บ่ายวันหนึ่งในเดือนกันยายน อากาศเย็นรื่นมาแต่เช้า ครั้นตกบ่าย ๑๗ นาฬิกาพระอาทิตย์กลับฉายแสงเหลืองจ้าลงจับต้นไม้ และพื้นดินสว่างไสว นางธนสารสมบัติยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าต่างในห้องนอน ข้อศอกเท้าอยู่บนกรอบหน้าต่าง ดวงตาดำมีแววโศกจ้องจับดูสนามสี่เหลี่ยมเล็กตรงหน้า ที่นั้นเป็นที่ๆ หล่อนเคยอาศัยนั่งเล่น และฆ่าเวลาให้หมดไปโดยการอ่านหนังสือ หรือรำพึงถึงสิ่งเศร้าใจอยู่คนเดียว เก้าอี้ไม้ยาวทาสีขาวตั้งหันหลังติดกับรั้วบ้านระหว่างต้นสายหยุดสองต้น ต่อจากต้นสายหยุดคือกระถางกุหลาบตั้งเป็นระยะไปรอบสนามจดเชิงบันได เงียบสงัดไม่มีศัพท์สำเนียงใด ๆ นอกจากเสียงนกร้องและเสียงกิ่งไม้ไหวราวกับทั้งบ้านอันรโหฐานนี้ไม่มีมนุษย์คนอื่นอยู่นอกจากสตรีสาว ผู้มีหน้าอันเศร้าแสนเศร้าแต่ผู้เดียว นิจถอนใจสะท้อนติดกันหลายครั้ง ความว้าเหว่เป็นความรู้สึกที่เคยชินกับหล่อนเสียแล้ว แต่เฉพาะวันที่ ๘ กันยายนนี้ ในปีก่อน ๆ ที่ล่วงแล้วมา เป็นวันที่ใจได้รับความเบิกบานสำราญใจเป็นที่สุด ความรู้สึกถึงความเป็นไปในกาลก่อนยกมาเทียบกับกาลปัจจุบันนั่นเอง ที่ทำให้หัวใจปวดร้าวราวจะแตกทำลาย เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๖๙ ในชั่วโมงเดียวกันนี้ นิจยังจำได้ติดตาว่าหล่อนกำลังยืนอยู่กลางสนามที่บ้านคุณพ่อ พี่น้องและเพื่อนที่รักล้อมอยู่รอบกาย ทุกคนพากันอวยชัยให้พรกับหล่อนสำหรับวารดิถีอันคล้ายวันเกิด ชั่วเวลา ๓๖๕ วันนี้ โลกหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไปเป็นอันมาก กรรมบันดาลให้ใจต้องมาเป็นนางธนสารสมบัติ และถูกทิ้งขว้างให้ว้าเหว่อยู่คนเดียว ในวันที่หล่อนต้องการความพะเน้าพะนอและความเอาใจใส่อย่างที่สุด สามีของหล่อนตลอดจนบิดามารดาของเขารู้ดีว่าวันนี้เป็นวันเกิดของนิจ เพราะในตอนกลางคืนวานนี้เอง หล่อนได้ลา คุณหญิงว่า จะไปใส่บาตรที่บ้านในตอนเช้าและบอกเหตุผลให้ทราบด้วย คุณหญิงดูทำท่าไม่พอใจ และไม่เข้าใจว่าเหตุใดจะต้องใส่บาตรในวันเกิด ท่านพูดเปรยๆ ว่า

“ดีนะแม่นิจ อุตส่าห์ทำบุญวันเกิด พวกฉันไม่มีใครมีวันเกิดสักคน เราไว้ทำบุญวันตาย”

คำพูดนี้เท็จแท้ๆ นิจจำได้ดีว่าเมื่อสองเดือนก่อน คราวที่หลวงธนสารมีอายุครบ ๓๐ ปีบริบูรณ์ เขาก็ได้ทำพิธีรื่นเริงฉลองเหมือนกัน วันนั้นเองเป็นวันที่หัวใจของนิจถูกกรีดออกเป็นริ้วเล็กริ้วน้อยแผลยังระบมเป็นหนองอยู่จนเดี๋ยวนี้ นิจสังเกตเห็นว่าสามีมีนิสัยชอบอ่านหนังสือทุกชนิด หล่อนจึงไปซื้อหนังสือพงศาวดารดึกดำบรรพ์มาให้เขาเป็นของขวัญ หล่อนส่งให้เขากับมือในตอนเช้า เมื่อเขาอ่านหนังสือที่ชิงช้าหลังบ้าน ครั้นตอนสายลง นิจเห็นหนังสือนั้นทิ้งอยู่ใต้ชิงช้า จึงเก็บไปไว้บนโต๊ะหนังสือในห้องเขา พอตอนเย็นก็กลับลงไปอยู่ในตะกร้าสำหรับทิ้งเศษกระดาษอีกแล้ว เมื่อนิจเห็นหนังสือนั้นปนอยู่กับเศษกระดาษ หล่อนรู้สึกสะดุ้งใจและไม่เห็นเหตุว่าทำไมเขาจึงต้องเกลียดชังถึงกับต้องขว้างทิ้งเสีย ต่อเมื่อปกหนังสือนั้นแบะออกเห็นลายเซ็นที่หล่อนเซ็นไว้เองจึงนึกขึ้นได้ คำที่เขียนไว้ว่า ‘ให้คุณหลวงผู้เป็นสามียอดที่รักของนิจในวันเกิด’ นี่เองเป็นเครื่องบาดใจเขา เขาทำกับของที่หล่อนให้เพียงนั้นยังไม่พอ ค่ำลงเขาเลี้ยงอาหารเพื่อนที่ห้อยเทียนเหลา โดยมิได้ชวนหล่อนสักคำ ตอนนี้ยังไม่เป็นไร มีข้ออ้างว่าเขาอยากสนุกกับเพื่อนผู้ชายล้วน แต่ตอนดึกเมื่อเขากลับมาบ้านมิได้มาคนเดียว พาเอาแม่รัศมีมาด้วย คำพูดของคนทั้งสองซึ่งแสดงว่า เขาได้เที่ยวกันมาพักใหญ่แล้วนั้น นิจยังจำได้ขึ้นใจ ดังจะกล่าวต่อไปนี้

คืนวันนั้นความกระเทือนใจที่ได้รับในตอนเย็น ทำให้นิจนอนไม่หลับจนดึกราวเที่ยงคืน อากาศเผอิญร้อนอบอ้าวลมไม่พัดเสียเลย นิจจึงลุกขึ้นจากเตียง สวมเสื้อชั้นนอกแล้วลงจากตึกมาข้างล่าง ตั้งใจจะเดินเล่นอยู่ที่สนามพอให้เย็นใจ คนที่บ้านพระยาวิชัยนี้เข้านอนแต่หัวค่ำเสมอ ราว ๑๑ นาฬิกาเศษทุกคนมักจะหลับเงียบหมด คืนนั้นเดือนหงายสว่างจ้า นิจเดินอ่อย ๆ ชมจันทร์อยู่สักครู่ เห็นรถคันหนึ่งแล่นเข้ามาทางประตูใหญ่ แน่ใจว่าเป็นรถของสามี ด้วยความไม่อยากประจันหน้ากับเขา นิจจึงหลบตัวเข้าบังเงาต้นไม้ข้างโรงรถ ซึ่งอยู่ห่างจากประตูใหญ่เพียงเล็กน้อย เข้าใจว่าเขาจะนำรถเข้าเก็บในโรง แต่เขาไม่ทำเช่นนั้น เพราะเขามิได้มาคนเดียว ข้างตัวเขามีสตรีผู้หนึ่งนั่งมาด้วย เจ้าหล่อนผู้นั้นห่มผ้า ซึ่งแสงจันทร์ไม่สว่างพอที่จะทำให้เห็นได้ว่าเป็นสีอะไรแน่ และสวมหมวกผู้ชาย ซึ่งน่าจะเป็นหมวกของหลวงธนสารนั่นเอง สามีของนิจเปิดประตูให้เพื่อนเดินทางลง แล้วเดินเคียงกันไปปลุกคนรถให้เอาน้ำมันมาเติม ระหว่างคอย เขาทั้งสองยืนอยู่ข้างต้นแก้วที่นิจซ่อนอยู่นั่นเอง นิจรู้สึกว่าเขาทั้งสองอยู่ใกล้กับหล่อนมาก เพียงต้นไม้คั่นอยู่เท่านั้น ใกล้จนหล่อนกลัวว่าหัวใจของหล่อนซึ่งกำลังเต้นแรงนั้นจะดังออกมานอกทรวงอก อันจะเป็นเหตุให้เขาทั้งสองได้ยิน จึงรีบตัวบังกอไม้ และพยายามผ่อนหายใจให้เบาลงอีก ได้ยินเสียงกิ่งแก้ว ทางด้านที่หนุ่มสาวยืนอยู่ไหวแกรกกรากครู่หนึ่ง และได้ยินเสียงผู้ชายพูดแผ่วๆ ว่า

“เธอใส่น้ำหอมอะไรนะ ช่างหอมชื่นใจเสีย จริงๆ”

เสียงหัวเราะเบา ๆ ของฝ่ายหญิง “ยังได้กลิ่นอีกหรือคะ ดิฉันคิดว่ามันระเหยตามลมไปหมดแล้วอีก”

“ยังอยู่จ้ะ อยู่ที่ผม ที่หน้าน่ะหมดไปแล้ว”

“อุ้ย! ก็คุณพี่น่ะซีขโมยเขาไปหมด”

ไม่มีเสียงตอบ เสียงฝ่ายหญิงดังขึ้นอีก

“อุ้ย! อะไรก็ไม่รู้ละ ว่าอยู่หยก ๆ น้ำหอมที่คุณพี่ให้ดิฉันยังไงล่ะคะ น้ำไวโอเล็ตน่ะ เกือบหมดหีบแล้ว เหลืออีกขวดเดียวเท่านั้น”

“หนาวไหมจ๊ะ ยอดรักของพี่?”

“ยังงี้จะหนาวยังไงได้คะ ไอตัวคุณพี่นี่ร้อนจริง”

“ไม่ใช่หรอก เธอเข้าใจผิด ไอของความรักน่ะ มันร้อนกรุ่นอยู่ในหัวอกด้วยความไม่สมปรารถนาเมื่ออยู่ชิดกับเธอเช่นนี้ ยิ่งลุกฮือจนลามไปเผาเธอเข้าด้วย”

“ต๊าย! ตาย! หมั่นไส้ ช่างพูดนัก ปากละหวานเสียเหลือเกิน”

“ยังไม่หวานเท่าปากเธอ”

เสียงลมพัดกระโชกฮือใหญ่ พายุฝนเกิดขึ้นในทันทีทันใด และฟ้าแลบ

“ฝนจะตกก็ไม่รู้ น่ากลัวเธอจะไม่ได้กินไอสกรีม”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ตกลงมาเวลานี้ก็ไม่กลัว แหม! ถ้าตกลงมาเวลาที่เราอยู่บางซื่อละแย่ทีเดียว”

“จะแย่ทำไม ผ้าบังฝนของเราก็มี”

“ดิฉันกลัวฟ้า”

“อยู่กับพี่สองคนแล้วยังกลัวอีกหรือ?”

ฝ่ายหญิงไม่ตอบด้วยคำพูด แต่คงตอบด้วยกิริยา ด้วยนิจได้ยินเสียงฝ่ายชายถอนใจยาว

เงียบกันอยู่ครู่หนึ่ง

“นี่ถ้าเธอไปถึงบ้าน พบน้าชมยังตื่นอยู่จะว่าอย่างไร?”

“อุ้ย จะเป็นอะไรไปคะ แม่แกไม่ว่าหรอก ก็ดิฉันไปเที่ยวกับคุณพี่กลับดึก ๆ น่ะแกรู้ทุกทีแหละ ว่าแต่คุณพี่เถอะ กลับมาหม่อมเขายังตื่นอยู่จะว่าอย่างไร”

“ไม่ตื่นหรอก เด็กคนนั้นนอนหัวค่ำเสมอ ถึงตื่นก็จะมาทำอะไรพี่ ทั้งเขาไม่เคยถามสักทีว่าพี่ไปไหนมาบ้าง”

“เด็กดี๊ดีนะคะ!”

ฝ่ายชายหัวเราะหึๆ “ถึงถามก็ไม่บอก ธุระอะไรจะต้องมาเซ้าซี้จุกจิก ไม่ได้เป็นแม่ของพี่นี่”

“อ่านหนังสือที่เขาให้เป็นของขวัญแล้วหรือคะ?” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเยาะเย้ย ประชดประชันแกมถือดี

ผู้ชายตอบห้วนๆ “เปล่า ทิ้งตะกร้าไปแล้ว”

“โถ! น่าสงสาร! เดี๋ยวเขาโกรธขึ้นมา หนีไปอยู่เสียกับพ่อ จะว่าอย่างไร?”

เสียงหัวเราะหัวนๆ “ถ้าเป็นได้เช่นนั้นจริงเธอไม่ดีใจหรือ เธอไม่นึกหรือว่าพี่จะได้ความอิสรภาพคืนมา เป็นอิสระ เป็นคนโสดอีกครั้งหนึ่ง แทนที่จะยืนอยู่เช่นนี้ เราจะได้อยู่ด้วยกันในห้องโน้น นั่น! ห้องของเขาและห้องของพี่ เราจะรื้อฝาออกเสียทำให้เป็นห้องเดียวกัน เธอไม่นึกบ้างดอกหรือว่าเราจะมีความสุขเพียงไร เธอไม่ได้คอยชั่วโมงเหล่านั้นอยู่ดอกหรือ เออ! รัศมีของพี่ คิดแล้วแค้นใจนัก เธอรักพี่เสมอ เหตุไรจึงไม่...”

เสียงของเขาขาดหายไปเหมือนมีอะไรมาปิดปากเสีย เสียงผู้หญิงดังขึ้นแทน

“จุ้ย๎ จุ้ย๎ คุณพี่ เอาอีกแล้ว ดิฉันอยู่กับคุณพี่เท่านี้ยังไม่พออีกหรือคะ เราต้องอดทนไปก่อน คอย ๆ ๆ โอกาสของเรา คงจะมาถึงสักวันหนึ่ง...ปล่อยทีค่ะ ตาอาบเดินมานั่นแน่ะ เห็นจะเติมน้ำมันเสร็จแล้ว”

ทั้งหมดที่กล่าวมานี้กินเวลาไม่ถึง ๑๐ นาที แต่นิจรู้สึกคล้ายกับว่านานราวสัก ๑๐ ปีของนรก คืนวันนั้นหล่อนไม่ได้หลับตลอดคืน ใช้เวลา ๖ ชั่วโมงทำศึกในใจ ความโกรธกับความหยิ่งต่อสู้กับเหตุผลและความมานะอย่างรุนแรง มาลงเอยเอาตอนเช้าตรู่แสงอรุณขึ้น โดยฝ่ายเหตุผล ซึ่งเป็นฝ่ายถูกได้ชัยชนะ

นี่แหละคือเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันเกิดของหลวงธนสาร และคุณหญิงวิชัยได้พูดออกมาเต็มปากเต็มคอว่า พวกของท่านไม่เคยนึกถึงวันเกิด

นิจยืนรำพึงถึงสิ่งเหล่านี้อยู่นาน ต่อมาหล่อนได้ยินเสียงรถแล่นเข้ามาในบ้าน เสียงผู้หญิงหัวเราะแว่ว ๆ นิจยิ้มอย่างขมขื่น คงยืนนิ่งอยู่ในท่าเดิม หล่อนเดาเอาเองว่าคงเป็นหลวงธนสาร พร้อมด้วยบิดามารดาและน้องสาวของเขา กลับมาจากที่ใดที่หนึ่งที่เขาไปมาด้วยกัน ช่างเขาปะไร ใครจะมาจะไปในบ้านนี้ไม่เกี่ยวกับหล่อน แขกของคุณหญิงที่มีมาไม่เว้นแต่ละวัน นิจไม่เคยได้พบ ความเหินห่างระหว่างหลวงธนสารกับนิจ ทำให้นิจไม่มีโอกาสรู้จักกับญาติของสามี และด้วยเหตุอันเดียวกันสามีก็ไม่รู้จักกับญาติของภรรยา นิจเคยถูกต่อว่าจากญาติทางฝ่ายหล่อนเสมอมา ไม่พาสามีไปให้รู้จักและไม่ไปมาหาสู่เหมือนแต่ก่อน นิจแก้ตัวไปตามแต่จะได้ ลงท้ายเมื่อหมดหนทางก็เลยเลี่ยงไม่อยากพบปะกับพี่น้องอีก เป็นเคราะห์ดีเมื่อกลับจากสิงคโปร์แล้ว เจ้าคุณสุรแสนได้สั่งให้บุตรเขยและบุตรสาวไปไหว้ญาติผู้ใหญ่ฝ่ายนิจสองสามคน ซึ่งทำให้นิจหายหนักใจไปบ้าง สำหรับญาติผู้ใหญ่ฝ่ายสามี นิจได้ไปไหว้พระยากำแหงรณภพคนเดียว ท่านผู้นี้มีความกรุณานิจมาก เมื่อได้พบหลานชายน้องชาย หรือน้องสะใภ้ก็ถามข่าวถึงหลานสะไภ้ด้วย และสั่งเสียให้ไปหาเสมอ เมื่อวันขึ้นปีใหม่ยังได้ส่งนาฬิกาเรือนเพชรมาให้เป็นของขวัญ อ้างเหตุว่าเมื่อแต่งงานของรับไหว้ท่านให้กับฝ่ายชายแต่ฝ่ายเดียวไม่ยุติธรรม จึงให้นาฬิกาข้อมือมาแก้ตัว คุณหญิงสงวนไม่พอใจอย่างยิ่ง ที่เจ้าคุณโปรดปรานหลานสะใภ้ถึงเท่านั้น เพราะตัวท่านเองที่เคยประจบประแจงพี่ชายของสามีอยู่เสมอ ยังไม่เคยได้อะไรที่เป็นแก่นสารสักที หนหนึ่ง เจ้าคุณผู้นี้ไปหาเจ้าคุณสุรแสนที่บ้าน เผอิญพบกับนิจ ท่านถามหล่อนว่าท่านไปที่บ้านพระยาวิชัยถึงสองครั้งแล้ว เหตุไรไม่พบสักที นิจไม่ประหลาดใจเลยที่คุณหญิงวิชัยไม่ได้เรียกร้องเชิญหล่อนมาหาลุงของสามี เพราะเป็นของธรรมดาอย่างเอก ความเป็นไปในบ้านของท่านไม่เคยเกี่ยวถึงหล่อนมาแต่ไร สิ่งเดียวที่ทำให้นิจจำได้ว่าหล่อนอยู่ในบ้านนั้น คือต้องรับประทานอาหารทั้งสามเวลาพร้อมกับพ่อบ้านแม่บ้านนั้นเอง

เสียงหัวเราะดังใกล้เข้ามาทุกที ฟังดูคล้ายหลายเสียงประสานกัน ชั่วครู่เดียวนิจเบิกตากว้างด้วยความประหลาด และแทบไม่เชื่อตาตนเองกำลังเลี้ยวจากมุมตึกตรงมาที่หล่อนยืนอยู่ คือเฉลาเพื่อนรักและเพื่อนสาวอื่น ๆ อีก ๔ คน

นิจผละจากหน้าต่างรีบลงบันไดมาทีละสองขั้นมาโดยเร็ว โผตัวเข้าในวงแขนของเฉลา น้ำตาที่คลอตาอยู่ตั้งครึ่งชั่วโมงนั้น จะหยดลงในเวลานี้เสียแล้ว ด้วยความมานะอย่างสุดกำลัง นิจกลั้นสะอื้นไว้ได้ ในดวงหน้าที่หันมาหาเฉลาคงเหลือแต่ความดีใจ

“เห็นไหมนิจ ว่าพวกเราไม่ลืมเธอในวันนี้ ดูซีครบชุดทีเดียว” เฉลาพูดพลางหันไปทางแม่สาว ๆ

นิจออกจากวงแขนเฉลา รีบตรงไปกอดรัดเพื่อนทีละคน ความปิติทำให้เสียงไม่ออกจากลำคอ จนเวลาแห่งความตื่นเต้นผ่านไปแล้วจึงพูดออกมาได้

“เชิญขึ้นไปบนเรือนฉันเถอะ ขออนุญาตรับในห้องนอน เราจะได้อยู่กันตามลำพัง…...แหม! ถวิลก็อุตส่าห์มาร่วมด้วยได้ ตั้งแต่เธอไปส่งฉันที่ท่าเรือแล้วไม่ได้พบกันอีกเลย”

“ก็ฉันไปไหนตามลำพังคนเดียวได้เมื่อไรล่ะ นี่หากว่าคุณเฉลากับจำนงไปรับ ถึงกับไปลาคุณแม่ให้ถึงมาได้ เธอสิแต่งงานแต่งการแล้วทำไมถึงไม่ไปเยี่ยมฉันบ้าง?”

“ก็เขาเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ต้องทำหน้าที่แม่บ้านจะหาเวลาว่างที่ไหนมา” เฉลาแก้แทน “...แต่นี่นิจ เราไปคุยกันที่ไหนที่ไม่ใช่ห้องนอนถึงจะได้ เพราะพี่มีพี่ชายมาด้วย ทั้งแม่พี่สะใภ้ของพี่ก็มากับสามี”

“อ้อ!” นิจร้อง “แหมจำนงถึงกับหน่วงเอาคุณจำลองมาด้วยเทียวหรือ ถ้ายังงั้นไปที่ห้องรับแขกกันเถอะ…...พี่เฉลาคะ พี่ชายที่มาด้วยชื่ออะไร?”

“ชื่อฉลาด คนนี้เธอไม่เคยรู้จัก เพราะไปเป็นชาวป่าเสียหลายปี”

นิจนำหน้าพาเพื่อนไปยังห้องสี่เหลี่ยม ซึ่งจัดไว้เป็นห้องรับแขก แล้วจัดแจงเปิดหน้าต่างออกทุกบาน แม่เพื่อนสาวที่มานำของขวัญกระจุกกระจิกมาด้วยทุกคน นิจรับรองและกล่าวคำขอบใจแล้วก็เชิญให้นั่ง เฉลาเข้ามาทีหลังเพื่อนพาพี่ชายทั้งสองเข้ามาด้วย

“นิจ” หล่อนกล่าวแนะนำ “นี่พี่ฉลาด ... คุณพี่คะ นี่นางธนสารสมบัติ หรือ นิจ ที่ดิฉันเคยพูด ถึงเสมอ”

“เชิญนั่งซีคะ” นิจพูดพลางประณมมือทำความเคารพ “ยินดีที่ได้รู้จักกับคุณซึ่งเป็นพี่ของเพื่อนที่รัก พี่เฉลาเป็นยิ่งกว่าเพื่อนของดิฉัน เพราะฉะนั้นดิฉันจึงเรียกว่าพี่”

“และพี่เห็นว่า พี่ฉลาดคงยินดีให้เธอเรียกว่าพี่ด้วยเหมือนกัน”

“แน่นอนทีเดียว และบางทีเธอจะไม่รังเกียจที่จะอนุญาตให้ฉันเรียกชื่อตัวสั้น ๆ นิจเป็นคำที่เพราะและน่าเอ็นดูอยู่ในตัว ถ้าทรงเครื่องเข้าไปเห็นจะรุ่มร่าม ฉันรู้จักชื่อเธอก่อนที่จะได้พบตัวหลายปี

นิจยิ้มอย่างแช่มช้อยตอบว่าหล่อนไม่รังเกียจ แล้วเชิญให้แขกของหล่อนนั่ง ตัวเองออกไปทางหลังห้อง หายไปสักครู่จึงกลับเข้ามา

คุณฉลาดนั่งคุยอยู่ราว ๒๐ นาที แล้วก็ลุกขึ้นกล่าวคำขอโทษ ว่าจะต้องไปธุระที่อื่น เวลา ๑๙ นาฬิกา จึงกลับมารับน้องสาว

เพื่อนของนิจที่มาในวันนี้ ทุกคนเคยอยู่โรงเรียนกินนอนร่วมกันมา และออกจากโรงเรียนก็ไล่เลี่ยกัน เพราะฉะนั้นจึงมีความสนิทสนมกันมาก การสนทนาเข้ากันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ย นายจำลองเป็นผู้ชายคนเดียวที่นั่งอยู่ ณ ที่นั้น แต่เขาไม่มีความกระดากกระเดื่อง เพราะเขารู้จักเพื่อนของภริยาดีพอที่จะรู้สึกเป็นคนกันเอง เจ้าของบ้านไม่ค่อยได้พูดกี่คำ ทำหน้าที่เป็นผู้ฟังอยู่เรื่อย คำพูดอันตลกคะนองของเพื่อน ร่วมกับความอารี ทำให้หัวใจของนิจชุ่มชื่นขึ้นบ้าง แต่ไม่พอที่จะทำให้หล่อนลืมฐานะอันแท้จริงของตนเสียได้

“นี่พระเอกของเธอไปไหนเสียนะ?” เพื่อนคนหนึ่งถามขึ้น

นิจกลืนน้ำลายอย่างฝืดเคืองก่อนที่จะตอบ

“เขามีธุระต้องไปกับคุณพ่อคุณแม่”

“อะไร ทิ้งเมียไว้คนเดียวในวันเกิดคุณของฉัน อย่างนี้ละก็ฮึ่ม!” แม่ลับร้องขึ้น หล่อนเพิ่งแต่งงานได้สองเดือนเท่านั้น และไม่ยอมเข้าใจว่าผู้ชายจะมีธุระอะไร ซึ่งสำคัญเหนือไปกว่าความรัก

“โถ ก็เขามีธุระนี่นะ” เฉลาค้อนพลางชำเลืองดูนิจ “เขามิทำมิ่งขวัญกันแต่เช้าแล้วหรือ เรามาเฉพาะเวลาที่เขาไม่อยู่ แล้วมาทำเจ้ากี้เจ้าการ”

คำพูดสองสามประโยคนี้กระแทกหัวใจนิจเข้าปังใหญ่ สุดที่จะฝืนสีหน้าให้เป็นปกติได้จึงลุกขึ้นกล่าวคำขอโทษ แล้วเดินออกจากห้องขณะที่จำนงกำลังพูดว่า

“ยังใหม่อยู่ ยังใหม่อยู่ รอให้ปีหนึ่งล่วงแล้วเสียก่อนเถอะ ลับ เธอจะเห็นว่าผู้ชายไม่จำวันเกิดภริยาได้เสมอไปหรอก” พูดแล้วชำเลืองค้อนสามีขวับใหญ่

“เข้าเรื่องเก่าละ จำนง” จำลองพูดแกมหัวเราะ “พี่ยังไม่เคยลืมวันเกิดเธอสักที เพิ่งหนเดียวเมื่อปีกลายนี้เท่านั้น”

“นั่นมันตรงกันไหมกับคำที่ว่าไม่เคยลืมสักที!” เฉลาถาม

พี่ชายโคลงศีรษะไปมาแล้วพูดว่า

“เอาแล้วเฉลา เป็นสัมพันธมิตรกับพี่สะใภ้ตามเคย ส่วนพี่ของตัวเองล่ะไม่ช่วยบ้างเลย”

เฉลากับจำนงมองดูกันแล้วก็หัวเราะ

ส่วนนิจเมื่อเดินออกจากห้องรับแขก ตั้งใจจะไปเตือนคนใช้ให้ยกน้ำชามาเลี้ยง ตามที่ได้สั่งไว้ พอพบกับละไมหญิงสาวใช้ประจำตัวพอดี สีหน้าของเด็กหญิงบึ้งบูดแสดงว่าได้เกิดเรื่องกับคนใช้อื่นๆ มาแล้ว อาศัยความเคยชิน นิจเดาเรื่องได้ตลอดทันที โดยไม่ปล่อยโอกาสให้เด็กคนใช้มีเวลาพูดอะไรได้สักคำ นิจรีบหลีกทางเดินไปเสียบนห้อง หยิบธนบัตรได้สองบาทแล้วจึงรีบกลับลงไปครัว ที่นั่นหล่อนได้พบสิ่งที่นึกไว้แล้วโดยตลอด จริงดังคาด ยายแม่ครัวกำลังใช้ปากอันดำด้วยน้ำหมากบ่นพึมพำว่างานล้นมือทำไม่ไหว นายหรือก็มากคน เดี๋ยวคนนั้นจะเอานี่ เดี๋ยวคนนี้จะเอานั้น แท้ที่จริงงานซึ่งมากขึ้นตามที่แกบ่นนั้น ไม่มีอะไรมากไปกว่าที่เด็กหญิงละไม่ได้ไปขอให้แกต้มน้ำให้กาหนึ่งเลย การเทศนาของแม่ครัวมีผู้ฟังคือ คนใช้ผู้ชายสองคน เมื่อนิจโผล่เข้าไปต่างทำหน้าเจื่อนไปตามกัน

นิจกลืนความรู้สึกอันเดือดพล่านไว้ภายในแล้วส่งเงินให้ชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่ พลางสั่งว่า

“เอ้า! เอาไปแบ่งกันทั้งสามคน รีบพัดไฟให้น้ำเดือดเร็ว ๆ ถ้วยน้ำชาเอาไป ๗ ถ้วย แล้วบอกละไมไปเอาขนมปังหวานของฉันมาเปิดใส่ถาดไปทั้งหีบ ไวๆ มือเข้าหน่อย”

๕ นาทีภายหลัง ของรับประทานก็ตามนิจเข้าไปในห้องรับแขก เจ้าของบ้านสาวทำหน้าที่ปรุงน้ำชาแจกคนละถ้วย พอครบก็พอดีทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่าง เห็นรถสีแดงกำลังแล่นวงรอบสนามช้า ๆ เลือดขึ้นหน้านิจจนร้อนผ่าวกาจะหลุดจากมือเสียให้ได้ พยายามข่มสติเต็มกำลัง และพูดออกมาด้วยเสียงเกือบเป็นปกติ

“คุณหลวงกลับมาแล้ว -แปลกแกไปเรียนที่เถอะว่าฉันเชิญมาที่นี่กับแม่รัศมีด้วย แล้วแกไปเอาถ้วยน้ำชามาอีกสองถ้วย

หัวใจนิจเต้นระรัวเป็นตีกลอง เมื่อเห็นรัศมีนวยนาดเคียงข้างมากับหลวงธนสาร สามีของหล่อนยิ้มจืด ๆ ขณะที่รับไหว้แม่สาว ๆ คุณจำลองลุกขึ้นยืนหัวเราะพลางพูดว่า

“คุณหลวงมัวไปไหนเสีย สุภาพสตรีเหล่านั้นกำลังนินทาว่า ทำผิดหน้าที่ในการที่ทั้งภริยาไว้บ้านคนเดียวในวันเกิด”

“แฮะๆ” เป็นอุทานตอบของหลวงธนสาร

“ถ้าคุณหลวงพานิจไปเสียด้วย” เฉลาตอบคำของพี่ชาย “พวกเรามิได้พบแต่บ้านเท่านั้นหรือ ที่ไหนจะได้พบคน”

อีกครั้งหนึ่งหลวงธนสารหัวเราะแก้เก้อ

นิจมองดูรัศมี เห็นกำลังยืนคออ่อนคุยอยู่กับถวิล จึงพูดว่า

“แม่รัศมี มานั่งใกล้ขนมนี่แน่ะ ขึ้นรถกระเทือนมาใหม่ ๆ น่าจะหิว”

รัศมีเยื้องกรายมานั่งลงบนเก้าอี้ข้างโต๊ะ นางธนสารปรุงน้ำชาแล้วส่งให้ รัศมียิ้มแล้วเบือนหน้ามือผลักมือนิจที่กำลังถือถ้วยอยู่ ปากพูดว่า

“ฉันไม่กินหรอกน้ำชา ไปหาน้ำเย็นมาเลี้ยงหน่อยซี”

ไม่มีใครเห็นดวงตาภายใต้ขนอันงอนยาวได้ว่ามีแววอย่างไร วินาทีหนึ่งล่วงไป นิจจึงเงยหน้าขึ้นพูดแกมหัวเราะว่า

“ดูเอาทีหรือ น้องผัวบังอาจใช้พี่สะใภ้ ถ้าจะเหน็ดเหนื่อยและกระหายมาเต็มที” เบือนหน้าอันงามแต่ซีดไปทางสามี “คุณหลวงคะไปหาน้ำเย็นให้น้องรับประทานหน่อยเถอะ”

แววตาของหลวงธนสารอุ่นด้วยฤทธิ์โกรธ โกรธใคร? เพราะอะไร?- เขาเองก็บอกไม่ถูก ลุกขึ้นจากเก้าอี้โดยแรง จนเก้าอี้เกือบล้ม ครั้นนึกได้ว่าได้แสดงมารยาทอันไม่สมควรต่อหน้าแขกก็ฝืนยิ้มแก้เก้อนิดหนึ่ง แล้วออกจากห้องไป

เมื่อเขากลับมาอีกทีหนึ่ง รัศมีย้ายไปนั่งอยู่ที่เก้าอี้ยาวนอกวง แล้วหล่อนใช้สายตาอันคมและเต็มไปด้วยเสน่ห์เรียกเขา คล้ายถูกมนต์สะกด หลวงธนสารเดินทื่อเข้าไปนั่งลงข้างหล่อนทันที

นิจกำลังนั่งอยู่บนม้าหน้าปีอาโน ถูกเพื่อนฝูงรุมโหวตให้ร้องเพลงและเล่นปีอาโนคลอไปด้วย นิจหัวเราะอย่างรื่นเริง แต่ไม่ยอมทำตามที่เพื่อนขอและแก้ตัววนไปเวียนมา ครั้นเห็นแก้ตัวไม่หลุดก็คิดจะหนีดื้อ ๆ จึงหันตัวจะลงจากม้า พอเห็นภาพอันบาดตาเข้าอย่างจัง

หลวงธนสารนั่งเอนหลังพิงเก้าอี้ พาดแขนอยู่บนพนัก รัศมีนั่งครึ่งนอนครึ่ง ศีรษะทับแขนเขาอีกทีหนึ่ง ความอายมีอำนาจเหนือความแค้น นิจหันหน้ากลับเปิดฝาปีอาโนทันที เพื่อยึดความเอาใจใส่ของเพื่อนมิให้วอกแวกไปอื่น สมองในเวลานั้นตื้นตัน ไม่ทราบจะขึ้นต้นเพลงอะไร พอความคิดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น นิจจึงขึ้นเพลงฉุยฉาย พร้อมกับเล่นปีอาโนคลอเสียงไปด้วย

ฉุยฉายเอย จะไปไหนหน่อยเจ้าก็ลอยชาย เยื้องย่างเจ้าช่างกรีดกราย นุ่งผ้าลายดอกลอย ทุกข์อะไรของสตรี ไม่เท่าผัวมีเมียน้อย

จะมีใครบ้างที่ไหวว่าเนื้อเพลงนั้นซึ่งหลุดจากปากของนิจเป็นเสียงร้องทุกข์-เสียงของความรู้สึกอันแท้จริงจากหัวใจของหญิงสาวผู้ได้รับความทรมารอย่างหนัก! ทุกคนพากันตบมือกราวใหญ่ และหันไปมองดูแม่จำนงและคุณจำลองอย่างล้อเลียน หลวงธนสารสะดุ้งทั้งตัวเหมือนคนตื่นจากหลับ ชักแขนออกจากศีรษะรัศมี แล้วผุดลุกขึ้นมายืนกลางห้อง

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ