เพื่อนของนิจลากลับก่อน ๑๙ นาฬิกาทุกคน คงเหลือแต่เฉลาซึ่งพี่ชายยังไม่มารับแต่คนเดียว นิจจึงพาขึ้นไปที่ห้องนอน ในระหว่างที่เจ้าของห้องกำลังคุยอย่างสนุกสนานนั้น เฉลานั่งฟังอยู่เงียบ ๆ สายตาจ้องจับดูสีหน้าของเพื่อนอย่างพินิจพิเคราะห์

“นิจ” เฉลาเอ่ยขึ้นทั้ง ๆ ที่นิจกำลังเล่าเรื่องหนึ่งค้างอยู่ เสียงของหล่อนทำให้นิจสะดุ้งและสังหรณ์ในใจว่า หล่อนกำลังจะตกฐานะเข้าด้ายเข้าเข็ม “นิจ บอกพี่ทีหรือว่าเป็นสุขเท่าที่เธอแสดงอยู่หรืออย่างไร?”

“พี่เฉลาหมายความว่าอย่างไร?” นิจย้อนถาม เดาไม่ถูกจริง ๆ ว่าเฉลาจะมาไม้ไหน

“หมายความอย่างที่ถามนั่นแหละ เธอมีความสุข เหมือนเมื่อยังไม่ได้แต่งงานหรือ?”

“ชีวิตที่แต่งงานแล้ว กับชีวิตที่ยังเป็นโสดจะเหมือนกันอย่างไรได้”

“เธอตอบอย่างเลี่ยงสิกขาเสียแล้ว นิจเธอเข้าใจนี่นะว่าพี่หมายความอย่างไร เธอจะซ่อนความรู้สึกจากสายตาพี่ไม่ได้หรอก เธอลืมเสียแล้วหรือว่าเธออยู่ในความปกครองของพี่มาตั้งแต่อายุ ๘ ขวบ จนถึง ๑๖ ปี”

นิจนิ่งเงียบ หลบสายตาลงดูพรมซึ่งปูอยู่ตรงหน้า เฉลาลุกขึ้นจากเก้าอี้ไปนั่งลงบนเตียงข้างตัวนิจ โอบร่างอันผอมบางมากอดไว้

“สีหน้าและสายตาของเธอบอกอยู่ชัด ๆ ว่าเธอมีความทุกข์ เล่าทุกข์นั้นให้พี่ฟังเถอะ การที่ถามไม่ใช่เพราะความสอดรู้สอดเห็น พี่ร้อนใจจริงๆ ที่เห็นนิจของพี่มีความเศร้าโศกเช่นนี้ ถ้าพี่รู้เรื่องเผื่อบางทีจะช่วยปัดเป่าผ่อนผันได้บ้าง เธอไม่ไว้ใจพี่เสียแล้วหรือ หรือเรื่องที่จะบอกนั้นพูดยากลำบากนัก จะอายพี่ทำไม แข็งใจพูดออกมาเถอะ น้องรักของพี่”

ใครเลยจะขัดน้ำเสียงอันเต็มไปด้วยความกรุณานั้นได้ น้ำตาไหลอาบหน้านิจ หล่อนซบหน้าลงบนบ่าเฉลา ทำอาการเหมือนเมื่อ ๗-๘ ปีก่อนโน้นเมื่อหล่อนได้รับความช้ำใจจากเพื่อนก็ดี หรือจากครูก็ดี เคยนำดวงหน้าอันเลอะด้วยน้ำตามาให้เฉลาเช็ดเสมอ

เฉลาใช้มือลูบศีรษะนิจเบา ๆ ปล่อยให้สะอื้นอยู่จนซาลงแล้วจึงพูดว่า

“พี่รู้ดีนี่นะ ว่านิจของพี่ไม่สบายใจ เอ้าที่นี้เล่าเรื่องให้พี่ฟังให้ละเอียด ถึงหากพี่จะช่วยเธอไม่ได้ก็ยังดีกว่าไม่ได้พูดเสียเลย ความทุกข์ที่เก็บไว้จนเต็มอกแล้ว ไม่พูดเสียบ้างนั้นให้โทษร้ายแรงนัก พี่เคยผจญแล้วรู้จักดี”

“นิจไม่ทราบจะขึ้นต้นว่าอย่างไร”

“ขึ้นต้นด้วยคำว่าคุณหลวงน่ะแหละ ใช่ไหมล่ะ”

“แล้วยังไง?- เขารักแม่รัศมี แทนที่จะรักเธอ ผู้เป็นภริยา?”

น้ำตาของนิจซึ่งได้เช็ดจนแห้งแล้วนั้น กลับไหลนองลงมาอีก

“เห็นไหม พี่รู้เรื่องของเธอดี ทีนี้อยากรู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด?”

“นิจก็ไม่ทราบ เป็นแต่ทราบว่าเขารักกันมาก่อนที่ได้แต่งงานกับนิจ”

“เอ๊ะ! ทำไมเธอถึงรู้?”

“รู้สิคะ ก็นิจเคยได้ยินเขาพูดกันกับหูทีเดียว”

“เขา! คุณหลวงของเธอน่ะหรือ! พูดกับใคร?”

“พูดกับรัศมีน่ะซีคะ เขาพูดกันถึงเรื่องอะไรต่าง ๆ ซึ่งข้อความแสดงว่าเขาเคยรักกันมาก่อน”

“อ้อ! แล้วทำไมถึงไม่………...!………... แล้วทะเล้นไปขอเขาทำไมล่ะ หรือพ่อแม่ไม่ชอบรัศมีบังคับให้แต่งงานกับเธอ

“จะว่าอย่างนั้นก็เห็นจะไม่ถูกค่ะ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ท่านทั้งสองคงกรุณานิจบ้าง นี่ไม่มีเสียเลย ยิ่งคุณหญิงและก็ยิ่งแล้วใหญ่แสดงความไม่ชอบจนออกนอกหน้า คอยเกียจกันอยู่เสมอ และไม่เคยละโอกาสที่จะว่ากล่าวค่อนแคะนิจให้เจ็บใจเลย ท่านทำกับนิจเหมือนกับญาติจน ๆ คนหนึ่งที่มาขอทานข้าวสุกกินไปมื้อหนึ่ง ๆ ตลอดจนบ่าวไพร่ นิจไม่มีอำนาจไหว้วานได้เลย ถ้าสำหรับแม่รัศมีของท่านละก็ตรงกันข้าม ท่านบูชาของท่านนัก พวกบ่าวๆ มันก็รู้ใจนาย รัศมีสั่งการในบ้านนี้ได้ดีเท่ากับคุณหญิงเอง ส่วนนิจอยู่ที่นี่มีราคาเท่ากับแมวตัวหนึ่งเท่านั้น”

“นี่เป็นความรู้ใหม่อีกข้อหนึ่ง ที่ว่าคุณหญิงก็จงเกลียดจงชังเธอด้วย นั่นมันเรื่องราวอะไร ที่นี้เจ้าคุณล่ะ?”

“เจ้าคุณเปรียบเหมือนเต่าตัวหนึ่ง กับภรรยาของท่านละก็เผยอไม่ขึ้นทีเดียว ที่จริงนิสัยใจคอของท่านก็ไม่ใช่ว่าเหี้ยมโหด แต่เป็นคนอ่อนแอเสียเหลือเกิน เห็นคุณหญิงไม่ชอบนิจก็เลยต้องทำตาม บางคราวมีเหมือนกัน คุณหญิงพูดอะไรต่าง ๆ อันเป็นเชิงกระทบกระเทือนนิจ เจ้าคุณแสดงท่าไม่พอใจออกมาบ้าง และรีบหนีเข้าห้องสีซอ”

“ขันดีนะ ในบ้านนี้มีอะไรต่างๆ ทีนี้พี่อยากรู้ว่ายายคุณหญิงตาเหลือกน่ะแกเกลียดเธอทำไม ก็ตัวเองไม่ใช่หรือที่เป็นคนไปขอ ครั้นได้มาแล้วกลับไม่มีความกรุณา เธอเคยทำอะไรให้แกเจ็บช้ำน้ำใจหรือ?”

นิจนิ่งตรองอยู่ครู่หนึ่ง แล้วทำท่าเหมือนจะยิ้ม ขณะที่ตอบว่า

“บางทีจะเคย แต่ใจไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ท่านเจ็บช้ำน้ำใจหรอก คือเมื่อนิจมาอยู่ที่นี่ใหม่ ๆ นิจพาอีแต้มแมวของนิจมาอยู่ด้วย อีแมวตัวนี้มันซนนัก เคยทำอะไร ๆ ที่บ้านคุณพ่อแตกมาหลายหนแล้ว นิจรู้ดีถึงได้คอยระวังมิให้มันไปทางบริเวณของเจ้าคุณและคุณหญิงเลย วันหนึ่งนิจกำลังเล่นหีบเพลงอยู่ในห้องรับแขก ได้ยินเสียงตุ้บที่ไหนล่ะ อีแต้มขึ้นไปอยู่บนหลังตู้เครื่องลายคราม บนนั้นมีนาฬิกาตั้งวางอยู่ด้วย นิจกลัวอีแต้มจะกระโดดลง และพานาฬิกาตามมาด้วย จึงวิ่งไปจับตัวมันไว้กำลังจะอุ้มลง พอดีแขนนิจเองปัดเอานาฬิกาตกลงมา หน้าปัดแตกละเอียดทีเดียว นิจวิ่งไปรายงานตัวเองทันที เจ้าคุณไม่อยู่ อยู่แต่คุณหญิง พอนิจเรียนท่าน ท่านยิ้มอย่างปากเบี้ยวตามเคยน่ะแหละ แล้วว่า “ดีย่ะผู้ดีแท้ มาอยู่บ้านผัวไม่ทันถึงสามวันมีเวลาต่อยของแตกแล้ว” นิจจึงตอบท่านว่า โธ่! คุณอาคะเราต้องการเวลาไม่ถึงนาทีสำหรับให้หัวของเราเองแตก”

เฉลาหัวเราะกิ๊ก แล้วพูดว่า

“เธอก็สำคัญ! ไปตอบกันแกอย่างนั้นเข้าด้วย แล้วตั้งแต่นั้นมาแกก็เลยจงเกลียดมาเรื่อยซี!”

“อาจจะเป็นได้ละกระมังคะ แต่ตามความเห็นของนิจ รู้สึกว่าท่านไม่ชอบนิจมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ดั่งจะเห็นได้ว่าเพียงแต่นาฬิกาแตกไปเรือนเดียวเท่านั้น ทำไมจึงจะต้องเอ่ยถึงว่าเป็นผู้ดีหรือเป็นไพร่ แต่ว่าเรื่องความรู้สึกของคุณหญิงที่มีต่อนิจนั้น เป็นแต่เครื่องช่วยให้นิจมีความร้อนใจมากขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ข้อสำคัญอยู่ที่คุณหลวง”

“อ๋อ! ข้อนั้นน่ะแน่ละ พี่เข้าใจดี และลูกชายของแกไปเที่ยวกับหลานสาวจนดึกดื่นนะแกไม่ว่าดอกหรือ?”

“ไม่เคยได้ยินว่า อาจจะไม่รู้ก็ได้”

“อะไร ไม่รู้ แต่พี่อยู่ไกลร้อยโยชน์พันโยชน์จากบ้านนี้ยังรู้นี่นา น่าประหลาดแท้ ๆ ทำไมตาหลวงหนวดนั่นถึงได้เจ๋อไปขอเธอโดยไม่รักและทั้งที่ตัวมีคู่รักอยู่แล้ว มันจะมีอะไรกันหนอจะว่าพ่อแม่บังคับ เพราะเหตุใด? เห็นแก่สมบัติหรือ? ก็ไม่น่าจะเป็นได้ พวกนี้เขามั่งมีมาแต่ไหนแต่ไร ถึงเดี๋ยวนี้ก็ยังคงมั่งมีเช่นเดิม หรือพ่อแม่ของรัศมีเขาไม่ยอมให้ลูกของเขา? เป็นไปไม่ได้อีกน่ะแหละ อีตาขุนขาข้างเดียวกับอียายชมบอแจหลีหรือจะหวงลูก ไม่ยอมให้กับอำมาตย์ตรี หลวงธนสารสมบัติ ปัญหานี้ขบยากจริง”

“นั่นน่ะซีคะ นิจก็พยายามขบอยู่ทุกวัน ลงท้ายก็ต้องบอกกับตัวเองว่า เมื่อเขาไปขอนิจนั้นเขาคงตั้งใจจะรักนิจเหมือนกัน แต่ครั้นมาอยู่ด้วยกันเข้าเขาค้นพบอะไรที่ไม่ดีในตัวนิจจนเขารักไม่ลง”

เฉลายกมือขึ้นปิดปากเพื่อนพูดว่า

“อย่า! ไม่ต้องพูดคำนั้น ไม่เป็นความจริงเลย นิจของพี่ไม่มีอะไรน่าเกลียดสักนิจเดียวมีแต่น่ารักเท่านั้น ถึงจะไม่มีจริตดีดดิ้นอย่างผู้หญิงบางคน ก็มีกิริยามารยาทน่าเอ็นดูอยู่ในตัว คนที่ไม่มีใจเท่านั้นถึงจะไม่ชอบนิจ อีตาหนวดนั่นแกคงไม่มีหัวใจ หรือมีก็คงหลงเสน่ห์นังมวยโตนั่นจนตาบอดไปแล้ว”

คำพูดและกิริยาของเฉลาทำให้นิจต้องหัวเราะทั้งน้ำตา

“เธอจับกิริยาของเขา ว่าไม่ชอบเธอได้ตั้งแต่เมื่อไร?”

“ตั้งแต่วันแรกที่ได้แต่งงานแล้วทีเดียวค่ะ

“อือ! แปลก! แล้วเธอทำอย่างไรกับเขา?”

“นิจทำหน้าที่ภริยาทุกอย่าง มีดูแลเครื่องแต่งตัวและห้องหับกับธุระที่เกี่ยวกับเขาโดยตรง เมื่อมีธุระก็พูดกับเขา ถ้าไม่มีก็ต่างคนต่างอยู่ นิจรู้สึกตัวเองว่ายังมีกิริยามารยาทไม่ค่อยถูกแบบแผน ก็ได้พยายามฝืนอิริยาบถจนสุดความสามารถเพื่อจะให้ถูกใจเขา และคุณพ่อคุณแม่เขาด้วยการวิ่งเล่นกระโดดโลดเต้น ร้องเพลง เอ็ดตะโรหัวเราะอย่างคึกคะนองอย่างนี้เลิกหมด ถึงยังงั้นก็ไม่ทำให้ฐานะของนิจดีขึ้น”

“เจ้าคุณอารู้เรื่องนี้ไหม?”

“ไม่ทราบเลย นิจไม่เคยปริปากสักคำเดียว คุณพ่อท่านสอนให้นิจอดทน นิจจะทนไปจนกว่าจะหมดเวร จะทนอกแตกตายดีกว่าที่จะให้คุณพ่อคุณแม่ร้อนใจ โดยที่ช่วยอะไรก็ไม่ได้ อีกอย่างหนึ่งนิจต้องทำหน้าที่ของภริยาที่ดี ภริยาไม่ควรจะเอาสามีไปเที่ยวนินทาจริงไหมคะ?”

“ถูกแล้ว เท่าที่เธอเล่าและเท่าที่พี่ได้เห็นกับตาเอง พี่เห็นว่าเธอทำหน้าที่ของหญิงที่ดีแล้วครบ บริบูรณ์ เธอทำมาเป็นเวลาไม่ใช่เล็กน้อยตั้ง ๔-๕ เดือนแล้ว แต่เมื่อมันไม่ทำให้เธอสบายขึ้น เราก็จะต้องหาวิธีใหม่ การที่จะเอามือกอดอกรออยู่จนหมดเวรอย่างเธอว่านั้นไม่ได้ ผิดทั้งทางโลกทางธรรม ในโลกนี้แม้จะเต็มไปด้วยความทุกข์ มีสภาพเป็นอนิจจัง ไม่มีอะไรแน่นอน แต่สุขกับทุกข์เป็นของคู่กัน เมื่อเรามีทุกข์เราต้องต่อสู้เอาชนะให้ทุกข์แพ้เราให้จงได้ หรือมิฉะนั้นก็ต้องหนีทุกข์ มีอยู่สองอย่างในฐานะเช่นเธอ ต้องต่อสู้ เพราะเธอยังหนีไม่พ้น ไม่มีทางจะหนี เรื่องหย่ายังพูดถึงไม่ได้ เพราะในบ้านเมืองของเรานี้ผู้หญิงที่เลิกร้างกับสามีมักเป็นขี้ปากครหา...และยิ่งกว่านั้น บางทีเธอจะรักเขาด้วย”

นิจก้มหน้านิ่ง เฉลาเดาคำตอบได้เอง จึงพูดต่อไป

“นั่นไหมละ ทายละไม่มีผิด เรื่องร้ายของผู้หญิงเรามันอยู่ตรงนี้แหละ อุปทานแรงนัก ขึ้นชื่อว่าเขาเป็นสามีละก็เป็นต้องรักทีเดียว จะเลวทรามอย่างไร หรือโหดร้ายกับตัวอย่างไร ก็อุตส่าห์ก้มหน้าก้มตารักอยู่ได้” นิ่งตรองครู่หนึ่ง “เธอรักเขาแต่เขาไม่รักเธอ เพราะฉะนั้นเธอต้องต่อสู้ ต่อสู้กับคู่แข่ง เพื่อความรักของสามี”

นิจสั่นศีรษะอย่างไม่มีหวัง

“นิจจะทำอะไรได้ ไม่เห็นมีทางจะสู้เขาได้สักนิด”

“ได้! ต้องได้! เพราะถึงเวลาจำเป็นจริงๆ พี่บอกแล้วถ้าเธอขืนอยู่อย่างนี้อกจะเป็นหนองตายก่อน ถึงจะอดทนเท่าไรก็อดได้แต่ภายนอกภายในเธอจะห้ามไม่ให้ทุกข์ไม่ได้ จำเป็นที่จะต้องแก้ไข พี่จะสอนให้ ถึงพี่ไม่เคยแต่งงานก็จริง แต่พี่มีน้องหลายคนทั้งหญิงและชาย พี่เคยเป็นคนที่พี่สาวและพี่สะไภ้มาปรับทุกข์ด้วยเสมอ แม้พี่ชายก็เคย ฤทธิ์แต่ได้ยินได้ฟังมามากจนเข้าใจเรื่องพรรค์นี้ได้ดี เมื่อคราวแม่จำนงกับพี่จำลองก็หยอกเมื่อไหร่ละ ในที่สุดเดี๋ยวนี้ก็เรียบร้อยกันแล้ว

เฉลาหยุดพูด ข้อศอกเท้าเข่าไว้เอาหน้า วางลงบนฝ่ามืออีกทีหนึ่ง นิจมองเพื่อนอย่างร้อนรน ถึงแม้หล่อนจะได้บอกกับเฉลาเองว่าไม่มีทางจะต่อสู้ได้ ถึงกระนั้นก็ยังหวังว่าคำแนะนำของเฉลาจะเป็นยาขนานวิเศษสำหรับปัดเป่าให้หล่อนพ้นจากทุกข์

“หลวงธนสาร” เฉลาเอ่ยขึ้น “ไม่ใช่คนเลว ทางราชการก็ดี พี่ได้ยินคุณพ่อเล่าว่า นายโปรดว่าขยันขันแข็งและซื่อสัตย์ ความประพฤติส่วนตัวก็ดี แต่เขามีข้อเสียอยู่ข้อหนึ่งที่ผู้ชายโดยมากเคยเสีย คือ ถ้าลงรักแล้วเป็นหลง ผู้ชายชนิดนี้ชอบคนยั่วยวน และจริตของแม่รัศมีหล่อนไม่ใช่เล่น ส่วนเธอจะไปทำจริตดีดดิ้นอย่างเขาคงทำไม่เป็นจริงไหม? ทั้งเธอก็จะหยิ่งเกินที่จะล่อสามีให้รักเพราะความยั่วยวน เพราะฉะนั้นเธอไม่ควรต้องทำอะไรให้ผิดกับตัวจริงของเธอสักนิดเดียว ตรงนี้พี่หมายความว่าเธอไม่ต้องแต่งจริตให้มากขึ้น แต่เธอไม่มีสิทธิที่จะซ่อนความน่าเอ็นดู ความรื่นเริงที่เคยมีในตัวเธอไว้ภายใต้กิริยาอันหงิมเหงาเช่นนี้ เพราะให้โทษหลายประการ เธอกำลังจะค้านว่าหัวใจของเธอไม่มีความสุข จะแสดงกิริยารื่นเริงอย่างไรได้ พี่กำลังขอให้เธอฝืนกิริยา นิจ ขอให้เธอมีความทุกข์เสียให้มากที่สุดที่จะลืม แล้วฝืนตัวให้เป็นคนสนุกสนานอย่างแต่ก่อน นึกจะเล่นอะไรก็เล่น นึกจะร้องเพลงก็จงร้อง จงทำอะไรทุกอย่างที่เธอต้องการจะทำ เพื่อความรื่นเริงของเธอเอง”

“คุณหญิงท่านจะได้ค่อนนิจตาย”

“เธอกลัวด้วยหรือนิจ พี่เข้าใจว่าคนเราตราบใดที่อยู่ในทางที่ถูก ตราบนั้นเราเป็นอิสระไม่ต้องกลัวใคร พี่เชื่อว่าเธอจะทำอะไรที่อยู่ในเขตถูกเสมอนิจ เพราะฉะนั้นถ้ายายคุณหญิงแกอยากจะค่อนเรา เราก็ค่อนแกเป็นเหมือนกัน เธอเคยยอมกลัวแกมามากแล้ว แกก็ยิ่งอยากจะบังคับเธอให้แบนเหมือนกับผ้าที่เขาอัดไว้ในคอบปี้ ทีนี้เธอเลิกกลัวเสียที่อย่ายอมแพ้ทีเดียว ดูทีหรือแกจะกล้าทำอะไรเธอได้ สามีของเธอก็เหมือนกัน หน้าตาท่าทางไม่ไช่เป็นคนหัวแข็งใจแข็ง มีความรู้สึกที่ถูกกระทบง่ายและเอนไปทางขลาด ธรรมดาคนขลาดถ้าเห็นใครยอมกลัวก็ยิ่งข่มใหญ่ เพราะฉะนั้นเธอจะทำตัวอย่างนี้ไม่ได้ เขาอาจจะเหมาเอาว่าเธอเป็นเต่าเป็นตุ่นไม่มีความรู้สึก ไม่มีหัวใจ ต่อไปเธอต้องเปลี่ยนกิริยาให้เหมือนเมื่อยังไม่ได้แต่งงาน การพูดคำตอบคำต้องเลิก นึกจะพูดอะไรกับเขาเป็นพูดออกไปทีเดียว ไม่ต้องกลัวไม่ต้องอาย นึกว่าเขาเป็นสามีของเธอ เธอมีสิทธิในเขาเท่ากับเขามีสิทธิในเธอ อีกอย่างหนึ่งสามีของเธอดูซื่อๆ เซื่องๆ เหมือนคนหลับใน เธอควรจะยั่วและล้อให้เขาหัวหมุนเล่นบ้าง จะได้ตื่นจากหลับในบางครั้งบางคราว ส่วนแม่รัศมีคอยาวนั้น เธอคงแค้นเขาบ้างจริงไหม เธอว่าอะไรเขาเล่นบ้างก็ได้ ไม่ต้องกลัว แต่ระวังอย่าให้ร้ายแรงจนเกินขีดของผู้ดีเท่านั้น เธออยู่ในฝ่ายถูก เขาพยายามจะแย่งสามีของเธอ ใครบ้างจะไม่โกรธ ถ้าพาดเราเป็นฉะทีเดียว เตือน ๆ ให้รู้สึกไว้บ้างว่า เธอเป็นภริยาของหลวงธนสารตามกฎหมาย อย่างที่เธอตอบกับเขาเมื่อเวลาเขาใช้เธอให้หาน้ำให้เมื่อตอนเย็นนี้แหละดี แต่อีตอนที่เธอเชิญเขามานั่งใกล้ขนมนั้นเกินไปหน่อย เขาไม่ควรได้รับความปรานีจากเธอถึงเท่านั้น เธอดีกับเขามามากแล้วพอที ทีหลังไม่ต้องเอาใจใครทั้งหมด ทำใจของเธอให้แข็ง ลืมทุกข์เสียบ้าง ในชั้นต้นเธอทำแต่เพียงเท่านี้ก่อน ถ้าไม่ได้ผลเราจะคิดอุบายกันใหม่

นิจนั่งฟังอย่างเอาใจใส่และตรึกตรอง เมื่อเฉลาพูดจบลง หล่อนจึงตอบว่า

“นิจจะลองดู”

“ไม่ต้องละ ต้องทำจริง ๆ ทีเดียว พี่เชื่อว่าเธอจะทำได้ เธอเป็นลูกของทหารนี่นาต้องทำให้กล้าหาญซี ให้สัญญากับพี่ได้ไหม?”

นิจก้มหน้านิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงเงยหน้าขึ้น ยิ้มอย่างเด็ดเดี่ยว

“ค่ะ นิจสัญญา” หล่อนตอบอย่างมั่นคง

“ชะโย! อย่างนั้นซี มาขอจับมือทีเถอะสัญญาต้องเป็นสัญญานะ!” เฉลาร้องอย่างยินดีพลางจับมืออันเรียวเล็กของเพื่อนเขย่าอย่างร่าเริง แล้วดึงตัวมากอดไว้

“โธ่! จะบอกพี่เสียตั้งแต่แรกก็ไม่ได้ อมพะนำไว้คนเดียวจนผอม ดูหรือสายเลือดที่แก้มซึ่งใครๆ เคยอิจฉานั้นไม่มีเหลืออยู่เลย ถ้าปรับทุกข์กับใครเสียบ้าง ก็จะไม่แฟบไปถึงเพียงนี้ นี่หากว่าพี่สังเกตเห็นเอง”

“ตาพี่เฉลาละคมเหลือเกิน ความสังเกตก็เป็นที่หนึ่ง ช่างทายเรื่องราวนิจถูกต้องเสียหมดทุกอย่าง”

เฉลาทอดสายตาไปตรงหน้าอย่างใจลอยด้วยกลัวเพื่อนจะช้ำใจยิ่งขึ้น หล่อนไม่กล้าจะคัดค้านคำชมเชยของนิจ แท้ที่จริงเฉลารู้เรื่องเหล่านี้ ก็เพราะสังเกตเห็นหลวงธนสารไปบ้านรัศมีซึ่งอยู่ติดกับบ้านของหล่อนเสมอและไม่เลือกเวลา ในที่สุดหล่อนตอบแต่เพียงว่า

“น้องเอ๋ย ในชีวิตของพี่ไม่ได้รับความสุขอยู่เสมอดังที่เธอเข้าใจหรอก พี่ได้รับทุกข์มามากเหมือนกัน คิดดูถีคุณพ่อของพี่มีภริยากี่คน และแม่เลี้ยงกับลูกเลี้ยงก็คล้ายๆก็ลูกสะใภ้กับแม่ผัวน่ะแหละ พี่ได้รับความทุกข์เพราะความอยุติธรรมของคนอื่นอยู่เสมอ

นิจใช้สายตาอันเต็มไปด้วยความเศร้า แกมประหลาดใจมองดูผู้พูด แล้วกล่าวช้าๆว่า

“นิจเสียใจเหลือเกินที่ได้ยินเช่นนี้ เพราะนิจไม่รู้จะช่วยได้อย่างไร”

เฉลาเอนศีรษะลงพิงกับศีรษะนิจ ยิ้มอย่างรักใคร่แล้วตอบว่า

“อย่าเสียใจเลย พี่พูดถึงเมื่อก่อนนี้ต่างหากเล่า ส่วนเดี๋ยวนี้พี่สบายแล้ว เพราะเธอว่าพี่ช่างสังเกต พี่จึงพูดให้ฟังว่า พี่เคยได้รับทุกข์มามาก จึงเห็นทุกข์ของผู้อื่นได้ง่าย ในบางแห่งความทุกข์มีประโยชน์นะน้อง ช่วยทำให้คนเป็นคนดีขึ้น”

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ