ในเรือมาลินี

วันที่ ๒๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๐

กราบเท้า คุณพ่อ

นิจตื่นขึ้นวันนี้มีความรู้สึกพิกล ตื่นเต้นและเบิกบาน สนุกแกมประหลาดใจ เมื่อเห็นตัวอยู่ในเรือ ซึ่งแล่นเทิ่งอยู่กลางทะเล คุณพ่อเป็นคนแรกที่นิจระลึกถึง หลังจากที่ได้รู้สึกตัวหายตื่นเต้นแล้ว ดังนั้นเมื่อแต่งตัวเสร็จ นิจจึงเริ่มเขียนจดหมายฉบับนี้ทีเดียว นิจอยากจะมีความสามารถในทางประพันธ์มากกว่านี้สักหน่อย จะได้เล่าถึงภาพที่ได้เห็นอยู่ตรงหน้านิจในเวลานี้ให้ชัดเจน ท้องฟ้ากระจ่างเมฆขาวบริสุทธิ์ ไม่ทราบว่าพระอาทิตย์เวลานี้แฝงอยู่ที่ใด ลมพัดเรื่อย ๆ นอกจากเสียงเครื่องยนต์แล้วเงียบสงัด เพราะยังไม่มีใครตื่น นิจนอนหลับสบายเมื่อคืนนี้ ไม่รู้สึกแปลกที่หรือร้อนแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกับคุณหลวง บ่นออดแอดตลอดเวลา ลงท้ายนอนในเคบินไม่ได้ ต้องไปนอนหัวเรือ นิจนอนบนเตียงชั้นสูง เมื่อเวลาขึ้นบันไดและคลานขึ้นเตียงนั้น อดหัวเราะไม่ได้ รู้สึกคล้ายเมื่อเด็ก ๆ มุดใต้ถุนเล่นซ่อนหา ตอนเช้ามืด เราผ่านเกาะพงันมา แต่นิจไม่ได้เห็น เวลานี้เราอยู่ระหว่างฟ้ากับน้ำแท้ ๆ อากาศบริสุทธิ์ ทำให้นิจมีความสุขราวกับตัวจะลอยได้ นิจคิดถึงคุณพ่อและคุณแม่เหลือประมาณ เมื่อคืนนี้ตอนคุณพ่อลงจากเรือ นิจรู้สึกเหมือนจะร้องไห้ กลั้นน้ำตาจะไม่อยู่เสียให้ได้ ถึงคุณพ่อกับคุณแม่ นิจก็เชื่อว่าเศร้าใจมากเหมือนกัน นิจแน่ใจว่าคุณพ่อมีน้ำตาคลอเมื่อกอดนิจเป็นครั้งสุดท้าย จดหมายฉบับนี้ดูไม่มีสาระอะไรเลย ถึงกระนั้นนิจก็แน่ใจว่า คุณพ่อคงดีใจเมื่อได้รับ นิจเรียนกับคุณพ่ออีกครั้งหนึ่งว่า นิจมีความสุขอย่างยิ่ง

นิจกราบ และจูบคุณพ่อคุณแม่ด้วย ความเคารพอย่างสูง

นิจ

เรือมาลินี

วันที่ ๒๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๐

กราบเท้า คุณพ่อยอดที่รักของลูก

วันนี้เป็นวันที่สองที่นิจจากกรุงเทพ ฯ มา นิจตื่นแต่ย่ำรุ่ง รู้สึกใจคอเบิกบานเอาจริงๆ คลื่นและลมสงบ น้ำในทะเลเรียบผิดกับเมื่อคืนนี้ ซึ่งเวลา ๒๒ นาฬิกาเศษ มีลมและคลื่นจัด เรือโคลงจนรู้สึก มีผู้โดยสารเรือที่เป็นผู้หญิงสองสามคน ตั้งต้นรับประทานมะม่วงและส้มกันท่าไว้แล้ว บางคนถึงคืนอาหารที่รับประทานแล้วให้กับปลา เคราะห์ดีที่นิจไม่เป็นอะไรสักนิดเดียว นิจรับประทานอาหาร ได้มาก และหิวบ่อยกว่าเมื่ออยู่บ้าน แม้อาหารในเรือมีถึง ๕ เวลา และไม่ห่างไกลกันเกิน ๓ ชั่วโมง ก็ยังมีเวลาหิวก่อนจนได้ คิดว่ากว่าจะกลับถึงบ้านนิจเห็นจะอ้วน และมุดเข้าห้องใต้บันไดไม่ได้อีกต่อไป นิจต้องสารภาพว่า แม้ระหว่างเดินทางนี้นิจรู้สึกใจคอเบิกบาน แต่บางคราวก็อดเหงาและคิดถึงคุณพ่อคุณแม่ไม่ ได้ คุณหลวงเป็นเพื่อนเดินทางที่เลวที่สุดที่จะหาได้ในโลกนี้ เพราะไม่พูดไม่คุยเสียเลย อ่านหนังสือตลอดวันตลอดคืน ถึงไม่อ่านก็นั่งสูบบุหรี่ขรึมอยู่เฉย ๆ นอกจากในเวลารับประทานอาหารเท่านั้น เพราะมีผู้นั่งร่วมโต๊ะหลายคน เขาชวนคุยจึงต้องพูดด้วย คุณหลวงพูดอังกฤษ เสียงเป็นฝรั่งมาก ส่วนนิจไม่กล้าพูดให้เธอได้ยิน เพราะกลัวจะพูดผิดขายหน้า เวลาที่นิจเขียนจดหมายนี้ นิจนั่งอยู่หน้าเคบินมองดูน้ำในทะเลสีน้ำเงินแก่ เป็นมันระยับ คุณหลวงยังไม่ตื่น เมื่อคืนนอนที่หัวเรือตามเคย นิจตื่นขึ้นตอนดึก รู้สึกว่านอนอยู่คนเดียวออกใจหาย จากห้องนอนมองเห็นท้องฟ้าคล้ายกับเป็นพื้นเดียวกันกับทะเล ดูมืดตื้อและดำมะเมื่อมน่าหวาดเสียว คุณพ่อคงไม่เอ็ดนิจนะคะที่ขี้ขลาดเช่นนี้ เพราะนิจไม่เคยออกทะเล อย่างไรก็ดีใจนอนหลับเป็นปกติได้อีกจนเช้า

พรุ่งนี้นิจจะเขียนถึงคุณพ่ออีก ตั้งใจจะเขียนทุกวัน แต่คุณพ่อจะได้รับจดหมายทั้งหมดในคราวเดียวกัน เมื่อนิจไปถึงสิงคโปร์แล้ว

ลูกจูบคุณพ่อคุณแม่ ด้วยความรักอย่างยิ่ง

นิจ

เรือมาลินี

วันที่ ๓๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๐

กราบเรียน คุณพ่อคุณแม่ที่รักยิ่งของนิจ

เช้าวันนี้ ทะเลยิ่งงดงามกว่าสองวันที่แล้วมาอีก พระอาทิตย์เริ่มโผล่จากขอบทะเลยังแลไม่เห็นดวง ส่วนก้อนเมฆที่บังดวงอาทิทย์อยู่นั้นเป็นสีน้ำเงินแก่ และดูเป็นปุยคล้ายสำลีที่ย้อมด้วยแสงสีเหลืองแก่ ถัดจากสีน้ำเงิน มีลักษณะคล้ายแสงไฟฉายจากถ้ำมืด น้ำในเวลานี้สีเขียวเปลือกแตงโม กับมีแสงขาวยิบ ๆ แกม ช่างงามแท้ๆ ขณะที่นิจมองดูธรรมชาติอันสดใสนี้ ใจช่างคิดถึงคุณพ่อเสียเหลือเกิน ถ้าใจได้มาเที่ยวกับคุณพ่อคุณแม่แทนที่จะเดินทางมากับชายผู้หนึ่ง ซึ่งนิจไม่เคยรู้จักมักคุ้นมาก่อน แต่เขาผู้นั้นได้ชื่อว่าเป็นสามีของนิจ - นิจจะสนุกสนานกว่านี้มาก นิจอยากให้คุณพ่อยืนพิงลูกกรง ตรงที่นิจยืนอยู่เมื่อสักครู่ข้างหนึ่ง และคุณแม่ยืนอยู่อีกข้างหนึ่ง ส่วนนิจยืนตรงกลาง นิจจำสายตาของคุณแม่ที่มองดูคุณพ่อด้วยความรักอย่างบูชา และสายตาของคุณพ่อที่มองดูคุณแม่ด้วยความรักอย่างดูดดื่มได้ดี เป็นสายตาที่น่าดูน่าชมยิ่งกว่าสิ่งใดๆ ในโลก สำหรับนิจเมื่อสายตาทั้งสองฝ่ายนั้นรวมกันมองมาที่นิจ นิจรู้สึกตัวคล้ายถูกคลุมอยู่ด้วยแสงชนิดหนึ่งที่อบอุ่นและเป็นของวิเศษ สามารถป้องกันอันตรายได้ทุกสิ่งทุกอย่าง ในขณะนั้น นิจรู้สึกตัวเหมือนอยู่ห่างจากโลกมนุษย์ กล่าวคืออาจสามารถทำอะไรได้ตามใจ โดยไม่กลัวผิด และไม่หวาดกลัวมนุษย์ใด โดยอาศัยแสงนั้นปกคลุมอยู่ แต่ในเวลาที่นิจห่างคุณพ่อคุณแม่มาน นิจ รู้สึกว้าเหว่ขึ้นทุกที นิจคิดเอาเองว่าคนที่ตาบอดเคยเดินได้โดยอาศัยคนจูง ครั้นผู้จูงปล่อยทิ้งเสียต้องเดินคลำไปแต่คนเดียว คงมีความรู้สึกชนิดเดียวกับที่นิจมีอยู่เดี๋ยวนี้ บางที่คุณพ่อคงจะโกรธนิจที่คิดอะไรเหลวไหลเช่นนี้ โปรดอย่าดุนิจเลยค่ะ นิจรู้สึกเช่นนั้นจริง ๆ และได้ห้ามใจแล้ว แต่ก็ไม่ไหว เช้าวันนี้มีอาการหนักกว่าทุกวัน

เมื่อวานนี้ตลอดวัน เราไม่ได้เห็นฝั่งหรือเกาะเลย เรือกำลังแล่นอยู่ในทะเลจีน ตกค่ำลมแรงและคลื่นก็จัด เสียงน้ำกระทบเรือดังซ่า ๆ มองดูไปข้างหน้ามืดตื้อไม่เห็นอะไร นอกจากแสงดาวยิบๆ กัปตันบอกเมื่อคืนนี้ว่า คืนนี้ราวเที่ยงคืน เราจะได้เห็นกระโจมไฟของเกาะสิงคโปร์ ดังนั้นพรุ่งนี้เช้านิจจะได้ขึ้นบก และภายใน ๕ วัน จากนี้คุณพ่อจะได้รับจดหมายของนิจ ที่นิจเขียนด้วยความกระหาย อยากพบ อยากเห็น คุณพ่อคุณแม่ของนิจ อยากอยู่ในวงแขนของคุณพ่อ อยากเห็นดวงตาอันเต็มไปด้วยความกรุณาที่เคยมองดูนิจ อยากจะเล่าอะไรๆ ในใจของนิจ ซึ่งเวลานี้นิจเล่าไม่ถูกให้คุณพ่อฟัง ในใจของนิจเวลานี้ เต็มไปด้วยความรักและคิดถึงคุณพ่อคุณแม่ทั้งนั้น

โดยความรักอย่างพรรณนาไม่ได้สมใจ ลูกกราบคุณพ่อคุณแม่ด้วยความเคารพ

นิจ

จดหมายเหล่านี้นิจเขียนถึงพระยาสุรแสนสงคราม เป็นจดหมายเหตุประจำวันในเวลาเช้า เมื่อพับจดหมายสามฉบับสอดลงในซองเดียวกันแล้ว นิจขยับตัวพิงเก้าอี้ รวบเสื้อคลุมสำหรับใส่ในห้องนอนให้กระชับ พลางถอนหายใจยาวหล่อนทอดสายตาอันมีแววหวานซึ้ง มองดูน้ำซึ่งใบจักรพัดแหวกออกเป็นทาง ในสมองเต็มไปด้วยความคิดแปลก ๆ ร้อยแปดประการ ลมพัดต้องผมดำขลับของหล่อนปลิวไสว และตกลงมาปกคลุมหน้าผากอันขาวสะอาด นิจไม่นำพาหล่อนนั่งนิ่งอยู่เช่นนั้น ปล่อยเวลาให้ผ่านไปนานเท่าไรไม่รู้สึกตัว จนกระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆ ดังขึ้นข้าง ๆ นิจสะดุ้ง เหลียวไปดูเห็นหลวงธนสาร มีผ้าห่มนอนพาดบ่า เขาหยุดยืนข้างหล่อนแล้วพูดห้วน ๆ ว่า

“สายแล้วยังไม่ได้แต่งตัวอีก จะแต่งก่อนหรือจะให้ฉันแต่งก่อนล่ะ?”

นิจช้อนสายตาอันอ่อนหวานมองดูเขา แล้วตอบอย่างนุ่มนวล

“คุณหลวงแต่งก่อนเถิดค่ะ”

เขาหันหน้ากลับไปจากหล่อนโดยไม่พูดว่ากระไร นิจถอนหายใจยาวอีกครั้งหนึ่ง และมองตามร่างอันสูงโปร่งหายเข้าไปในห้อง จากใต้บังตา หล่อนมองเห็นเท้าเขาเดินไปเดินมา และได้ยินเสียงกุกกักอยู่นานราว ๑๐ นาที เขาก็เปิดบังตาออกมา ในมือถือหนังสือเล่มหนึ่ง เขาพูดกับหล่อนห้วน ๆ ตามเคยว่า “เสร็จแล้ว” แล้วก็เดินไปทางหัวเรือ

หญิงสาวรู้สึกว่าตันคอหอย และน้ำตาแล่นขึ้นมาคลอหน่วย โดยที่หล่อนเองก็ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุไรแน่ นับแต่วันแรกที่ได้แต่งงานแล้ว รู้สึกว่าความชื่นบานได้หายไปทีละเล็กละน้อย จนถึงเช้าวันนี้ไม่มีเหลืออยู่เลย มีแต่ความเศร้าสลดเข้าแทนที่ ทั้งนี้เพราะชายผู้เป็นสามีของหล่อนนั้น มิได้เคยพูดจาปราศรัยกับหล่อนด้วยวาจาอันอ่อนหวานสักครั้งเดียว เสียงของเขาที่พูดกับหล่อนมักแข็ง และแกมความฉุนเฉียวอยู่ด้วยเสมอ ทั้งสายตาที่มองดูหล่อนก็กระด้าง ไม่อ่อนโยน เขาพยายามตีห่างจากหล่อนจนออกนอกหน้า ในวันแรก ๆ นิจนึกบอกกับตัวเองว่าหล่อนเป็นเด็กที่ไม่ดี ปรารถนาในความพะเน้าพะนอเกินไปจึงได้เกิดน้อยใจไปต่างๆ และเดาเอาเองว่าสามีภรรยาทุกคู่ที่แต่งงานกันใหม่ ๆ คงเป็นเหมือนหลวงธนสารกับหล่อนฉะนี้ เมื่อคิดได้เช่นนั้นนิจรู้สึกสบายใจขึ้น แต่เวลาล่วงไป ๆ หลวงธนสารมิได้คลายความบึ้งตึงลงจนนิจสงสัยยิ่งขึ้น และตั้งต้นคิดค้นหาต้นเหตุทีเดียว ซ้ำร้ายที่หล่อนสังเกตเห็นว่าขณะที่เขาพูดกับคนอื่นๆ นอกจากตัวหล่อนเขามักมีสีหน้าเป็นปกติ และบางคราวก็ยิ้มแย้มดี มีเสียงหนึ่งเบาที่สุด อย่างเขลาที่สุด กระซิบว่า “เขาเกลียดเจ้า” นิจสะดุ้งแรง แต่พยายามทำไม่ได้ยินแล้วก็หัวเราะเยาะเสียงนั้นเสีย

บ่ายวันนั้น เมื่อรับประทานอาหารกลางวันเสร็จแล้ว ทุกคนพากันกลับขึ้นชั้นบน คงเหลือแต่กัปตันและนิจ กัปตันเรือมาลินีเป็นชายชาติเดนมาร์ค แกมีรูปร่างอ้วนใหญ่ แต่หน้าตาของแกอ่อนโยนแสดงว่าเป็นคนใจดี แกพานิจไปยืนที่หัวเรือ และพูดกับหล่อนอย่างผู้ใหญ่พูดกับเด็ก แกถามนิจว่าเป็นหลานหรือเป็นน้องของหลวงธนสาร

“เขาเป็นสามีของฉัน” นิจตอบพร้อมกับเลือดขึ้นหน้าจนแก้มเป็นสีชมพูอ่อน

“ยังงั้นหรือ?” กัปตันทวนถามพร้อมกับทำตาโต “เธอมีอายุเท่าไรแล้ว?”

“๑๘ ปีกว่า!” นิจตอบ

“เธอแต่งงานนานแล้วหรือ” กัปตันถามอย่างสนใจ

“มิได้ เราเพิ่งแต่งกัน พอเสร็จพิธีก็เดินทางมานี่แหละ!”

ชายต่างชาติทำท่าพิศวงเป็นอันมาก แกมองดูหญิงสาวอย่างพินิจพิเคราะห์อยู่สักครู่หนึ่งในที่สุดพูดเชิงสัพยอกว่า

“เธอเพิ่งแต่งงานกันใหม่ ๆ ถ้าฉันหน่วงเธอไว้ที่นี่นานนัก เห็นจะถูกต่อยหน้าเป็นแน่”

นิจยิ้มอย่างเศร้า มองผู้พูดแล้วตอบว่า

“บางทีท่าน จะต้องการไปทำธุระอะไรของท่าน เชิญเถอะไม่ต้องเกรงใจ ถ้าสำหรับสามีของฉันละก็ ท่านไม่ต้องวิตกเขาไม่หวงฉันนักหรอก โกออฟเต็นกัปตัน”

ชายชาติเดนมาร์คก้มศีรษะคำนับ พลางหัวเราะอย่างล้อเลียน

“ไม่น่าเชื่อในข้อนั้น ถึงอย่างไรก็ดี ขออนุญาตให้ฉันนำเธอขึ้นไปส่งข้างบนเถอะ”

เมื่อนิจกับกัปตันขึ้นบันไดถึงชั้นบน เห็นหลวงธนสารยืนอยู่ที่กราบเรือข้างขวา เขากำลังส่องกล้องดูเกาะที่เห็นตะคุ่มๆอยู่ข้างหน้า เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเขาหันมองดู แล้วพยักหน้าพลางพูดเป็นภาษาอังกฤษว่า

“หาดทราย”

กัปตันรับกล้องที่หลวงธนสารส่งให้มาดูบ้าง นิจยืนอยู่ข้างตัวแก ผู้เฒ่าจ้องภาพข้างหน้าอยู่ครู่หนึ่งแล้วส่งกล้องให้กับนิจพูดว่า

“สวยจริงๆ ทีเดียวๆ สีแดดกับสีทรายเข้ากันดูกี่หนไม่รู้จักเบื่อ” แล้วแกก้มศีรษะคำนับเดินห่างไป

นิจถือกล้องติดกับตาไว้ แต่หาเห็นสิ่งที่จะดูไม่ ด้วยใจกำลังมาจดจ่ออยู่เสียที่สามี ซึ่งอยู่ใกล้กับหล่อน ณ ที่นั้น หล่อนยืนนิ่งอยู่เช่นนั้นนาน และหวังว่าเขาจะพูดกับหล่อนสักคำ ครั้นเห็นเขาไม่เอ่ยปากหล่อนก็ลดกล้องลงจากระดับตา หันหน้ามาทางเขา หลวงธนสารเอื้อมมือออกทำท่าจะรับกล้อง โดยไม่แลดูผู้ส่ง นิจรู้สึกว่าขณะนั้น ตาของหล่อนกำลังมีน้ำตาคลออยู่จึงเมินหน้าไปเสียทางอื่น และปล่อยกล้องลงในมือของสามีโดยแรง หลวงธนสารไม่ได้ระวังตัวรับไว้ไม่ทัน กล้องนั้นก็เลยหลุดลงน้ำไป

“อุ้ย! ตาย!” นิจร้องขึ้นเมื่อเห็นกล้องตกลงไปในทะเล หันหน้าเพื่อถามสามีว่าเหตุไรจึงปล่อยให้ตกลงไปเสียได้ พอเห็นหน้าของเขาตึงเครียด จ้องดูหล่อนราวกับจะกินเนื้อ ตาต่อตาเพ่งกัน นิจแข็งใจสู้ตาเขาได้ด้วยความมานะ ในที่สุดหลวงธนสารคำรามออกมาพร้อมกับเข่นเขี้ยวอย่างน่ากลัว

“ตัวมาร! ทำลายทุกสิ่งที่เรารัก!”

โอ๊ย! ตาย! คุณพระช่วย! คำพูดอะไรน่าเกลียดน่ากลัว และน่าเจ็บใจปานนั้น! เหลือทนพ้นวิสัยจะทนได้ นิจถอยหลังไปก้าวหนึ่ง มองดูผู้ที่เรียกหล่อนว่าตัวมารด้วยสายตาแสดงความตกใจและชอกช้ำอย่างที่สุด ครั้นแล้วหล่อนยกมือขึ้นปิดหน้าหันหลังให้เขา วิ่งไปห้องนอนซบหน้าลงกับหมอนร้องไห้

  1. ๑. ภาษาเดนมาร์ค คล้ายกับคำ Good Afternoon

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ