๑๐

ฝนแห่งเดือนตุลาคม มิได้ทำให้หัวหิน ลดความงามลงทรายเมล็ดละเอียดและขาวสะอาด ลูกไฟดวงใหญ่ซึ่งโผล่จากขอบทะเล แสงอาทิตย์ในเวลาเช้าเหลืองและอบอุ่นทอจับน้ำสีเขียวเป็นแวววาม สีเขียว ๆ แดง ๆ แห่งเสื้อผ้าอาบน้ำ ลมแรงพัดกิ่งไม้โยกและโอนเอนไปมา สิ่งเหล่านี้ยังเป็นภาพที่ชวนชมอยู่เช่นเดิม

หลวงธนสารกลับจากสนามกอล์ฟ และส่งหลวงบรรเจิดคู่แข่งขันที่โฮเต็ลแล้วก็เดินเรื่อย ๆ มาตามชายหาด พอใกล้จะถึงที่พักเห็นหนุ่ม ๆ สาว ๆ กำลังเล่นน้ำกันอยู่เป็นกลุ่มใหญ่ เขาเหล่านั้นพอเห็นหลวงธนสารก็โบกมือและร้องชวนให้ลงอาบด้วย หลวงธนสารมองดูตัวเองและเห็นว่าเสื้อนอกชุ่มอยู่ด้วยเหงื่อ เขานึกในใจว่า ถ้าได้ลงแช่ในน้ำทะเลสักพักก็จะสบายขึ้นมาก แต่อีกใจหนึ่งนึกถึงภริยาว่าป่านนี้คงจะรอรับประทานอาหาร ถ้าเขากลับไปผลัดเครื่องแต่งกายเสียทีหนึ่ง แล้วกลับมาอาบน้ำกว่าจะเสร็จคงกินเวลานาน ผู้ที่คอยอยู่น่าจะหิวโหยเกินไป เพราะฉะนั้นเก็บไว้อาบวันหลังดีกว่า คิดดังนั้นแล้วจึงสาวท้าวเข้าไปใกล้ และโบกมือตอบ

“กี่หลุมครับ คุณหลวง?” หลวงอำนวยสุรกิจ บุตรชายคนโตของเจ้าพระยานัครินทร์ถาม

“๑๘ ครับ” หลวงธนสารตอบ

“โชกซี”

“เอาอยู่ เคราะห์ดีที่ไม่ร้อน”

มาอาบน้ำกันเถอะ คุณหลวงคะ” จำนงร้องชวน “นิจอยู่โน่นแน่ะ” แล้วชี้มือไปที่ก้อนหินก้อนใหญ่ ซึ่งใกล้ ๆ นั้นมีคนสามคนกำลังแช่น้ำอยู่ครึ่งตัว

หลวงธนสารมองตามมือจำนงไป เห็นร่าง ๆ หนึ่ง สวมเสื้อสีแดงแช็ดและหมวกสีเดียวกัน กำลังลอยกระเพื่อมอยู่เหนือคลื่น ถึงร่างนั้นจะอยู่ไกล และแสงอาทิตย์เข้าตาทำให้มองไม่ถนัด เขาก็ยังจำได้ว่า ร่างนั้นคือภริยาของเขาเอง สีหน้าของเขาเผือดลงเมื่อเห็นว่า หล่อนกำลังเล่นหัวร่อต่อกระซิกอยู่กับผู้ชายอีกสองคน ซึ่งคนหนึ่งเขาเห็นไม่ถนัดว่าเป็นใคร แต่อีกคนหนึ่งนั้นคือคุณฉลาด

“คุณหลวง ไปผลัดเครื่องแต่งตัวเสียซีเราจะคอย” หลวงอำนวยว่า

“ผมว่ายน้ำไม่เป็น” หลวงธนสารตอบอย่างขอไปที แล้วก็หันหลังกลับเดินไปเสียเดื้อ ๆ

ตั้งแต่วันนั้นต่อมา หลวงธนสารไม่ลงอาบน้ำพร้อมกับหนุ่มๆ สาวๆ เหล่านั้นอีกเลย ถ้าจะอาบ ก็อาบคนเดียว ในเวลาที่ไม่มีใครอาบ ทุกๆ วันเขาและภริยามักไปเที่ยวกับบุตรชายบุตรสาวของเจ้าพระยานัครินทร์ บางทีก็กลับบ่าย บางทีก็กลับเย็น ทุกคนแวะผลัดเครื่องแต่งกายที่ที่พัก แล้วพากันลงเล่นน้ำพร้อมทั้งนิจด้วย แต่สำหรับหลวงธนสาร ใครจะชักชวนอ้อนวอนสักเท่าใดก็ไม่ยอมเข้าพวกด้วย อ้างว่าหนาวบ้างมีธุระบ้าง ต้องเขียนจดหมายบ้าง เขาเหล่านั้นจะประหลาดใจเพียงไร ถ้าเขารู้ความจริงว่าหลวงธนสารไม่เคยทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งเลย ในเวลาที่ภริยาอาบน้ำอยู่กับเพื่อนฝูง หรือได้เห็นเขาขณะที่ยืนส่องกล้องจับอยู่ที่ร่างของหญิงสาวสวมเสื้อแดง

ความจริงหลวงธนสารจำต้องสารภาพกับตัวเองว่า ตั้งแต่เขามาถึงหัวหิน ได้อยู่ใกล้ชิดกับภริยาได้เห็นดวงหน้าอันหวานบริสุทธิ์ ดวงหน้าซึ่งบางคราวมีความเศร้าสลดเจืออยู่ เห็นดวงตาดำขลับและอ่อนโยนขณะที่มองดูเขา และครั้นเขามองดูบ้างก็เมินเสีย ครั้นหันมาใหม่ ก็มีแววแห่งความล้อเลียนอยู่แทนที่ ได้เห็นความนิ่มนวลอันมีประจำอยู่ในมารยาทของหล่อนตลอดเวลา ความรอบคอบในหน้าที่ที่เกี่ยวกับตัวเขา สิ่งเหล่านี้ทำให้เขามีความรู้สึกแปลกไปกว่าเดิม การมองของเจ้าหล่อน การยิ้มการเดินตลอดจนการเคลื่อนไหว อิริยาบถทุกอย่างซึ่งเต็มไปด้วยความสุภาพ พากันเข้าฝังอยู่ในสมองของเขาทีละน้อย โดยที่เขาไม่รู้สึกตัว ตามเขาไปทุกหนทุกแห่ง เวลาใดที่ตัวของหล่อนไม่ได้อยู่ในเขตสายตา ภาพของหล่อนก็คงอยู่ในสมองเสมอ

หลวงธนสารพยายามผลักไสความจำเหล่านั้น โดยคิดว่าเขากำลังจะทำบาป คือเสียสัตย์ต่อสตรีที่เขารัก ความเห็นเช่นนี้เป็นความเห็นที่โง่ชัดๆ แต่มนุษย์เรามีเวลาโง่อย่างประหลาด คนโง่ และไม่รู้สึกตัวว่าโง่เสียด้วย คืนแรกที่หลวงธนสารเข้านอนในห้อง เขาได้พบรูปของแม่รัศมีอยู่ใต้หมอน เขาหยิบรูปขึ้นดูแล้วยิ้ม ไม่ทราบว่ายิ้มกับรูปหรือกับผู้ที่นำรูปมาใส่ไว้ใต้หมอน ครั้นแล้วกลับบึ้ง เพราะแน่ใจว่าควรจะขอบใจหรือโกรธผู้ที่รักการนี้ดี อย่างไรก็ดี ทุกคืน ก่อนหลับเขาคงชมรูปนั้นเสมอ พร้อมกับนึกถึงคำพูดอันหยดย้อยเต็มไปด้วยความรักของเจ้าของรูป และกิริยาอันเต็มไปด้วยความยั่วยวนของเจ้าหล่อนไปด้วย ครั้นหลับลงก็ฝันถึงอะไรต่ออะไรร้อยแปดที่เกี่ยวกับเจ้าหล่อนผู้นั้น แต่พอรุ่งเช้าขึ้นเหมือนวันคืนในมนุษย์โลก ความมืดล่วงไป ความสว่างเข้ามาแทนที่ เขากลับจำได้แต่ภาพของเด็กหญิงอันมีรูปร่างอ้อนแอ้นแทนหญิงสาวอันมีรูปร่างระหงเป็นสง่าผ่าเผย ในส่วนความรู้สึกของนิจที่มีต่อเขา หลวงธนสารไม่เคยพยายามอ่านว่าเป็นอย่างไร ความเขลาของคนที่เคยทำความผิด เพราะเหตุที่ตัวเคยทอดทิ้งไม่แยแสในเขา จึงเข้าใจเอาเองว่า เขาคงไม่แยแสในตัวเช่นกัน เพราะเหตุนี้เองหลวงธนสารเริ่มมีความริษยาต่อเพื่อนฝูงทุกคนที่นิจสนิทสนมด้วย เขารู้สึกว่าเขาไม่ชอบบุตรชายและบุตรสาวของเจ้าพระยานครินทร์สักคนเดียว และเพราะเหตุนี้อีกน่ะแหละ ที่หลวงธนสารไม่ยอมลงอาบน้ำพร้อมกับภริยา เพราะเจ็บใจตั้งแต่ได้เห็นหล่อนเล่นน้ำกับคุณฉลาดอย่างสนุกสนาน ส่วนกับเขาในคราวที่เขาลงอาบน้ำพร้อมกับหล่อน ๆ กลับตีห่างและไปเล่นเสียกับคนอื่น

วันหนึ่งในตอนเช้า บุรุษไปรษณีย์นำจดหมายของรัศมีมาส่ง จดหมายฉบับนี้ไม่ใช่ฉบับแรกที่หลวงธนสารได้รับจากเจ้าของคนเดียวกัน เขานำเข้าไปอ่านในห้องยืน หันหลังให้กระจกแต่งตัวและหันหน้าให้นิจ ซึ่งกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะเครื่องแป้ง เพราะเกรงว่าถ้าหันหลังให้หล่อนเดินเข้ามาใกล้จะแอบเห็นเนื้อความในจดหมายและชื่อของผู้เขียน ซึ่งเขาหลงว่านิจไม่รู้ แต่ลายมือในจดหมายเป็นลายมือบรรจงและตัวเขื่อง เมื่ออักษรตัวนั้นเข้าไปอยู่ในกระจกแต่งตัวก็ถูกฉายย้อนกลับมาในกระจกของโต๊ะเครื่องแป้งอย่างเด่นจนเห็นถนัด นิจมองดูเงาตัวหนังสือที่อยู่ตรงหน้า ตั้งใจว่าจะไม่อ่าน แต่ก็ยังเห็นว่าในตอนท้ายของจดหมายก่อนที่จะจบมีภาษาอังกฤษปนไทย เขียนไว้ว่า

‘Good night ยอดรักของน้อง

บ่ายวันนั้นอากาศค่อนข้างจะครึ้ม ท้องฟ้ามืดมัวพยับฝน ลมพัดจัดทำให้คลื่นแรงกว่าธรรมดา แต่ละลูกที่กลิ้งเข้ามากระทบฝั่งดังฉาดใหญ่นั่น ดูเขียวคล้ำและดำมะเมื่อมน่ากลัว ถึงกระนั้น ก็ไม่ทำให้หนุ่มสาวที่กำลังคะนองหวั่นไหว คงพากันลอยคอเล่นอย่างสนุกเหมือนทุกวัน หลวงธนสารผู้ยืนส่องกล้องตามเคย ได้เห็นภริยาของเขาว่ายออกไปห่างจากฝั่งราว ๑ เส้นพร้อมกับคุณฉลาด แล้วปล่อยตัวให้ลอยอยู่ตามกระแสน้ำ ทันใดเขาเห็นลูกคลื่นลูกหนึ่งใหญ่เบ้อเร่อกำลังกลิ้งเข้ามา เขาเห็นคุณฉลาดชี้ให้นิจดูและพูดอะไร ๒-๓ คำ พอคลื่นนั้นแล่นมาถึงซัดเอาตัวชายหนุ่มเข้ามาด้วย กระแทกหาดฉาดใหญ่แล้วจึงกระท้อนกลับพร้อมกันนั้นเขาเห็นร่างของภริยามิดหายลงใต้คลื่น ภาพนั้นทำให้เขาสะดุ้งและบีบกล้องแน่นเข้า ประเดี๋ยวเห็นร่างของหล่อนกลับโผล่ขึ้นมาพอดีกับคลื่นที่กระทบหาดโดยแรงแตกเป็นละลอกออก เห็นร่างของนิจผงะหงายแล้วจมหายไป โลหิตทุกหยดฉีดลงไปอยู่ที่หัวแม่เท้าของหลวงธนสาร เขาโยนกล้องทิ้งเสีย กระโดดข้ามลูกกรงเรือนพรวดเดียวถึงหาดทราย เตรียมพร้อมที่จะโจนลงทะเล พอดีเห็นร่างภริยาโผล่ขึ้นตรงชายหาดหล่อนหัวเราะอย่างสนุกสนานที่สุด ไม่มีแววแห่งความตกใจแม้แต่น้อย เขาเกือบจะรีบลงไปฉวยอุ้มเอาตัวหล่อนพากลับบ้านอยู่แล้ว ก็ได้ยินหล่อนพูดกับเพื่อน ๆ ซึ่งพากันขวัญหายอยู่ว่า

“พุทโธ่ ตกใจกันไปได้ ก็นิจรู้ตัวอยู่แล้วว่าคลื่นจะมา แทนที่จะทำตัวให้ลอยขึ้นให้เหมาะกับระยะของคลื่น นิจกลับแกล้งดำลงเสียเพราะอยากจะเล่นสนุกๆ”

“ทำเอาเราขวัญหนีดีฝ่อไปตามกัน” เฉลาพูดแล้วหัวเราะ

“แหม ยังเหนื่อยไม่หายเลย ใจเต้นเป็นตีกลองทีเดียว” จำนงพูดพลางเอามือกุมทรวงอก

“ฉันเองพอมาถึงฝั่ง และไม่เห็นเธอก็ปอดลอยแล้ว ถ้าเธอเป็นอะไรไปละก็ ฉันแย่ทีเดียว”

นิจหัวเราะอย่างขบขันที่สุด ถอดหมวกออกแล้วเอามือสะบัดผม ตอบว่า

“ก็คุณพี่บอกนิจเองให้เตรียมตัว นิจก็เตรียมดำลงทันที” พูดจบหล่อนมองขึ้นไปบนตลิ่ง เห็นสามีกำลังมองหล่อนเขม็ง ออกรู้สึกประหลาดใจและสงสัยว่าเขามายืนอยู่ตั้งแต่เมื่อไร ครั้นหล่อนมองสบตาเขาๆ ก็เมินหน้า แล้วเดินกลับไปที่ ๆ พัก นิจสวมเสื้อคลุมแล้วกล่าวคำลาเพื่อนฝูง พยักหน้าเป็นนัยแก่เฉลา แล้ววิ่งตามติดหลังเขาไป ทันกันตรงบันได เขาจับชายเสื้อหล่อนดึงไว้ แล้วพูดโดยไม่มองหน้าว่า

“นี่ ฉันขอห้ามเป็นคำขาดว่า ไม่ให้ทำอย่างเมื่อตะกี้อีก”

นิจมองดูเขาด้วยความประหลาดใจ แล้วถามว่า

“ทำอะไรคะ”

“ทำจมน้ำน่ะ”

“นิจไม่ได้ทำจมนี่คะ นิจดำต่างหาก”

“นั่นแหละ ทีหลังอย่าทำอีก ทำให้ใครๆตกอกตกใจกันหมด” เขาอยากจะเสริมว่า “ถ้าไม่อาบน้ำทะเลเสียได้ก็ยิ่งดี” แต่เขาไม่กล้า จึงปล่อยชายเสื้อให้หล่อนเดินหลีกไป

ตกค่ำฝนเทมาซู่ใหญ่ ตกอยู่สัก ๑๕ นาทีก็หยุด ราว ๒๐ นาฬิกา ท้องฟ้ากลับแจ่มกระจ่างด้วยแสงเดือน หลวงธนสารรับประทานอาหารแล้วก็รีบเข้าห้องเขียนจดหมายถึงรัศมี เขียนไปได้สักหน่อย ได้ยินเสียงร้องเพลงดังที่นอกห้อง เสียงนั้นเย็นแจ่มใสเป็นกังวานแกมโศกเต็มไปด้วยความรู้สึก เหมาะกับเพลงลมพัดชายเขาสามชั้นและบทเพลงยิ่งนัก ปากกาที่กำลังขีดเขียนอยู่โดยรวดเร็ว ลดช้าลงเป็นลำดับ จนในที่สุดก็หยุดนิ่งเสียงนั้นร้องเพลงเนื้อพระราชนิพนธ์อิเหนา ตอนที่ระเด่นมนตรี จากจินตหรามาทำศึกกับท้าวกะหมังกุหนิงยังเมืองดาหา

“เวลาดึกเดือนตกนกร้อง

ระวังไพรไก่ก้องกระชั้นขัน

เสียงดุเหว่าเร้าเร่งเร่งหากัน

ฟังหวั่นว่าเสียงทรามไวย”

เวลานี้ยามเศษ พระจันทร์ยังไม่ลับทิวไม้ไม่มีเสียงไก่และเสียงดุเหว่าร้อง มีแต่เสียงอึ่งอ่างดังเป็นระยะ และเสียงจักกะจั่นเรไรธรรมชาติที่เป็นอยู่ กำลังตรงกันข้ามกับเนื้อเพลง แต่เสียงอันเยือกเย็นหวานเจื้อยและสั่นระรัวเล็กน้อยของผู้ร้องสามารถทำให้ผู้ฟังลืมสภาพแห่งความจริงเสียได้โดยด่วน หลวงธนสารถอนใจยาว เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ตาลอยไปจับอยู่ที่ฝาห้อง เอ๊ะ กังวานแห่งเสียงนั้นเปลี่ยนไปเสียแล้ว... แทนความเศร้าสลดกับเป็นกังวานล้อแกมกระทบกระแทก และเยาะเย้ย คล้ายกับผู้ที่ร้องกำลังหัวเราะอยู่ในใจ บัดนี้เสียงนั้นไม่สมกับความรำพึงเร่าร้อนของอิเหนาแต่สักนิด ขณะที่ร้องคำเหล่านี้

“ลุกขึ้นเหลือบแลชะแง้หา

เจ้ามาเรียกพี่หรือไฉน

ลมชวยรวยรสสุมาลัย

ฟังหวั่นฤๅทัยถึงเทวี”

“ประหลาด นี่จะแปลว่ากระไร?”

หลวงธนสารรำพึงแล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้ “นี่ร้องเพลงขับกันหรือนี่? ท่าจะรู้เสียละกระมังว่าเราเขียนจดหมายถึง...” เขาออกจากห้องเที่ยวหาภริยาพบหล่อนยืนเท้าลูกกรงหันหน้าออกไปดูทะเล เขาเดินไปใกล้หล่อนแล้วพูดว่า

“เพลงเมื่อตะกี้เพราะดีนี่”

“ขอบคุณค่ะ” นิจตอบเรื่อย ๆ

“ทำไมถึงร้องตอนต้นกับตอนปลายไม่เหมือนกันล่ะ?”

นิจหันหน้ามองดูเขาแล้วตอบว่า

“นิจร้องตามเนื้อเพลงที่จำได้”

“ถูกแล้ว แต่ฉันหมายความถึงกระแสเสียงของเธอ ตอนต้นดูละห้อยเหมาะกับเนื้อเพลงเหลือเกิน แต่ตอนปลายเป็นยังไงก็ไม่รู้”

นิจหัวเราะเบาๆ “นิจไม่มีใครจะหวั่นถึงเหมือนอิเหนาค่ะ ถ้าคนบางคนร้องจะดีกว่ามาก”

เขายืนนิ่งลอบพิศดูใบหน้าส่วนข้างๆ ซึ่งแสงจันทร์กำลังส่องอยู่ นิจขยับตัวจากลูกกรงเดินมาห้องนอน เขาเดินตามมาด้วย หยุดที่หน้าห้องหล่อนเอามือเท้าประตูไว้

นิจหันมามองดูแล้วพูดแกมหัวเราะ

“Good night ยอดรักของน้อง

หลวงธนสารสะดุ้ง หน้าบึ้ง ถอยจากประตูโดยไม่ตอบว่ากระไร นิจดึงบานประตูเข้ามาหาตัวแล้วก็ลั่นกลอน

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ