๙
แสงสว่างแห่งดวงอาทิตย์ในเวลาเช้าสาดเข้ามาในห้องเต็มที่ ต้องกายของหญิงสาวซึ่งกำลังหลับสนิทอยู่บนเตียง หล่อนขยับตัวและลืมตาขึ้นมองดูรอบห้องอย่างประหลาดใจ ที่เห็นตัวเองอยู่ในห้องซึ่งผิดจากห้องที่เคยอยู่ พอสมองได้รับความพักผ่อนพอแล้วเริ่มทำงาน จึงนึกได้ว่าหล่อนนอนอยู่ในบ้านพักที่ตำบลหัวหิน ซึ่งหล่อนมาถึงในตอนบ่ายวันก่อน นิจลุกขึ้นนั่งยกมือขึ้นลูบผม พอนึกอะไรขึ้นได้อย่างหนึ่งก็โดดลงจากเตียงโดยเร็ว และวิ่งไปที่ประตูก้มตัวลงมองลอดช่องกุญแจออกไปข้างนอก
“ตายจริง! คุณหลวงตื่นแล้ว!” หล่อนรำพึง พลางลงมือล้างหน้าและแต่งตัว “มีอะไรล้างหน้าล้างตาหรือเปล่าก็ไม่รู้ ผ้าเช็ดตัวก็อยู่ในนี้ ถ้าเห็นจะนึกแช่งเราในใจเป็นแน่ ช่างปะไรเอาให้เข็ด ดูทีหรือจะกล้าว่าอะไรบ้าง” หล่อนหัวเราะด้วยความพอใจ เมื่อนึกถึงภาพที่หล่อนแอบเห็นทางช่องกุญแจเมื่อคืนนี้ สามีของหล่อนแสดงความประหลาดใจ แลฉุนเฉียวเป็นอันมาก เมื่อเห็นเตียงผ้าใบตั้งอยู่หน้าห้อง มีหมอนและผ้าห่มของเขาเองวางอยู่พร้อม เขาถามละไมด้วยเสียงห้วน ๆ ตามเคยว่า
“เตียงนี้ตั้งไว้สำหรับใคร?”
“สำหรับท่านเจ้าคะ!”
“ใครเป็นคนสั่ง” เขาถามเสียงเขียว
“คุณเจ้าค่ะ” เสียงละไมชักสั่นเล็กน้อย
นิจเห็นเขาหันมาดูประตู ที่หล่อนลงกลอนไว้เรียบแล้ว และถามเบาๆ เกือบเท่ากระซิบ
“คุณหลับแล้วหรือ?”
“ยังไงก็ไม่ทราบเจ้าค่ะ”
“ฉันถามว่านอนนานแล้วหรือ?” เสียงอย่างเกรี้ยวกราด
“ไม่นานนักหรอกเจ้าค่ะ พอดิฉันหยิบหมอนกับผ้าห่มออกมาแล้วก็ปิดประตู ประเดี๋ยวท่านก็มาถึง”
เขาไม่พูดว่ากระไรอีก เอามือกอดอกมองดูเตียงมองดูโคมซึ่งแขวนอยู่ตรงหน้า แล้วก็มองออกไปนอกบ้าน นิจไม่ทราบว่าเขาทำอะไรอีก ต่อจากนั้น หล่อนขึ้นเตียงและนอนหลับเหมือนตุ๊กตา
นิจแต่งตัวเสร็จ รีบออกจากห้องโดยเร็ว ที่ระเบียงหน้าห้องไม่มีใครอยู่ จึงเดินเรียบระเบียงไปทางข้างห้อง ซึ่งอาจมองเห็นหาดทรายและทะเลได้ชัดเจน หลวงธนสารกำลังเดินหันหลังมาทางนิจ ก้มหน้าก้าวเท้าหนักดังตึกๆ เห็นได้จากควันโขมงไล่หลังเขาไป ว่ากำลังดูดบุหรี่ถี่ๆ อันเป็นกิริยาที่เขาเคยแสดงเสมอในเวลาพื้นเสีย นิจแสร้งลากรองเท้าแตะให้ดังขึ้น แล้วเดินไปยืนพิงลูกกรง มองดูทะเลซึ่งอยู่ห่างจากสายตาเพียง ๔-๕ เส้น จากหางตาหล่อนเห็นเขาหยุดเดิน เหลียวมามอง แล้วกลับหลังหัน เดินลงส้นให้หนักยิ่งขึ้น ผ่านหล่อนไป นิจยืนนิ่งอยู่จนแน่ใจว่าเขาเข้าห้องแล้ว หล่อนก็ไปครัวช่วยละไมเตรียมอาหารจนเสร็จแล้ว กลับออกมาเห็นสามีนั่งอยู่บนอาสน์ที่เขานอนเมื่อตอนกลางคืนนั่นเอง และสูบบุหรี่ตามเคย
นิจกลับเข้าห้องเพื่อทำความสะอาด บ้านที่ทั้งสองพักนั้น เป็นเรือนเตี้ยๆ ชั้นเดียว หันข้างให้ทะเล บ้านนี้เป็นบ้านหนึ่งในจำนวนหลายบ้านซึ่งเป็นของเจ้าพระยานครินทร์ฯ อยู่ใกล้ๆกับบ้านที่ท่านอยู่เอง ชั่วแต่มีบ้านอีกบ้านหนึ่ง ที่พระยาสุรแสนกับคุณหญิงพัก คั่นอยู่ตรงกลาง บ้านที่นิจอยู่นั้นเล็กกะทัดรัดมีห้องสองห้อง ซึ่งนิจยกให้คนใช้ทั้งสองคนห้องหนึ่ง ห้องที่นิจนอนใหญ่กว่า มีหน้าต่างซึ่งอาจมองเห็นทะเลได้ถนัด อาศัยความอารีของเจ้าคุณนครินทร์ ฯ เจ้าคุณได้จัดหาโต๊ะเครื่องแป้งกับโต๊ะเขียนหนังสือให้บุตรสาวกับบุตรเขยได้ ยังมีของสิ่งหนึ่งที่ไม่จำเป็นก็อุตส่าห์มี คือกระจกกรอบทองเก่าๆ สำหรับแต่งตัว ติดอยู่บนฝาห้องตรงกันข้ามกับโต๊ะเครื่องแป้ง นิจจัดโน่นนิดนี่หน่อยเรียบร้อยแล้วก็ออกจากห้องไปหาสามี
“จะรับประทานอาหารหรือยังคะ?” หล่อนถาม
“กินก็ได้” หลวงธนสารตอบโดยไม่เงยหน้าขึ้นจากหนังสือที่กำลังอ่านอยู่
นิจเลือกเฉลียงทางที่อยู่ใกล้ทะเลเป็นที่รับประทานอาหาร โต๊ะสี่เหลี่ยมเล็กๆ ปูผ้าขาวสะอาดเอี่ยมขวดปักดอกไม้ขวดเล็ก จัดด้วยดอกเทียนตั้งกลางโต๊ะ ผ้าเช็ดมือซักรีดเป็นมันอยู่ในปลอกเงิน ช้อน ซ่อม มีด เครื่องนิ้วและขวดเจียระไนที่ใส่ผักดอง ทุกสิ่งทุกอย่างดูสะอาดน่าดึงใจให้ผู้รับประทานรู้สึกเอร็ดอร่อย นิจจัดการเหล่านี้ด้วยตั้งใจจะให้ถูกอารมณ์สามี
ระหว่างรับประทาน หนุ่มสาวต่างไม่ปริปากพูดเลย การรับประทานอาหารด้วยกันเฉพาะสองอย่างนี้ไม่ค่อยมีบ่อยนัก สามีทำหน้าเจิ่นๆ กลืนอาหารไม่ลงคอ ภริยาทำท่าเหมือนอร่อยเสียเต็มที แท้ที่จริงรับประทานไส้กรอกไม่ทันหมดสิ้น และขนมปังไม่ทันหมดแผ่นต้องอาศัยน้ำช่วยตั้งครึ่งถ้วยแก้ว กาแฟได้รับเกียรติยศมากกว่าอาหารอื่นเพราะกลืนง่าย หลวงธนสารรับประทานทั้งสองถ้วย ซึ่งเกินกว่าปกติถึงเท่าตัว ขณะที่ถ้วยที่สองจวนจะหมด ไม่ทราบว่ามีอะไรเกิดขึ้น ทำให้เปิดปากออก
“เมื่อคืนคุยกับตาจำลองเพลินไป กลับช้าหน่อยเดียวปล่อยให้นอนตากฝนได้”
“อ้อ! เมื่อคืนฝนตกหรือคะ?” นิจถามอย่างซื่อที่สุด
“ตก! มากด้วย สาดเข้ามาจนถึงที่นอน นึกว่าหวัดจะกินเสียแล้ว ผ้าห่มก็หนาไม่พอ”
“อ้าว! นิจก็ไม่ทราบ เอาผ้าห่มมาเฉพาะสองผืนเท่านั้น แต่ไม่เป็นไร ลองไปถามที่คุณแม่ บางที่จะมี ถ้าหาไม่ได้เอาผืนของนิจก็แล้วกัน นิจจะปิดหน้าต่างเสียให้หมด ในห้องไม่หนาวเท่าไหร่”
สามีทำท่าอึดอัด นิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดว่า
“ผ้ากี่ผืนก็หนีละอองฝนไม่พ้น ฉันนอนคลุมหัวไม่เป็น”
นิจเอามือเท้าคางทำท่าตริตรอง
“ถ้ายังงั้นเห็นจะต้องหามู่ลี่ผ้าใบ” หล่อนว่า
นิ่งอึดอีกครั้งหนึ่ง “ไม่ไหวละ ฟ้าแลบเข้าตาออกจะตายไป คืนนี้ต้องเข้าห้อง เมื่อคืนนี้คุยเพลินจนเผลอไป”
นิจยกมือขึ้นปิดปาก กลืนหัวเราะลงในคอด้วยความลำบาก ในที่สุดลุกขึ้นยืนพูดว่า
“คุณพ่อสั่งนิจให้ไปหาเจ้าคุณนครินทร์เช้านี้ จะไปด้วยกันไหมคะ?”
“ไปไหนก็ไปทั้งนั้นแหละ” เขาตอบห้วนๆ “นี่” เขาเอ่ยขึ้นอีกเมื่อนิจเดินห่างออกไป “ฉันจะต้องนุ่งผ้าไหม?” หรือไปทั้งกางเกงอย่างนี้ได้?”
นี่เป็นคราวแรกที่หลวงธนสารขอความแนะนำจากภริยา นิจยิ้มอย่างอ่อนหวาน ขณะที่ตอบว่า
“นุ่งผ้าเสียเถอะค่ะดีกว่า เราตั้งใจไปหาท่านจริงๆ ถ้าเราไปเที่ยวพบท่านเข้าโดยบังเอิญ ถึงจะนุ่งกางเกงก็ไม่เป็นไร”
นิจเข้าห้องหยิบผ้าม่วงสีเขียวแก่ออกวางไว้พร้อมกับเสื้อชั้นนอก พอเสร็จหลวงธนสารก็ตามเข้ามา นิจนั่งลงหวีผมมองเห็นเงาของสามีในกระจก กำลังนุ่งผ้าและม้วนชายกระเบนเป็นเกลียว เสร็จแล้วมือหนึ่งจับชายพกไว้ อีกมือหนึ่งจับชายกระเบน หันหลังเข้าพิงเสาเตียงปล่อยชายกระเบนเสีย หยิบเข็มขัด แต่ด้วยความเผลอเขาหยิบทางหัว ห้อยทางปลายลงห่วง จึงร่วงหลุดตกไปที่พื้น สีหน้าแสดงความอึดอัดใจฉายเด่นอยู่ในกระจก ทำให้นิจต้องกัดริมฝีปากไว้ เพื่อไม่ให้หัวเราะ ถ้าสามีเดาความคิดของหล่อนออก เขาจะเดือดแค้นเพียงไหน แม้ยังไม่รู้สึกตัวว่ามีคนคอยมองดู ยังพลุ่มพล่ามถึงเพียงนั้น แท้จริงเขากำลังอึดอัดอย่างที่สุด จะก้มลงเก็บห่วงหลังห่างจากเสาเตียง ชายกระเบนคงหลุด ก็จะเกิดลำบากขึ้นอีก การนุ่งผ้าให้ตัวเอง ตั้งแต่เกิดมาเป็นหนูยศ แล้วเป็นเด็กชายยศ เป็นนายยศ จนเป็นหลวงธนสารสมบัติ เพิ่งเคยทำคราวนี้เป็นคราวแรก เขานึกตำหนิตัวเองที่ไม่คิดหาคนใช้ของตัวมาสักคน ฮึดฮัดอยู่ครู่หนึ่ง จึงมองไปทางภริยา
“นี่ ช่วยหยิบห่วงเข็มขัดทีเถอะ”
นิจค้อนเงาในกระจกที่หนึ่ง จึงลุกขึ้นเดินมาทำตามสั่ง ทั้งช่วยเหน็บชายกระเบนให้เรียบร้อยด้วย หลวงธนสารหยิบเสื้อสวม แล้วไปยืนที่ม้าเครื่องแป้ง
“เอ๊ะ!” เขาอุทานเบาๆ ตามองดูรูปๆ หนึ่ง ที่พิงอยู่กับกรอบกระจก ยกมือข้างที่ไม่ได้ถือหวีขึ้นเกาศีรษะ “ใครเอารูปมานี่หื่อ” เขาไม่ได้นึกว่าภรรยาควรจะได้ยินคำรำพึงนั้น แต่หล่อนเดินเข้าไปใกล้ แววตาสีหน้าเต็มไปด้วยความล้อเลียน
“นิจเป็นคนเอามาเองแหละค่ะ”
หลวงธนสารงงไปครู่หนึ่ง แล้วคิดไปว่าบางทีแม่รัศมีจะได้ให้รูปนี้แก่นิจด้วย จึงยกขึ้นดูก็เห็นลายเซ็นให้ไว้กับเขาน่ะเอง
“รูปที่เขาให้คุณหลวงยังไงล่ะคะ นิจเห็นว่าอยู่ในห้องไม่มีใครอยู่ ประเดี๋ยวจะเงียบเหงาเศร้าใจจึงพามาด้วย
สามีไม่ตอบว่ากระไร วางหวีลงเสีย โดยไม่หวีผม แล้ววางรูปที่ถืออยู่อีกมือหนึ่งคว่ำทับหวีเสียด้วย ฉวยหมวกได้ออกจากห้องไป
เจ้าพระยานัครินทร์ ฯ กำลังรับประทานอาหารเช้าอยู่ที่นอกชานใหญ่หน้าห้องนอนของท่านเอง ท่านนั่งอยู่บนเบาะซึ่งปูอยู่บนพรมสี่เหลี่ยมผืนใหญ่อีกผืนหนึ่ง โต๊ะสำหรับวางอาหารสูงไม่เกินหนึ่งศอก ตั้งอยู่ตรงหน้าท่าน นอกจากคุณเฉลา ผู้มีหน้าที่โดยตรงสำหรับปรนนิบัติเจ้าคุณบิดาเวลารับประทานแล้ว ยังมีบุตรและภริยาอีกหลายคน นั่งสำรวมอิริยาบถอย่างเรียบร้อยอยู่ในระยะห่างจากตัวท่านเจ้าคุณพอสมควร
คุณฉลาดเป็นผู้นั่งอยู่ปลายแถว เท้าข้างหนึ่งห้อยอยู่ที่นอกชานซึ่งลดลงมาอีกชั้นหนึ่ง เขาเป็นผู้เห็นนิจกับหลวงธนสารก่อนคนอื่น จึงลุกขึ้นเดินไปรับที่บันได แล้วพาขึ้นมาข้างบน
หลวงธนสารนั่งลงกราบเจ้าคุณอยู่ทางปลายพรมตรงหน้าท่าน นิจคลานอ้อมหลังผู้ที่นั่งอยู่ก่อนเข้าไปจนถึงตัวเจ้าคุณ แล้วกราบลงบนตักอันเป็นกิริยาที่นิจเคยแสดงต่อท่านเสมอทุกคราวที่ได้พบกัน
“ยังไง ยายนิจ แกมาถึงเมื่อวานนี้ไม่ใช่หรือ?” ท่านเจ้าคุณถาม เสียงของท่านใหญ่และกังวานเป็นสง่า สมกับรูปร่างอันยิ่งผายและดวงหน้าอันแสดงอำนาจอยู่ในตัว
“เจ้าค่ะ” นิจตอบ
“บ้านเป็นอย่างไรบ้าง ไม่เล็กไปไม่ใช่หรือสำหรับสองคนผัวเมีย ฉันว่าจะให้แกอยู่หลังโน้นข้างหลังเรือนฉันนี่แหละ เพราะว่ามันโตกว่าหลังที่แกอยู่ แต่พ่อแกว่าคงชอบเรือนที่เขาเลือกให้มากกว่า เพราะมันใกล้ทะเล
นิจยิ้มและไม่ตอบว่ากระไร เป็นกฎธรรมดาระหว่างผู้น้อยกับผู้ใหญ่สนทนาต่อปากคำกันไม่ได้นาน
“เฉลา แกไม่หาอะไรมาเลี้ยงเพื่อนแกหรือ? ลูกหมากรากไม้มีไม่เอามาสู่กันกิน นี่กินข้าวเช้ากันแล้วหรือยัง?”
“รับประทานแล้วเจ้าค่ะ พอเสร็จก็มานี่”
เฉลาหันไปพยักหน้ากับน้องชายคนหนึ่งให้ยกกระเช้าลูกไม้มาให้นิจ หลวงธนสารกำลังสนทนาเบา ๆ อยู่กับคุณฉลาด ชำเลืองดูภรรยาเห็นหล่อนกำลังปอกลางสาดรับประทานอย่างเอร็ดอร่อย เจ้าคุณนครินทร์มองดูกิริยาแสดงความสนิทสนมอย่างเด็กๆ ด้วยความพอใจ ครั้นเห็นนิจกำลังรับประทานเพลินท่านจึงพูด สัพยอกขึ้นว่า
“นั่นจะกินเสียคนเดียวหรือยายนิจ คนที่เขามาด้วยไม่ให้เขากินบ้างหรือ?”
นิจเงยหน้าขึ้นยิ้ม แล้วก็ผลักกระเช้าลูกไม้ไปให้ห่างตัว แต่ไม่ลืมที่จะหยิบลางสาดวางไว้บนตักเป็นช่อใหญ่
นิจอยู่ที่บ้านเจ้าคุณนัครินทร์ คุยเล่นกับเฉลาและพี่น้องผู้หญิงของเฉลาจนเที่ยงเศษ หลวงธนสารเล่นสะกากับคุณจำลองเพลินอยู่เหมือนกัน ต่อภริยามาชวนกลับจึงรู้สึกว่าหิว ทั้งสองกลับไปรับประทานอาหารกลางวันที่ที่พัก แล้วนิจทิ้งสามีไว้บ้านแต่คนเดียว ตัวเองไปอยู่ที่บ้านเจ้าคุณสุรแสน เย็นลงอาบน้ำทะเลกับเพื่อน ๆ และกลับถึงที่พักพอดีเวลาเตรียมอาหารค่ำ
“ละไม” นิจเอ่ยขึ้นทันทีขณะเมื่อรับประทานอาหารค่ำเสร็จ “ก่อนที่แกจะกินข้าวไปที่ที่พักคุณพ่อ บอกให้นายวันมารับฉันยามหนึ่งตรง ฉันจะไปนอนที่บ้านโน้น”
สามีของหล่อนวางผ้าเช็ดมือกระแทกลงบนโต๊ะ
“มีใครเป็นอะไรไปหรือ?” เขาถาม
“เปล่าค่ะ!”
“อ้าว! ก็ว่าจะไปนอนที่บ้านโน้น คิดว่าจะไปนอนเป็นเพื่อนใคร หรือพยาบาลใคร?”
“ถูกแล้ว นิจจะไปนอนที่โน่น แต่ไม่ใช่สำหรับเป็นเพื่อนใคร หรือพยาบาลใคร”
“.............”
“.............???”
“ละไม แกไปกินข้าวเถอะ ที่คุณสั่งน่ะฉันจะจัดการเอง” หลวงธนสารสั่งแล้วจุดบุหรี่ดูดถี่ๆ หลายหนซ้อนกันในอึดใจเดียว จนควันฟุ้งตระหลบไปหมด
“นึกอย่างไรถึงจะไปนอนที่บ้านโน้น?” เขาถามเมื่อบุหรี่หมดเข้าไปแล้วครึ่งตัว
“ก็คุณหลวงจะนอนในห้อง!”
เขาทำตาโตมองดูหล่อน นิจยิ้มขรึมๆ ดวงตาดำขลับและหวานซึ้ง จ้องตาเขาเต็มไปด้วยความหมาย ซึ่งหลวงธนสารอ่านไม่ออกชัด เขาหลับตาลงทันที ตั้งต้นอัดบุหรี่พักใหญ่แล้วจึงพูดว่า
“ฉันจะนอนข้างนอกเอง เหมือนเมื่อคืนนี้”
เป็นคราวเคราะห์ของหลวงธนสาร จะว่าเคราะห์ดีหรือร้ายก็ได้เท่ากัน คืนวันนั้นฝนตกตั้งแต่เที่ยงคืนจนตี ๓ เขาต้องนอนคลุมศีรษะอึดอัดและไม่ได้หลับเกือบตลอดคืน รุ่งเช้าขึ้นจามเสียพักใหญ่ และทำจมูกฟิดๆ แสดงว่าตั้งต้นจะเป็นหวัด อาการของเขาทำให้นิจใจหายต้องกลัวว่าถ้าเขาเกิดเจ็บไข้ขึ้น ความผิดนั้นจะต้องเป็นของหล่อนโดยตรง จึงตกลงใจจัดห้องนอนของคนใช้เป็นห้องนอนของหล่อนเองอีกห้องหนึ่ง และให้นายสอนคนใช้ผู้ชายนอนที่หน้าห้อง