คำถวายวิสัชนา พระราชปุจฉา

(สำเนา)

พระราชปุจฉาที่เจ้าพระยาธรรมาธิกรณาธิบดี เสนาบดีกระทรวงวัง เชิญมาขอให้พระเถรานุเถระถวายวิสัชนานั้น มีความว่า สมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้า ทรงพระราชอนุสรณ์ถึงผู้ซึ่งมีอุปการคุณแด่พระองค์ ผู้ล่วงลับไปสู่ปรโลกแล้ว มีพระราชประสงค์จะทรงบำเพ็ญพระราชกุศลกัลปนาผลพระราชทานผู้นั้น แต่ผู้นั้นเปนคนต่างชาติ หาใช่พุทธศาสนิกชนไม่ จะทำอย่างไรถึงจะให้เปนผลสำเร็จแก่ผู้นั้น โดยญาณวิถี สมพระราชประสงค์ดังนี้ ฯ อาตมภาพทั้งปวงขอถวายวิสัชนาแก้พระราชปุจฉานี้ ฯ เข้าใจว่า บุทคลผู้มีคุณูปการเช่นนั้น จะเปนพุทธศาสนิกชนหรือมิใช่ หาเปนประมาณไม่ ควรมุ่งเอาลัทธิหรือศาสนาที่ผู้บำเพ็ญนับถือเปนประมาณ เมื่อผู้บำเพ็ญเชื่อว่าลัทธิฤๅศาสนาใดเปนดีเปนถูก ก็ควรบำเพ็ญบุญตามลัทธิหรือตามศาสนานั้นแล้ว อุทิศส่วนกุศลไปถึงผู้ตาย ถ้าจะถือเอาลัทธิฤๅศาสนาที่ผู้ตายถือเปนประมาณแล้ว และถ้าผู้จะบำเพ็ญถือลัทธิฤๅศาสนาตรงกันข้ามกับผู้ตาย จะทำอย่างไร ฯ อนึ่ง ถ้าผู้จะบำเพ็ญบุญเชื่อแน่ว่า ลัทธิที่ผู้ตายถือเปนผิดเปนบาป และจะขืนทำเพื่อให้ถูกประสงค์ของผู้ตาย ก็จะกลายเปนตนเองต้องทำบาปตามลัทธิที่ตนถือ เช่นนี้ไม่เปนอันทำบุญและอุทิศส่วนบุญแก่ผู้ตายได้ แต่ถ้าได้บำเพ็ญบุญในทางที่ลงกันได้ทั้ง ๒ ฝ่าย ก็น่าจะเปนการดี ฯ สมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้า เปนเอกอัครพุทธศาสนิกบัณฑิตพุทธศาสนูปถัมภก ควรทรงประพฤติพระราชจรรยาตามพระพุทธศาสโนวาทเปนหลักฐาน อันพระพุทธศาสโนวาทที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทานไว้ อาจใช้ได้ทั่วไปไม่นิยมฉะเพาะชนบางพวก อาศัยพระพุทธโอวาทเปนมหัศจรรย์ดังนี้ จึงปรากฎเปนเนมิตกนามว่าสมเด็จพระโลกนาถเจ้า ผู้วิภัชวาทีบรมศาสดาของประชุมชนทุกชั้นฯ ตามพระราชปุจฉานั้น ควรยกพระพุทธภาษิตที่ตรัสแด่พระเจ้าพิมพิสารมาอ้างว่า อทาสิ เม อกาสิ เม ญาติ มิตฺตา สขา จ เม เปตานํ ทกฺขิณํ ทชฺชา ปุพฺเพ กตมนุสฺสรํ ดังนี้ มีความว่าเมื่อบุทคลมาระลึกถึงคุณูปการ อันผู้ละโลกนี้ไปแล้ว ได้ทำไว้แล้วในก่อนว่า ผู้นี้ได้ให้สิ่งนี้แก่เรา ผู้นี้ได้ทำกิจสิ่งนี้ของเรา หรือผู้นี้เป็นญาติ เป็นมิตร์เป์นสหายของเรา ดังนี้ ก็พึงให้ทักขิณาทานเพื่อผู้เหล่านั้นอันละโลกนี้ไปแล้ว ดังนี้ ฯ คำว่า อทาสิ เม ผู้นี้ได้ให้สิ่งนี้แก่เรา และคำว่า อกาสิ เม ผู้นี้ได้ทำกิจสิ่งนี้ของเราทั้ง ๒ วาจกนี้หมายบุทคลทั่วไป หาได้หมายชนชาติเดียวกันหรือต่างชาติไม่ เพราะฉนั้นเคยทรงบำเพ็ญพระราชกุศล แล้วทรงอุทิศส่วนพระราชกุศลนั้นพระราชทานแก่ชนร่วมชาติฉันใด ชนต่างชาติก็ควรทรงฉันนั้น ฯ

พระราชกุศลที่ทรงพระราชอุทิศ จักเปนผลสำเร็จแก่ผู้นั้น ท่านว่าเพราะบริบูรณ์ด้วยเหตุ ๓ ประการ คือ ผู้วายชนม์ทราบพระบรมราชูทิศแล้วถวายอนุโมทนา ๑ ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลแล้ว ทรงพระราชอุทิศแก่ผู้วายชนม์นั้น ๑ ปฏิคาหกผู้รับปัจจัยลาภที่ทรงบริจาคเปนทักขิเณยบุทคล ๑ เมื่อไม่พร้อมด้วยเหตุ ๓ ประการนี้แล้ว ก็หาเปนผลสำเร็จแก่ผู้วายชนม์ไม่ ฯ

บุรพเปตพลีทักษิณานุประทานกิจ ท่านที่เป็นบัณฑิตได้เคยบำเพ็ญสืบมาแต่โบราณกาล เช่นพระโพธิสัตวเสวยพระชาติเปนพระเจ้าจักรพรรดิ มีพระนามว่า ติโลกวิชัย กีได้ยังประชุมชนให้สมาทานบุญสมบัติที่ได้ทรงบำเพ็ญไว้แล้ว จึงได้ตรัสคาถาอันมาในพุทธาปทานว่า

ยํกิฺจิ กุสลกมฺมํ กตฺตพฺพํ กิริยํ มม เปนต้น แปลความว่ากิริยาคือกุศลกรรมอันใดอันหนึ่ง อันเราพึงทำด้วยกาย กาจา ใจ กิริยาคือกุศลกรรมนั้น เปนของจะถึงสุคติในไตรทศเทวโลก อันเราทำแล้ว ฯ สัตวเหล่าใดที่มีสัญญา หรือสัตวเหล่าใดที่หาสัญญามิได้ สัตวเหล่านั้นทั้งปวงจงเปนผู้มีส่วนบุญ จงเสวยผลแห่งบุญที่เราทำแล้วฯ บุญนั้นที่เราทำแล้ว อันสัตวเหล่าใดทราบดีแล้ว สัตว์เหล่านั้นจงเสวยผลแห่งบุญที่เราให้แล้ว บรรดาสัตวเหล่านั้น สัตวเหล่าใดไม่ทราบบุญที่เราทำแล้วนั้น ขอเทวดาทั้งหลายช่วยไปแจ้งแก่สัตวเหล่านั้นให้ทราบ ฯ สัตว์เหล่าใดทั้งหมดในโลกนี้ เปนอยู่อาศัยอาหาร สัตวเหล่านั้นทั้งหมดจงได้อาหารที่ยังใจให้ฟูด้วยความคิดคือบุญฤทธิ์ของเรา ดังนี้ฯ ติโลกวิชัยภาษิตนี้ แสดงปัตตาทิสนธรรมแก่ผู้ละโลกนี้ไปแล้ว ไม่นิยมใคร อุทิศให้ทั่วกันทั้งมนุษย์อมนุษย์ตลอดจนสัตวดิรัจฉาน เปนแบบอย่างสืบมา ฯ

(ลงพระนาม) กรมหมื่นชินวรสิริวัฒน์

วัดราชบพิธ

วันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๔๖๖

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ