เวลา ๑๗ นาฬิกาเป็นเวลาได้ฤกษ์หลั่งน้ำพระพุทธมนต์เพื่อเป็นสิริมงคลแก่คู่บ่าวสาว นิจสวมเสื้อแต่งกายสีม่วงอ่อนทั้งชุด สวมถุงเท้าและรองเท้าสีเนื้อ หลวงธนสารนุ่งผ้าม่วงสีน้ำเงินแก่สวมเสื้อขาว ถุงเท้าขาวและรองเท้าดำ ทั้งสองหมอบเคียงกันอยู่บนเตียง ซึ่งทาทองและปูด้วยพรมนุ่มสีแดง บนศีรษะสวมมงคลแฝด ผู้ที่มาหลั่งน้ำพระพุทธมนต์มีจำนวนมากมายนักหนา จนห้องที่จัดไว้สำหรับแขกนั้นไม่มีอากาศพอสำหรับหายใจ เพราะฉะนั้นท่านสุภาพบุรุษและสตรีเมื่อได้รดน้ำบ่าวสาวแล้วก็พากันไปนั่งที่สนาม ซึ่งได้จัดไว้เป็นที่รับแขกเหมือนกัน

สีหม่นแห่งเครื่องแต่งกายที่ท่านสุภาพสตรีสูงอายุแต่ง สีน้ำเงินแก่สดใสกับเสื้อสีขาวที่ท่านสุภาพบุรุษผู้มีบรรดาศักดิ์แต่ง สีเหล่านี้สลับกัน ดูเหมือนมีก้อนเมฆในท้องฟ้าในเวลาบ่ายที่ปราศจากฝน เด็ก ๆ ผู้หญิงหน้าตาน่าเอ็นดูท่าทางกระฉับกระเฉง สวมเครื่องแต่กายสีสด เดินตามกันเป็นแถว ขณะที่ยกพานหมากบุหรี่และน้ำมาเลี้ยงนั้นเปรียบเหมือนสายรุ้งที่ทอผ่านก้อนเมฆไปเป็นทางยาว เสียงส่ายแห่งซิ่นแพรเสียงแสกสากแห่งผ้าม่วงเสียงเดือยของนายทหารผู้มีเกียรติ เสียงปลายกระบี่กระทบพื้นเสียงเหล่านี้รวมกับกิริยาท่าทางอันภาคภูมิของท่านผู้เป็นแขก ทำความสง่างามให้แก่งานของพระยาสุรแสนเป็นอันมาก ทั้งเป็นเกียรติยศยิ่งแก่คู่บ่าวสาวด้วย

แต่เจ้าบ่าวของเราไม่ค่อยมีความรู้สึกกับความหรูหราเหล่านี้เท่าใดนัก เพราะมัวพะวงอยู่แต่กับความเมื่อยชาซึ่งเกิดขึ้นทั่วสรรพางค์กายการที่ต้องหมอบนิ่งอยู่เช่นนั้นตลอดเวลา ๒-๓ ชั่วโมงมิใช่เป็นของสบาย ยิ่งสำหรับนิจผู้มีนิสัยอยู่ไม่สุขมาแต่กำเนิดแล้ว เท่ากับถูกทำโทษอย่างหนัก ความเมื่อยทำให้นิจตั้งสติไม่อยู่ จนไม่มีโอกาสจำคำอำนวยพรได้สักคำเดียว หล่อนพลิกขากลับมาหลายครั้ง และอยากจะรำพันความเมื่อยให้เจ้าบ่าวฟังเป็นที่สุด หากติดด้วยเขากับหล่อนยังไม่เคยได้สนทนากันมาแต่ก่อน ทั้งดูเขาไม่รู้สึกเดือดร้อนอย่างไรด้วย นิจชำเลืองดูเขาหลายครั้งก็เห็นหมอบอยู่เป็นปกติ ข้อศอกอยู่บนหมอนมือทั้งสองประสานกันอยู่ข้างหน้า นิจภาวนาอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก ขอให้ท่านที่กำลังหลั่งน้ำจากสังข์ลงบนศีรษะหล่อนนั้นเป็นคนสุดท้ายที่จะทำเช่นนั้นอีก เวลาล่วงไปอีกครึ่งชั่วโมงก็ยังไม่ถึงที่สุด ในที่สุดถึงหลับตาทอดอาลัย พอดีได้ยินเสียงเจ้าบ่าวกระซิบว่า

“คนที่สุดแล้ว ถอดมงคลออกเสียซี”

แขนของนิจซึ่งงออยู่นาน ไม่สามารถเหยียดออกได้ทันที หลวงธนสารจึงยกมือของเขาขึ้น บรรจงถอดมงคลจากศีรษะเจ้าสาวอย่างระมัดระวัง ศีรษะของเขาชิดกับศีรษะของหล่อนความสัมผัสแห่งผมเส้นละเอียดซึ่งปลิวมาต้องหน้าเขายังให้เกิดความรู้สึกประหลาด นิจเบือนหน้ามาทางเขาและกล่าวคำขอบใจ ตาต่อตาสบกันอยู่ครู่หนึ่ง ชายหนุ่มกลั้นหายใจ ถอดมงคลออกจากศีรษะของตัวเองแล้วลุกขึ้นยืน ใช้แขนอันล่ำสันพะยุงร่างอันบอบบางของนิจให้ลุกขึ้น

ตอนค่ำมีการเลี้ยงอาหารที่บ้านเจ้าบ่าว ญาติสนิทของทั้งสองฝ่ายรวม ๒๘ คนได้รับเชิญมานั่งโต๊ะ การเลี้ยงได้รวบรัดให้เร็วที่สุด เพราะเจ้าบ่าวเจ้าสาวจะต้องลงเรือก่อนเวลา ๒๒ นาฬิกาเจ้าคุณกำแหงรณภพ ลุงของเจ้าบ่าวเป็นผู้กล่าวอวยพรให้แก่หนุ่มสาวและกล่าวคำต้อนรับกับอวยพรให้เจ้าสาวเป็นพิเศษ เจ้าคุณสุรแสนสงครามพูดตอบตามธรรมเนียม การเลี้ยงเสร็จลงโดยไม่มีการดื่มเพื่อความสิริมงคลแห่งเจ้าบ่าวเจ้าสาว เจ้าคุณสุรแสนปฏิเสธอย่างแข็งแรง ไม่ยอมให้มีเหล้าตั้งโต๊ะ โดยอ้างว่าชาวไทยเป็นพุทธศาสนิกชน ไม่ควรเสพของเมาในพิธีการมงคล ท่านเสริมว่าถ้าอยากจะดื่มให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวขอให้ดื่มน้ำ เพราะน้ำเป็นสิ่งวิเศษสุดแล้วสำหรับเมืองไทยของเรานี้

เวลา ๒๑.๓๐ เป็นอันหมดพิธีเลี้ยง และถึงเวลาที่จะต้องไปลงเรือ นิจไม่มีเวลาเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว จึงต้องไปทั้งชุดสีส้มที่หล่อนแต่งในเวลานั่งโต๊ะ สีแดงแกมแสดของเครื่องแต่งกายกับสีผมดำสนิท รับกับผิวหน้าของนิจทำให้เปล่งปลั่งยิ่งขึ้น ก่อนขึ้นรถเจ้าคุณกำแหงรณภพตบบ่าหลานชายเป็นเชิงสัพยอกพลางกล่าวว่า

“ลุงไม่นึกเลยว่าตาเจ้าจะสำคัญถึงเท่านี้เลือกหลานสะใภ้ได้อย่างสวยเด็ดทีเดียว ท่าทางหรือก็น่ารัก อยู่ด้วยกันให้ยืดยาวนะ แล้วอย่าทิ้งเขาไปมีเมียใหม่เสียล่ะ”

ไม่มีใครบอกได้ว่าหลวงธนสารรู้สึกอย่างไรในคำชมนั้น เขายิ้มน้อย ๆ และไม่ตอบว่ากระไร นิจไปรถคันเดียวกับบิดาและมารดา ตลอดทางเจ้าคุณและคุณหญิงพรสั่งสอนในเรื่องหน้าที่ภรรยาที่ควรปฏิบัติต่อสามี “ข้อสำคัญที่สุด” เจ้าคุณเสริมในตอนท้าย “นิจจะต้องรักญาติของสามีเหมือนดั่งญาติของตัวเอง”

นิจฟังคำสั่งสอนของท่านทั้งสองด้วยความเอาใจใส่ พร้อมกันนั้นได้ปฏิญาณในใจว่า จะพยายามทำตามให้ทุกข้อ แต่ในข้อสุดท้ายนี้นิจขนลุก เมื่อนึกถึงญาติคนสำคัญของสามี คุณหญิงวิชัย นางสาวรัศมี!!!

เรือมาลินีจอดอยู่ที่ท่าอิ๊สเอเชียติก เมื่อนิจไปถึงเห็นคนยืนอยู่เป็นกลุ่มใหญ่ เข้าไปใกล้จึงเห็นว่าเพื่อนร่วมโรงเรียนของหล่อนน่ะเองรวมทั้งผู้ปกครองหรือผู้ควบคุมที่มาด้วย พอหล่อนลงจากรถเจ้าหล่อนเหล่านั้นก็พากันล้อมหน้าล้อมหลัง บ้างก็อวยพร บ้างแสดงความยินดี บ้างก็ล้อเลียน

“สมกันจัง!” คนหนึ่งกล่าวพลางจ้องดูเจ้าบ่าวซึ่งกำลังลงจากรถ

“เช้อ! พระเอกมีหนวด บอกให้โกนทิ้งทะเลเสียเถอะ”

“เฮ้อ! กะอีหนวดจะสำคัญอะไร ให้เขาเป็นคนดีและรักเราก็แล้วกัน!”

“นี่แน่ เธอเคยบอกว่าไม่รู้จักความรักเป็นอย่างไร เดี๋ยวนี้รู้หรือยังล่ะ?”

“ขอให้อยู่ด้วยกันจนแก่จนเฒ่าถือไม้เท้ายอดทอง ถือกระบองยอดเพชรเถอะนะ มีลูกคราวละ ๕-๖ คน”

“โอ๊ยตาย! สุ่มเสียงไม่เป็นคนเลย! มีลูกทีละ ๕-๖ คน เหลือร้าย!”

หญิงสาวอีกคนหนึ่งมีดวงหน้า คมคาย และแววตาแสดงว่าเป็นคนช่างคิดช่างตรอง หล่อนเป็นเพื่อรคนอื่น เพราะเหตุที่มีอายุต่างกันหลายปี กับเมื่อนิจอยู่โรงเรียนและยังเป็นเด็กอยู่นั้น เคยอยู่ในความดูแลของหล่อนด้วย เจ้าหล่อนผู้ที่ไม่ได้เข้าหมู่ล้อเลียนนิจ ยืนอมยิ้มอยู่นิ่งๆ จนคนอื่นพูดจบลงจึงดึงตัวเจ้าสาวเข้ามากอดไว้ พิศดูเครื่องแต่งกายที่นิจแต่งอยู่และพูดว่า

“นิจของพี่สวยเหลือเกินวันนี้ ขอให้สวยอยู่เช่นนี้ เสมอนะ” เงยหน้าไปทางสะพานพาดจากท่าสำหรับให้คนเดินไปลงเรือ “ผู้หญิงคนนั้นที่แต่งตัวสีแดง ตามหลังคุณหลวงของเธอน่ะใครนะ?”

นิจมีสีหน้าผิดปกติไปเล็กน้อย เมื่อมองตามสายตาเพื่อน

“ชื่อรัศมี เขาเป็นน้องคุณหลวง”

เจ้าคุณสุรแสน เดินเข้ามาปราศรัยเพื่อนของบุตรี และยืนพูดอยู่ด้วยครู่ใหญ่ แล้วก็เดินไปลงเรือ เพื่อพบกัปตันและเที่ยวชมเรือนั้น ท่านขึ้นไปบนดาดฟ้าก่อน แล้วลงไปดูห้องรับประทานอาหาร ทั่วแล้วจึงกลับขึ้นชั้นบน อันเป็นที่ของคนโดยสาร เสียงเครื่องยนต์ที่ตั้งอยู่ทางท้ายเรือทำให้ท่านอยากเห็นรูปร่างเครื่องจักรเป็นอย่างไร เท้าพาร่างไปทางที่โสตกำลังได้ยินเสียง พอเดินเข้าใกล้ได้ยินเสียงอื่นที่ไม่ใช่เสียงเครื่องจักรอีกเสียงหนึ่ง เสียงนั้นเป็นเสียงผู้หญิง มีกังวานโอดครวญ และโศกเศร้าโดยที่เสียงเครื่องจักรดังอยู่ในที่ใต้ลมแม้คำพูดจาไม่เข้าหูท่านทุกคำก็พอจะเข้าใจเค้าเรื่องได้

“คุณพี่ต้องสัญญานะคะ...........................ไม่ใช่ภรรยาคุณพี่.............ไม่ได้เป็นอันขาดยอมตาย......................ยาพิษ….…….ผูกคอ……………..ไม่รักหล่อน….…….ต้องเป็นคนที่คุณพี่รัก สัญญาเมื่อก่อนหมั้น…………....ดิฉันคนเดียว”

เจ้าคุณสุรแสนหัวเราะในลำคอพลางรำพึงว่า “ใครหนอช่างมาฝากบำเรอกันในเรือ” ขยับเท้าจะเดินกลับ พอดีเสียงห้าว ๆ ของผู้ชายดังขึ้น เสียงนั้นแสดงความเร่าร้อน ความรักและความเวทนาเสียงนั้นสะกิดความทรงจำของท่านให้ก้าวขาไม่ออก ยิ่งฟังยิ่งรู้สึกว่าขาสั่น โลหิตของคนแก่ก็เย็นชามากแล้ว แต่โลหิตแห่งความเป็นทหารยังร้อนแรงอย่างประหลาด มันฉีดขึ้นลงรวดเร็วเต็มที

“อย่า! อย่าร้องไห้..................ดูไม่ได้................... ยอมตายเสียดีกว่า.............นิ่งที ……….พี่สัญญา................จ้ะ.............แต่ในนาม........... เชื่อพี่......... เป็นสัญญา............ของเธอคนเดียว………….ของพี่คนเดียว”

นายพลผู้เฒ่ายืดตัวขึ้น ยิ้มขรึมๆ อยู่ในหน้า ท่านก้าวเท้าหนักและลงส้นตรงไปชะโงกดูเครื่องจักรและขีดไม้ขีดไฟขึ้นจุดบุหรี่ ยืนนิ่งอยู่เช่นนั้นจนแน่ใจว่าชายหญิงทั้งสองคงเลี้ยวหายไปแล้ว จึงหันหน้าไปดูรอบบริเวณ

ที่ตรงนั้นมืด ตรงที่หญิงชายทั้งสองยืนอยู่เมื่อสักครู่นั้น คือหลังเคบินห้องชั้นที่หนึ่ง และเป็นทางเดินไปได้รอบบริเวณเรือ ห้องเครื่องอยู่ชั้นล่าง มีบันไดราวทองเหลืองสำหรับไต่ลงไปแต่ยืนอยู่ข้างบนชะโงกลงไปก็พอแลเห็นรูปร่างของเครื่องจักรมหึมานั้นได้ ขณะนั้น พอดีเสียงหวูดเรือดังขึ้น แสดงว่าจะออก มองลงไปที่ท่าเห็นนิจกำลังร่ำลาเพื่อนและพี่น้อง ท่านรีบลงบันไดลงมาข้างล่าง พบกับบุตรีตรงปลายสะพานก็ตรงเข้าสวมกอด หล่อนด้วยอาการแสดงความรักอย่างรุนเรง จนนิจตกใจ แล้วก้มศีรษะลงจูบกระหม่อมและซบอยู่กับบุตรี อึดใจหนึ่ง จึงเงยหน้าขึ้นพูดว่า

“จำไว้นิจ ไม่ว่าที่ใดและเวลาใด จงทำหน้าที่ของเจ้าด้วยความกล้าหาญ คนดี ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้”

วู้ด! กลาสีชักสะพานขึ้น เรือแล่นออกจากท่าช้า ๆ เบนหัวออกทีละน้อย นิจส่งจูบให้กับผู้ที่ยืนอยู่ที่ท่า และโบกมือจนเรือห่างออกไปสุดสายตาเหลียวดูรอบกาย หลวงธนสารไม่ได้ยืนอยู่ที่นั่นแล้ว ไม่มีใครอีกแล้วนอกจากหล่อนเอง มองดูแสงไฟฟ้าตรงหน้า ความสว่างส่องให้เห็นกลุ่มคนยืนอยู่ๆ ที่นั้น ซึ่งกำลังโบกผ้าเช็ดหน้าอยู่ไหวๆ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ