดจนสมาชิกที่สมัครเข้ามาใหม่ ๆ ก็ดูจะเลือดร้อนไปตามกันแทบทั้งนั้น ซึ่งไม่สามารถจะสกัดกั้นพวกเลือดร้อนไว้ได้ด้วยวิธีใด เวลานี้เปรียบเสมือนไฟกองน้อยที่เขาเป็นผู้ริเริ่มก่อขึ้น มันลุกลามแดงทุ่งไปหมดแล้ว จะดับได้อย่างไร ?

วันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ร.ศ. ๑๓๐ เวลาเที่ยงเศษ เป็นเวลาที่ ร.ต. เหรียญ ส่งหน้าที่เวรรักษาการภายในกรมทหารราบที่ ๑๑ ให้กับนายทหารผลัดเปลี่ยน ซึ่งเรียกกันว่า “รับเวร” เมื่อมอบหน้าที่กันเสร็จแล้ว ขณะที่ ร.ต. เหรียญ ออกจากที่ทำการกรม เดินทางมาตามถนนหน้ากองทหารภายในกรม ก็แลเห็น ร.ต. วาส วาสนา (นายทหารมหาดเล็ก) ถีบจักรยานปราดเข้ามาเฉียดตัวเขา พร้อมกับสั่งว่า ‘เตรียมคอยฟังปืนใหญ่’ แล้วก็ห้อจักรยานวกกลับไป โดยไม่ต้องหยุดรถให้เสียเวลา ร.ต. เหรียญ ก็เลยไม่ต้องไปถอดเครื่องสนาม รีบไปตามกองร้อย บอกพรรคพวกให้สั่งทหารแต่งตัวไว้ให้เสร็จรอรับเหตุสำคัญ เปิดหีบกระสุนปืนไว้เตรียมจ่ายได้ทันที เมื่อได้ยินปืนใหญ่นัดแรก ก็เรียกทหารเข้าแถว ให้ผู้บังคับหมู่ช่วยกันจ่ายกระสุนปืน แล้วนำแถวทหารรีบรุดออกสู่ท้องสนามหลวง โดยมิต้องรอคำสั่งอีก

ต่อจากนั้น พวกเราก็เงี่ยหูคอยฟังเสียงปืนใหญ่อย่างใจเต้น แต่ถึงหัวใจเราจะเต้นจนแทบระเบิด เสียงกัมปนาทของปืนใหญ่ก็มิได้ระเบิดออกสักตึงเดียว ระหว่างนี้พวกเราเดินวกเวียนกันไปมาเหมือนชะมดเลาะกรง ทุก ๆ คนเมื่อรู้สึกอึดอัดใจหนักเข้า ก็เข้ามาถาม ร.ต. เหรียญว่า ทำไมปืนใหญ่จึงไม่ยิง ก็ได้รับคำตอบว่าคงจะยังไม่ถึงเวลา

ฝ่ายทางกรมทหารปืนใหญ่ที่ ๑ กับกรมทหารปืนใหญ่ที่ ๒ ต่างก็รอระเบิดกระสุนนัดแรกเอาฤกษ์ตามคำสั่งเสนาธิการกันอย่างหัวใจแทบระเบิดเหมือนกัน ในขณะนี้ต่างฝ่ายต่างไม่รู้กันว่ากองเสนาธิการของคณะเราถูกเก็บเข้าคุกเรียบไปเสียแล้ว เป็นอันว่าสายฟ้าทางฝ่ายรัฐบาลเขาแลบก่อนคณะเราเพียงแว็บเดียว ท้องฟ้าทางฝ่ายเราก็มืดมิดจนมองไม่เห็นหน้าเห็นตากันเลย แม้แต่จะส่งเสียงกู่กันก็ไม่ได้ยินเสียแล้ว

ตกบ่าย ประมาณ ๓ หรือ ๔ โมงเย็น พระยารามกำแหง (ทองอยู่ ภีมะโยธิน) ผ.บ.ก. กรมทหารราบที่ ๑๑ ก็ขึ้นรถทหารพาหนะเข้ามาในกรม และบอกพวกนายทหารว่า เสด็จท่านแม่ทัพรับสั่งให้นายทหารไปประชุมที่กลาโหมพร้อมกันทุกคน เว้นแต่ผู้ที่รับหน้าที่เป็นเวรประจำการ เมื่อพวกเราทราบคำสั่งก็คิดว่ามันคงเป็นเรื่องของคณะเราแน่ ๆ แต่ตามวินัยของทหาร เมื่อไม่ได้รับคำสั่งหรืออาณัติสัญญาณให้กระทำอย่างหนึ่งอย่างใดแล้ว จะบุ่มบ่ามกระทำไปอย่างคนบ้าระห่ำไม่ได้ ผิดยุทธวินัยอย่างแรง เมื่อไม่มีคำสั่งหรืออาณัติสัญญาณให้ปฏิบัติอย่างใด ทหารก็เป็นเสมือนมนุษย์ไม่มีวิญญาณ ตกลงพวกเราก็ตามผู้บังคับการขึ้นรถไปกระทรวงกลาโหม แต่ ร.ต. เหรียญ คิดว่า เสด็จท่านแม่ทัพคงจะได้กิติศัพท์ของคณะ ๑๓๐ มาทางใดทางหนึ่ง แต่คงไม่ทราบชัดว่าเป็นใครบ้าง เพราะมีมากมายด้วยกัน และการเรียกประชุมก็คงเป็นการให้โอวาทตักเตือนให้ระงับเสีย เมื่อผู้บังคับการนำนายทหารเข้าไปถึงภายในกองรักษาการณ์หน้ากระทรวงกลาโหมแล้ว ซึ่งล้วนแต่นายทหารราบที่ ๑๑ ที่ถูกกักอยู่ในกองรักษาการณ์นั้นเอง พวกเราจึงรู้ตัวว่าได้ถูกจับเป็นเชลยอย่างง่ายดายเสียแล้ว ส่วนพวกเราซึ่งอยู่กรมกองอื่น ๆ จะถูกกักอยู่ที่ไหนบ้าง หรือจะถูกจับกุมกันอย่างไรก็หารู้เบาะแสไม่ ไม่มีวิญญาณใด ๆ จะเล็ดลอดออกมาส่งข่าวให้พวกเราทราบได้ทั้งนั้น

การผิดพลาดของคณะเราในครั้งนี้ เป็นที่รู้กันในภายหลังว่า ในเวลาที่ ร.ต. วาส ไปสั่งให้หน่วยต่าง ๆ คอยฟังเสียงปืนใหญ่อาณัติสัญญาณนั้น เป็นเวลาหลังเที่ยง แต่กองเสนาธิการของเราได้ถูกจับเสียแต่ตอนก่อนเที่ยง ถ้าหาก ร.ต. วาสไม่ยอมเสียเวลาไปสั่งหน่วยต่าง ๆ ให้เตรียมตัว โดยรีบตรงไปยังกรมทหารปืนใหญ่ที่ ๑ ซึ่งอยู่ใกล้ที่สุด ให้ระเบิดกระสุนปืนขึ้นเพียงนัดเดียวเท่านั้น กระทรวงกลาโหมก็จะถูกล้อมด้วยกองทหารฝ่ายปฏิวัติไว้ ในขณะที่พวกเราบางคนกำลังถูกจับ ก็พอจะแก้ไขกันทัน แต่มาได้ทราบจาก ร.ต. วาสในภายหลังว่า การที่เขากระทำไปก็เพื่อให้งานประสานกัน หรือพอดีกันกับคำสั่งของเสนาธิการที่จะสั่งไปยังกรมทหารปืนใหญ่ โดยเขาไม่ทราบเลยว่าตัวเสนาธิการได้ถูกตะครุบไปเสียก่อนแล้ว เขารู้แต่เพียงว่า หัวหน้าคณะถูกจับเท่านั้น กับได้เห็น ร.ต. บุญถูกรวบตัวมาจากกองรักษาการณ์พระที่นั่งจักรี เขาจึ่งรีบลงมือกระทำไปก่อนพบกับเสนาธิการ จือ ณ กองทัพที่ ๑ ในกลาโหม

หรือถ้าเรื่องนี้ ร.ท. จือ แน่ใจว่า ทูลกระหม่อมจักรพงษ์ทรงเรียกประชุมเพื่อวางแผนจับคณะ ๑๓๐ ก็ไม่ควรเสียเวลาไปมัวทำลายเอกสารในตู้เซฟ ควรจะรีบเล็ดลอดหรือสั่งสมาชิกคนใดคนหนึ่งในพวกเราไปสั่งให้ปืนใหญ่ที่ ๑ ยิงบอกสัญญาณทันที และปืนใหญ่ที่ ๒ (บางซื่อ) ก็จะได้ยิงให้สัญญาณรับกันเป็นทอดไป กองทหารฝ่ายเราทุกหน่วยก็จะมารวมกำลังกันได้ภายในเวลาไม่เกิน ๒๐ นาที เหตุการณ์ในวันนั้นอาจเปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังมือไปได้โดยง่าย การเสียเวลาไปเพียงไม่กี่นาที ทำให้เสียการของคณะปฏิวัติไปจนตลอดชีวิต เป็นคติที่ประทับแน่นอยู่กับหัวใจของคณะจนกว่าจะสิ้นลมปราณ แต่ในพวกเราที่มีสมองปฏิวัติยังมีหัวใจเป็นชายชาตินักรบ เป็นนักต่อสู้ ไม่ยอมซัดทอดความบกพร่องให้เป็นความผิดของผู้ใด และพร้อมใจกันต่อสู้กับชะตากรรมอันทุกข์เข็ญจนตลอดชีพ เว้นแต่บางคนที่มีสมองปฏิวัติเพียงครึ่ง ๆ กลาง ๆ เท่านั้น

ตกค่ำเวลาประมาณ ๑ ทุ่ม นายทหารคนสนิทของเจ้าพระยาบดินทร์เดชานุชิต (หม่อมราชวงศ์ อรุณฉัตรกุล) ผู้ดำรงตำแหน่งปลัดทูลฉลองกระทรวงกลาโหม และเป็นประธานในการสอบสวนไต่สวนคณะปฏิวัติ เข้ามานำเฉพาะ ร.ต. เหรียญไปหาท่าน ณ ห้องที่ทำการของท่าน ซึ่งมีแต่ท่านนั่งอยู่คนเดียว แล้วนายทหารคนสนิทก็กลับออกไปอยู่นอกห้อง เมื่อ ร.ต. เหรียญทำความเคารพท่านแล้ว ท่านก็บอกให้นั่งเก้าอี้ตรงหน้าท่าน แล้วท่านก็เริ่มพูดด้วยถ้อยคำช้า ๆ ตามนิสัยของท่านว่า “เดี๋ยวนี้ ขุนทวยหาญฯ พี่ชายของเธอถูกจับส่งไปขังไว้ในคุกแล้ว เรื่องนี้เธอก็ร่วมกับพี่ชายเหมือนช้างเท้าหลัง ฉันเห็นว่าเธอยังเป็นเด็กนัก คราวลูกหลานของฉัน (เวลานั้น ร.ต. เหรียญ มีอายุยังไม่ครบ ๒๐ ปี) ฉันเชื่อว่าเธอยังไม่มีหัวคิดในทางนี้ จึงรู้สึกสงสาร ไม่อยากให้เธอเป็นปลาติดหลังแหไปกับเขาด้วย ถ้าเธอได้รับสารภาพเสียตามสัจจริง พอเป็นหนทางให้ฉันยกประโยชน์ให้แก่เธอได้แล้ว ฉันขอยืนยันโดยเกียรติยศของฉันว่า ฉันจะปล่อยเธอกลับบ้านในคืนนี้ เพื่อจะได้กลับไปให้บิดามารดาเห็นหน้า เป็นการช่วยบรรเทาทุกข์ไปได้บ้าง” คำพูดของท่านตอนนี้ทำให้ ร.ต. เหรียญ ซาบซึ้งในความเมตตากรุณาของท่านเสียวซ่านไปตลอดหัวใจ รู้สึกว่าท่านพูดออกมาจากดวงใจของท่าน และก็เป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่า ท่านเป็นขุนนาง “ตงฉิน” เป็นผู้เคร่งครัดอยู่ในศีลในธรรม มีวาจาสัจอยู่เสมอ แต่ ร.ต. เหรียญ ก็ได้ปลงใจไว้แต่เมื่อย่างเข้ากระทรวงกลาโหมว่า เขาเป็นคนปราศจากชีวิตแล้ว จะกลับสัตย์ปฏิญาณเพื่อประโยชน์อันใด เมื่อเขาได้ฟังวาจาของท่านอันแสดงถึงความเมตตากรุณาอย่างน่าเคารพเช่นนี้ หัวใจของเขาก็เหมือนถูกอัดด้วยก๊อบปี้ ราวกับจะระเบิดออก

เขาจึงตอบท่านว่า “เป็นพระคุณอันสูงสุดเสมอบิดาบังเกิดเกล้า แต่เกล้าฯ ไม่บังอาจให้การอย่างใด ๆ ในเรื่องนี้ได้ทั้งสิ้น เมื่อชตากรรมของเกล้าฯ จะต้องเป็นไปอย่างใดก็ขอให้เป็นไปตามกรรมลิขิตแห่งชีวิตของเกล้าฯ แต่ผู้เดียวเถิด เกล้าฯ ขอกราบเท้าด้วยความจริงใจแต่เท่านี้”

เมื่อจบคำตอบของ ร.ต. เหรียญแล้ว ท่านก็นั่งพิจารณาดูหน้า ร.ต. เหรียญ ด้วยดวงตาอันแสดงความปรานี เหมือนพระที่กำลังเปล่งรัศมีแห่งเมตตาธรรมมาสู่กระแสจิตของ ร.ต. เหรียญ ท่านนายพลผู้เฒ่ากับนายร้อยตรีหนุ่มนั่งประชันหน้ากันอยู่เฉพาะสองคนด้วยอาการดุษณีภาพ ความเงียบปกคลุมห้องนั้นเหมือนหนึ่งไม่มีมนุษย์อยู่เลย ได้ยินแต่เสียงแผ่ว ๆ ของพัดลมเพดาน เงียบอยู่เช่นนั้นประมาณครึ่งชั่วโมง

ท่านนายพลจึงเอ่ยขึ้นว่า “ฉันให้เวลาเธอตรึกตรองอีกหนึ่งชั่วโมง นั่งตามสบาย แล้วฉันจะเข้ามาพบกับเธออีก” ท่านพูดแล้วก็ลุกเดินออกจากห้องไป ร.ต. เหรียญ มองตามท่านออกไปก็เห็นทั้งนายทหาร และพลทหารแต่งเครื่องสนามสวมดาบปลายปืน ยืนจุกอยู่ตรงหน้าประตูห้องเป็นหมู่รักษาการณ์ ๑ หมู่ แต่เงียบกริบ ไม่ได้ยินเสียงแม้แต่รองเท้ากระทบพื้น และไม่มีใครล่วงล้ำพ้นประตูเข้าไปในห้องท่านเลย ร.ต. เหรียญรู้สึกว่าเวลานี้หัวใจของเขาได้รับการทรมานอย่างแสนสาหัส ซึ่งไม่มีครั้งใดเสมอเหมือน โดยที่ท่านปลัดกระทรวงเป็นผู้เสนอความเมตตากรุณาให้แก่เขาแล้วโดยสัจจะ แต่เขาก็สังวรต่อสัจจะของเขาสุดที่จะรับความกรุณาของท่านได้ และเมื่อคิดว่าชีวิตของเขาได้สิ้นสุดลงแล้ว แต่เมื่อย่างเข้ากระทรวงกลาโหม ถึงจะไม่ถูกประหารด้วยคมอาวุธโดยปลีกตัวรอดไปได้คนเดียว ก็เปรียบเหมือนเขาเป็นผู้ประหารพร้อมทั้งสัจจะและหัวใจของเขาเอง จะคงเหลือแต่ร่างที่เปลี่ยนจากวิญญาณอันทรงไว้ซึ่งสัจจะเสียแล้ว จิตสำนึกของเขาไม่เคยลืมว่า กระดูกของผู้ทำการเพื่อชาติที่ถูกประหารด้วยน้ำมือมนุษย์ด้วยกันนั้น ถ้าจะประมาณกันตามประวัติศาสตร์แล้ว ก็มีจำนวนมากกว่ากระดูกของสัตว์ร้าย ซึ่งทับถมอยู่บนพื้นพสุธาเดียวกัน ใจของเขาจึงคงยึดมั่นว่า เราเลือกเอาทางตายเสียแต่ในครั้งนี้เพียงครั้งเดียว ดีกว่าที่จะต้องตายด้วยการทรมานใจหลายครั้งอย่างคนขลาด เมื่อปลงตกเช่นนี้แล้ว จิตของเราก็สงบเยือกเย็นเป็นสมาธิ ไม่มีวิตกกังวลต่อเหตุการณ์ใด ๆ ทั้งสิ้น

ท่านเจ้าคุณบดินทร์ ฯ หายออกไปเป็นเวลาประมาณกว่าชั่วโมง ซึ่งเข้าใจว่าท่านคงจะไปไต่สวนคนอื่น ๆ อีกต่อไป แล้วท่านก็กลับเข้ามาอีก และก็ใช้ถ้อยคำปลอบโยน ร.ต. เหรียญ เป็นใจความตามที่ท่านได้พูดแล้วแต่ตอนแรก ท่านให้เขาเลือกตกลงใจเอาสองทาง คือ รับสารภาพ หรือ ปฏิเสธ ร.ต. เหรียญ ก็ไม่สามารถจะเลือกได้ทั้งสองทาง เพราะเขาได้เลือกเอาทางสัตย์ปฏิญาณอย่างแน่วแน่เสียแล้ว และก็ไม่ปรารถนาจะกล่าวคำมุสาแก่ท่าน ซึ่งจะเหมือนกับคนไม่มีสำนึกถึงความกรุณาปรานีของผู้ใด และจะเป็นการไม่เคารพต่อเกียรติและศักดิ์ศรีของตนเองด้วย จึงได้แต่ยืนคำไว้ตามเดิม ท่านก็ให้เวลาเขาตรึกตรองอีกต่อไป จนกว่าท่านจะกลับเข้ามาพบกับเขาอีก

เมื่อท่านออกไปแล้ว เขาก็สำรวมจิตใจให้เป็นสมาธิ สะกดอารมณ์ฟุ้งซ่านให้เข้าอยู่ในจุดแห่งความสงบต่อไป เขารู้สึกตัวตื่นจากภวังค์ต่อเมื่อมือของท่านนายพลผู้เฒ่ามาแตะอยู่บนบ่าของเขา เมื่อเขาลืมตาขึ้นแล้วท่านก็พูดอย่างช้าๆ และชัดเจนว่า “ฉันให้เวลาเธอมากพอสมควรแล้ว เรื่องราวของพี่ชายเธอและพรรคพวกซึ่งมีหลักฐานหนักแน่น ตลอดจนบัญชีรายชื่อซึ่งมีชื่อเธออยู่ในนั้นด้วย ฉันก็ได้รับไว้อย่างพร้อมเพรียงแล้ว การที่ฉันให้โอกาสแก่เธอก็เพื่อให้เธอรับประโยชน์แต่ฝ่ายเดียว ฉะนั้นเธอควรรีบรับเอาประโยชน์ โดยความกรุณาของฉันเสียแต่บัดนี้ ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันจะให้ประโยชน์แก่เธอได้”

หัวใจของ ร.ต. เหรียญรู้สึกตื้นตันเหมือนจะระเบิด คำพูดของท่านทำลายสมาธิของเขาได้เหมือนถูกไฟฟ้าจี้ ถ้ามีปืน เขาจะคุกเข่าลงแทบเท้าของท่าน แล้วระเบิดขมองของเขาเองแทนคำตอบ เขาพูดอะไรไม่ออก มีแต่น้ำตาคลอ สุดท้ายก็แข็งใจตอบท่านว่า “เกล้าฯ ถือว่าได้รับความเมตตากรุณาจากใต้เท้าอย่างสูงสุดแล้ว แต่ชะตากรรมของเกล้าฯ ได้ขีดเส้นตายเสียแล้ว เกล้าฯ จะขอรับกรรมไปตามกรรมลิขิตของเกล้าฯ และขอน้อมจิตอันมั่นด้วยกตัญญูกตเวทีกราบเท้าไว้ในโอกาสสุดท้ายนี้ด้วย”

ท่านเจ้าคุณเบือนหน้า ไม่ให้ตรงกับหน้า ร.ต. เหรียญ แล้วพูดด้วยเสียงอันแผ่วเบาและสั่นเครือ แสดงสัญญลักษณ์แห่งมุทิตาจิตว่า “ฉันก็หมดหนทางจริง ๆ” แล้วก็เดินออกจากห้องไป

ในมิช้า ก็มี ร.อ.เล็ก ผู้บังคับกองเรือนจำทหาร พร้อมด้วยทหารสวมดาบปลายปืน ๒ คน เดินตรงเข้าไปหา ร.ต. เหรียญ พร้อมกับกล่าวคำขอโทษตามมรรยาท แล้วก็เอากุญแจมือสวมข้อมือของเขาทั้ง ๒ ข้าง คุมลงจากที่ทำการบนกระทรวง ตรงไปเรียนจำทหาร ซึ่งอยู่ด้านหลังกระทรวงนั้นเอง เขาอยู่ในเรือนจำทหารไม่กี่ชั่วโมงก็สว่าง ร.อ. เล็กก็เข้าไปบอกว่า เสด็จแม่ทัพรับสั่งให้หา ทันใดนั้นทหารผู้คุมรูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาเหมือนยักษ์ ก็เอากุญแจมือสวมข้อมือ ร.ต. เหรียญ ติดกันทั้งสองข้างแล้วจูงสายโซ่พาออกจากห้องขัง ให้เดินคู่กับเขา พอจะเลี้ยวออกจากประตูเรือนจำ ร.ต. เหรียญหันจะเลี้ยวผิดทางเพราะจำทางไม่ได้ ทหารผู้คุมก็กระชากโซ่ที่ล่ามข้อมือจนเขาหันกลับไปกระแทกกับข้อศอกของผู้คุม พร้อมกับร้องตวาดแกมคำรามว่า “จะไปไหน!” ทันใดนั้น ก็มีเสียงแหลมเป็นเสียงผู้หญิงร้องตวาดซ้อนออกมาด้วยเสียงอันดังว่า “อะไรกัน อะไรกันนี่! เขายังเป็นนายทหารอยู่นะ! อย่าทำให้มันเหลือเกินไปนักซี!” ร.อ. เหรียญจึงนึกว่า ภายในคุกทหารก็ยังมีสุภาพสตรีได้แลเห็นการกระทำอันหยาบช้าสามานของอมนุษย์ด้วยคนหนึ่ง สุภาพสตรีผู้นี้ เขาทราบภายหลังว่า เธอเป็นภรรยา ร.อ. เล็ก ผู้บังคับกองเรือนจำนั่นเอง เธอตั้งใจมาคอยดูนายทหารนักปฏิวัติที่ถูกจับโดยตรง

เมื่อพ้นประตูเรือนจำ ก็เห็นรถยนต์ส่วนพระองค์ของเสด็จท่านแม่ทัพมาจอดรอรับ ร.ต. เหรียญอย่างสง่าผ่าเผย พันตรีหลวงพิทย์ยุทธ์บรรยง (หม่อมหลวงชวย ฉัตรกุล ขณะนี้เป็น พลโท พระยาสีหราชฤทธิไกร) เป็นผู้ลงจากรถมาต้อนรับให้ ร.ต. เหรียญขึ้นนั่งรถคู่กับตัวท่าน ส่วนผู้คุมหน้ายักษ์นั่งคู่กับคนขับรถ รถแล่นออกทางด้านหน้ากระทรวง จนถึงช่องทางที่จะลอดใต้สะพานเดินชั้นบน คนขับก็ชะลอรถแล่นช้า ๆ ร.ต. เหรียญมองขึ้นไปบนสะพานก็แลเห็นเสด็จแม่ทัพกำลังยืนโบกพระหัตถ์ให้รถผ่านไป พร้อมกับทรงตะโกนว่า “ส่งคุกใหม่” (คำว่า ‘คุกใหม่’ นี้คือ กองมหันตโทษนั้นเอง เพราะเป็นคุกที่สร้างขึ้นใหม่) คนรถก็เร่งเครื่องขับออกจากกระทรวงกลาโหมตามพระบัญชา

ในระหว่างทาง หลวงพิทย์ยุทธ์ ฯ ชอบชำเลืองตาพิศดูหน้า ร.ต. เหรียญ ด้วยสีหน้าอันเศร้าสลด แต่มิได้พูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว พอถึงคุกใหม่ หลวงสมัคใจราษฎร์ (โหม่ง บุนนาก ต่อมาเป็น พ.ต.อ. พระยาพัศดีกลาง) ซึ่งเพิ่งย้ายจากกรมโปลิศมาเป็นเจ้ากรมกองมหันตโทษ ก็เข้าต้อนรับอย่างคึกคักแบบโปลิศจับขะโมยได้ (สมัยนั้น ไทยเราจัดระเบียบโปลิศแบบอังกฤษ เพิ่งจะเปลี่ยนเป็นตำรวจมียศนายร้อยนายพันและนายพลเมื่อสมัย พลโท พระองค์เจ้าคำรบเป็นอธิบดีตำรวจ) ส่วนหลวงพิทย์ยุทธ์ฯนั้น ไม่ได้ยินเสียงออกจากริมฝีปากเลย ครั้นหลวงสมัคฯ ทำใบรับมอบตัวให้แล้ว ท่านก็ถือหนังสือกลับ

ต่อจากนี้ทั้งเจ้ากรมคุกและผู้คุมน้อยใหญ่ ก็คุม ร.ต. เหรียญ เข้าประตูคุกไปอีก ๒ ชั้น โดยมีผู้คุมชั้นนายตรวจจับข้อมือจูงไป (ไม่มีกุญแจมือสวม เพราะผู้คุมทหารถอดเอาไปแล้ว) พอพ้นประตูชั้นที่ ๓ เจ้ากรมคุกก็ร้องบอกคนจูงว่า “ปล่อยได้แล้ว ในนี้มีแต่ลูกปืนทั้งนั้น จะหนีไปไหน” ต่อไปอีกไม่ไกลก็ถึงที่ตีตรวน เมื่อหัวหน้าแผนกเครื่องพันธนาการ จัดการตีตรวนและพวงคอให้เขาโดยเรียบร้อยแล้ว ผู้คุมก็นำเข้าไปขังไว้ในห้องขังใต้ถุนตึกที่เรียกว่า “คลังใต้” อยู่ติดกับที่ตีตรวน ห้องนั้นมีขนาดประมาณ ๓-๕ เมตร พื้นเป็นปูนซีเม็นต์ กวาดไว้เตียนโล่ง ไม่มีอะไรเหลือติดค้างอยู่สักเท่าก้านไม้ขีดไฟ เขานั่งเมื่อย ก็ทอดตัวลงนอนกับพื้นปูนซีเม็นต์ ใช้แขนแทนหมอนหนุนศีร์ษะ สักครู่หนึ่งได้ยินเสียงดังผลัวะ! ที่ช่องลมใต้เพดาน อันประกอบด้วยตาตะรางเหล็กอย่างมั่นคง และมีของสิ่งหนึ่งตกลงมาข้างตัวเขา ขนาดเท่าหัวแม่มือ ห่อด้วยเศษกระดาษหนังสือพิมพ์ แก้ออกดู เห็นมียาเส้นชนิดยาตั้งกับก้านไม้ขีดไฟ เขาก็เข้าใจว่า มนุษย์ผู้มีเมตตาจิตคนหนึ่งกรุณาแก่เขา และก็คงจะไม่สามารถช่วยอะไรได้มากกว่านี้ นอกจากสมบัติอันเล็กน้อยที่มีติดตัวเขาอยู่ แต่ ร.ต. เหรียญนึกว่า เขาคงลืมใส่ใบจากหรือใบตองแห้งมาให้มวน ต่อมาจึงทราบว่า ชาวคุกเขาไม่ต้องง้อใบจากหรือใบตองแห้ง ไม่ว่าจะเป็นเศษกระดาษชนิดไหน เขาใช้มวนยาสูบได้ทั้งนั้น ร.ต. เหรียญรีบม้วนห่อนั้นให้เล็ก ๆ แล้วเหน็บไว้กับขอบกางเกงผ้าดิบขาสั้นแค่เข่าที่เขาส่งให้ผลัดเมื่อเวลาตีตรวน เพราะกลัวว่าถ้าผู้คุมมาเห็นเข้า ก็จะไปควานหาตัวผู้เมตตามาลงโทษ แล้วก็นั่งเงี่ยหูฟังเสียงตรวน โดยคิดว่าทางกลาโหมคงจะส่งเพื่อน ๆ นักปฏิวัติมารวมกันอีกเป็นจำนวนมาก

เฉพาะห้องนั้นแต่ห้องเดียวก็พอจะต้อนรับพวกพ้องได้อีกหลายสิบคน ร.ต. เหรียญนึกภูมิใจว่าเขาคงจะได้ตายพร้อมกันเหมือนดอกประดู่เมื่อยามโรย แต่แล้วก็ไม่มีวี่แววอะไรมากระทบหูอีกเลย เงียบอยู่เช่นนี้จนตกเวลาจวนเย็น ได้ยินเสียงไขกุญแจประตูห้องขัง พอประตูแง้มก็มีมือสองมือเสือกกะละมังใส่ข้าวเข้ามาในห้องหนึ่งกะละมัง น้ำเย็นหนึ่งกระป๋องลิ้นจี่ แล้วประตูก็ปิดสนิทตามเดิม เขาลุกขึ้นไปดู เห็นมีข้าวสุกอยู่ในกะละมัง กะละมังนั้นทำด้วยแผ่นเหล็กปั๊มยกขอบไม่เคลือบสี บนข้าวสุกมีชามกะลาขนาดเล็กซ้อนอยู่ใบหนึ่ง ใส่ผักบุ้งต้มทั้งรากทั้งโคนสองสามต้นม้วนเป็นก้อน ก้นชามมีน้ำปลาร้าใส ๆ ใส่รวมมากับผักบุ้ง เขามองดูข้าวแล้วนึกว่า คนส่งอาหารยังอุตส่าห์คลุกน้ำแกงมาให้ด้วย คงจะคิดว่าเขากินปลาร้าไม่เป็น ต่อเมื่อ ร.ต. เหรียญหยิบมาส่องดูตรงช่องแสงสว่าง จึงรู้ว่าไม่มีแกงอะไรสักนิดเดียว ที่แท้สีของข้าวสุกมันแดงเหมือนคลุกน้ำแกงจริงๆ เลยหยิบใส่ปากลองเคี้ยวดู แต่ผักบุ้งปลาร้าไม่กล้าลอง เพราะไม่มีทั้งกระโถน หรือสุนัขที่จะช่วยเหลือเขาได้

การที่เราผู้เขียน พรรณนามายืดยาวเช่นนี้ เพื่อแสดงออกซึ่งความดีและความเลวของบุคคลบางจำพวกที่โดนเข้ากับนักปฏิวัติ ตลอดจนภาวะของคุกไทย (คือคุกที่ขังนักโทษไทย) ซึ่งนักปฏิวัติได้ย่างกรายเข้าไป

ต่อไปนี้ จะได้ทราบภาวะของคุกต่างประเทศว่าแตกต่างกันกับคุกไทยอย่างไรบ้าง พอตกเวลาจวนค่ำมีผู้คุมมาไขกุญแจประตูห้องขังเปิดถ่างออกเต็มบาน ผู้คุมคนนี้เป็นชั้นนายตรวจ เป็นตำแหน่งสูงกว่าชั้นผู้คุมสามัญ หน้าตามีแววว่ายิ้มเป็น ไม่หน้ายักษ์เหมือนผู้คุมทหาร เขาบอกว่า มีคำสั่งให้ย้ายไปอยู่คุกต่างประเทศ ที่นั่นอากาศดี ห้องก็โปร่งสบาย ไม่มืดทึบเหมือนอย่างนี้ แล้ว ร.ต. เหรียญ ก็เดินลากตรวนเสียงโฉ่งฉ่าง! โฉ่งฉ่าง! ตามหลังเขาไป ห่อยาของขวัญชิ้นสุดท้ายของเพื่อนยากก็เอาเหน็บพุงไปเป็นที่ระลึกด้วย ส่วนข้างหลังจะมีผู้คุมถือกระบองกำกับไปสักกี่คน เขาไม่สนใจที่จะรู้ และไม่เหลียวไปดูเลย โดยคิดเสียว่า เราอยู่ในกำแพงแก้วล้อมรอบเช่นนี้แล้ว ถึงไม่ควบคุมก็ไม่คิดจะไถลไปชมนกชมไม้หากระบองที่ไหนอีก เวลานี้ไม่เห็นมีนักโทษตามหนทางที่ผ่านไปสักคนเดียว เพราะเขาต้อนขึ้นคุกหมดแล้ว

ร.ตเหรียญ เดินลากตรวนตามนายตรวจผู้คุมไป จวนถึงตึกด้านเหนือซึ่งเป็นคุกใหญ่ ๓ ชั้น รู้สึกแสบข้อเท้าจนน้ำตาไหล เพราะตรวนที่ใส่ เขาเอามาจากกองโซ่ตรวนที่กองผึ่งแดดตากฝนอยู่กับพื้นดินนับตั้งปี ๆ สนิมชุมจึงกัดกิน เหล็กวงแหวนคมขรุขระเหมือนหนังกระเบน (เขาว่าถ้าใครเสียค่าตีตรวนให้หัวหน้าตีตรวน ก็จะได้ตรวนที่ถอดใหม่ ๆ จากคนที่พ้นโทษไปโดยเจ้าของตรวนขัดไว้เกลี้ยงเกลาราวกับกำไลหยก ถ้าใครไม่ยอมจิ้มก้อง บางทีพ่อแกล้งตีตรวนจนตาตุ่มแตกก็มี) ร.ต. เหรียญจึงก้มลงหยิบสายโซ่ขึ้นมาถือไว้ในมือ และดึงให้วงแหวนตรวนรูดขึ้นพ้นข้อเท้า ก็แลเห็นหนังข้อเท้ากับโลหิตเกาะติดอยู่กับวงแหวนเกรอะกรัง ตอนนี้เขาจึงต้องเดินหงุบๆ หลังโกงเป็นตาแก่ นายตรวจผู้คุมเห็นเช่นนั้นจึงบอกให้เขาหยุด แล้วร้องบอกผู้คุมที่ถือกระบองตามมาข้างหลังให้หาเชือกมาหนึ่งเส้น พอขาดคำ ก็มีผ้าขาวม้าเก่า ๆ ปลิวลงมาจากเบื้องบนหนึ่งผืน แล้วตกลงตรงหน้า ร.ต. เหรียญ เขาจึงแหงนหน้าขึ้นไปดู ก็รู้ว่าคนที่อยู่ภายในหน้าต่างคุกชั้นที่ ๓ เป็นผู้โยนมาให้ คุกทั้งสามชั้นนี้ ดูใหญ่โตสูงทะมึน มีหน้าต่างเล็ก ๆ ลูกกรงเหล็กโตๆ ไม่มีความสวยงาม แต่มีความสง่าในลักษณะโหดเหี้ยมอย่างน่าสะพึงกลัว ประกอบด้วยมนุษย์ที่อยู่ในตึกนั้น ก็ล้วนเป็นอาชญากรทั้งสิ้น แต่ถึงกระนั้น ก็ยังมีความกรุณาปรานีหลั่งไหลลงมาจากตึกทมิฬนั้นได้

นายตรวจตรงเข้าหยิบผ้าขาวม้า เอาชายข้างหนึ่งผูกกลางสายโซ่ ที่ขา ร.ต. เหรียญ รูดวงแหวนตรวนให้ขึ้นกระชับอยู่กับน่อง แล้วส่งผ้าขาวม้าอีกข้างหนึ่งให้ ร.ต. เหรียญถือและสอนว่า ต้องดึงให้มันกระชับอยู่กับน่องไว้เสมอ ถ้าปล่อยวงแหวนลงไปฟัดกับข้อเท้า มันก็กัดข้อเท้าป่นเลย นับว่า ร.ต. เหรียญ ได้รับความกรุณาปรานีจากเพื่อนนักโทษเป็นครั้งที่ ๒ นับแต่ได้ย่างเท้าเข้ามาในดินแดนทมิฬ อันเป็นถิ่นประเทศที่ชาวทุคตะทั้งหลายต้องทนอยู่ นายตรวจเดินนำหน้าพาไปอีกสักครู่หนึ่ง ก็เข้าเขตคุกต่างประเทศ

คุกนี้ เป็นตึกคอนกรีตเสริมเหล็กสองชั้น แบบคุกในสหรัฐอเมริกา มีระเบียงลูกกรงเหล็กสามด้าน ส่วนกลางมีห้องขังหันหลังชนกันเป็นสองแถว ระเบียงเป็นที่สำหรับยามผู้คุมเดินตรวจได้ตลอดทุกห้อง เมื่อส่งผู้คุมเข้าไปประจำเป็นยามแล้ว ประตูระเบียงก็จะต้องลั่นกุญแจขังยามไว้ในชั้นระเบียงอีกตอนหนึ่ง เมื่อจะผลัดเปลี่ยนยาม เจ้าหน้าที่ชั้นพะทำมะรง จะต้องมาเป็นผู้ไขกุญแจระเบียง จึงจะเข้าออกได้ เมื่อเขาคุม ร.ต. เหรียญ เดินผ่านระเบียงชั้นบน ก็เห็นมีมือขาว ๆ ยื่นออกมาจากช่องลูกกรงห้องขังห้องหนึ่ง พร้อมกับเสียงร้องเรียก-เหรียญ-เหรียญ! ทันใดนั้นพวกผู้คุมที่ถือกระบอง ก็ตรูกันไปยืนบังหน้าประตูห้องนั้นเสียจนมิด แต่ ร.ต. เหรียญ จำได้ว่าเป็นมือและเสียงพี่ชายของเขา จึงรู้ว่าพี่ชายของเขายังไม่ตาย แล้วพวกผู้คุมก็ผลักเขาเข้าห้องขังอีกห้องหนึ่งซึ่งอยู่ห่างกับห้องพี่ชายหลายห้อง เมื่อใส่กุญแจห้องขังเรียบร้อยแล้ว พวกผู้คุมที่คุมมาส่งก็พากันกลับ เหลือแต่ผู้คุมยามเดินไปเดินมาตลอดเวลา

อยู่ในห้องขังซึ่งอยู่ติดกับห้อง ร.ต. เหรียญ มีคนต้องขังอยู่ในนั้นคนหนึ่ง ได้ยินเสียงลากตรวนขนาดใหญ่ดังโกรกกราก! โกรกกราก! อยู่ตลอดเวลา พอผู้คุมเดินออกไปห่าง เขาก็ร้องถาม ร.ต. เหรียญทางลูกกรงประตูว่า “นาย - นาย ตะไร - ตะไร ?” ซึ่งรู้ได้ว่าเป็นเสียงแขก แต่ไม่รู้ว่าเขาถามว่ากระไร เขาได้พยายามถามเมื่อผู้คุมเดินออกไปห่าง ด้วยคำพูดซ้ำๆ กันอย่างนั้นอยู่เสมอ จน ร.ต. เหรียญ เดาความหมายของเขาออก จึงตอบเขาว่า “เท่าไรก็ยังไม่รู้” แล้วก็ย้อนถามเขาว่า “บังล่ะเท่าไร” เขาตอบว่า “จั๋น ปราฮ่าน” ร.ต. เหรียญ ก็รู้ตัวว่า เขาถูกเข้าคิวรอการประหารอยู่แล้ว (แขกคนนี้ ชื่อ อัคมาสคาล เป็นแขกปาทาน ถูกประหารชีวิตที่วัดภาษี อำเภอบางกะปิ ในเวลาต่อมาราว ๕-๖ เดือน)

รุ่งขึ้นเช้า มีแขกนายผู้คุมใหญ่ ชื่อ อับบราแฮม มาไขกุญแจประตูห้องขัง แล้วก็ร้องกะโปง-กะโปง! ร.ต. เหรียญ ฟังไม่รู้เรื่องก็นั่งเฉยเสีย เขาจึงให้แขกนักโทษที่ตามมา เข้าไปยกกระป๋องใส่น้ำรับประทาน กับกระป๋องส้วมออกไป แล้วก็มีผู้คุมแบกถาดอาหารใบใหญ่ซึ่งใส่รวมกันมาเต็มถาด เที่ยวแจกเฉพาะพวกเราที่ถูกขังอยู่ห่าง ๆ กัน คนที่มีหน้าที่หยิบแจก ก็หยิบข้าวออกมาหนึ่งจาน เมล็ดขาวผ่องใส่พูนจานขนาดใหญ่ กับแกงกะหรี่หนึ่งชาม น้ำแกงเหลืองจ๋อย เห็นหมูชิ้นโต ๆ ลอยอยู่ข้างหน้า ยังมีผัดกะหล่ำปลีกับหมูอีกจานหนึ่ง เมื่อแขกผู้คุมใหญ่นำผู้คุมไปแจกอาหารทั่วกันแล้ว ก็มาเกาะลูกกรงห้อง ร.ต. เหรียญ ยืนดูเขารับประทานอาหาร แขกผู้นี้ถึงจะไม่มีใครบอกว่าเขาเป็นผู้คุมใหญ่ ก็เก็งไม่ผิด เพราะลักษณะท่าทางของเขาราวกับท้าวจ้าวลงกา รูปร่างใหญ่โต เสียงดังเหมือนฟ้าผ่า ขนคิ้วดกขนาดต้องใช้หวี ขนขึ้นในรูหูแน่นอั้ด และยาวออกมาห้อยเป็นพวงอยู่นอกหูคล้ายหางกะรอก สีก็เป็นสีเดียวกับหางกะรอก เคราโกนเกลี้ยง แต่หนวดยาวดัดโง้ง งามเหมือนเขาควายกะทิง เขาพยายามส่งภาษาไทยกับ ร.ต. เหรียญ อยู่หลายคำ แต่ฟังของเขาไม่ออกสักคำเดียว ร.ต. เหรียญ นึกว่าเขาคงจะรู้ภาษาอังกฤษบ้าง เพราะคุกต่างประเทศมีฝรั่งถูกขังอยู่ด้วย จึงลองสอดภาษาอังกฤษเข้าไปคำหนึ่ง ตอนนี้เขาก็พ่นอังกฤษเป็นน้ำไหลไปเลย

เขารู้ว่าพวกเราเป็นผู้ต้องหาคดีโปลิติก ไม่ใช่หาว่าขะโมย เขาบอกว่าอาหารที่กำลังรับประทานอยู่นั้น เขาให้ภรรยาของเขาทำเอง ทางทหารสั่งให้จ่ายเบี้ยเลี้ยงคนละสองสลึง (๕๐ สต.) ต่อหนึ่งวัน ชั้นแรก ร.ต. เหรียญ สงสัยว่าแขกทำไมจึงใช้หมูทำอาหาร หรือเมียจะเป็นเจ๊ก ต่อเมื่อพูดกันรู้เรื่องว่าเขาเป็นแขกซีลอน (ลังกา) จึงรู้ว่าเสือหมูด้วยกัน ต่อมาจึงทราบนิสัยใจคอของเขาจากพวกนักโทษแขกว่า จ้าวลงกาคนนี้ ถึงจะมีรูปร่างลักษณะน่ากลัวตั้งแต่ศีร์ษะตลอดเท้า แต่ก็เป็นคนใจดี ไม่เคยทุบตีใคร นักโทษไหว้วานให้ซื้ออะไรก็รับซื้อมาให้ทั้งนั้น ขอแต่ให้จ่ายทรัพย์สดเป็นใช้ได้ แม้พวกนักโทษฝรั่งก็ชอบเขาเหมือนกัน

ขณะที่เขากำลังคุยกับ ร.ต. เหรียญ ราวกับมาจากลังกาด้วยกันนั้น พอได้ยินเสียงกุกกักมาทางหัวระเบียงต้นทางเข้า เขาก็ผละออกวิ่งเสียง ตุ้บ - ตั้บ - ตุ้บ - ตุ้บ ออกไปทางประตูระเบียง ต่อจากนี้ก็ได้ยินเสียงคนพูด เสียงใหญ่ ๆ ช้าๆ เป็นเสียงคนแก่อยู่ทางห้องหมอเหล็ง สักครู่จึงได้ยินเสียงเดินดังกุกกัก-กุกกัก! เข้าไปใกล้ห้อง ร.ต. เหรียญ พอแลเห็นแต่เท้า เหรียญก็จำได้ว่าพระบำบัดสรรพโรค (หมอแฮนด์อาดัมซั่น) เพราะขาของท่านพิการไปข้างหนึ่ง พอท่านมองเห็นก็ร้องถามว่า “นายมีอะไรกินแล้วหรือ? เห็นจะไม่เจ็บไข้เป็นอะไร” ร.ต. เหรียญตอบว่า เพิ่งรับประทานเสร็จเดี๋ยวนี้เอง ไม่มีเจ็บไข้แต่อย่างใด หัวใจก็เป็นปรกติดี ท่านก็กรุณาสั่งว่า ถ้าต้องการอาหารหรือบุหรี่อย่างใดก็ให้บอกหมอ ถ้าหมอยังไม่มาก็บอกผู้คุมใหญ่คนนี้ (ชี้ไปที่อับบราแฮม) ให้เขาไปบอกหมอ เพราะคนอื่น ๆ เอาเข้ามาให้ไม่ได้ ข้อบังคับเขาห้าม แต่หมอเอาเข้ามาให้ได้ เมื่อท่านได้ให้คำปลอบโยนเป็นการปลุกใจให้กล้าหาญและอดทนแล้ว ก็เดินไปเยี่ยมพวกเราคนอื่น ๆ ต่อไป

ในการสอบสวนไต่ส่วนผู้ต้องหาคดีการเมืองประเภทที่ ๑ ซึ่งถูกคุมขังอยู่ในคุกต่างประเทศนั้น ก็ได้กระทำเป็น ๒ ตอน เหมือนผู้ต้องหาประเภทที่ ๒ และที่ ๓ เช่นเดียวกัน ซึ่งเราจะนำไปบรรยายไว้ในภาค ๕ เสียเลยทีเดียว

ในที่นี้ เราจะขอบันทึกข้อความที่น่ารู้ในคุกต่างประเทศ ซึ่งเกี่ยวกับนักปฏิวัติ ๑๐ คนนั้นไว้บ้างพอสมควร เขาทั้ง ๑๐ คนนั้นได้ถูกขังแยกย้ายอยู่ในห้องขังขนาด ๑.๕๐ - ๒.๕๐ เมตร ห้องละคน - ละคน ต่างก็ทำตนเหมือนนักจำศีลภาวนาอยู่ประมาณร่วมเดือน มีชีวิตอยู่ได้ด้วยข้าวสุกกับแกงกะหรี่ของมเหษีเจ้าลงกาเป็นประจำ จนกลิ่นขมิ้นจับเนื้อหนังตลอดศีร์ษะ คุณพระบำบัดฯ ได้หมั่นไปเยี่ยมเยียน ถามถึงความทุกข์สุขและอาการเจ็บไข้ ตลอดจนอาหารการกินอยู่เสมอ ถึงท่านจะเปิดโอกาสรับช่วยเหลือในเรื่องอาหารการกินเป็นพิเศษ พวกเราก็ตอบสนองแต่ว่าหาเดือดร้อนอย่างใดไม่ อาหารจัดมาพอรับประทานได้ ทั้งนี้ก็เพราะพวกเรามิได้สืบพันธุ์มาจากชูชกซึ่งเห็นได้ช่องเป็นไถดะ

นอกจากคุณพระบำบัด ฯ ก็มีท่านเจ้ากรมคุกที่รู้สึกเป็นห่วงใยพวกเรา ราวกับผู้ที่ท่านสุดสวาท ในระหว่างนั้น ท่านจะต้องนอนอยู่ที่บ้านพัก ซึ่งติดกับกำแพงคุกต่างประเทศเป็นประจำ เมื่อเปิดหน้าต่างหลังบ้านออกแล้ว มองข้ามกำแพงคุกจะแลเห็นภายในคุกต่างประเทศได้ถนัด ในเวลากลางคืนแทบทุกคืนท่านจะต้องชะโงกหน้าต่างหลังบ้าน มองเข้าไปในคุกสามชั่วโมงต่อครั้ง แล้วตะโกนเรียกผู้คุมที่เป็นยามระเบียงคุกเดินตรวจห้องขังอยู่นั้น ให้เข้าไปในระยะใกล้กับบ้านท่านพอพูดกันได้ยิน แล้วท่านก็ร้องสั่งให้ไปตรวจผู้ต้องหาคดีการเมืองให้เห็นตัวทุก ๆ คนด้วยสายตาของตนเอง ครั้นผู้คุมหายไปสักครู่หนึ่ง ก็รีบกลับมาร้องตะโกนรายงานท่านว่า “อยู่ครบทุก ๆ คน คร้าบ”

แต่ท่านเจ้ากรมกลับสำทับว่า “เห็นตัวหรือเปล่าน่ะ ? ต้องมองให้เห็นตัวคนด้วยนะ เห็นแต่ผ้าห่มคลุม ๆ อยู่เท่านั้น ใช้ไม่ได้” ฝ่ายผู้คุมที่หัวไวทายาท โต้ตอบนายได้ทันควันว่า “เห็นทั้งตัวเทียวครับ ผมร้องเรียกให้ขานเสียด้วยซ้ำ” เจ้ากรมคุกพอใจ ร้องว่า “เออ มันต้องรอบคอบยังงั้นซี” แต่ความจริงเขาไม่ได้ไปตรวจห้องไหนเลย พอยกเมฆเสร็จแล้วก็กลับไปนั่งหัวร่อกับเพื่อนยามด้วยกันเป็นการขบขัน โดยคิดว่าท่านเจ้ากรมคงจะฝันไปว่าพวกเราล่องหนหายตัวได้ และถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ใครเลยจะยอมให้เขาจับมาตีตรวนเปรี้ยง ๆ ยัดเข้าห้องขังอยู่อย่างนี้

รุ่งขึ้นเช้าวันหนึ่ง เป็นนิมิตดีของพวกเราในคุกต่างประเทศ หลังจากการไต่สวนของกรรมการศาลทหารไปแล้วไม่สู้นานนัก ได้ยินเสียงไขกุญแจระเบียงคุกแต่เช้าผิดปรกติ แล้วก็ได้ยินเสียงพระบำบัด ฯ ตะโกนเรียก “เหล็ง - เหล็ง” เหมือนเมื่อครั้งยังเป็นศิษย์ของท่าน พลางร้องบอกว่า “ไม่เป็นไร - ไม่เป็นไร คนละ ๓ ปี ๕ ปีเท่านั้น จะไปกลัวอะไร เชื่อหมอเถอะไม่ต้องตกใจ หมอเข้าไปในวัง ราชเลขาธิการ (เวลานั้นดูเหมือนจะเป็นเสด็จในกรมหลวงปราจีน) ท่านรับสั่งกับหมอเอง คิดว่าไม่ช้าพระราชโองการก็คงจะตกมาถึง ทำใจเย็นๆ ไว้เถอะ ๓ ปี ๕ ปี มันก็ประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น”

อีกหนึ่งวันต่อมา เห็นจะเป็นด้วยคุณพระมาปล่อยข่าวได้อย่างครื้นเครงนั่นเอง ข่าวชนิดนี้พวกเราให้ชื่อว่า ‘กู๊ดพ้อยต์’ (good point) ทางเรือนจำจึงมีคำสั่งให้ผู้คุมว่าพวกเราออกไปอาบน้ำชำระกายได้ตามสบายทีละคน ณ บริเวณรอบตึกคุกตอนล่าง โดยผลัดเปลี่ยนกันไป และให้เดินออกกำลังกายยืดเส้นยืดสายภายในสนามหญ้าได้พอสมควรแก่เวลา เมื่อผู้คุมไขกุญแจห้องสุดท้ายซึ่งอยู่ห่างจากห้อง ร.ต. เหรียญ มาก ก็ได้ยินเสียงคนเดินลากตรวนดัง ฉ่าง! ฉ่าง! ราวกะคุกจะทลาย ครั้นใกล้เข้ามาก็เห็นเป็น ร.ท. จรูญ ณ บางช้าง เนติบัณฑิต เดินอย่างอกผายไหล่ผึ่ง ปากร้องเพลงทำนองแตรวงนำแถวทหาร เสียงหงิง ๆ ร.ต. เหรียญ จึงร้องถามว่า “เฮ้! ว่ายังไงกันเพื่อน ลื้อมันต้องอยู่ในจำพวก ๕ ปีแน่ๆ”

นักกฎหมายชูกำปั้นหรา ท่าทางคล้ายนะโปเลียนกำลังบัญชาการกลางสนามรบ พร้อมกับร้องประกาศก้องว่า “ไม่มีกฎหมายบทใดในโลกนี้จะลงโทษพวกเราได้” ร.ต. เหรียญ นึกว่าเขาจะเผลอตัว จึงชี้ให้ดูตรวนที่ยังกำลังล่ามขาเขาอยู่ เขาก็ยักคอยกไหล่หงึกหงัก-หงึกหงัก พร้อมกับร้องว่า “ดีแล้ว -ดีแล้ว มันมีประโยชน์แก่ฝ่ายเรา ฝ่ายเขาเป็นผู้ให้ประโยชน์แก่ฝ่ายเรา”

ร.ต. เหรียญเล่าว่า จนใจที่เวลานั้นขาของเขาก็ติดตรวนอยู่เหมือนกัน มิฉะนั้นบางทีจะลอดลูกกรงออกไปประท้วงเอาบ้าง เขาเลยนึกเสียว่า หัวกฎหมายมันก็นึกว่ากฎหมายจะคุ้มครองได้ รู้สึกว่าชีวิตจรูญเป็นชีวิตไม่กลัวอะไรเสียเลย เป็นชีวิตที่เกิดครั้งเดียว รู้จักความตายครั้งเดียวจริงๆ หากพวกเราถูกยิงเป้าพร้อมกับจรูญ ก็คงได้เปล่งเสียง ไชโย! ประสานเสียงปืนที่กำลังรัวกระสุนตัดขั้วหัวใจ เพื่อไว้ลายทหารไทยกันสักครั้งเป็นแน่ ส่วนพวกเราอีก ๘ คนก็ได้พบหน้ากันเป็นบางครั้งบางคราว รู้สึกว่ายังมีความเป็นลูกผู้ชายดีทุกคน ฝ่ายผู้คุมก็ผ่อนผันให้หยุดพูดกันได้เพียงเล็กน้อย ตกเวลากลางคืนก็ตะโกนพูดกันในแถวที่พอจะตะโกนพูดกันได้ยิน ทว่าดังเกินไป ผู้คุมก็เข้าไปยกมือไหว้ พร้อมกับขอความกรุณาว่าอย่าให้ดังนัก หากท่านเจ้ากรมได้ยินเข้าเป็นเล่นงานพวกเขาแย่ พวกเราก็รู้สึกขอบใจในอัชฌาสัยของเขาทุกครั้ง ในระหว่างที่พวกเราได้รับความผ่อนผันจากเจ้าพนักงานเรือนจำให้สบายขึ้นดังกล่าว สมควรจะได้พรรณนาถึงความกรุณาปรานี ซึ่งมีผู้ใจบุญฉวยโอกาสช่วยเหลือพวกเราไปพร้อม ๆ กัน กล่าวคือ คุณเนียน บุนนาก (ภริยาท่านเจ้ากรมคุก ต่อมาได้เป็นคุณหญิง ตามบรรดาศักดิ์ของสามี) ท่านเป็นสตรีสูงศักดิ์พร้อมทั้งนิสัยใจคอก็สูง เป็นธิดาเจ้าพระยาศรีวิชัยชนินทร เทศาภิบาลมณฑลนครไชยศรี ในขณะที่ ร.ต. เหรียญ กับ ร.ต. จรูญ ประจำอยู่ราบ ๑๒ ในมณฑลนั้น คุณเนียน มักจะประกอบอาหารเป็นจำพวกของว่าง เช่น ข้าวผัด ไข่ทอดหมูแฮม ผัดมะกะโรนี ขนมปังหน้าตั้ง ฯ ส่งให้เจ้าพนักงานชั้นผู้คุมนำเข้าไปแจกจ่ายพวกปฏิวัติโดยทั่วถึงกันทุกคน

นอกจากนี้ ก็มีผู้ต้องหาชาวอิตาเลียน ซึ่งต้องขังอยู่ในคุกต่างประเทศ ๓ คน คนหนึ่งชื่อ วัลลาแปต้า รูปร่างอ้วนท้วน หนวดโง้ง มีสง่าผ่าเผยเฉลียวฉลาด มีการสมาคมกว้างขวางในหมู่คนไทย เป็นนายช่างแผนกสถาปนิก ต้องหาในคดีฉ้อโกง เขาได้แสดงน้ำใจดีต่อพวกเรามาก เขาว่า เขาเห็นพวกเราถูกจำโซ่ตรวนแล้วเขากลั้นน้ำตาไม่ได้จริงๆ เพราะสมัยนี้ไม่มีนักโทษการเมืองในอารยะประเทศใดถูกจองจำเช่นนั้นเลย” พวกเราขนานนามเขาสั้น ๆ ว่า “พี่ต้า” เขาพูดได้หลายภาษา พูดไทยชัดเจนมาก แต่เขาถูกคุมขังอยู่ไม่นานเท่าใดก็ถูกกงสุลอิตาเลียนในกรุงเทพ ฯ ส่งตัวไปอยู่นอกประเทศ เพื่อเป็นการช่วยเหลือกันมิให้ต้องโทษในเมืองไทย

อีกคนหนึ่ง ชื่อโซแปตี้ พี่ต้าเล่าว่า เขาเป็นฝรั่งคนป่า ไม่รู้หนังสือเลย มีอาชีพทางเลี้ยงสัตว์กับทำไร่ ปลูกกระท่อมอยู่ตามเขา เป็นพันธุ์มนุษย์ที่มีร่างกายสูงใหญ่ กระดูกใหญ่มีกำลังราวกับช้างสาร อุปนิสัยโง่แต่ซื่อ หนวดเครารุงรัง เป็นสีแดงแซมดำ หยามคล้ายขนหางฬา มาอยู่เมืองไทยตั้ง ๑๕ ปี แต่พูดไทยฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง ผิดกับ “พี่ต้า” ลิบ เขาต้องโทษในคดีตั้งซ่องรับของโจรและบ่อนการพนัน ที่ตำบลหนองจอก มินบุรี ตำรวจและประชาชนชักจะเกรงขามอิทธิพลของเขาไม่น้อย เขาไม่สมัครใจที่จะให้กงสุลส่งตัวไปนอกเมืองไทยเพื่อหนีคดี เขายินดีรับโทษในคุกต่างประเทศของไทย เพราะเขามีศรีภริยาเป็นคนไทยชื่อแม่ลี่มีบ้านช่องเป็นหลักฐาน ทั้งเขาไม่มีภูมิรู้อย่างใดแม้แต่หนังสือที่จะไปหาการอาชีพในต่างประเทศได้นอกจากกุลี เขาเอาอกเอาใจคอยรับใช้คณะเราเหมือนกัน

ส่วนคนที่ ๓ ชื่อโรเร็นซีนี รูปร่างผอมซี่โครงขึ้น คล้ายฝรั่งอมควัน พูดไทยไม่ได้เลยสักคำเดียว ภาษาอังกฤษก็ไม่รู้ เขาต้องหาคดีไม่มีหนังสือเดินทางและปราศจากที่พักอันเป็นหลักฐาน นับเป็นจำพวกคนจรจัด กงสุลจึงขอให้กักตัวไว้เพื่อรอการส่งกลับบ้านเมือง เขาเป็นคนร่าเริง สนุกสนาน ชอบร้องเพลงที่พวกเราเรียกว่า “หอน” เขาจะหอนแก้เหงาให้พวกเราทั้งได้ทั้งกลางวันกลางคืน

เรื่องคดีการเมือง ทั่วโลกเขาถือกันว่า มันเป็นเรื่องคดีสมอง ที่แสดงออกมาเพื่อชาติบ้านเมือง และมันจะดีหรือชั่วก็มองดูที่การกระทำเป็นสำคัญ ฉะนั้น ผู้ที่เจริญแล้วทางสมองจึงไม่เหยียดหยามพวกนักการเมือง นักโทษในคุกไทยก็มีพวกมันสมองอยู่เหมือนกันดังเห็นได้จากการที่เขาแสดงความปรานีต่อ ร.ต. เหรียญ ศรีจันทร์มาแล้ว เพียงให้ยาสูบและผ้าขาวม้า

ก็พวกฝรั่งในคุกต่างประเทศเล่า ซึ่งโดยมากมักเจริญทางสมองมาแล้ว เขาจึงมิได้ตั้งรังเกียจ ผู้ต้องหาคดีการเมืองของไทยเลย ยิ่ง ‘พี่ต้า’ ด้วยแล้ว ยิ่งหาช่องทางจะช่วยเหลืออยู่มิได้ขาด เขาได้หาโอกาสช่วยเหลือพวกเราโดยบอกไปยัง “แพเลซโฮเต็ล” ผู้รับส่งอาหารประจำวันให้พวกเขาในเรือนจำ ให้ส่งอาหารเพิ่มขึ้นเป็นอันมาก รวมทั้งขนมปังนมเนยและเครื่องกระป๋องต่าง ๆ ด้วย ขณะนั้น แพเลซ โฮเต็ลนี้ ตั้งอยู่ที่ตึกหัวมุมสี่กั๊กพระยาศรี ตรงหัวโค้งรถราง ชาวรัสเซียชื่อ “ชุนเดร็น” เป็นเจ้าของและผู้จัดการ ชุนเดร็นรู้จักกับพวกเราหลายคน เพราะเคยไปอุดหนุนเขาเนือง ๆ เมื่อยังมีอิสระภาพอยู่ เขาเป็นฝรั่งใจนักเลงคล้ายพี่ต้า ดื่มสุราแทนน้ำ หน้าแดงก่ำทั้งกลางวันกลางคืน เมื่อเขารู้ว่าพี่ต้าสั่งอาหารไปเลี้ยงผู้ต้องหาทางการเมือง ก็เกิดศรัทธาแก่กล้ารีบจัดส่งไปให้อย่างไม่อั้นทุกวัน พี่ต้าก็ยังเดินนโยบาย แอบมีหนังสือร้องเรียนไปยังกงสุลของเขาว่า อาหารที่ทางเรือนจำจัดหาให้นั้น หาเพียงพอแก่การยังชีพไม่ ทำให้น้ำหนักตัวของเขาและพวกพ้องลดลงไปหลายปอนด์ ขอให้ทางกงสุลช่วยเหลือ โดยจัดส่งนมไปให้อาทิตย์ละสองลังต่อหนึ่งคน ทางกงสุลพอได้รับหนังสือก็ไม่ต้องมีการสอบสวนทวนพะยานให้ชักช้า รีบสั่งเสมียนให้ไปบอกโอเรียลเต็ลสะโตร์ ส่งนมสดกระป๋องใหญ่ให้ชาวอิตาเลียนในเรือนจำทั้ง ๓ คน อาทิตย์ละ ๖ ลังเป็นประจำ

พี่ต้าแจกจ่ายอาหารให้พวกเราโดยวิธีใด ? เขาแบ่งอาหารออกเป็นส่วน ๆ จนครบจำนวนพวกเรา แล้วใช้ทหารเอก “โซแปตี้” (ซึ่งต่อมาเราให้ฉายาว่า “ช้างป่า”) ให้บรรจุอาหารในตะกร้าใบใหญ่ นำไปยืนรอจังหวะอยู่หน้าประตูระเบียงคุก พอผู้คุมใหญ่ไขกุญแจประตูระเบียงเพื่อนำอาหารมาให้พวกเรา โซแปตี้ก็รีบแซงหน้าผู้คุมทั้งหลายด้วยกำลังช้างป่า ถ้าใครหาญเข้ากีดกั้นพ่อช้างป่า ก็มีหวังหงายหลังผลึ่งไปตาม ๆ กัน เมื่อพวกผู้คุมถามเขาว่า จะเอาไปไหน เขาก็จ้องดูหน้าคนถาม ทำหนวดสั่นกระดุกกระดิก พลางตอบว่า “เอาไปให้พ่อมึง” ต่อมาพวกผู้คุมทั้งเล็กทั้งใหญ่ ตลอดจนท้าวลงกาก็เลยทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ธุระไม่ใช่ และก็คงจะได้คิดว่า ฝรั่งตาน้ำข้าวยังแผ่เมตตาจิต ไฉนคนไทยด้วยกันจะมาคอยเอาเท้าราน้ำทำไม (เรื่องพฤติการณ์ในคุกต่างประเทศยังน่ารู้อีกในภาค ๖)

ระหว่างนี้ แม้อาหารการกินของพวกเราจะสมบูรณ์ขึ้น เราก็ยังต้องรัดท้องไว้พอควร โดยนึกถึงพวกผู้คุมที่เป็นยามระเบียง ซึ่งเขาเองก็ต้องถูกขังอยู่ในระเบียงตั้งแต่ย่ำค่ำถึงย่ำรุ่ง พูดง่าย ๆ ว่าทั้งผู้คุมและผู้ถูกคุมมันก็แสบท้องครือกัน ฉะนั้น พวกเราจึงจัดแบ่งอาหารไว้ให้เขาในตอนกลางคืนบ้าง ก็ได้ผลานิสงส์เห็นทันตา ผู้คุมแทบทุกคนที่คุมพวกเรา มองเห็นความอารีของพวกเรา ถึงกับแสดงความสมัครใจ ขอรับใช้พวกเราตามความสามารถที่เขาจะพึงกระทำให้ได้ เป็นต้นว่า ประสงค์จะส่งข่าวคราวติดต่อกับผู้ใดภายนอก เขาก็ยินดีทำให้ทั้งสิ้น บางคนถึงกับลั่นวาจาว่า ถ้าเขามีโอกาสที่จะขะโมยลูกกุญแจไขประตูได้ทุก ๆ ชั้น เขาจะไขประตูแล้วชวนพวกเราหนีไปพร้อมกับพวกเขาให้หมด แต่เราไม่ปรารถนาเช่นนั้น เป็นแต่ทำให้เรานึกว่า สัญชาตญาณของมนุษย์ด้วยกันนี้ ย่อมประสานสามัคคีกันได้ไม่ยากนัก เปรียบเสมือนโลหะที่เป็นเนื้อเดียวกัน

ระหว่างที่ผู้คุมกับเราเข้าเกลียวกันได้หรือเชื่องกันขึ้นนี้ ได้มีเหตุการณ์อันเกิดจากการกระทำของพวกเรา ซึ่งอยู่ภายนอกเรือนจำคนหนึ่ง กับผู้ที่อยู่ในเรือนจำอีกคนหนึ่ง อันเป็นการกระทำที่มืดมนโดยพวกเราอีก ๙ คนไม่มีวี่แววรู้เห็นว่าเขาได้กระทำอะไรกันไปแล้ว พรรคพวกรู้ได้ก็ต่อเมื่อได้ฟังคำสารภาพของเขา เมื่อได้มีพระบรมราชโองการให้ลงโทษคณะเราเด็ดขาดไปแล้ว จำเราจะขอกล่าวได้ในระยะเดียวกันนี้เสียเลย

เขาผู้นั้น คือ ร.ต. เจือ ศิลาอาสน์ เป็นนายทหารประจำกรมทหารปืนใหญ่ที่ ๒ เป็นสมาชิกคนหนึ่งในคณะ ร.ศ. ๑๓๐ ได้ถูกกรรมการเรียกตัวไปสอบสวนเช่นเดียวกับสมาชิกคนอื่น ๆ จากกรมที่เขาสังกัด แต่คณะกรรมการเห็นว่า เขามิใช่ตัวสำคัญ เป็นแต่พวกปลายแถวเท่านั้น จึงสั่งให้ปล่อยตัว ไปประจำการอยู่ตามเดิม เพื่อเป็นการยกประโยชน์ให้แก่จำเลย แต่เจือมิได้ใยดีต่อประโยชน์เช่นนั้นเลย เขาคิดว่าจะเป็นประโยชน์อันใดแก่ชีวิตของเขาเพียงชีวิตเดียว ถ้าและเขายังไม่สามารถจะช่วยเพื่อนร่วมชีวิตของเขาที่กำลังถูกคุมขังอยู่ในคุกนั้นให้รอดพ้นได้แล้ว ก็ควรจะตามกันไปลงหลุมให้แผ่นดินกลบหน้าเสียพร้อม ๆ กันดีกว่า

ฉะนั้นเจือจึงปลอมแปลงตัวเหมือนพวกกุลีกวาดถนน ไปเดินวนเวียนป้วนเปี้ยนอยู่แถวรอบ ๆ กำแพงคุก พยายามหาทางช่วยเพื่อนโดยไม่อาลัยต่อชีวิต เยี่ยงเสือแม่ลูกอ่อนพยายามเลาะอยู่รอบๆ จั่น เพื่อช่วยลูกน้อยของมันให้หลุดพ้น ลักษณะของคุกต่างประเทศด้านเหนือนั้นอยู่ติดต่อใกล้เคียงกับวังกรมหมื่นวิวิธวรรณปรีชา ซึ่งหน้าวังหันออกทางด้านถนนมหาชัย ด้านข้างและด้านหลังวังปลูกต้นมะม่วงไว้เป็นดง ขณะนั้นเสด็จในกรมสิ้นพระชนม์แล้ว การกวดขันผู้คนที่จะเข้าออกประตูวังก็ไม่มี ผู้คนเข้าออกกันได้ฟรี ประตูวังเปิดไว้วันยังค่ำไม่มีคนยามเฝ้าแหน เจือจึงถือโอกาสแอบเข้าไปในวัง ใช้วิชาสอดแนมที่ร่ำเรียนไว้ ปีนป่ายขึ้นไปแอบซุ่มอยู่บนยอดมะม่วงที่มีใบดก สอดส่ายสายตากวาดไปตามระเบียงห้องขังในคุกต่างประเทศ บังเอิญเวลานั้นจรูญ หมอกฎหมายกำลังเกาะลูกกรงหน้าห้องขัง ซึ่งอยู่ลึกจากลูกกรงระเบียงเข้าไปประมาณ ๑.๕๐ เมตร เพื่อสูดอากาศที่ผ่านเข้าทางลูกกรง มีแสงสว่างพอมองเห็นกันได้ถนัด ฝ่ายเจือก็ใช้สายตาพญานก ซึ่งโดยปกติเจือมีแววตาแหลมคมอยู่แล้ว แลลอดลูกกรงเหล็กทั้ง ๒ ชั้นเข้าไป ก็จำได้ว่าเป็นจรูญ และเมื่อเห็นว่าปลอดคน ไม่มีใครอยู่ที่ใกล้เคียง เขาก็กระแอมให้เสียง พร้อมทั้งโบกมือเป็นอาณัติสัญญานให้แลเห็น จรูญก็มีแววตาไวพอเห็นก็จำได้ สมองก็เลยไวเท่าสายตา เขาได้รีบส่งสัญญาณธงคู่นัดหมายให้เจือมาหาเขาในเวลาที่ผู้คุมคุมตัวออกอาบน้ำ เพื่อจะได้โยนจดหมายข้ามกำแพงติดต่อกันได้ เพราะตามธรรมดาเมื่อผู้คุมไขกุญแจคุมตัวออกไปอาบน้ำแล้วนั้น ตัวผู้คุมก็มักจะเตร่ไปคุยกันบ้าง ไปหาโรตีนมเนยจากพวกแขกรองท้องบ้าง ถือเสียว่าเสืออยู่ภายในกำแพงคอนกรีตแล้ว จะเล็ดลอดไปได้อย่างไร เจือกับจรูญก็ติดต่อกันได้สะดวก โดยใช้วิธีโยนจดหมายข้ามกำแพงถึงกันสำเร็จ

ถ้าเราจะเอาวิชาโหราศาสตร์มาสันนิษฐาน ก็นับได้ว่าเส้นชีวิตของพวกเราได้โคจรมาบรรจบเข้ากับราศีร้ายร่วมกันทั้ง ๒๓ ชีวิต แม้กฎแห่งกรรมจะอุบัติเฉพาะบุคคลเพียง ๒ คนเท่านั้นก็ดี ประชาชนทั้งประเทศที่เคยต้องพลอยประสบชะตากรรมอันเลวร้ายที่สุด เพราะการกระทำของผู้นำประเทศเพียงไม่กี่คนนั้นย่อมมีได้ฉันใด คณะ ร.ศ. ๑๓๐ ที่ต้องประสบกับคำพิพากษาถึงประหารชีวิตจนได้ฉันนั้น ขอให้อ่านรายละเอียดในภาค ๕ ต่อไป

แต่เพียงความเลวร้ายที่พวก ๑๐ คน ต้องประจญในเรือนจำ เนื่องจากการกระทำของเจือกับจรูญที่หวังเล็งผลเลิศในขณะนั้น ก็พอจะชี้ให้เห็นได้ว่าบรรดาความบรรเทาทุกข์ตลอดจนอาหารการกิน และความอิสระเท่ากำมือที่พวกเราได้รับผ่อนผันจากเจ้าหน้าที่เรือนจำดังกล่าวอยู่ราวสัก ๓ สัปดาห์ ก็พลันวิปลาสไปสิ้น สิ่งที่เข้ามาแทนที่ก็คือมีการเข้มงวดอย่างกวดขัน ไม่ยอมผ่อนปรนให้ลงอาบน้ำ ไม่ยอมให้พบปะกับใคร ไม่ยอมให้ใครส่งเสียอาหารกินเป็นพิเศษ แบบเดียวกับเมื่อเราถูกจับกุมคุมขังใหม่ๆ ยังเกี่ยวโยงไปถึงพวกผู้คุมและคนยามหน้าห้องขังที่เคยคุ้นกับพวกเรา ก็ถูกสับเปลี่ยนใหม่หมดทั้งชุด

ต่อมาก็ได้รับข่าวร้ายจากคุณพระบำบัดฯ ผู้ซึ่งได้นำข่าวดีมาป้อนเราเมื่อหยก ๆ ว่า ท่านได้ทราบแน่ว่าได้มีพระบรมราชโองการให้ส่งคำพิพากษาของคณะปฏิวัติกลับลงไปพิจารณาใหม่อีก พร้อมกับท่านส่ายหน้าสำแดงอาการเป็นทุกข์เป็นร้อนแทนพวกเราอย่างยิ่ง นั่นคือลางร้ายของพวกเรา

ก่อนที่จะกล่าวถึงผู้ต้องหาประเภทที่ ๒ และที่ ๓ ซึ่งต้องคุมขังอยู่ในสถานที่ต่าง ๆ กันนั้น จะขอเล่าเหตุการณ์ในกองปืนกลที่น่ารู้เสียก่อน กล่าวคือในตอนบ่าย ๓ โมง (๑๕ น.) ของวันที่ ๒๗ นั้นเอง ร.ต. สอน วงษ์โต ได้นำแถวทหารปืนกลออกฝึกที่ถนนซังฮี้ (ถนนราชวิถีปัจจุบัน) ตรงหน้ากองปืนกลนั่นเอง มีนายทหารประจำกองปืนกลช่วยฝึกด้วย ขณะที่กำลังฝึกอยู่ ร.ต. วาส วาสนา นายทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ในวังหลวง ได้ขับรถจักรยานสองล้อมาจากสี่แยกถนนซังฮี้ ตรงมายังกองปืนกลอย่างร้อนรน พอรถผ่านหน้าแถวทหาร เขาก็ชะลอรถให้เบาลง แล้วกล่าวขึ้นว่า “ร” แล้วก็รีบขับต่อไปอย่างเร็วจี๋ ไม่พักที่จะฟังเสียงยับยั้งของพวกปืนกลอีกเลย แม้แต่หน้าก็ไม่เหลียวไปดู เร่งจักรยานตรงไปตามที่จะเลี้ยวเข้าถนนไปบางซื่อ เพื่อแจ้งสัญญาณแก่ทหารที่นั่น คือทหารกองพลที่ ๒ บางเหล่า และทหารช่างที่ ๑ รักษาพระองค์ด้วย

ทันทีทันใดนั้น ร.ต. สอน ก็บอกเลิกแถวทหาร พร้อมกับกำชับนายสิบที่เตรียมพร้อมในเรื่องปฏิวัติ ให้นำกระสุนปืนทั้ง ๒ หีบที่อยู่ในคลังออกมาตรวจคัดเลือกเอาแต่ที่ยิงได้แน่ ๆ กับให้กระซิบทหารไว้ให้ทั่วกัน ให้จัดการรับประทานอาหารและแต่งตัวเครื่องพร้อมไว้รอคำสั่ง นายสิบพลทหารทุกคนในกองปืนกลเข้าใจเรื่องราวดี น่าสรรเสริญในความสามัคคี และสมัครใจที่จะไปกับผู้นำของเขาทุกคนทุกเมื่อ

ส่วนนายทหารชั้นประจำกองทั้ง ๕ ก็ตรงไปประชุมลับกันในห้องมุม ซึ่งเป็นห้องพักนายทหาร ปล่อย ร.ท. หลุย ผู้บังคับกองร้อยไว้แต่ผู้เดียวที่ห้องรับแขกหน้ากองร้อย ร.ท. หลุยเดินไปเดินมาในท่าตรึกตรอง ด้วยสีหน้าตึงเครียด ลูกน้องจะสั่งเสียทหารอย่างไร เขาไม่ปริปากเลย

ผู้บังคับหมวดทั้ง ๕ รู้อักษรสัญญาณ “ร” ว่าให้ระวังตัวไว้ นอกนั้นหามีผู้ใดทราบไม่ สัญญาณระวังตัวผิดกับสัญญาณเตรียมพร้อม ซึ่งใช้อักษร “ต” แต่อาจจะเป็นระยะแรกของแผนการซึ่งดำเนินไปทีละขั้นก็ได้ จึงต้องกำชับให้ทหารเตรียมพร้อมเข้าไว้ก่อน ฉวยว่าเสียงปืนใหญ่กระหึ่มขึ้น ก็จะได้ไม่ล่าช้าเกินไป

เพื่อไม่ประมาท นักปฏิวัติ ๕ คนได้ประชุมปรึกษาหารือกันจนเป็นที่ตกลงแล้ว ก็จัดส่งทหารที่ฉลาดหนึ่งนายไปคอยสังเกตการณ์ที่ทางแยกบางซื่อ เผื่อมีกองทหารบางซื่อเคลื่อนกำลังลงมาก็ให้สื่อสารโดยรีบด่วน ทางกองปืนกลจะได้เคลื่อนกำลังออกไปสมทบทันที ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นทหารรับใช้ของ ร.ต. เนตร ที่เคยรู้จักบ้านของนายที่ถนนตีทองดีอยู่แล้ว ให้นำจดหมายไปให้น้องชายและญาติของ ร.ต. เนตร ขอให้ช่วยหาปืนสั้นซึ่งขาดมืออยู่เพียง ๒ กระบอกเท่านั้น กับขอให้สืบสาวราวเรื่องภายในพระนครด้วย ญาติของ ร.ต. เนตรเมื่อได้ทราบข้อความแล้ว ก็รีบจัดการและตรงไปยังกองปืนกลโดยพลัน มีปืนพกเท่าที่หาได้ ๑ กระบอกไปให้ด้วย และได้แจ้งข่าวให้ทราบว่า ทางภายในพระนครนับแต่ราวเที่ยงวันได้เกิดจับกุมนายทหารกันขึ้นหลายแห่ง มีผู้ลือว่า “ทหารกบฏ” และผู้ถูกจับกุมได้แก่ ร.ท. จือ ร.อ. ขุนทวยหาญฯ และ ร.ท. จรูญ กับคนอื่น ๆ อีกหลายคน ผู้ถูกจับได้ถูกส่งไปคุกใหม่หมด แล้วญาติทั้ง ๒ ก็รีบลากลับ

อากาศในวันนั้น หากมีผู้สังเกตจะเห็นว่า ผิดปรกติมากทั้งเบื้องบนและเบื้องล่าง ลมหยุดนิ่งสงัด ท้องฟ้าบอกอาการเศร้าอย่างน่าพิศวง

ภาวะในกรมกองทหารต่าง ๆ ที่เป็นกำลังของคณะปฏิวัติ ต่างมีความเป็นไปคล้ายคลึงกันกับที่เป็นอยู่ในกองปืนกล คือมีการเตรียมพร้อมและคอยสำเหนียกเสียงกระหึ่มของปืนใหญ่ อันจะเป็นที่ชุมพลไปในตัว จึงมิจำเป็นต้องจาระไนให้ละเอียด

ทางกองปืนกล ได้รับโทรศัพท์จากกลาโหม สั่งให้ทหารประจำซองราวเกือบ ๔ โมง (๑๖ น.) ห้ามการออกนอกบริเวณโรงทหารเป็นอันขาด ร.ท. หลุย จึงรีบไปแจ้งแก่ลูกน้องทั้ง ๕ คนให้รับทราบภายในห้องพักนายทหาร ร.ท. หลุยเลยสำแดงความในใจให้ลูกน้องเข้าใจขณะนั้นเอง เขาแสดงว่าเขาคงรู้เรื่องราวของลูกน้องมาเป็นลำดับ แต่ยังไม่แน่ชัดเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ และการที่ลูกน้องไม่ชักชวนเขา เขาก็รู้ เพราะเขาเป็นคนของเจ้า แต่ความจริงเขาเห็นด้วย ค่าที่การเปลี่ยนประเพณีปกครองสำหรับเมืองไทยนั้น มันถึงเวลาสมควรแล้ว อะไร ๆ จะหนีประวัติศาสตร์ไปหาได้ไม่ หากนักปฏิวัติทำการสำเร็จ และยินดีจะใช้เขา เขาก็ยินดีจะรับใช้จนสุดความสามารถ แต่ถ้าหากไม่ยินดีใช้เขา เขาก็จะเข้าโรงปิดฉาก จะมิขอชุบมือเปิบเป็นอันขาด ในที่สุด เขาได้แสดงใจเพชรให้ลูกน้องเห็น โดยกล่าวอย่างหนักแน่นว่า ถ้าลูกน้องมีความจำเป็นจะต้องคุมทหารปืนกลออกทำงาน เราจะไม่ขัดขวางประการใดเลย แต่เพื่อความงดงามด้วยกันทั้งสองฝ่าย เขาขอให้ลูกน้องจับตัวเขามัดไว้กับเสานาฬิกา เพื่อจะได้เป็นการแก้ตัวของเขาบ้าง เจ้านายของเขาจะได้เห็นความจำเป็น ไม่ประนามเขาว่าเป็นคนอกตัญญู นายทหารนักปฏิวัติทั้ง ๕ คน ได้แสดงความเห็นใจและขอบคุณผู้บังคับกองร้อยของเขาทุกคน เขาทั้ง ๕ ได้ยืนยันในความคิดของเขาว่า เขายินดีจะขอร้องให้ช่วยเหลือเมื่อถึงโอกาส โดยที่ ร.ท. หลุยเป็นผู้หนึ่งที่คณะได้เจาะจงตัวไว้แล้ว ทันใดนั้นเองพอ ร.ท. หลุย ออกจากห้องพักไปแล้ว ร.ต. เนตร นายทะเบียนก็ขนเอาหลักฐานการปฏิวัติที่ในเซฟ ออกมาเผาจนไม่มีซากเหลืออยู่เลย เพราะแน่ใจว่าจะต้องถูกเชิญตัวหรือจับกุมโดยไม่ต้องสงสัยอีกแล้ว

วิธีจับกุมผู้ที่เขาคิดว่ามิใช่คนสำคัญ ซึ่งกองปราบปรามนำมาใช้ก็คือ สั่งให้นายทหารไปประชุมที่กลาโหม แล้วก็รวบตัวไว้เลย และส่งตัวไปคุมขังตามประเภทที่จัดไว้ โดยอาศัยหลักฐานที่ได้มา บางคนถูกเชิญตัวมาจากหน้าที่กรรมการสอบไล่นักเรียนนายร้อย เช่น ร.ท. ทองดำ ร.ต. จันทร์ และ ร.ต. โกย ซึ่งกำลังคุมการสอบไล่อยู่ เป็นเหตุให้การสอบไล่ของนักเรียนชงักงันไป ทั้ง ๓ คนนี้ ถูกคุมขังในกลาโหมนั่นเอง

เฉพาะนายทหารกองปืนกลได้ตกอยู่ในความกระวนกระวายใจ ที่จะได้ยินเสียงปืนใหญ่สัญญาณ หรือคำสั่งมาตั้งแต่ตอนบ่าย ครั้นเมื่อทราบว่าหัวหน้าคณะ รองหัวหน้าคณะ และผู้วางแผนการ ได้ถูกจับกุมคุมขังเสียหมดแล้ว ก็หมดหวัง เพราะไม่มีตัวบุคคลจะดำเนินการได้ แม้พวกนายสิบพลทหารจะเร่งเร้าใคร่จะออกทำงานตามที่เตรียมพร้อมไว้แล้วก็ไม่เป็นประโยชน์ ได้แต่ขอให้รอฟังคำสั่งต่อไป - และต่อไปอีกร่ำไปเท่านั้นเอง จนเวลา ๑๙ น. รถยนต์ของ พ.ต. หลวงประจันต์ ฯ ปลัดกองพลที่ ๑ ก็มาจอดลงที่หน้ากองปืนกล ร.ท. หลุย ออกไปต้อนรับ เชิญเข้าห้องรับแขก หลวงประจันต์ฯ ก็สั่งให้เชิญผู้บังคับหมวดทั้ง ๕ คนไปพบแม่ทัพที่กลาโหม ผู้บังคับหมวดทั้ง ๕ ก็ปรึกษากันอยู่ครู่หนึ่ง ร.ต. ปลั่ง ปูรณโชติ ชักจะแข็งข้อ ไม่ยอมไป คิดจะต่อสู้ เริ่มแต่จะทำลายผู้ติดตามเสียก่อน แล้วจะยกกำลังมุ่งตรงไปยังกลาโหมทีเดียว เมื่อมีการใช้อาวุธปืนกันจนมีเสียงดังสนั่นขึ้นแล้ว ก็อาจจะมีกองกำลังหนุนมาช่วยบ้างเป็นแน่ แต่อีก ๔ คนคัดค้านอย่างแรงว่าถ้ากระทำเช่นนั้นจะกลายเป็นกองโจรไป ไม่ใช่นักปฏิวัติ จะมีแต่ผลเสียหายถ่ายเดียว เพราะอย่างไรเสียรัฐบาลก็เป็นเบี้ยบนแล้ว ร.ต. ปลั่ง จึงละความคิดอันฉุนเฉียวลง ยอมออกไปพบหลวงประจันต์ ฯ ทั้ง ๕ คน หลวงประจันต์ ฯ ก็อ้างรับสั่งแม่ทัพให้เชิญไปเฝ้าที่กลาโหม พวกเขาก็กล่าวคำอำลา ร.ท. หลุย ผู้บังคับกองร้อยที่ซื่อสัตย์สุจริตต่อคณะปฏิวัติ กับนายสิบเวร และพลทหารยามหน้ากองร้อยผู้จงรักภักดี แล้วก็ขึ้นรถยนต์ไปกับผู้ติดตามโดยดุษณีภาพ ร.ท. หลุย และทหารเฝ้ามองส่งด้วยสายตาอันไว้อาลัยอยู่เป็นครู่

ขณะที่รถแล่นไปตามทาง นายทหารทั้ง ๕ มิได้ปริปากพูดแต่อย่างใดเลย นึกถึงแต่คำขวัญที่ว่า “ทำแล้วอย่ากลัว - จะชั่วหรือดี” ในขณะที่นั่งเงียบกันอยู่นั้น หลวงประจันต์ฯ ก็ได้ทำลายความเงียบขึ้นก่อน โดยกล่าวออกมาว่า เสด็จแม่ทัพไม่ทรงนึกเลยว่านายทหารปืนกลจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องกบฎ เพราะท่านทรงไว้วางพระทัยมาก แต่ได้มีรายชื่อที่ค้นได้มาปรากฏชัดขึ้น ท่านจึงรีบรับสั่งให้เชิญตัวไปสอบสวน บางทีอาจจะไม่เป็นอะไรก็ได้ ร.ต. ปลั่งเป็นคนปากแข็งโดยนิสัย จึงกล่าวสวนขึ้นว่า ใครจะเขียนชื่อใครซัดทอดกันอย่างไรก็ได้ ตัวเขาเองจะเขียนซัดใคร ๆ สักกี่หน้ากระดาษก็ย่อมทำได้ หลวงประจันต์ฯ ผู้มีอายุมากแล้วได้พลอยคล้อยตามไปด้วย แต่ ร.ต. เนตร ผู้เดียวที่นึกรู้ว่ารายชื่อที่ว่านั้นคงจะเป็นฉบับเดียวกันกับที่เขารวบรวมส่งไว้ที่หมอเหล็ง คือรายชื่อผู้ที่ส่งเงินช่วยเหลือคณะ แต่ไม่นึกว่าหมอเหล็งจะยังมิได้ทำลายมัน จนกลับมาเป็นหอกทิ่มแทงพรรคพวกและตนเอง

พอรถแล่นถึง “ป้อมเผด็จดัสกร” (ป้อมเสาธงเก่า ตรงมุมพระบรมมหาราชวัง ตรงข้ามศาลเจ้าพ่อหลักเมือง) ก็มองเห็นแสงไฟฟ้าสว่างไสวในกระทรวงกลาโหม มีผู้คนจับกลุ่มคอยฟังเหตุการณ์อยู่ในบริเวณนั้นเป็นอันมาก บางกลุ่มพูดซุบซิบกันเมื่อเห็นรถคันที่พานายทหารปืนกลจะเลี้ยวเข้ากลาโหม

ครั้นรถจอดลงที่บรรไดกรมพระธรรมนูญ หลวงประจันต์ ฯ ก็พาพวกปฏิวัติขึ้นไปยังห้องประชุมใหญ่ของเสนาบดี (รัฐมนตรี) ซึ่งมีนายทหารคับคั่ง ทหารยามยืนถือปืนสวมดาบเป็นระยะ ๆ บ้างก็เดินนำนายทหารไปยังที่ต่าง ๆ กันขวักไขว่ บ้างก็เดินเข้าเดินออกห้องประชุมด้วยกิริยาอาการผิดปรกติ ส่วนนายทหารปืนกลเมื่อผ่านห้องประชุมแล้วก็เข้าไปยังห้องขนาดเล็ก ซึ่งจัดเป็นห้องพักผู้ต้องหา และถูกสั่งให้นั่งรออยู่ที่นั่น ขณะนั้นเขาก็ได้แว่วเสียงซักถามกันภายในห้องข้าง ๆ แต่ไม่สามารถจะสำเหนียกได้ชัดเจน ทูลกระหม่อมจักรพงษ์ ประธานการปราบ กับนายทหารชั้นผู้ใหญ่อยู่ในห้องนั้นด้วย

สักครู่หนึ่ง ในกรมกำแพงเพชรก็เสด็จเข้ามาในห้องพัก ตรงเข้าไปยังนายทหารปืนกล รับสั่งขึ้นว่า “พวกแกก็เอากับเขาเหมือนกันหรือ ฉันไม่นึกเลย” ขณะที่นายทหารทั้ง ๕ ยืนขึ้นถวายความเคารพ

ร.ต. ปลั่ง เป็นผู้ทูลตอบแทนว่า “มิได้พ่ะย่ะค่ะ ยังมิทราบเกล้าฯ ว่าเรื่องอะไรกัน”

“ก็เรื่องจะเปลี่ยนการปกครองราชการแผ่นดินนะซี” รับสั่งขยายความให้เข้าใจ

พวกปฏิวัติก็ยังคงยืนกระต่ายขาเดียว พูดแต่ว่าไม่รู้เรื่องอะไรอยู่นั่นเอง

ทันใดนั้น แม่ทัพก็ทรงควักกระดาษรายชื่อออกมาจากกระเป๋าเสื้อ คลี่ให้ดู ร.ต. เนตร เจ้าของลายมือกระดาษแผ่นนั้น รู้สึกใจหายวูบ พอเห็นก็จำได้ทันที เป็นบัญชีรายชื่อพวกนายทหารปืนกล กับอีกหลายคนที่สละเงินช่วยคณะ ซึ่งได้ส่งไว้ที่หัวหน้า

ร.ต. เนตร ชิงทูลว่า “อาจเป็นรายชื่อที่เขียนขึ้นเพื่อเรื่องอื่นก็ได้พ่ะย่ะค่ะ”

“รับเสียตรงๆ ดีกว่า มิฉะนั้นจะลำบาก” รับสั่งขู่

“แล้วแต่จะทรงโปรด” ปลั่ง ทูลอย่างทหาร

แล้วพระองค์ก็หันไปรับสั่งกับ ร.อ. เล็ก ผู้บังคับกองเรือนจำทหาร ให้นำนักปฏิวัติทั้ง ๕ คนนั้นไปคุมขังไว้ที่ชั้นบนกลาโหม เพื่อรอการสอบสวนไต่สวนต่อไป ทั้งนี้แสดงให้เห็นว่าการจับกุมคุมขังของทหารที่ปฏิบัติต่อผู้ต้องหาคดีการเมืองในครั้งนั้น เขากระทำกันอย่างไรบ้าง

ผู้ต้องหาคดีการเมืองประเภทที่ ๒ ซึ่งต้องถูกคุมขังอยู่บนกระทรวงกลาโหมชั้น ๓ นั้น มีไม่น้อยกว่า ๒๐ คน บางพวกถูกขังอยู่ทางด้านกองโรงเรียนนายสิบ ตรงข้ามกับวัดพระแก้วมีราว ๑๐ คน นายทหารกองปืนกลทั้งหมดถูกขังอยู่ทางด้านนี้ด้วย ส่วนอีก ๑๐ คน นอกนั้นถูกคุมขังอยู่ทางด้านกรมทหารราบที่ ๓ ตรงข้ามกับศาลจ้าวพ่อหลักเมือง ผู้ควบคุมผู้ต้องหาล้วนแต่เป็นนายทหารและนายสิบพลทหารราบทั้งสิ้น ผู้ต้องหาทุกรายได้ถูกห้ามมิให้ญาติมิตรเข้าเยี่ยมเลย ได้แต่ส่งเสบียงอาหารและเสื้อผ้าสำหรับผลัดเปลี่ยนตามเวลาที่กำหนดให้ โดยผ่านการตรวจค้นของผู้ควบคุมก่อนทุกครั้งอย่างกวดขัน เพื่อมิให้ซุกซ่อนอาวุธ หรือจดหมายลับเข้าไปได้ อาหารของหลวงไม่มีให้ เพราะยังมิได้เป็นนักโทษ การแต่งกายจะแต่งอย่างไรก็ได้ตามสบาย เว้นแต่เวลาที่ถูกนำตัวไปสอบสวนไต่สวน จะต้องสวมเครื่องแบบทหารตามยศเดิมทุกคราว ซึ่งจะได้บรรยายไว้ในภาค ๕ ต่อไป หนังสือทุกชนิดอนุญาตให้อ่านได้ บุหรี่ก็สูบได้ การไปห้องน้ำชำระกายเปิดให้ไปได้เป็นเวลา ๆ โดยการควบคุมของทหารยามถืออาวุธติดดาบปลายปืน แต่ทั้งนายและพลที่เป็นผู้ควบคุมได้ปฏิบัติตนต่อพวกผู้ต้องหาด้วยอัธยาศัยไมตรีและคารวะเป็นอันดี ตามที่นักปฏิวัติได้เคยอบรมสั่งสอนไว้แล้วตามแผนการ ฤทธิ์ที่พวกผู้ต้องหายังเป็นหนุ่มตะกอด้วยกันทั้งนั้น จึงยังมีความร่าเริงบันเทิงใจอยู่เสมอ ส่งเสียงพูดคุยกันตามประสาคนหนุ่ม บางห้องก็ขังไว้คนเดียว บางห้องก็ขังสองคน สุดแต่ขนาดของห้อง เพราะใช้ห้องที่อยู่ของนายทหารประจำกองโรงเรียนนายสิบและราบ ๓ นั้นเอง เป็นที่ขัง

นายทหารที่ถูกคุมขังในกลาโหมนี้ โดยมากใช้วิธีเชิญตัวมาจากที่ทำงานหรือกรมกองที่ตนสังกัดอยู่ ด้วยอาศัยรับสั่งของเสด็จในกรมกำแพงเพชร แม่ทัพที่ ๑ แต่เวลาไม่ตรงกัน นับแต่เวลา ๑๑ น. ของวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ จนกระทั่งเวลา ๑๙ น. เช่น นายทหารกองปืนกลเป็นต้น ซึ่งได้ถูกเชิญตัวล้าหลังที่สุดโดย พ.ต. หลวงประจันต์ฯ ปลัดกองพลที่ ๑ รักษาพระองค์ โดยอ้างรับสั่งของแม่ทัพ นำรถยนต์ของกรมทหารพาหนะ ไปเชิญตัวถึงกองปืนกล ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว

วิสัยเพื่อนร่วมตายที่มีสัจจะ มักจะคอยช่วยเหลือกันอยู่เสมอ แม้ตนจะต้องได้ทุกขะโทษก็ยินดีรับ กล่าวคือ ก่อนที่ทางกองปราบปรามจะรู้แน่ว่า ร.ต. สุดใจ นายทหารราบ ๓ เป็นผู้ร่วมคิดปฏิวัติด้วยผู้หนึ่งนั้น ร.ต. สุดใจ ได้ถูกสั่งให้มาเป็นผู้ควบคุมผู้ต้องหาอย่างไม่เคลือบแคลงสงสัย โดยจัดเป็นเวรผลัดเปลี่ยนกับนายทหารอื่น ๆ ร.ต. สุดใจ เป็นนายทหารหนุ่ม “ชุด ร.ศ. ๑๓๐” กำลังเข้มแข็งว่องไว พูดจริงทำจริง และสุจริตต่อคณะปฏิวัติมาก

วันหนึ่ง เมื่อ ร.ต. สุดใจ เป็นเวรควบคุมผู้ต้องหาทางด้าน ร.ร. นายสิบ บังเอิญไปพ้องกับทางกองทัพที่ ๑ สั่งให้งดการฝึกยิงเป้าที่สนามยิงเป้า “สระประทุม” ซึ่งเป็นการฝึกประจำปีนั้นเสีย แต่มีผู้ที่ชอบฟังเรื่องร้ายมากกว่าเรื่องดี ได้เข้าใจเอาเองว่า เหตุที่งดยิงเป้านั้น น่าจะเตรียมสถานที่ไว้ยิงนายทหารผู้ต้องหาคดีการเมืองแทนเป้า และได้พูดเป็นข่าวเลื่องลือไป จนกระทั่งมาเข้าหู ร.ต. สุดใจ ทำให้เขาคิดอยากจะช่วยเพื่อนร่วมตายของเขาขึ้นมา ถึงกับเขาลั่นวาจาขอให้พวกเราเตรียมหนีในตอนกลางคืนวันนั้น โดยเขาจะไขกุญแจห้องให้ แล้วตัวเขาเองจะหลบหนีติดตามไปด้วย

พวกผู้ต้องหา ได้ขอจับมือ ร.ต. สุดใจ ทางลูกกรงหน้าต่างด้วยความซาบซึ้งตรึงใจ ที่ได้เห็นน้ำใจเด็ดเดี่ยวของเพื่อนร่วมตายเช่นนั้น และต่างปฏิเสธไม่ยอมไป เพราะคิดเห็นการไกลว่า จะเป็นความเดือดร้อนแก่ตัว แก่ครอบครัวและแก่เพื่อนฝูงด้วย เพราะขณะนั้นทางรัฐบาลได้สั่งให้ทหารประจำซอง คอยระแวดระวังเหตุร้ายต่าง ๆ ภายในพระนครอย่างเข้มแข็งไว้ทั่วถึงทุกแห่งแล้ว

เนื่องด้วยข่าวลือนั่นเอง เมื่อไปเข้าหูญาติของผู้ต้องหาคดีการเมือง กระทำให้บรรดาญาติเหล่านั้นกินไม่ได้นอนไม่หลับรู้สึกเป็นห่วงใยไปตาม ๆ กัน เพราะผู้ที่มีหัวโบราณย่อมเคยได้ยินเสมอว่า คดีกบฏต่อเจ้าชีวิตจะต้องถูกสั่งฆ่าทั้ง ๗ ชั่วโคตรทีเดียว

ต่อมาอีกไม่กี่วัน พอทางกองปราบรู้ว่า ร.ต. สุดใจ คือพวกปฏิวัติ ก็รวบตัวเข้าห้องขังทันที ทำให้ทางราชการพะว้าพะวังไม่รู้ชัดว่านายทหารคนไหนจะเป็นฝ่ายใครกันแน่ จึงเลยรีบส่งตัว ร.อ. หลวงสินาดโยธารักษ์ (ยุทธ หรือ แต้ม คงอยู่) ผู้หักหลัง ไปเก็บไว้ยังประเทศฝรั่งเศส เพื่อลี้ภัยคณะ ร.ศ. ๑๓๐

ทำไมเราผู้เขียนจึงใช้คำว่า ส่งผู้หักหลังไป “เก็บไว้” ก็เพราะว่าเป็นความจริง ที่ได้รับทราบจากเพื่อนนักเรียนในฝรั่งเศสเล่าว่า ไม่มีนักเรียนไทยในฝรั่งเศสคนใดยอมคบค้าสมาคมกับ “ผู้หักหลัง” คณะ ร.ศ. ๑๓๐ เลยแม้แต่คนเดียว ร.อ. หลวงสินาดฯ ต้องคอยซุกซ่อนตัวเหมือน “วัวสันหลังหวะ” อยู่จนกระทั่งกลับเมืองไทยเมื่อคดีการเมือง ร.ศ. ๑๓๐ ได้ถึงที่สุดแล้วไม่นานนัก

คำสั่งกระทรวงกลาโหมที่สั่งเลื่อนยศนายทหารไว้ก่อนเกิดการปฏิวัติ เช่นเลื่อน ร้อยตรี เป็นร้อยโท ร้อยโท เป็นร้อยเอก ฯลฯ และเผอิญนายทหารคณะปฏิวัติก็ได้เลื่อนยศด้วยหลายคนนั้น ได้ถูกขีดฆ่าชื่อด้วยเส้นหมึกแดงเป็นแถว เพราะเป็นผู้ต้องหาในคดีอุกฉกรรจ์ต่อแผ่นดิน ซึ่งเป็นการสมควรอย่างยิ่ง และคำสั่งนั้นก็หาได้พ้นสายตาของผู้ต้องหาที่คุมขังในกลาโหมเลยไม่ แต่พวกเรานั้นมิได้แสดงสีหน้าผิดแปลกอย่างใดเลย

ฝ่ายผู้ต้องหาในประเภทที่ ๓ มีประมาณ ๖๐ คนเศษ เท่าที่ทางรัฐบาลสืบได้ว่ามีชื่อพาดพิงถึง ส่วนที่ไม่ปรากฏยังมีอีกไม่น้อย พวกมีชื่อเหล่านั้นได้ถูกคุมขังหรือกักบริเวณอยู่ตามกรมกองทหารที่ตนสังกัด ทางกระทรวงทหารเรือและกระทรวงยุติธรรมก็ได้ปฏิบัติเช่นเดียวกัน เว้นแต่ผู้ที่ทำงานทางสถานทูตและพ่อค้าบางคน ทางราชการได้คุมขังไว้ต่างหาก

ผู้ต้องหาประเภทนี้มีอิสระภาพดีกว่าประเภทอื่น ๆ ทั้งในการเยี่ยมเยียนและสวัสดิการ ซึ่งนับว่าเป็นความฉลาดของทางราชการที่ผ่อนสั้นผ่อนยาวเพื่อยึดน้ำใจของทหารไว้

ในจำนวนผู้ต้องหาประเภทที่ ๓ นั้น มีอยู่ผู้หนึ่งที่น่ารู้ เขาผู้นั้นคือ ร.ท. แม้น สังขวิจิตร ผู้บังคับกองร้อยทหารมหาดเล็ก รักษาพระองค์ (เวลานี้ เป็นร้อยเอก ผู้จัดการโรงเรียน “สรรพาวุธบำรุง” ในกรมสรรพวุธทหารบก บางซื่อ พระนคร) เขาเป็นนายทหารมหาดเล็กที่มีรูปร่างสูงใหญ่ มีสง่าผ่าเผยงดงาม สมกับตำแหน่งที่อยู่ใกล้ชิดกับพระเจ้าแผ่นดิน และก็เป็นผู้ที่องค์พระประมุขทรงโปรดปรานมาก โดยมีรับสั่งให้เข้าเฝ้าอยู่บ่อย ๆ ในขณะที่เข้าเฝ้านั้น พระองค์มักจะมีพระราชดำรัสซักถามถึงความทุกข์สุขของเขา ตลอดถึงหนี้สินค่าสุราอาหารและเสื้อผ้าตามความที่เป็นจริง ร.ท. แม้นมีนิสัยซื่อ ชอบกราบทูลตามความสัตย์จริงทุกประการ ไม่มีการปกปิดหรือต่อเติมแต่อย่างใดเลย พระองค์ทรงพระราชทานการชำระหนี้สินให้หมดสิ้นไป มิให้ตกค้างเลยแม้แต่น้อย นับว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณแก่เขาอยู่เสมอ ซึ่ง ร.ท. แม้น รำลึกเทิดทูนไว้เหนือเกล้าฯทุกขณะจิต และถวายความจงรักภักดีต่อพระองค์เสมอด้วยบิดาบังเกิดเกล้า การร่วมคณะปฏิวัติของเขาก็คือความหวังที่จะดำรงไว้ซึ่งความเป็นพระประมุขของพระองค์ในภาวะประชาธิปไตยตามสมัยนั่นเอง เขาแยกเรื่องการเมืองกับส่วนตัวได้เป็นอย่างดียิ่ง

เมื่อ ร.ท. แม้น ถูกจับกุมคมขังอยู่ในห้องขังภายในกรมทหารมหาดเล็ก โดยมีรายชื่อเป็นสมาชิกคณะปฏิวัติ ร.ศ. ๑๓๐ ด้วยนั้น ทางบ้านก็จัดหาอาหารใส่ปิ่นโตให้คนใช้นำไปส่งเช้าเย็นเป็นประจำ วันหนึ่ง ร.ท. แม้นได้รับข่าวจากเพื่อนสนิทคนหนึ่ง เขาเป็นมหาดเล็กข้างที่ มีหน้าที่ผลัดเปลี่ยนเข้าเวรรับใช้ใกล้ชิดเฉพาะพระองค์ ข่าวนี้มีใจความว่า วันหนึ่ง ทูลกระหม่อมจักรพงษ์เสด็จไปเฝ้าในหลวง และทูลถวายรายชื่อสมาชิกคณะ ร.ศ ๑๓๐ เท่าที่กรรมการสามารถรวบรวมได้ เมื่อในหลวงทอดพระเนตรรายชื่อไปถึงชื่อ ร.ท. แม้น ก็สะดุ้งพระราชหฤทัย โดยมิทรงเชื่อว่าจะเป็นความจริง ถึงกับรับสั่งแก่ทูลกระหม่อมว่า “เจ้าแม้นเป็นศิษย์ของฉันแท้ ๆ เห็นจะเป็นไปไม่ได้”

เมื่อทูลกระหม่อมจักรพงษ์ได้ทรงชี้แจงเหตุผล แสดงพยานหลักฐานอันมั่นคง ประกอบกับทรงเปรียบเทียบถึงหมอเหล็งผู้เป็นศิษย์คนโปรดของทูลกระหม่อมด้วยแล้ว พระองค์ก็รับสั่งในขณะทรงพระพิโรธว่า “ถ้าอ้ายแม้นมันไปเข้าพวกกับเขาด้วย ก็ต้องเฆี่ยนหลังมันเสีย”

ด้วยเหตุนี้ ร.ท. แม้น จึงเขียนจดหมายลับซุกซ่อนไปในอาหารที่รับประทานเหลือ กระซิบคนใช้ให้นำไปให้บิดาของเขาให้จงได้ แต่เป็นโชคร้าย ในขณะที่จะผ่านออกจากประตูกรมทหารนั้นเอง ทหารรักษาการเกิดสงสัยขึ้นมา จึงขอตรวจค้นในปิ่นโต ก็พบจดหมายลับฉบับนั้น จดหมายนั้นก็ผ่านผู้บังคับบัญชาขึ้นไปจนถึงในหลวงโดยด่วน ใจความในจดหมายมีว่า ร.ท. แม้น เล่าเรื่องที่จะถูกเฆี่ยนหลังให้บิดาฟัง แล้วก็ปรารภว่า การถูกเฆี่ยนหลังมันเป็นการเสื่อมเสียเกียรติของชายชาตินักรบตลอดทั้งวงศ์ตระกูลด้วย มิใช่จะเจ็บปวดรวดเร้าอย่างเดียว แต่ถ้าในหลวงจะลงโทษด้วยวิธีอื่น แม้แต่จะลงพระราชอาญาประหารชีวิต เขาก็จะไม่ระทมทุกข์เท่ากับถูกเฆี่ยนหลังเลย ฉะนั้นจึงขอให้บิดาช่วยหาวิธีใดวิธีหนึ่ง จะเป็นการเดินเหินทางผู้หลักผู้ใหญ่ หรือหารือกับครูบาอาจารย์ที่เชี่ยวชาญทางไสยเวทให้ช่วยแก้ไขให้พ้นจากการถูกเฆี่ยนหลังได้แต่อย่างเดียวเท่านั้น ก็เป็นที่พอใจอย่างยิ่ง

ต่อมาเพียงไม่กี่วัน เมื่อองค์พระประมุขเสด็จโดยรถยนต์พระที่นั่งออกจากพระราชวังดุสิต มาตามถนนราชดำเนิน ก็พอดีทอดพระเนตรเห็น ร.ต. ฟู ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งประจำกองอยู่ใต้บังคับบัญชาของ ร.ท. แม้น กำลังหยุดยืนระวังตรงถวายความเคารพอยู่ริมถนน จึงรับสั่งให้หยุดรถพระที่นั่ง และกวักพระหัตถ์ให้ ร.ต. ฟู เข้าเฝ้า ณ กลางถนนนั้นเอง เมื่อ ร.ต. ฟู วิ่งเข้าไปเฝ้าอยู่ตรงเฉพาะพระพักตร์ ก็มีรับสั่งว่า “เอ็งจงไปบอกเจ้าแม้นมันว่า ข้าเลิกเฆี่ยนหลังแล้ว มันจะได้สบายใจ” ร.ต. ฟูรับใส่เกล้าฯ แล้วรถพระที่นั่งก็เคลื่อนต่อไป (ร.ต. ฟู ผู้นี้ ต่อมาเป็น พันเอก พระยาราชวัลลภานุศิษฏ์)

ทั้งนี้ ย่อมแสดงให้เห็นว่าความเป็นปราชญ์ทางประศาสโนบายของพระองค์ที่มีต่อคณะปฏิวัติ ร.ศ. ๑๓๐ นั้น ยังเปี่ยมด้วยพระมหากรุณาธิคุณ ดังจะได้ทราบข้อเท็จจริงในภาค ๕ ภาค ๖ และภาคสรุปโดยลำดับ

เราเห็นว่าความสำเร็จสมใจของ ร.ท. แม้น ที่ไม่ถูกลงพระอาญาเฆี่ยนหลังนั้น เป็นความสำเร็จสมใจของประชาชนส่วนใหญ่ทั้งประเทศ ซึ่งองค์พระประมุขทรงมีพระราชดำรัสออกจากพระโอษฐ์แล้วก็เป็นวาจาสัตย์ ต่อมาก็ไม่ปรากฏว่าได้มีผู้ใดถูกเฆี่ยนหลังอีกเลย ไสยเวททางใดหนอได้ดลพระทัยองค์พระประมุขให้ทรงหลั่งพระมหากรุณา เลิกล้มการลงพระราชอาญาโดยวิธีเฆี่ยนหลังเสียได้ ? ก็เห็นจะเป็นไสยเวทที่กลั่นกรองลิขิตออกจากขั้วหัวใจอันบริสุทธิ์ของ ร.ท. แม้น ซึ่งเป็นมนต์คาถาประทับอยู่กับเศษกระดาษที่หมกอยู่ในเศษอาหารเหลือนั้นเอง ความบริสุทธิ์คือยอดมนต์มหาเสน่ห์ - ความบริสุทธิ์เป็นยอดมหาเสน่ห์ อันจะยังความสันติสุขของโลกให้แจ่มใสอยู่ชั่วนิจนิรันดร

----------------------------

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ