พระราชปุจฉา ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล

พระราชปุจฉา

ว่าด้วยแนวทางการศึกษาพระพุทธศาสนา

เพื่อเตรียมตัวและช่วยเหลือในการที่จะอุปสมบท

พระที่นั่งบรมพิมาน

วันที่ ๑๙ มีนาคม พุทธศักราช ๒๔๘๙

ทูล สมเด็จพระสังฆราช

ด้วยหม่อมฉันมีประสงค์ใคร่จะได้อ่านแนวการศึกษาทางพระพุทธศาสนา เพื่อเป็นการเตรียมตัว และช่วยเหลือในการที่จะอุปสมบทในกาลต่อไป ครั้นจะค้นหาอ่านจากตำราจำนวนมากก็มีเวลาน้อย ถ้าจะได้รับสังฆราชานุเคราะห์ให้ได้ศึกษาจากตำราง่ายๆ และเป็นทางลัดโดยจัดขึ้นเปนกัณฑ์ๆ ไม่มากมายนัก พอหาโอกาสอ่านได้เดือนละกัณฑ์กว่าจะถึงเวลาอุปสมบทของหม่อมฉัน ก็จะได้รับความสะดวก หนังสือเรื่องนี้ต้องการได้อ่านทั้งในเวลาพักอยู่ในเมืองไทย และแม้ไปพักอยู่ในต่างประเทศ จึงทูลขอพระดำริและสังฆราชานุเคราะห์มา.

ขอถวายนมัสการ

อานันทมหิดล

----------------------------

แก้พระราชปุจฉา

เรื่องบวช

โดยพระราชประสงค์

พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล

ศัพท์ว่า บวช มาจากศัพท์บาลีว่า ปพฺพชฺชา (ซึ่งมาจาก ป + วช ธาตุ) หมายความว่า ออก หรือ เว้นจากความพัวพันกับการครองเรือน ตลอดไปถึงจากความประพฤติชั่ว ได้แก่การหลีกออกจากบ้านเรือนไปหาที่สงัด ที่ไกลจากบ้านเรือน เช่นในป่าทำที่พักพออาศัยอยู่ได้ เช่น บรรณศาลา (ทับใบไม้) เพื่อทำความสงบระงับชั่วคราวบ้าง ตลอดไปบ้าง เขาถือกันว่าเป็นการประกอบการกุศลหรือบุญอย่างสูง มืมาก่อนแต่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้นาน.

ตามประวัติแสดงว่า เมื่อชาวอริยกะเข้าไปในอินเดีย ในชั้นต้นนับถือเทวะ หรือเทพเจ้า ครั้นแล้วก็เลื่อนมานับถือพระพรหม จึงบูชาเส้นสรวงและอ้อนวอน เพื่อให้ได้สิ่งที่ตนปรารถนา ต่อมาก็คิดเห็นขึ้นว่า ชีวิตนี้ย่อมสืบเนื่องมาจากกรรมเก่าซับซ้อนขึ้นไปจนกำหนดไม่ได้ แต่ข้อสำคัญที่สุดนั้น เมื่อเกิดมาก็ย่อมมีสุขและทุกข์เจือกันไป ส่วนที่เป็นสุขก็ชอบใจ แต่ส่วนที่เป็นทุกข์ก็ไม่ชอบ ไม่อยากได้พบเห็น จึงคิดหาทางหนีทุกข์และก็เห็นต่างๆ กัน จึงประกอบการที่เห็นว่าเป็นตบะต่างๆ กัน. การบวชครั้งนั้นก็เป็นตบะอย่างหนึ่ง. (วิธีบำเพ็ญตบะนั้นต่างๆ กันตามความคิดเห็น ไม่กล่าวไว้ในที่นี้).

มีเรื่องเล่าไว้ว่า กษัตริย์บ้าง พราหมณ์บ้าง ไปบวชเป็นฤษี เช่นพระชนก กษัตริย์ผู้ครองกรุงมิถิลา ออกไปบวชเป็นฤษี ในเรื่องรามายณะเป็นต้น แม้ไนพระพุทธประวัติตอนก่อนพระพุทธเจ้าตรัสรู้ก็มีเรื่องแสดงว่าอาฬารดาบส อุททกดาบส พระชฎิล ๑,๐๐๐ สัญชยปริพพาชกกับบริวารฤษีปัญจวัคคีย์ ออกบวชอยู่ก่อนแล้ว. คนรักษาศีล ๘ ในวันพระชั่ววันและคืนหนึ่ง แลคนรักษาศีล ๕ ก็น่าจะนับเข้าในการบวชด้วย แต่ยิ่งหย่อนกว่ากันตามชั้น. เพราะฉนั้นจึงมีพระพุทธภาษิต (คำที่พระพุทธเจ้ากล่าว) แสดงธรรมะหมวด ๑ ซึ่งเรียกว่า สัปบุริสบัญญัติ (ข้อที่สัตบุรุษตั้งไว้) บัณฑิตบัญญัติ (ข้อที่บันฑิตตั้งไว้) มีธรรม ๓ ข้อ คือ ทาน การให้ ๑, ปัพพัชชา การบวช ๑, มาตาปิตุอุปัฏฐาน การบำรุงมารดาบิดา ๑. นี้แสดงว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงบัญญัติด้วยพระองค์เอง แต่สัตบุรุษและบัณฑิตได้บัญญัติไว้ก่อนแล้ว. พระพุทธเจ้าเป็นแต่ทรงนำมาแสดงเท่านั้น.

พระโพธิสัตว์ (เป็นคำเรียกพระพุทธเจ้า เมื่อยังไม่ได้ตรัสรู้) เมื่อทรงเป็นผู้ครองเรือนอยู่ แม้ทรงสมบูรณ์ด้วยทรัพย์ คนใช้ ที่อยู่ ยศ อำนาจ แต่ทรงนึกถึงความแก่ ความเจ็บ ความตาย ว่ามีประจำแก่พระองค์และคนอื่นๆ ทั่วไป ไม่มีใครล่วงพ้น ทรงสลดจิตมุ่งหมายจะหาเครื่องแก้ ซึ่งเรียกว่า โมกขะ แปลว่า “พ้น” จึงเสด็จออกบวช. ครั้นตรัสรู้แล้ว ทรงพระกรุณา (สงสาร) คนอื่น ทรงคิดและแสดงธรรมสั่งสอน แต่ทรงเห็นว่าธรรมที่พระองค์ได้ประสบนั้นละเอียดลึกซึ้งยิ่ง ยากที่ผู้ยังยินดีติดอยู่ในโลกจะรู้ตามได้ จึงทรงท้อพระหฤทัยที่จะแสดงธรรมสั่งสอน แต่ก็อาศัยพระกรุณา และทรงพิจารณาเห็นว่า ผู้มีปัญญาและมีกิเลส (เครื่องทำใจให้เศร้าหมอง) น้อย สามารถฟังและตรัสรู้ตามได้ก็มีอยู่จึงทรงตั้งจิตที่จะแสดงธรรมสั่งสอนสืบไป.

ในชั้นต้น ทรงพิจารณาหาผู้ฟังที่พอจะตรัสรู้ตามได้เร็วก่อน จึงเสด็จไปสั่งสอนฤษีปัญจวัคคีย์แลชฎิล ๑,๐๐๐ เป็นต้น และทรงสั่งสอนกษัตริย์ พราหมณ์ อำมาตย์ เศรษฐี คฤหบดี เพราะคนเช่นนี้เคยเล่าเรียนมีความรู้สูงมาแล้ว ทั้งเป็นผู้หน่ายในทางโลกมาแล้วก็มี สามารถฟังเข้าใจได้ง่าย เมื่อผู้ฟังได้ศรัทธาความเชื่อ และปสาทะ คภามเลื่อมใส ทูลขอบวช. พระพุทธเจ้าก็ทรงรับด้วยพระวาจาว่า เอหิ ภิกฺขุ ท่านจงเป็นภิกขุมาเถิด ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว ท่านจงประพฤติพรหมจรรย์ (คือการปฏิบัติดีที่เป็นส่วนเหตุ) เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบ เพียงเท่านี้ ผู้นั้นก็ชื่อว่า บวชเป็นภิกขุในพระพุทธศาสนา การบวชเช่นนี้ เรียกว่า เยหิภิกขุยุปสัมปทา. ผู้รับอุปสมบทเช่นนี้เรียกว่า เอหิภิกฺขุ เมื่อมีภิกขุในพระพุทธศาสนาขึ้นแล้ว, พระพุทธเจ้าทรงส่งภิกขุทั้งหลายให้ไปเที่ยวประกาศพระศาสนาในทิศต่างๆ, เมื่อมีผู้เชื่อและเลื่อมใสปรารถนาจะบวช พระสาวกต้องนำมาเฝ้าพระพุทธเจ้า ทูลขอให้พระพุทธเจ้าประทานอุปสมบท ทั้งภิกขุผู้อาจารย์ทั้งกุลบุตรผู้จะบวชต้องลำบากในการเดินทางเป็นต้น

พระพุทธเจ้าจึงทรงอนุญาตให้ภิกขุนั้นๆ ให้บวชกุลบุตรได้เอง ด้วยให้โกนผมและหนวดก่อนแล้วให้นุ่งห่มผ้าย้อมน้ำฝาดที่เรียกว่า กาสาวะ หรือ กาสายะ ให้นั่งกระหย่ง ประณมมือแลกราบภิกขุแล้ว สอนให้ว่าตามว่า พุทธํ สรณํ คจฺฉามิ, ธมฺมํ สรณํ คฺจฉามิ, สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ข้าพเจ้าถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ ข้าพเจ้าถึงพระธรรมเป็นสรณะ, ข้าพเจ้าถึงพระสงฆ์เป็นสรณะ ๓ หน, เพียงเท่านี้ ผู้นั้นก็ได้เป็นภิกขุในพระพุทธศาสนา. การบวชเช่นนี้ เรียก ติสรณคมนอุปสัมปทา แปลว่า อุปสมบทด้วยถึงสรณะ ๓.

ครั้นเมื่อมีภิกขุในพระพุทธศาสนามากขึ้น และตั้งมั่นดีแล้ว, พระพุทธเจ้าทรงมอบการอุปสมบทให้เป็นกิจของสงฆ์ คือหมู่พระสาวกประชุมกัน ในมัชฌิมประเทศตั้งแต่ ๑๐ ขึ้นไป ในปัจจันตประเทศ ตั้งแต่ ๕ ขึ้นไป จัดการให้กุลบุตรอุปสมบท มีภิกขุรูปหนึ่งเป็นผู้นำเข้าหมู่ ซึ่งเรียกว่าอุปัชฌายะ มีภิกขุอีกรูปหนึ่งสวดประกาศ บอกความที่กุลบุตรนั้นขออุปสมบท แลท่านมีชื่อนั้นเป็นผู้รับนำเข้าหมู่ประกาศคราวแรก เรียกว่า ญัตฺติ แปลว่า คำประกาศให้สงฆ์รู้ ครั้นแล้วสวดประกาศอีก ๓ คราว เรียกว่าอนุสาวนาที่ ๑, ที่ ๒, ที่ ๓, เมื่อภิกขุที่ประชุมกันเป็นสงฆ์นั้นไม่คัดค้าน ก็เป็นอันสำเร็จการบวชเป็นภิกขุ. การบวชด้วยวิธีนี้ เรียกว่า ญัตติจตุตถกรรมอุปสัมปทา คืออุปสมบทด้วยกรรมมีญัตติเป็นที่ ๔. เมื่อทรงอนุญาตให้อุปสมบทด้วยญัตติจตุตถกรรมนี้แล้ว ให้เลิกอุปสมบทด้วยติสรณคมนอุปสัมปทาแต่นั้นมา.

ในตอนต้น พระพุทธเจ้าไม่ทรงกำหนดอายุผู้อุปสมบท จึงมีคนที่กายน้อยยังเป็นเด็กอยู่ เข้ามาบวชเป็นภิกษุแล้ว ยังประพฤติอย่างเด็กอยู่ ไม่สามารถปฏิบัติดีได้ พระพุทธเจ้าจึงทรงตั้งกำหนดอายุผู้จะอุปสมบทว่า ต้องมีอายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์จึงจะบวชได้ และทรงอนุญาตให้เด็กชายที่มีอายุพอสมควร แต่ยังไม่ถึง ๒๐ ปีบริบูรณ์บวชเป็นสามเณรด้วยถึงสรณะ ๓ ดังที่ได้ทรงอนุญาตให้บวชเป็นภิกขุมาแล้วและเลิกเสียนั้น การบวชเปนสามเณร เรียกว่า ปัพพัชชา หรือบรรพชา. บวชเป็นภิกขุ เรียกว่า อุปสมบท. เมื่อมีสตรีปรารถนาจะบวช และมีอายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ ก็ทรงอนุญาตให้บวชเป็นภิกขุนี, ถ้ามีอายุยังไม่ครบ ก็ทรงอนุญาตให้บวชเป็นสิกขมานาแลสามเณรีโดยลำดับ แต่ภิกขุนีนี้ได้เลิกมาเสียนานแล้ว เพราะมีเหตุขัดข้องหลายประการ เช่นไม่มีภิกขุนีสงฆ์พอเป็นต้น.

ในตอนต้น พระพุทธเจ้ายังไม่ทรงบัญญัติพระวินัยที่เป็นข้อบังคับ เป็นแต่ทรงแสดงธรรมแนะนำให้ปฏิบัติเท่านั้น. ผู้บวชก็บวชด้วยศรัทธา ความเชื่อ ปสาทะ ความเลื่อมใสจริงๆ เมื่อบวชแล้วก็ตั้งใจปฏิบัติตามคำสั่งสอนแลตามจรรยาที่พระพุทธเจ้า และ พระ พระสาวกปฏิบัติยู่ ต่อมาเมื่อนิยมการบวชมากขึ้น และบวชตามๆ กัน ไม่ได้บวชด้วยความเชื่อความเลื่อมใสจริงๆ ก็มี จึงได้ประพฤติไม่ดีไม่ชอบปรากฏขึ้น และมีผู้ติเตียนขึ้น พระพุทธเจ้าจึงทรงบัญญัติพระวินัยเป็นข้อบังคับไว้ ถ้าภิกขุประพฤติล่วงก็ถูกลงโทษอย่างหนักถึงให้ขาดจากความเป็นภิกขุ หย่อนลงมาก็เพียงแสดงโทษที่ล่วง แล้วปฏิญญาว่าจะสำรวมระวังต่อไป ต่อหน้าภิกขุด้วยกัน. เพราะฉะนั้น พระพุทธศาสนาจึงแยกเป็น ๒ คือ พระธรรม ๑ พระวินัย ๑ ดังนี้.

พระพุทธเจ้าแลพระพุทธศาสนา ไม่ได้บังคับให้คนบวช เมื่อคนมีศรัทธาปสาทะก็ขอบวชเอง, เมื่อท้อถอยในการที่จะบวชอยู่ ก็ทรงอนุญาตให้ลาสิกขา คือละเพศภิกขุออกเป็นคฤหัสถ์ได้ ไม่บังคับให้ต้องบวชอยู่ตลอดไป, และถ้ามีศรัทธาปสาทะจะบวชอีกก็ขอเข้าบวชอีกได้, การปฏิบัติเช่นนี้ก็เพื่อไม่ให้คนต้องฝืนใจบวชอยู่และประพฤติชั่วผิดจรรยาของบรรพชิต (ผู้บวช) ที่ดี.

อนึ่ง เพื่อให้ภิกขุประพฤติดีถูกต้องตามพระวินัย จึงให้ภิกขุเรียนพระวินัยให้ได้ความรู้ความเข้าใจ และ ให้ปฏิบัติตาม เมื่อรู้สำนึกตัวว่าได้ประพฤติล่วงในสิกขาบทใดก็ให้แจ้งเรื่องแก่ภิกขุอื่น ไม่ให้ปิดบังไว้ (ซึ่งเรียกว่าแสดงอาบัติ), ถ้าขืนตั้งใจปิดบังไว้ก็ต้องโทษเพราะปิดบังอีกส่วนหนึ่ง ถ้าไม่แน่ใจว่าจะต้องโทษอย่างไรหรือไม่ ก็ให้แจ้งเรื่องที่ตนทำแก่ท่าน ผู้ทรงวินัย ซึ่งเรียกว่าวินัยธร ขอให้ท่านช่วยพิจารณาวินิจฉัยให้ เป็นการฝึกหัดให้ผู้บวชปกครองรักษาตนเองตามพระวินัย และให้ภิกขุประพฤติตนเป็นคนซื่อตรง เมื่อมีเรื่องที่เขากล่าวหา ซึ่งเรียกว่า อธิกรณ์ เกิดขึ้น ก็ให้การคือบอกตามความเป็นจริงไม่อำพราง ล่อลวง การชำระอธิกรณ์ครั้งนั้นจึงสะดวกดี.

หน้าที่ของผู้บวช

เมื่อผู้บวชได้บวชแล้ว ก็มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามพระวินัยที่เป็นพระบัญญัติที่พระพุทธเจ้าได้บัญญัตติไว้ด้วยศึกษาธรรมะ คือเรียนและปฏิบัติธรรมะ ตามความสามารถตามความหมายเดิมของพระพุทธศาสนา ให้เป็นบรรพชิตที่ดีเสมอกับบรรพชิตที่ดีด้วยกัน ตามพระพุทธภาษิตว่า สมโณ อสฺส สุสฺสมโณ สมณะ พึงเป็นสมณะที่ดี ดังนี้.

การเรียนธรรมะ ก็คือเรียนจำธรรมะ ๑ พิจารณาเนื้อความของธรรมะที่เรียนจำนั้นให้เข้าใจเนื้อความ ๑ พิจารณาธรรมะนั้นๆ สอบดูที่ตนให้รู้ว่าตนเองได้มีธรรมนั้นๆ อยู่ที่ตนเพียงไรหรือไม่มี ๑ นี้ เป็นปริยัติ คือ เรียน หรือ ปริยัติธรรม ธรรมคือเรียน ครั้นแล้วจึงปฏิบัติธรรมะที่พิจารณาเห็นว่าควรปฏิบัติตามสมควร นี้เรียกปฏิบัติ หรือปฏิบัติธรรม ธรรมคือปฏิบัติ. เมื่อได้ปฏิบัติไปได้ประสบผลอย่างไร อันเกิดสืบมาแต่ปฏิบัติ, นี้เรียกปฏิเวธ คือรู้ตามเป็นจริง หรือปฏิเวธธรรม ธรรมคือรู้ตามเป็นจริง.

การปฏิบัติธรรมแยกออกเป็น ๒ คือ ตั้งจิตให้กำหนดอยู่ในที่มุ่ง (ที่เรียกว่าอารมณ์) อันเดียว ไม่ให้ฟุ้งส่ายไปในอารมณ์ต่างๆ เรียกว่า สมถะ พิจารณาให้เห็นตามเป็นจริง เรียกว่าวิปัสสนา ๑. (เรื่องนี้ จักมีในกัณฑ์ข้างหน้า ตอนที่แสดงถึงเมื่อบวชแล้ว).

พระพุทธศาสนาแสดงว่า บุทคลถึงจะได้ประสบผลดีมีอำนาจมากจนเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ก็ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย เหมือนกันหมดจะต่างกันก็เพียงช้าบ้าง เร็วบ้างเพราะกำหนดนับเท่านั้น ถ้าว่าจำเพาะเบื้องต้นกับเบื้องปลาย ก็คงเกิดและดับเหมือนกันหมด ไม่มีพิเศษกว่ากันเลย ความแก่ ความเจ็บ ความตาย เป็นทุกข์ ไม่มีใครชอบ, แต่ที่ความแก่ ความเจ็บ ความตายมี ก็เพราะมีความเกิดเป็นต้นเหตุ และความเกิดนั้น ก็มีเพราะเหตุต่อขึ้นไปอีก คือ ตัณหา ความดิ้นรนใจ (แสดงตามนัยแห่งอริยสัจจ์ ๔) เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้า และพระอริยสาวก จึงทำอริยมรรคให้เกิดขึ้น คือปฏิบัติตามอริยมรรคกำจัดตัณหาเสีย เมื่อไม่มีตัณหา ก็ไม่มีเกิด เมื่อไม่มีเกิดก็ไม่มีแก่ ไม่มีเจ็บ ไม่มีตาย เป็นอันพ้นทุกข์ด้วยประการทั้งปวง

ผู้นับถือพระพุทธศาสนา เมื่อพิจารณาเห็นจริงด้วยใจแล้ว แม้ยังยินดีติดอยู่ในโลกเห็นว่าตนไม่สามารถจะปฏิบัติเพื่อตัดตัณหาในชาตินี้ได้ แต่ก็ปรารถนาจะให้มีนิสัยปัจจัยเพื่อให้สิ้นชาติสิ้นภพในกาลต่อไป จึงตั้งใจบวชชั่วคราวบ้าง ยืดยาวต่อไปบ้าง และเห็นว่าบวชเป็นบุญที่ให้ผลเป็นสุขในภพต่่อไปบ้าง เห็นความที่ต้องเป็นกังวลกับกิจการต่างๆ ของผู้ครองเรือน เป็นความทุกข์ยากลำบากบ้าง จึงบวชก็มี ผู้บวชเหล่านี้ เมื่อบวชแล้วก็มุ่งศึกษาปฏิบัติตามพระธรรมวินัยไม่ล่วงละเมิดด้วยไม่มียางอายแก่ใจ เมื่อเห็นว่าตนหมดอุตสาหะในการที่จะบวชอยู่ต่อไป ก็ลาสิกขา คือสึกออกไป.

อนึ่ง ในครั้งก่อนยังไม่มีโรงเรียน ยังไม่มีการฝึกสอนในทางศาสนา ในทางปกครอง และในความรู้อื่นๆ อันเป็นเบื้องต้น แม้แต่การเรียนหนังสือไทย ผู้บวชจึงเป็นอันหัดเป็นผู้ใหญ่ปกครองตัวเองด้วย และถ้าต้องการจะเรียนอะไรที่สมควร และพอจะหาเรียนได้ก็หาเรียนทางนั้น เช่นเรียนหนังสือ เป็นต้น จึงนิยมกันว่าผู้บวชแล้วเป็นคนดีมีความสามารถ

ภายหลังต่อมา ตั้งแต่รัชกาลที่ ๕ พระเจ้าแผ่นดินทรงพระกรุณาจัดการศึกษาขึ้น มีโรงเรียนให้กุลบุตรได้เล่าเรียน จนถึงส่งนักเรียนไปเรียนในต่างประเทศก็มี และมีโรงเรียนสตรีขึ้นด้วย การบวชจึงมีน้อยลง แต่ก็ยังมีผู้ใหญ่พอใจให้ผู้อยู่ในปกครองได้บวชบ้าง ผู้บวชพอใจบวชเองบ้าง จึงยังมีการบวชสืบต่อมาจนบัดนี้.

แต่ก็เป็นธรรมดา เมื่อผู้บวชที่ดี ก็ย่อมมีผู้บวชที่ชั่วแซกแซงไป ตั้งแต่ครั้งพุทธกาลมาแล้ว, พระพุทธเจ้าจึงต้องทรงบัญญัติพระวินัยมาเป็นลำดับ ในภายหลัง ตามที่ปรากฎในกฎหมายพระสงฆ์ มีผู้บวชที่ฝ่าฝืนพระพุทธบัญญัติมากขึ้น พระวินัยพุทธบัญญัติไม่สามารถปกครองผู้บวชได้ดีพอ พระเจ้าแผ่นดิน ผู้เป็นอัครศาสนูปถัมภก จึงต้องทรงออกกฎหมายช่วยอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งเรียกว่ากฎหมายพระสงฆ์ คือลงโทษพระสงฆ์ผู้ประพฤติฝ่าฝืนให้มีโทษทางฝ่ายบ้านเมืองด้วยอีกส่วนหนึ่ง ทรงตั้งกรมธรรมการและสังฆการีให้ช่วยคอยดูแลสอดส่องและลงโทษ แต่ก็ยังไม่สามารถทำผู้บวชให้ดีได้ทั่วถึงอยู่นั้นเอง เพราะฉะนั้น เมื่อรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ได้ทรงผนวชประทับที่วัดมหาธาตุ ได้ทรงเห็นทราบความเปนไปของผู้บวชอยู่ในครั้งนั้น ทรงทนอยู่ไม่ได้ จึงทรงแสวงหาพระที่ดี ทรงสอบสวนจนพอพระหฤทัย จึงทรงอุปสมบทใหม่พร้อมด้วยผู้สมัครใจเข้าร่วมด้วย ในชั้นต้นก็น้อย ต่อมาจึงมากขึ้นโดยลำดับ จนเป็นพระคณะธรรมยุตขึ้น และทรงปกครองเองไม่ได้ขึ้นอยู่ในกรมธรรมการ เมื่อทรงลาผนวช เพราะต้องทรงรับอาราธนาให้ครองราชสมบัติ ก็ทรงมอบการปกครองคณะสงฆ์ธรรมยุต แก่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ให้ทรงปกครองสืบต่อมา แลสืบต่อมาถึงทุกวันนี้. แม้พระธรรมยุตเองในบัดนี้ เมื่อมีมากออกไป ก็ย่อมมีผู้ไม่เอื้อเฟื้อต่อพระธรรมวินัยมากขึ้น ไม่เหมือนเมื่อแรกมี เพราะความมากนั่นเอง จึงดูแลปกครองกันไม่ทั่วถึงด้วย ผู้บวชไม่มีศรัทธาปสาทะพอ มุ่งประโยชน์อย่างอื่นด้วย.

----------------------------

  1. ๑. พระราชปุจฉานี้ ในต้นฉบับเดิมไม่มี นำมาเพิ่มเติมในการพิมพ์ครั้งนี้ (กรมศิลปากร, ๒๕๕๐)

  2. ๒. สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ (สุจิตโต ม.ร.ว.ชื่น นพวงศ์) วัดบวรนิเวศวิหาร

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ