คำนำ

ในการพระราชทานเพลิงศพ พระยาบุรีสราธิการ (โจ้ กนิษฐรัต) นี้ พระยศสุนทรได้นำความจำนงของสมาคมรัฐศาสน์และเจ้าภาพมาแจ้งว่าใคร่จะพิมพ์หนังสือแจกเป็นที่ระลึกสักเรื่องหนึ่ง หอสมุดแห่งชาติแนะนำให้พิมพ์พระราชปุจฉาภาคปกิรณกะนี้

พระราชปุจฉาที่พิมพ์อยู่ในภาคนี้ มีพระราชปุจฉาในรัชกาลที่ ๓ หนึ่งฉะบับ พร้อมทั้งคำแก้พระราชปุจฉา ของพระวินัยมุนี เป็นฉะบับที่ยังไม่ปรากฏว่าได้เคยพิมพ์ไว้ในที่ใด เพราะหอสมุดแห่งชาติเพิ่งได้ต้นฉะบับมา ในการพิมพ์คราวนี้ ได้นำเอาคำแก้พระราชปุจฉาอีกสำนวนหนึ่ง ซึ่งได้เคยพิมพ์แล้วอยู่ในพระราชปุจฉาภาคที่ ๔ มาลงไว้ด้วยเพื่อให้ครบ และได้รวบรวมพระราชปุจฉาเรื่องพิธีทำวิสาขบูชาในรัชกาลที่ ๒ และ พระราชปุจฉาในรัชกาลที่ ๖ มาพิมพ์รวมไว้ด้วย

พระราชปุจฉาและคำถวายวิสัชชนาในหนังสือชุดพระราชปุจฉานั้น ย่อมเป็นหนังสือที่ให้ประโยชน์ความรู้แก่นักอ่านนักศึกษาหลายสถาน เป็นต้นว่าได้ทรราบตำนานตลอดจนขนบธรรมเนียมประเพณี และความเชื่อถือของคนในสมัยนั้นทางหนึ่ง ให้ความรู้ในทางอักษรศาสตร์ ด้วยว่าพระราชปุจฉาบางเรื่อง แม้ตลอดจนคำถวายวิสัชชนานั้น บรรดาราชบัณฑิต และพระเถรานุเถระทั้งหลายต้องเรียบเรียงร้อยกรองถ้อยคำจนเห็นว่าไพเราะสละสลวย น่าอ่านน่าฟัง เช่น พระราชปุจฉาในรัชกาลที่ ๓ ที่พิมพ์ในภาคนี้เป็นต้น อีกทางหนึ่ง ถือกันว่าเป็นวิธีที่ให้ความรู้สืบอายุพระศาสนา ด้วยเหตุว่า ผู้วิสัชชนาต้องค้นคว้าหาหลักฐานมาอ้างประกอบความรู้อธิบายจนเห็นว่าถูกต้องแจ่มแจ้ง จึงนับว่าพระราชปุจฉาย่อมให้ประโยชน์เกื้อกูลแก่ความรู้โดยบริบูรณ์

ประเพณีพระราชปุจฉา

ของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ

“ประเพณีมีพระราชปุจฉา คือที่พระเจ้าแผ่นดินมีรับสั่งถามข้ออัตถธรรมซึ่งทรงสงสัยให้พระราชาคณะแต่บางรูป หรือประชุมกันถวายวิสัชชนานี้ เข้าใจว่าจะมีมาแต่โบราณทีเดียว ส่วนประเทศอื่นยังไม่ได้พบหนังสือพระราชปุจฉา นอกจากความที่ปรากฎในพระสูตร ว่ามีพระเจ้าแผ่นดินบางพระองค์ไปทูลถามข้ออัตถธรรมแก่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า กับหนังสือเรื่องมิลินทปัญหาซึ่งปรากฏว่า พระเจ้ามิลินท์ทรงซักไซ้พระนาคเสนด้วยข้ออัตถธรรมต่างๆ เปนอย่างวิจิตรพิสดาร ว่าในส่วนสยามประเทศนี้ ประเพณีมีพระราชปุจฉามีมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยายังเปนราชธานี มีหนังสือพระราชปุจฉา และข้อความที่พระสงฆ์ถวายวิสัชชนาปรากฎอยู่หลายเรื่อง มาถึงชั้นกรุงรัตนโกสินทร์นี้ ปรากฎว่ามีพระราชปุจฉาเมื่อรัชกาลที่ ๑ มากกว่ารัชกาลอื่นๆ แต่ที่หอพระสมุด ฯ รวบรวมฉะบับได้ถึง ๓๙ เรื่อง

เหตุที่มีพระราชปุจฉาเมื่อรัชกาลที่ ๑ มากกว่ารัชกาลอื่น ๆ นั้น ทรงเข้าใจว่าเปนเพราะเมื่อกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าข้าศึก พระไตรปิฎกและสงฆมณฑลเปนอันตรายไปเสียมาก ในครั้งกรุงธนบุรีต้องเสาะแสวงหาพระไตรปิฎกและพระภิกษุซึ่งทรงธรรมวินัยแต่หัวเมืองใหญ่น้อย มารวบรวมเปนหลักในฝ่ายพระพุทธจักรขึ้นใหม่ หนังสือพระไตรปิฎกก็ดี ความรอบรู้พระธรรมวินัยของพระภิกษุสงฆ์ซึ่งเปนพระราชาคณะขึ้นชั้นใหม่ก็ดี ยังบกพร่องอยู่มาก จึงต้องทรงขวนขวายทำนุบำรุงพระพุทธจักรซึ่งเศร้าหมองด้วยเหตุดังกล่าวมา ในส่วนคัมภีร์พระธรรมวินัยทรงพยายามทำสังคายนา และสร้างพระไตรปิฎกขึ้นทั้งฉะบับหลวง และพระราชทานอนุญาตให้ลอกคัดไปไว้สำหรับพระภิกษุสงฆ์เล่าเรียนในพระอารามทั้งปวงอีกหลายฉะบับ คงเกิดแต่มีพระราชประสงค์จะให้พระราชาคณะเอาใจใส่ตรวจตราพระไตรปิฎกให้มีความรู้แตกฉานในพระธรรมวินัย จึงได้มีพระราชปุจฉาในข้ออัตถธรรมต่าง ๆ ให้พระราชาคณะถวายวิสัชชนา เพราะการที่จะถวายวิสัชชนา จำต้องค้นหาหลักเป็นที่อ้างในคัมภีร์ต่างๆ ซึ่งรวบรวมอยู่ในพระไตรปิฎก และจำต้องเอาใจใส่อ่านพระไตรปิฎกจึงจะถวายวิสัชชนาได้สะดวก ถ้าไม่มีพระราชปุจฉา พระราชาคณะก็จะอ่านพระไตรปิฎกน้อยลง จึงได้มีพระราชปุจฉาบ่อยๆ ดังนี้”

พระราชปุจฉาในรัชกาลต่างๆจะมีอยู่มากน้อยสักเพียงไร ในรัชกาลไหนมีจำนวนเท่าใด เป็นอันทราบจำนวนแน่ไม่ได้ เพราะฉะบับกระจัดกระจายกันอยู่ หอสมุดแห่งชาติได้รวบรวมหาได้มาแต่ที่ต่างๆรวมทั้งที่ได้พิมพ์แล้ว และที่พิมพ์อยู่ในหนังสือเล่มนี้เป็นจำนวน ๗๑ พระราชปุจฉา ดั่งได้ย่อเรื่องทั้งหมดพิมพ์ต่อไว้ข้างท้ายเพื่อประโยชน์แก่นักศึกษา จะได้สอบค้นหาดูหัวข้อเรื่องได้สะดวกขึ้น

อนึ่งเจ้าภาพได้เรียงประวัติพระยาบุรีสราธิการส่งมา และได้ให้พิมพ์ไว้เป็นที่ระลึกต่อท้ายคำนำนี้

ขออนุโมทนากุศลบุญราศี ธรรมวิทยาทาน ซึ่งเจ้าภาพได้บำเพ็ญเนื่องในการทักษิณานุปทานกิจนี้ จงสัมฤทธิมนุญผลแก่พระยาบุรีสราธิการ (โจ้ กนิษฐรัต) ตามสมควรแก่ฐานนิยมเทอญ.

กรมศิลปากร

๒ กรกฎาคม ๒๔๗๙

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ