เสียง ตุ้บ! เปรื่อง! ฉ่าง! ดังมาจากห้องซึ่งติดกับห้องที่เจ้าคุณสุรแสนสงครามและคุณหญิงนั่งอยู่ ท่านนายพลนอกราชการวางหนังสือพิมพ์ที่กำลังอ่านลงบนตัก เงยหน้าขึ้นดูภรรยาซึ่งนั่งอยู่ตรงหน้าพลางพูดว่า

“ทายกันว่าแจกันใบไหนแตก?”

สตรีผู้ภรรยา ทอดสายตาอันเต็มไปด้วยความรักและนับถือดูสามี พลางถอนใจน้อย ๆ เจ้าคุณพูด

“ฉันทายว่า ใบลายครามใหญ่ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะกลางห้อง”

คุณหญิงวางสงบที่กำลังสอยอยู่นั้นทันที พลางขมีขมันลุกขึ้น

“ไม่ไหวจริงๆ ลูกคนนี้! ของอะไรที่พ่อรักมาก มันเป็นทำลายเสียหมด”

“แม่จันทร์! แม่จันทร์! จะไปไหนนั่น? อะไรยังไม่ทันรู้แน่เลย เป็นแต่ฉันทายเดาเท่านั้นถึงจะเป็นใบนั้นก็ช่างมันประไร แตกแล้วซื้อใหม่ก็ได้”

คุณหญิงหยุดเดิน กลับมานั่งที่เดิม เงียบอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดขึ้น

“ดิฉันทราบแล้วว่าใจของคุณนะเต็มไปด้วยความกรุณา กะของเสียไปชั้นเดียวหรือจะว่ากล่าวลูกให้ช้ำใจ ถึงดิฉันก็มิใช่จะขี้เหนียว แต่เสียใจที่เลี้ยงลูกไม่ได้สมใจนึก ตระกูลของนิจเป็นผู้ดีโดยแท้จริง พ่อของนิจก็เป็นคนที่เกลียดชังกิริยาหยาบคายอย่างที่สุด ถึงดิฉันเองก็เหมือนกัน แต่ส่วนลูกสิกิริยามารยาทเหมือนทะโมน”

นายทหารผู้เฒ่าลุกจากที่นั่งมายืนอยู่ข้างภรรยาทำให้เห็นรูปของท่านสูงและตรง เวลา ๖๐ ปีที่ท่านได้ผ่านมาแล้ว มิได้ทำให้ร่างอันยิ่งผายของท่านหย่อนหรือค้อมลงแม้แต่น้อย ภายใต้ผมสีเทาคือศีรษะใหญ่และหน้าผากกว้าง ดวงตาโต ยังมีแววสดชื่น แสดงความสงบแห่งดวงจิต ท่านยกมืออันขาวขึ้นจับบ่าภรรยา พลางพูดด้วยเสียงที่พยายามให้เป็นเล่นว่า

“ขอเสียทีเถิดแม่จันทร์ อย่าเอาเรื่องหยุมหยิมพรรค์นี้มาเป็นอารมณ์หน่อยเลย จริงอยู่ ฉันชอบความสงบเสงี่ยมเรียบร้อย อันเป็นทายาทที่ปู่ ย่า ตา ยาย ของฉันเคยนิยม ถึงยังงั้นฉันก็ไม่เห็นว่ากิริยาของนิจมันจะร้ายกาจถึงกับต้องตีโพยตีพายในข้อที่ว่าเลี้ยงลูก ไม่ได้สมใจนึกนั้นก็ไม่ถูกเพราะเราไม่ค่อยได้มีเวลาเลี้ยงมันมัวย้ายไปอยู่โน่นมาอยู่นี่ อ้ายลูกมันอยู่โรงเรียนฝรั่งกิริยาของมันก็ต้องผิดกับเราบ้างเป็นธรรมดา”

ขณะนั้น มีเสียงฝีเท้าอย่างคนวิ่งโหย่งตัวดังเข้ามาใกล้ เจ้าคุณหยุดพูด หันไปทางประตู

ผู้ที่เข้ามาใหม่เป็นหญิงสาว ท่าทางประเปรียว ดวงหน้าอ่อนหวานและดูไม่เดียงสา นิจมีดวงหน้าคล้ายคลึงท่านบิดา แต่รูปร่างไปข้างคุณหญิง คือเล็กและแบบบาง หล่อนเดินอย่างระวังกิริยาเข้ามาในห้อง แล้วนั่งลงทำท่าสำรวม

คุณหญิงเงยหน้าขึ้นทำตาเขียว ซึ่งบุตรีเบิกตากว้างเป็นที่ถามว่ามีอะไรเกิดขึ้น ส่วนเจ้าคุณเห็นท่าไม่ดีจึงชิงเปิดฉากเสียก่อน

“ทำอะไรแตกเมื่อตะกี้นี้?” ท่านพยายามทำเสียงแข็ง

“นิจไม่ได้ทำหรอกค่ะ” บุตรสาวถนอมเสียงตอบและตีหน้าสลด มารดานึกอยากหยิกให้ขาเขียวแต่เจ้าคุณคงพูดต่อเรื่อย ๆ

“เสียงเมื่อตะกี้ดังฉ่างน่ะ ไม่แตกดอกหรือ-”

“แตกค่ะ แต่ใจไม่ได้ทำ”

“………….?”

“อีแต้ม มันกระโดดขึ้นไปบนโต๊ะกลางห้องแล้วกระโดดลง เลยทำแจกันตกลงมาด้วย”

“นั่นยังงั้นซี!” คุณหญิงเอ่ยพลางหัวเราะอย่างหมั่นไส้ “ทายละไม่ผิด ของสิ่งไหนที่พ่อรักแม่นิจเป็นต้องทำลายเสีย”

เจ้าคุณซ่อมยิ้มไว้ในหน้า ท่านยังจำได้ว่าท่านเองเป็นคนทาย หาใช่ภรรยาทายไม่

“เอาเป็นแล้วกันที” ท่านว่า “ซัดกระทั่งแมว ถ้าตัวไม่พามันเข้าไปเล่นในนั้น อีแต้มคงไม่เข้าไปยุ่มย่ามในห้องรับแขก มันคงชอบอยู่ในครัวมากกว่า”

“ลูกกำลังเล่นหีบเพลง” เด็กหญิงเอ่ยขึ้น

“หยุดที!” คุณหญิงแหวโดยเหลืออด “กระบวนแก้ตัวเป็นที่หนึ่ง นิจไม่เคยผิด! จะเถียงเอาให้ผู้ใหญ่แพ้ให้จงได้”

“ไปอาบน้ำ” เจ้าคุณสั่ง เมื่อเห็นบุตรีขยับจะเปิดปาก “วันนี้หลวงธนสารเขาจะมากินข้าวด้วย แต่งตัวให้ไวๆ เข้าหน่อย ทุ่มตรงเขาจะมาถึง”

นิจลุกขึ้นเดินอย่างสงบเสงี่ยม แต่พอลับประตูก็กระโดดขึ้นบันไดทีละสองชั้นตรงไปห้อง เจ้าคุณมองตามพลางยิ้มละไมด้วยความเอ็นดู แต่คุณหญิงสั่นศีรษะด้วยแสนระอา

“ดิฉันละกลุ้มจริงๆ เมื่อไรมันจะเป็นผู้ใหญ่กับเขาสักทีก็ไม่รู้ รู้ยังงี้จะเอาเข้าไปถวายเจ้านายเสียในวัง แทนที่จะเอาไปฝากไว้กับยายชีอะไรก็ไม่ว่าหรอก ที่นี้กลัวแต่เมื่อแต่งงานแล้วจะเดือดร้อนน่ะนา แม่สงวนแกไม่หยอก นิสัยของแกคอยถามมากกว่าคอยเสี้ยม พี่น้องของเขาก็มาก ถ้านิจไปทำซุ่มซ่ามเข้าเขาคงค่อนตาย”

“ฉันไม่เป็นห่วงสักนิด เจ้าคุณพูดพลางจุดบุหรี่ใบตองแห้งสูบ “หล่อนยังไม่รู้จักลูกของหล่อนดีพอ เห็นจะเป็นเพราะไม่ค่อยได้พยายามเรียนนิสัยของมันเท่าที่ฉันทำอยู่เสมอ ฉันได้ดูรอบคอบแล้วก่อนที่จะยกลูกสาวให้เขา แน่ใจว่าใจมันฉลาดพอที่จะรักษาตัวของมันได้ ทั้งนิสัยใจคอตลอดจนกิริยาก็ไม่เห็นน่าที่ใครจะเกลียดมันลง”

“นั่นแน่ความเป็นพ่อ! คุณปล่อยให้ความรักลูกทำให้คุณตาบอดเสียแล้ว คุณมั่นใจและหยิ่งสำหรับลูกเกินไป” แม้คุณหญิงจะได้กล่าวคัดค้านดังนั้น แต่แววตาก็ยังแสดงความชื่นชมเจ้าคุณตอบว่า

“เปล่าเลยแม่จันทร์ ความรักไม่ได้ทำให้ฉันตาบอด หล่อนเองน่ะแหละตาบอด เพราะความเป็นห่วงลูกมากเกินไป พูดถึงความมั่นใจจะห้ามอย่างไรได้มิให้บิดามารดามั่นใจในลูก เพราะบุตรธิดามิใช่ความหวังจุดสำคัญของเราพ่อแม่ดอกหรือ?”

ในเวลาเดียวกันนี้ นิจนั่งอยู่เหนือเก้าอี้ที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง มือทั้งสองขาวโพลงด้วยแป้งที่ขยี้ไว้สำหรับผัดหน้า แต่หล่อนยังคงนั่งนิ่ง ข้อศอกเท้าโต๊ะ ตาจับอยู่ที่กระจก นิจกำลังฝันถึงอะไร-แทนที่จะเห็นภาพของตัวเองในกระจกนั้น กลับเห็นภาพของชายผู้หนึ่งที่มีสีหน้าซีดและตาลอย ก่อนที่ชายผู้นี้จะได้มาเป็นคู่หมั้นของนิจ ทั้งสองได้พบกันหลายครั้ง และนิจจำได้ว่า เจ้าคุณสุรแสนเคยเอ่ยชื่อเขาเสมอ โดยที่หล่อนไม่เคยยึดถือเอามาเป็นอารมณ์ ครั้นท่านนายพลผู้เฒ่ามาบอกกับหล่อนว่าเขามาขอหมั้น และถามบุตรสาวว่าจะตกลงหรือไม่ นิจจึงพยายามรวบรวมความทรงจำ หล่อนนึกอะไรไม่ออกมากนักนอกจากจำได้ว่า เขาเป็นคนท่าทางเรียบร้อย และมีหนวดประปราย อาทิตย์หนึ่งต่อมานิจจำได้ว่าคุณหญิงจันทร์มาช่วยแต่งตัว เสร็จแล้วก็พาลงไปที่ห้องรับแขก ที่นั่นหล่อนได้พบบิดาของหล่อน และพระยาวิชัยชาญยุทธกับคุณหญิง บิดา มารดาของหลวงธนสารกับตัวเขาเอง ท่านผู้ใหญ่สนทนากันสักครู่ แล้วบิดาของนิจดูนาฬิกาและบอกว่าได้ฤกษ์ หลวงธนสารสมบัติก็ยกโต๊ะทองคำขึ้น เดินมาที่นิจนั่งอยู่ เขาหยิบหีบกำมะหยี่สีน้ำเงินแก่ที่อยู่ในโต๊ะนั้น เปิดออกแล้วหยิบแหวนเพชรเม็ดเดียวสวมนิ้วให้หล่อน นิจแลสบตาเขาในขณะนั้น และรู้สึกว่าแววตาของเขาเต็มไปด้วยความสลด สงสารแล่นเข้าจับใจพร้อมกับความอุปาทาน ขณะที่เขาปล่อยมือของหล่อนที่สวมแหวนแล้วลง นิจมองดูเขาด้วยสายตาคล้ายจะถามว่า “เธอเป็นอะไร เหตุไรจึงดูเศร้าโศกนัก มีความทุกข์ร้อนอะไรหรือ? บอกมาเถิด นิจของเธอแหละจะช่วยเธอ” นิจไม่ได้กล่าวความคิดเหล่านั้นออกมาเป็นคำพูด เพราะหล่อนไม่ได้พบกับคู่หมั้นอีกเลย นับแต่วันนั้นมา

เสียงนาฬิกาตีบอกเวลาย่ำค่ำ ๔๕ นาที นิจสะดุ้ง นึกถึงคำสั่งของบิดาขึ้นมาได้ รีบเอาแป้งทาหน้าพอทั่ว แล้ววิ่งไปที่ประตู ตะโกนเรียกคนใช้ให้มาช่วยแต่งตัวโดยเร็ว

“เขาจะมาถึงทุ่มตรง” นิจท่องคำนี้อยู่ในใจแล้ว ลงมือเดินหมุนไปหมุนมารอบห้อง เสื้อทั้งตู้ที่เคยใช้เสมอ เฉพาะวันนี้หาให้เหมาะใจไม่ได้ตัวนั้นยาวไป ถ้าไม่สวมถุงเท้ารองเท้าก็แต่งไม่สม ตัวนั้นสั้นไปถ้าก้มตัวจะเห็นเข็มขัด ตัวนั้นพอดีแต่คอกว้าง เดี๋ยวเขาจะนึกว่าเป็นคนฉูดฉาด เสื้อทุกตัวเกิดมีที่ติขึ้นในเวลานี้ ดังนั้น เมื่ออีก ๔ นาทีจะ ๑๙ นาฬิกา นิจยังคงมีหน้าด่างผมเป็นกระเซิงเดินวนไปเวียนมาอยู่ในห้อง ครั้นถึง ๑๙ นาฬิกาตรง ก็ต้องลงบันไดพร้อมกับหวีผมไปพลาง

พอนิจลงบันไดถึงขั้นที่สุด พอดีหลวงธนสารเปิดประตูรถลงที่หน้ามุข ซึ่งตรงกับห้องรับแขกและเยื้องบันไดเล็กน้อย นิจเห็นเขาก่อนและชะงัก ในใจนึกว่าจะเดินไปรับเขา หรือจะขึ้นบันไดหนีไปเสียโดยดี ช้าเสียแล้ว เขาแลเห็นหล่อน และเปิดหมวกออกด้วยกิริยาสุภาพ นิจจึงเดินหน้ามาก้าวหนึ่งแล้วประณมมือ ไหว้พลางมองดูเขาอยู่อีกใจหนึ่ง แล้วโดยไม่พูดอะไร สักคำหล่อนเปิดบังตาแล้วเข้าในห้องรับแขก

เจ้าคุณ และคุณหญิง นั่งคอยอยู่ก่อนแล้วสายตาอันเต็มไปด้วยความสังเกตของเจ้าคุณเห็นว่านิจมีท่าทางตื่นเต้น ท่านยิ้มกับลูกสาว แล้วเรียกให้นั่งเก้าอี้ตัวเดียวกับท่าน ขณะนั้นหลวงธนสารก็เดินเข้ามา

“แหม! ตรงเวลาดีจริง!” เจ้าคุณร้องพลางลุกขึ้นยืน “ยังซีถึงจะน่าใช้นาฬิกา อ้ายคนที่ไม่รู้จักทำตัวให้ตรงต่อเวลานั้น ไม่ควรซื้อนาฬิกาให้ใช้เปลืองเงินเลย นั่งลงซีพ่อหลานชาย”

หลวงธนสาร ทำความเคารพท่านผู้ใหญ่ทั้งสองแล้วจึงนั่งลง เจ้าคุณพูดต่อไป

“รถของหลานเงียบดีจริง ไม่ได้ยินเสียงเลยคันเก่าหรือ?”

“มิได้ครับ คันใหม่” หลวงธนสารตอบ

“อ้อ! อ้ายรถโอเปิลที่เคยเอามาให้ฉันดูใช่ไหม?”

“ถูกแล้วครับ

“อ้ายรถชนิดนี้ดีนักหรืออย่างไร เห็นคุณก็คร่ำครวญว่าจะซื้อเหมือนกัน” คุณหญิงถาม

“ดีนะซี มันไม่เปลืองน้ำมัน แต่มีเสียงติกันว่าแหนบอ่อนไปหน่อย”

ห้องรับแขกของเจ้าคุณสุรแสนจัด หรูหราทันสมัย มีเก้าอี้นวมตัวใหญ่รวม ๗ ตัว ตั้งล้อมรอบโต๊ะกลมที่ทำด้วยไม้พะยุงขัดมันเป็นเงา ตามมุมห้องมีกระถางต้นไม้ตั้งอยู่บนโต๊ะเล็กทั้งสี่มุม ที่ฝาผนังด้านหนึ่งมีตู้กระจกตั้งอยู่ ในนั้นบรรจุเครื่องกระจุกกระจิกที่ไม่ได้ใช้เป็นประโยชน์ เช่นแหนบกระดุมเสื้อ กระดุมเชิ้ตและซองบุหรี่ ในห้องนี้มีพระบรมรูป พระรูป และรูปแขวนและตั้งอยู่หลายรูป กับมีปีอาโนอันใหญ่อันหนึ่ง เหนือปีอาโนนั้นมีกระจกเงาบานใหญ่อยู่ในกรอบบังกะลี

เมื่อได้คุยถึงเรื่องเก่า ๆ ทั่วไปอยู่จนได้เวลาแล้วก็ไปรับประทานอาหาร เสร็จการรับประทานกลับมานั่งห้องรับแขก เจ้าคุณและหลวงธนสารสูบบุหรี่ คุณหญิงจันทร์รับประทานหมาก นิจไม่มีอะไรทำก็นั่งแกะกระดุมปลอกเก้าอี้เล่น

นับตั้งแต่วินาทีแรก ที่หลวงธนสารมาถึงเจ้าคุณสุรแสนและคุณหญิงต้องทำการหนักอย่างสุดกำลัง คือพยายามให้ผู้เป็นแขกคุย ท่านทั้งสองต้องหาเรื่องและตั้งคำถามอยู่ตลอดเวลา แม้กระนั้นก็ไม่ทำให้ชายหนุ่มเป็นคนช่างคุยยิ่งขึ้นกว่าเดิม บางทีจะเป็นเพราะเหตุนี้ ท่านจึงขอให้นิจเล่นปีอาโนและถามเขาว่าจะฟังเพลงฝรั่งหรือเพลงไทย

“อะไรก็ได้” หลวงธนสารตอบเรื่อย ๆ

คำตอบนั้น ๕ นาทีต่อมานิจจึงทราบว่าเป็นคำพูดที่ออกจากใจจริงของเขาแท้ๆ เพราะเวลาที่หล่อนเล่นเพลงลาวดำเนินทรายอยู่นั้น ได้พยายามมองดูเขาในกระจก เห็นเขานั่งพิงเก้าอี้ตาลอยไปในที่ต่างๆ เห็นได้ว่าจิตใจของเขาไม่ได้อยู่ที่เสียงเพลงเลย นิจรู้สึกว่าความเย็นแล่นเข้าจับใจและเพลงที่หล่อนเล่น ก็พลอยชืดชาปราศจากชีวิตไปด้วย

พอ ๒๑ นาฬิกาเศษ หลวงธนสารก็กลับ ก่อนที่จะลาเขาเรียนเจ้าคุณว่า

“คุณพ่อให้กระผมเรียนว่า วันเสาร์นี้ถ้าใต้เท้าไม่มีธุระขอเชิญไปรับประทานอาหารค่ำที่บ้าน พร้อม ทั้งคุณหญิง……...และคุณนิจด้วย”

ครั้นเขาลาไปแล้ว คุณหญิงสุรแสนเรียกบุตรีเข้าไปใกล้ แล้วใช้มือลูบศีรษะหล่อนเบาๆ นิจรู้สึกใจหดห่อและเต็มไปด้วยความสงสัยและประหลาดใจ ว่ามารดาของหล่อนทำไมจึงมีอาการละห้อยละเหี่ยดังนั้น ส่วนเจ้าคุณคาบบุหรี่เดินกลับไปกลับมาอยู่เงียบๆ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ