๑๒

พระยาวิชัยกลับจากกระทรวงอาบน้ำแล้วก็เข้าห้องรับแขก สีซอ สีไปยังไม่ทันถึงครึ่งเพลงคนใช้เข้ามาแจ้งว่าเจ้าคุณสุรแสนมา

“ไปเรียนคุณหญิงไป๊” เจ้าคุณสั่งโดยที่ไม่อยากจะวางซอ แต่ขณะที่หันไปพูดกับคนใช้นั้นเอง จึงเห็นว่าเจ้าคุณสุรแสนยืนอยู่ในห้องนั้นแล้ว

ท่านนายพลผู้เฒ่ามีสีหน้าอันบึ้งตึง ก้มศีรษะลงคำนับเจ้าของบ้านอย่างมีพิธีรีตรอง แล้วเอ่ยขึ้น

“ผมจะมารับนิจไปบ้าน”

พระยาวิชัยยิ้มแล้วถามว่า

“มีงานอะไรกันหรือขอรับ”

เจ้าคุณสุรแสนยิ้มอย่างแค้น “มิได้ แต่ลูกของผมมันเจ็บมาก”

“อ้อ ยังงั้นหรือครับ?” เป็นคำตอบอย่างซื่อ เท่ากับกวนโทโส

“โปรดพาผมไปห้องนังเด็กเคราะห์ร้ายนั่นที”

“เจ้าคุณวิชัยขมีขมันพาแขกของท่านออกจากห้องรับแขกขึ้นบันไดไปยังห้องบุตรชาย เจอะประตูขัดกลอนเข้าถนัดท่านทำท่าเปิ่นๆ หัวเราะแหะๆ บอกว่าขึ้นผิดทางเสียแล้ว ย้อนกลับลงมาข้างล่างเข้าห้องรับแขกทะลุออกข้างหลังจึงพาเจ้าคุณสุรแสนไปถึงห้องลูกสะใภ้ได้

เค้าหน้าของบิดาเมื่อเห็นบุตรีสุดสวาทนอนอยู่บนเตียง มีคนใช้หน้าเซ่อนั่งเฝ้าอยู่คนเดียวเท่านั้น เหลือวิสัยที่จะบรรยายให้ถูกต้องได้ท่านค่อย ๆ เดินหย่งด้วยฝีเท้าอันเบา จนไม่น่าเชื่อว่า ชายร่างผึ่งผายและขึงขังนั้นจะทำได้ เข้าไปถึงหน้าเตียง มือยาวใหญ่และล่ำสัน แตะหน้าผากของคนเจ็บแล้วก้มลงจุมพิต กิริยาอันเต็มไปด้วยความรักของท่านผู้มีรูปร่างใหญ่โตนี้ น่าดูยิ่งนัก ครั้นแล้ว ประดุจประสาทของนิจได้ถูกปลุกให้ตื่นขึ้น เพราะการจุมพิตอันร้อนผ่าว นิจลืมตาอันแดงขึ้น ริมฝีปากเผยอแล้วกลับหุบลงพร้อมกับถอนใจยาว

เจ้าคุณสุรแสนช้อนร่างของธิดาขึ้นแล้ว โดยไม่ปริปากว่ากระไร ท่านอุ้มร่างอันเบาของหล่อนผ่านเจ้าของบ้านลงบันไดโดยง่าย ผ้าห่มหนาและใหญ่เตรียมมาในรถ เฉลาก็มาด้วย เจ้าคุณห้ามภริยาไว้เด็ดขาดไม่ยอมให้มา เพราะกลัวจะมาแสดงอาการใจเสาะขึ้นในบ้านของผู้ที่ท่านถือว่าเป็นศัตรูแต่นี้ไป

วันนั้นหลวงธนสารกลับมาถึงบ้าน พอขึ้นตึกได้ยินเสียงมารดาเทศน์บิดาเสียงขรม เขาไม่เอาใจใส่ เพราะเคยชินการที่เจ้าคุณจะถูกเอ็ดนั้นง่ายเสียยิ่งกว่าเด็กหกล้ม เพียงแต่ทำถ้วยแก้วแตกใบเดียวก็ถูกเอ็ดได้ เพราะฉะนั้นบุตรชายจึงอาบน้ำและแต่งตัวตามสบายจนเสร็จ เตรียมพร้อมที่จะออกจากบ้านไปหาคู่รัก เขารู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยเมื่อคนใช้มาบอกว่า ‘คุณหญิงให้หา

“นั่นแน่ะ พ่อตัวดี” คุณหญิงเปิดฉากในวินาทีแรกที่บุตรชายเดินเข้ามาหา “มัวไปไหนเสียพ่อตาเขามาพาเมียไปแล้ว”

“ผมกลับมาจากกระทรวงก็มานี่” บุตรชายตอบเสียงแข็ง “พ่อเขามารับลูกของเขาก็ไม่เห็นเกี่ยวข้องกับผมนี่”

“ฉันกลัวมันจะเกี่ยวนะซิ ถึงได้บอกประเดี๋ยวจะต้องขึ้นโรงขึ้นศาลเสียชื่อกันไปหมด”

“เอ๊ะ! มันมีเรื่องอะไรถึงจะต้องขึ้นโรงขึ้นศาล ผมไม่เคยไปฉ้อโกงใครสักที”

“ถูกละ แต่พ่อตาของแกนะไม่ใช่เล่น ถ้าเขาฟ้องร้องขึ้นจะว่าอย่างไร?

“อะไรกันครับคุณแม่ พูดกันมาเป็นนานยังไม่รู้เรื่อง ผมไปทำผิดอะไร เจ้าคุณสุรแสนถึงจะไปฟ้อง”

“ถึงไม่ได้ทำก็เถอะ แต่ผู้หญิงน่ะเขาเป็นเมียของเจ้า เดี๋ยวนี้เขาว่าลูกสาวเขาเจ็บนัก คงจะหาว่าเราไม่ช่วยดูช่วยแล เขามารับลูกของเขาไปแล้ว อ้ายมีเมียผู้ดีละมันเป็นอย่างนี้ละนา พ่อแม่ถนอมทูนหัวทูนเกล้า เป็นอะไรนิดหน่อยก็จะตายขึ้นมาทีเดียว ถ้าเป็นนังรัศมีป่านนี้แต่งตัวไปเที่ยวได้สบาย”

บุตรชายมองดูนาฬิกาที่ข้อมือ แล้วเอาหมวกที่ถืออยู่สวมศีรษะ

“ผมไม่เห็นว่าคุณแม่จะต้องร้อนใจอะไร เมื่อคุณแม่รู้อยู่แก่ใจว่าเด็กนั่นไม่เป็นอะไรมาก เขาอยากเอะอะกันไปเองก็ตามใจเขาปะไร ดีเสียอีกเราจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง” พูดแล้วก็ออกจากห้องไป

กลางคืนเขากลับจากเที่ยวแล้ว ก็นอนหลับเป็นปรกติสุข และฝันดีตลอดคืน ฝันถึงดวงหน้าอันเก๋ดวงตาอันคมและเต็มไปด้วยเสน่ห์ ฝันถึงจริตอันยั่วยวนของผู้หญิงที่เขารัก ปรารถนาจะได้ชื่อว่าเป็นสามี ต่อรุ่งเช้าเมื่อตอนจะแต่งตัวไปทำงาน เขาเห็นดอกกุหลาบในแจกันที่บนโต๊ะหนังสือเหี่ยวแห้ง กลีบร่วงอยู่เกลื่อนกลาด และเสื้อชั้นนอกที่จะใส่ก็มีกระเป๋าอันติดกรังอยู่กับตัวเสื้อ ทั้งของใช้ที่อยู่ในกระเป๋าส่วนล่างก็ไม่ครบสิ่ง เขาจึงหวนนึกถึงภริยาผู้เคยทำหน้าที่นี้อย่างเรียบร้อย และออกสงสัยว่าอาการของหล่อนจะเป็นอย่างไร ตอนกลางวันระหว่างที่เขาทำงาน ได้รับโทรศัพท์เจ้าคุณสุรแสนสั่งว่าเลิกงานแล้ว ให้แวะไปหาท่านที่บ้าน เขาออกรู้สึกหงุดหงิดใจและหวั่น ๆ เกรงว่าจะได้รับความไม่พอใจจากบ้านนั้น อย่างไรก็ดีเขาคงทำตามคำสั่ง พอออกจากที่ทำงานก็ตรงไปถนนเพลินจิต

เจ้าคุณพ่อกำลังคอยเขาอยู่ในห้องรับแขก พอเขาโผล่เข้าไปยังไม่ทันทำความเคารพท่านส่งกระดาษขาวให้เขาแผ่นหนึ่ง พร้อมกับพูดเรียบ ๆ ว่า

“เอ้า! เซ็นชื่อเสีย แล้วอโหสิเวรอโหสิกรรมกันที”

หลวงธนสารรับกระดาษจากมือท่านมาถือไว้ มองดูหน้าอันเคร่งเครียดของท่านนิดหนึ่ง แล้วจึงมองดูตัวหนังสือ พออ่านได้ความว่าหนังสือนั้นเป็นหนังสือที่ถ้าเขาเซ็นลงไปแล้วจะทำให้เขาขาดจากเป็นสามีของนิจตามกฎหมาย หลวงธนสารรู้สึกว่าโทสะวิ่งขึ้นสู่สมอง เตรียมพร้อมที่จะหลุดออกจากปาก เป็นคำสบถสบานอย่างแรง แต่บุรุษร่างสูงที่ยืนอยู่ตรงหน้า เป็นผู้มีอาวุโสกว่าเขา ด้วยวัยด้วยเกียรติยศ และด้วยเกียรติคุณเขาคงพูดแต่เพียงว่า

“ผมต้องขอคำอธิบายก่อนที่จะเซ็นนามลงในหนังสือนี้”

น้ำเสียงเต็มไปด้วยความถือดี ทำให้ดวงหน้าของเจ้าคุณสุรแสนแดงขึ้น ท่านนิ่งอึดอยู่นาน และเจริญพระพุทธคุณในใจ เพื่อดับโทสะอันวิ่งพล่านอยู่ในสมอง ข่มสติให้เป็นปกติแล้วพูดว่า

“คำอธิบายมีสั้นนิดเดียว ถ้าคุณเป็นอิสระเสีย ลูกของฉันมันจะได้ไม่ต้องถูกแช่งชักหักกระดูกอีก”

“ใต้เท้าหมายความว่ากระไรครับ?” เสียงของเขากระด้าง เขาจ้องตาเจ้าคุณเขม็ง

โทสะซึ่งบังคับไว้ไม่ได้สนิทเมื่อสักครู่นี้พองตัวเต็มที่และดิ้นรนอย่างแรง เจ้าคุณสุรแสนหัวเราะดังลั่นออกมา และพูดเกือบเป็นเสียงตะโกน

“หมายความว่ากระไร! คุณถามว่าอย่างนั้นหรือ? ชะๆ ยังมาตีโวหารถาม จะหมายความว่าอย่างไร นอกจากนิจเป็นไข้หนัก ปอดมันบวมอาจจะตายวันนี้พรุ่งนี้ก็ได้ ฉันเป็นพ่อของมันอยากให้มันตายโดยสะดวก ตายโดยไม่ต้องมีใครแช่งชักหักระดูก เหอ! เหอ! ใครจะรู้ว่าป่านนี้มันตายแล้วหรือยัง”

หลวงธนสารถอยหลังไปก้าวหนึ่ง สะดุ้งแรงเหมือนคนตื่นจากฝัน ตาย! คำนี้ก้องอยู่ในหู มันวิ่งไปกระทบแก้วหูซ้าย แล้วกระท้อนกลับมากระแทกแก้วหูขวา ตาย! นิจน่ะหรือจะตาย เด็กหญิงอันมีท่าทางประเปรียว มีแก้มเป็นพวงมีแววตาใสแจ๋วแหวว ซึ่งบางคราวถูกซ่อนเสียด้วยม่านไหมเส้นละเอียดคือขนตา ตาย! คำนี้น่ากลัวจริง มันบอกว่าเขาจะไม่ได้พบเห็นหล่อนอีก จะไม่ได้ยินเสียงร้องเพลงหงิงๆ ในเวลาเช้า หล่อนจะหลุดลอยจากเขาไปชั่วกัปชั่วกัลป์ ตายคือนอนนิ่ง ตัวแข็งทื่อดังท่อนไม้ มือน้อยๆ ที่เคยจัดดอกไม้ในห้องเขาจะเขียวซีดวางนิ่งอยู่บนเตียง ตรงกับปากขันสำหรับรองรับน้ำอบที่ญาติมิตรจะนำมารด หลวงธนสารทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ ยกมือขึ้นปิดหน้า คำว่าตายทำให้เขาตื่นจากฝัน ตื่นจากความงวยงงที่ได้รับมาตลอดเวลา ๖-๗ เดือนนี้ โธ่! นิจคือภริยาของเขาแท้ ๆ ใครจะมีสิทธิพรากหล่อนไปจากเขา? ไม่มี! ไม่มีใครมีสิทธิ แม้แต่ความตาย เขากำมือแน่นกดกับหน้าผากและนิ่งอยู่เช่นนั้นเป็นนาน จนเจ้าคุณพูดขึ้นอีก

“คำอธิบายก็ได้แล้ว ความหมายก็แปลแล้ว ยังอยู่แต่คุณจะต้องเซ็นชื่อลงในหนังสือหย่านั้น แล้วก็เชิญออกจากบ้านไปเป็นสุขสบาย”

หลวงธนสารเงยหน้าขึ้น หน้านั้นขาวซีดยิ่งไปกว่าหน้าของเจ้าคุณ

“แต่หล่อนเป็นอะไร เป็นอะไรถึงจะตาย?” เขาพูดอย่างโหยหวน

เจ้าคุณหัวเราะอีกเต็มไปด้วยความเจ็บใจท่านพูด

“หล่อนไม่เป็นอะไร นอกจาก ขึ้นรถตามหึงผัวจนตัวเจ็บ สมน้ำหน้า ตอนกลางคืนตามหึงผัว รุ่งเช้าไข้เลยกิน ฮะ ๆ ตามหึงผัว ผัวฉุดขึ้นรถกลับบ้าน ผ้าห่มสักผืนไม่มีติดตัว จับไข้อยู่ทั้งวันไม่มีหมาจะมาแล!”

“ผัวฉุดขึ้นรถกลับบ้าน ผ้าห่มสักผืนไม่มีติดตัว!” เอาอีกแล้ว สองคำนี้ทำให้หลวงธนสารตัวชา หวนนึกถึงเสียงภริยาที่รำพันว่า ‘โอยหนาวจริง เย็นเหลือเกิน’ นึกขึ้นมาแล้วขนลุกถ้าหล่อนตายไปก็ไม่มีอื่น นอกจากเพราะความทารุณของเขานั่นเอง ในยามโกรธเขาลืมนึกว่าหล่อนเป็นหวัดอยู่ และความชื้นเย็นเป็นอันตรายแก่คนเป็นหวัดอย่างยิ่ง เสียงหนึ่งกระซิบอย่างโหดร้ายว่า ‘เจ้าฆ่าหล่อน เจ้าฆ่าหล่อน’ หลวงธนสารผลุดลุกขึ้นจากที่นั่ง ดวงตาเหลือกลานเหลียวไปมารอบตัวแล้วร้องว่า

“นิจ! นิจ! โธ่! ฉันไม่ได้แกล้ง! ไม่ได้ตั้งใจเลย! ฉันรักเธอเสมอ! เธออยู่ที่ไหน อยู่ที่ไหน?” ก้าวเท้าเซไปเซมาหลายก้าว ในที่สุดเซกลับนั่งลงดังเดิม

เจ้าคุณสุรแสนออกตกใจที่เห็นอาการของชายหนุ่มเป็นดังนั้น แต่ความจำที่ว่าลูกสาวจะตายไปเพราะชายผู้นี้ ทำให้หัวใจของท่านบึกบึนแทนที่จะสงสารท่านกลับหัวเราะ พูดว่า

“คุณจะไปถามถึงมันทำไม อีเด็กเจ้ากรรม? มันเป็นก้างขว้างคอคุณไม่ใช่หรือ ตายเสียก็รู้แล้วรู้รอดไป เมื่อมันเจ็บอยู่ในมือคุณ ๆ ไม่ใยดีกับมันแล้ว กลับบีบคั้นหัวใจไม่ปรานี คุณนึกว่าฉันไม่รู้เท่าคุณหรือ? มา! เซ็นชื่อลงในกระดาษนั่น ชื่อตัวเดียวไม่ยากลำบากอะไรเลยนี่นา เซ็นแล้วจะได้เชิญคุณออกจากบ้าน ขออย่าให้เวรกรรมพาฉันไปพบกับคุณอีกเลยตลอดชาตินี้”

คำพูดของพ่อตาเสียดแทงหัวใจเขาให้เจ็บแสบราวกับถูกเหล็กร้อนนาบ แต่มันทำให้เขามีสติดีขึ้น พอท่านหยุดเขาก็พูดอย่างอ่อนน้อมว่า

“โปรดให้เวลาผมตรึกตรองดูบ้าง”

“อ๋าย! จะต้องตรึกตรองอะไรอีก เวลา ๖ เดือนยังตรองไม่พอหลือ? ขอเสียทีเถอะอย่าพูดเถลไถลไปหน่อยเลย ทำตัวให้เป็นนักเลงซีน่า” ท่านหยุดชะงักนิดหนึ่ง แล้วกัดฟันแน่นด้วยความแค้น “โธ่นิจของพ่อเอ๋ย พ่อฆ่าเจ้าเองแท้ๆ พ่อมีตาเสียเปล่าไม่มีแวว ไม่เห็นว่าตัวยกลูกให้กับคนจัญไร ฟังหน่อยเถอะคุณยะ ฟังแล้วเอาฝ่าเท้าตรองดูว่า ถ้าเผื่อเป็นอกคุณบ้างจะเป็นอย่างไร ฉันมีลูกคนเดียวถนอมเลี้ยงมาแต่เล็กแต่น้อย คำนิดมิได้ว่าให้เจ็บใจ ครั้นเพื่อนคนหนึ่งมาขอให้กับลูกชาย ฉันรู้ดีเขาขอเพื่อเหตุอย่างหนึ่งเพื่อเงินของฉัน” หลวงธนสารสะดุ้ง “ย่ะ คุณเห็นจะไม่รู้ซีว่าฉันรู้เรื่องของคุณดี หรือที่ถูก เรื่องของพ่อแม่คุณ ฉันรู้ว่าเมื่อคราวข้าวแพง โรงสีของคุณขาดทุนย่อยยับจนเกือบจะตั้งอยู่ไม่ได้ ต่อมาอีกสักหน่อยข้าวลดราคาลงเล็กน้อย คุณจัดแจงกว้านข้าวอีกหวังจะแก้ตัวแต่เงินของคุณไม่มี คุณกู้เงินแบงค์ เอาเครดิตของโรงสีเป็นประกัน ข้าวกลับลดราคาลงจนเกินคาด คุณหญิงเข้าเนื้อ เจ้าแบงค์ชักยื่นมือออกคุณกำลังขวัญหายไม่เห็นทางไหนดีกว่าจะแต่งงานกับผู้หญิงที่พ่อแม่มั่งมี เพื่อเอาเครดิตของพ่อตาเป็นประกัน คุณมาขอลูกสาวฉัน ทั้งๆ ที่รู้อยู่ว่าขอเพื่อเหตุ ฉันก็บ้าพอที่จะทำ ใจบ้ายกลูกสาวให้เพราะเคยรักพระวิชัยอยู่ตั้งแต่ทำงานร่วมกัน อีกประการหนึ่งฉันนึกว่าคุณจะรักลูกสาวฉันได้เมื่อมันเป็นเมียคุณ แล้วไม่รู้ตัวว่าได้ยกลูกสาวให้กับอ้ายคนไม่มีหัวใจ”

ท่านหยุดพูดเดินไปที่โต๊ะกลางหิน รินน้ำชาใส่ถ้วยแล้วยกขึ้นดื่ม หลวงธนสารนั่งนิ่งไม่เงยหน้าทั้งเจ็บทั้งอายทั้งเสียใจประดังแน่นกันอยู่ในอก เจ้าคุณกลับมาที่เดิมแล้วพูดต่อไป

“เรื่องยังมีอีก เมื่อวันแต่งงานนั่นเอง พอเรือจะออกจากท่า ฉันเห็นคุณยืนพะนอหญิงคนหนึ่งอยู่ได้ยินด้วยว่าคุณพูดอะไรกัน แต่ฉันไม่ได้เล่าให้ใครฟัง เพราะเชื่อเอาเองว่า เมื่อผัวเดินทางไปกับเมียมันก็ต้องเป็นผัวเป็นเมีย แล้วความรักก็จะทำให้คุณนึกถึงหน้าที่ของสามีได้ ฉันไม่นึกว่าคุณเลี้ยงลูกฉันเลวยิ่งกว่าเลี้ยงแมว ไม่รู้เพราะนิจอมพะนำไว้คนเดียว ไม่เคยปริปากพูดถึง ดีแต่คอยออกรับแทนตัว ฮะๆ พ่อบ้าแล้วลูกก็ยังพลอยบ้าไปด้วยอีก บ้าจนตัวจะต้องตายคนเดียว เหมือนหมากลางถนน หากว่ามีเพื่อนดียายเฉลาอุตส่าห์ตะลีตะลานมาบอกเล่าเรื่องที่นิจขยายให้ฟังถึงได้รู้”

เมื่อได้พูดมาถึงเพียงนี้แล้ว เจ้าคุณรู้สึกว่าหายใจสะดวกขึ้น โทสะก็เดือดหายไป คงเหลือแต่ความรักและความเสียดายลูกสาวกับความเจ็บใจตัวเอง พ่อตาและลูกเขยต่างนิ่งเงียบ เจ้าคุณเดินกลับไปกลับมาเหมือนเสืออยู่ในกรง สักครู่ท่านฉวยกระดาษที่วางอยู่บนเก้าอี้ เดินรี่เข้ามาหาหลวงธนสาร

“ได้โปรดเถอะขอรับ” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นโดยเร็ว น้ำเสียงเต็มไปด้วยความวิงวอน “ใต้เท้าจะเฆี่ยนตีด่าว่าอย่างไรก็แล้วแต่ ผมยอมรับว่าผมผิด ขอแต่โปรดกรุณาให้ผมได้พบคุณนิจสักหน่อยก่อน แล้วผมจะเซ็นชื่อให้ตามบัญชา”

“คุณจะพบไม่ได้ เพราะหมอห้ามเยี่ยมเด็ดขาด เมื่อไม่ยอมเซ็นชื่อก็เชิญกลับได้ รดน้ำเวลาใดจะให้คนไปบอก”

“ใต้เท้า!” หลวงธนสารร้องเสียงกังวานเต็มไปด้วยความเจ็บปวด “โปรดอย่าเพ่อพูดถึงเรื่องนั้น คุณนิจยังไม่ตาย เธอจะไม่ตายเป็นอันขาด ผม...”

“นั่นประตู!” เจ้าคุณสั่ง

บุตรเขยยังมีสติพอที่จะทำความเคารพท่าน ก่อนออกประตูไป

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ